บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ (BMW 3 Series) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราระดับต้น (compact executive car) ของบริษัทรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู เริ่มผลิตครั้งแรกใน พ.ศ. 2518 จนถึงปัจจุบัน มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้น 9.5 ล้านคัน และในพ.ศ. 2548 เป็นซีรีส์ที่มียอดขายสูงที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู โดยยอดขายของซีรีส์ 3 คิดเป็นร้อยละ 40 ของยอดขายรถบีเอ็มดับเบิลยูทั้งหมดในปี พ.ศ. 2548 โดยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ มีวิวัฒนาการตามช่วงเวลาได้ 7 Generation (รุ่น) ดังนี้
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ | |
---|---|
ภาพรวม | |
บริษัทผู้ผลิต | บีเอ็มดับเบิลยู |
เริ่มผลิตเมื่อ | พ.ศ. 2518 – ปัจจุบัน |
ตัวถังและช่วงล่าง | |
ประเภท | รถนั่งประเภทหรูหราระดับต้น (D) |
รูปแบบตัวถัง | 4 ประตู รถเก๋ง 5 ประตู wagon 5-door fastback |
โครงสร้าง | FR layout, F4 layout (รุ่น xDrive) |
ระยะเหตุการณ์ | |
รุ่นก่อนหน้า | บีเอ็มดับเบิลยู 02 ซีรีส์ (BMW 02 Series) |
รุ่นที่ 1 (E21, พ.ศ. 2518 - 2526)
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นแรก หรือ E21 ออกแบบมาเพื่อทดแทนรถรุ่น BMW 2002 มีตัวถัง 2 แบบ คือ ซีดาน 2 ประตู และเปิดประทุน 2 ประตู โดยมีรุ่นดั้งเดิมคือรุ่น 316, 318 และ 320 ซึ่งใช้เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ 4 สูบ แต่ในปลายปีที่เปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยูได้ออกรุ่น 320i มาขายทดแทนรุ่น 320 ซึ่งเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์หัวฉีด ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น แต่ประหยัดน้ำมัน
ต่อมา ใน พ.ศ. 2522 หลังเกิดวิกฤติน้ำมันแพงขึ้นรอบหนึ่งในช่วงนั้น บีเอ็มดับเบิลยูได้ออกรุ่น 315 ซึ่งมีขนาดลูกสูบเล็กกว่ารุ่นมาตรฐาน 200 ซีซี เพื่อประหยัดน้ำมัน และมีการทำรุ่น 318i เครื่องยนต์หัวฉีด มาทดแทนรุ่น 318 เพื่อให้เครื่องยนต์มีกำลังขึ้นและประหยัดน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตาม อีกขั้วหนึ่ง ในปีเดียวกันก็ได้ออกรถรุ่นที่เน้นการมีกำลังมาก คือรุ่น 320/6 ออกมาขายทดแทนรุ่น 320i โดยใช้เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ 6 สูบ 2000 ซีซี และตามมาด้วยรุ่น 323i ในปีถัดมา ใช้เครื่องยนต์หัวฉีด 2300 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในรุ่นแรกนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ มีระบบเกียร์ให้เลือกซื้อ 3 แบบ คือ เกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด, เกียร์ธรรมดา 4 สปีด และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แต่บีเอ็มดับเบิลยูเน้นการขายเกียร์ธรรมดา 4 สปีดเป็นหลัก เพราะเกียร์ธรรมดา 5 สปีดยังเป็นของใหม่ มีราคาแพงกว่าพอสมควร ส่วนเกียร์อัตโนมัติก็ยังไม่ได้รับการพัฒนามากนัก จึงมีราคาแพงและสิ้นเปลืองน้ำมันมาก (ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ก็ยังมีราคาแพงมาก จึงยังไม่ใช้กับรถขนาดเล็กอย่าง 3 ซีรีส์)
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ E21 มียอดผลิตรวมทั้งสิ้น 1,364,039 คัน
รุ่นที่ 2 (E30, พ.ศ. 2525 - 2537)
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นที่ 2 หรือ E30 ได้มีการใส่ภาพลักษณ์ใหม่ๆ เข้าไปมากมาย เช่น มีการทำระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด, ตัวถังซีดาน 4 ประตู เป็นครั้งแรก มีการใช้เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด Jetronic และลูกเล่นอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่มีใน E21 ทำให้ราคาของ E30 เพิ่มขึ้นจนเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับ E21 ส่วนภาพรวมอื่นๆ นั้น ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
E30 มียอดรวมการผลิตทั้งสิ้น 2,339,248 คัน
ในประเทศไทย เอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นที่ 2 หรือ E30 ได้ทำตลาดดังนี้
พ.ศ. 2527
- บริษัทยนตรกิจได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่งานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 5 ที่สวนอัมพร โดยได้ทำตลาดเป็นครั้งแรกด้วยรุ่น 316 เครื่อง M10 คาร์บูเรเตอร์ไฟฟ้า กระจกมือหมุน และไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ โดดเด่นด้วยชุดไฟแจ้งเตือนการเข้ารับบริการ SI (Service Interval Indicator) E30 เปิดตัวโดยมีบอดี้ให้ลูกค้าเลือกได้ว่าจะเอาแบบ 2 ประตู หรือ 4 ประตู โดยตั้งราคาเอาไว้ที่ 519,000 บาทสำหรับรุ่น 2 ประตู และ 549,000 บาทสำหรับรุ่น 4 ประตู
พ.ศ. 2528
- มีการเปลี่ยนระบบส่งกำลังให้กับ E30 โดยนำเอาเกียร์ธรรมดา 5 สปีดมาใส่ และเพิ่มราคาเป็น 539,000-569,000 บาท ในปีนี้ยอดขายของ E30 ยังคงพุ่งแรง ในปีนั้น E30 เป็นรถที่ขายดีที่สุดในตลาดไทยเป็นอันดับสองรองจาก Peugeot 305GL
พ.ศ. 2529
- มีการแนะนำรุ่น 318i สองประตูลงขายที่เน้นความสปอร์ตมากขึ้น โดยความพิเศษของรถรุ่นนี้ก็คือเครื่องยนต์รหัส M10 ที่เปลี่ยนระบบจ่ายเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์ไฟฟ้ามาเป็นหัวฉีดไฟฟ้า ของ Bosch รุ่น L-Jetronic แทน ทำให้สามารถจ่ายน้ำมันได้แม่นยำขึ้น ส่งผลเรื่องความประหยัดน้ำมัน และทำให้แรงม้าเพิ่มเป็น 105 แรงม้า และมันได้รับการตกแต่งภายนอกด้วยชุดแต่ง M-Technic ที่มีกันชนสไตล์สปอร์ตและสปอยเลอร์หลังอีกด้วย สำหรับภายในก็มีพวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้านมาให้ สำหรับความปลอดภัยก็มีให้เข็มขัดนิรภัยมาครบทุกจุด
- ในช่วงเวลานี้ มันกลายเป็นรถที่สร้างชื่อในวงการมอเตอร์สปอร์ตในประเทศไทยด้วย บริษัทผู้แทนจำหน่ายเองก็ทำรถแข่งลงมาเล่นกับเขาด้วยภายใต้ชื่อทีมแข่ง “ยนตรกิจมอเตอร์สปอร์ต” มีนักแข่งในสังกัดเช่นคุณฐิติ เกิดรพ ที่คว้าแชมป์รุ่น Expert โอเวอร์ 1,600 ซี.ซี.ในการแข่งโมบิลกรังด์ปรีซ์ที่สนามพีระเซอร์กิต ที่จริงแล้วทีมยนตรกิจส่งรถเข้าแข่งขันในหลายคลาส และในรุ่นที่เน้นความแรง จะใช้เครื่องสเป็คตัวแข่งขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งปั่นได้ 300 แรงม้า
พ.ศ. 2530
- มีการปรับราคาของ E30 อีกครั้ง ตามยุทธวิธีการขายของยนตรกิจในสมัยนั้น โดยมีการปรับราคาขึ้น ราคาของมัน อย่างในรุ่น 318i ก็โดดจากไม่ถึง 6 แสนมาอยู่ที่ 690,000 บาท แต่ก็ยังทำยอดขายได้ดี เพราะความต้องการของผู้ซื้อมีอยู่สูง
พ.ศ. 2531
- มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมตามเมืองนอก โดยจุดที่สังเกตคือไฟท้ายซึ่งเปลี่ยนจากไฟถอยหลังที่อยู่ชิดขอบใน และมีลอนพาดตามแนวนอน (คนจึงเรียกฉายาว่า “รุ่นไฟท้ายสองชั้น”) มาเป็นไฟท้ายที่ดูไฮเทคขึ้น มีลอนพาดผ่านเพิ่มมาอีกหนึ่ง ทำให้รุ่นนี้ได้ชื่อว่าไฟท้ายสามชั้น เครื่อง M10 หัวฉีดก็ถูกยกมาวางในรถตัวถังสี่ประตู และจำหน่ายในชื่อ 316i (ถึงแม้ความจุจริงจะเป็น 1.8 ลิตร) แต่รุ่นคูเป้ก็ยังจำหน่ายในโฉมเดิมอยู่ ต้องรอจนถึงอีกหนึ่งปีจึงได้รับการปรับโฉมตามรุ่นซาลูนไป
พ.ศ. 2532
- E30 รุ่นคูเป้ได้มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมตามรุ่นซาลูน และยังได้เครื่องยนต์ใหม่รหัส M40 มาแทนเครื่อง M10 แบบเดิม ถึงแม้รูปแบบของเครื่องยนต์ยังเป็น 4 สูบ 8 วาล์วอยู่ แต่ก็ได้มีการเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนแค็มชาฟท์จากโซ่มาใช้สายพาน และจ่ายน้ำมันผ่านระบบหัวฉีดของ Bosch Motronic 1.3 มากับความจุ 2 ขนาด เครื่อง M40B16 วางในรุ่น 316i 4ประตู เป็นเครื่องขนาด 1.6 ลิตร 102 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีดเพียงอย่างเดียว และ M40B18 วางในรุ่น 318i 2 ประตูและ 4ประตู ความจุ 1.8 ลิตร ให้กำลัง 115 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด
พ.ศ. 2533
- มีการเพิ่มรุ่น 318iA ที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดมาให้เลือก
พ.ศ. 2534-2535
- หลังจากที่ทำตลาดมานาน 8 ปี E30 ก็ถูกแทนที่โดย E36 ซึ่งเปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2535 และแม้ว่ายังมี E30 จำนวนหนึ่งที่ขายเคียงคู่กับ E36 ต่อมาอีกนานพอสมควร ปี 2535 ถือว่าเป็นปีที่ E30 ยุติทำตลาดในไทยไปอย่างเป็นทางการ โดยราคาของ 318i อยู่ที่ 960,000 บาทและราคาของ 318iA อยู่ที่ 990,000 บาท
รุ่นที่ 3 (E36, พ.ศ. 2533 - 2543)
รุ่นที่ 3 หรือ เป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในทุกตลาดที่บุกไป เป็นรากฐานปูทางความสำเร็จให้บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์รุ่นต่อๆ มา โดยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในชื่อ Dolphin Shape หรือ ทรงปลาวาฬ ซึ่งมีที่มาจากการที่รูปทรงของ E36 มีความโค้งมนมากขึ้น และไฟหน้าที่เปลี่ยนจากรุ่นก่อนไปอย่างชัดเจน จึงมีคนตั้งชื่อเล่นตามรูปทรงของมัน คือ Dolphin Shape แต่ในประเทศไทย มักเรียกกันว่า "โฉมนกแก้ว"
E36 มีรถให้เลือกหลายเกรด ตั้งแต่เกรดธรรมดา (เครื่องยนต์4สูบ 1600 ซีซี) ไปจนถึงเกรดแรงจัด (เครื่องยนต์ 6 สูบ 3200 ซีซี 24 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 321 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) นอกจากนี้ยังมีการทำตัวถังแบบซีดาน (รถทรงทั่วไป ภายในกว้างขวาง มีกระโปรงหลัง), คูเป้ (รถทรงสปอร์ต ตัวถังเบา แรงม้าสูง) สำหรับคนที่ชอบความเร็ว, แบบวากอน (คล้ายๆ ฮอนด้า ซีอาร์-วี) สำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยว, แบบแฮทช์แบ็ค (คล้ายๆ ฮอนด้า แจ๊ซ) สำหรับคนที่ต้องการรถที่กะทัดรัด ขับง่าย รวมไปถึงรถเปิดประทุน(เปิดหลังคาออกได้) ทำให้ครอบคลุมความต้องการได้กว้างขวาง ประกอบกับการที่รถ บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ เป็นรถขนาดเล็กอยู่แล้ว ราคาไม่แพง(เฉพาะเมื่อเทียบกับซีรีส์อื่นๆ) ทำให้มียอดขายที่สูง
ในรุ่นนี้ มีระบบเกียร์ให้เลือก 4 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 กับ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 กับ 5 สปีด ส่วนเกียร์ธรรมดา 4 สปีด กับเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดถูกยกเลิกไป
ในประเทศไทย E36 หรือโฉมนกแก้ว จำหน่ายในปี 2535 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ทำลายกำแพงภาษีนำเข้าโดยนายอานันท์ ปันยารชุน พอดี รุ่นนี้เป็นรถ bmw ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยในยุคนั้น โดยมี 2 รุ่นที่ขายดีเทน้ำเทท่าคือ 318i และ 318iA ทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นรุ่นประกอบในประเทศโดยยนตรกิจ ทั้ง 2 รุ่นจะใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 4 สูบ รหัสเครื่องยนต์นั้นจะแตกต่างกันออกไป เป็น M40B18 M42B18 M43B18 และ M44B19 นอกจากนั้นยังมี 316i compact ที่ขายดีด้วยเช่นกัน โดยใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 4 สูบ รหัส M40B16 และ M43B16 ส่วนรุ่นนำเข้าจะเป็นรุ่น 318iS, 320i, 325i โดยในสเปกไทยมี abs airbag ให้แล้วมาในราคาประมาณ 1.6-1.7 ล้านบาท ในปี 1994 มีการเพิ่มรุ่น325iสเปกพิเศษ โดยเป็นเครื่อง 2400 ซีซี 188 แรงม้า ในรุ่นซีดาน 4 ประตู รุ่น318i เปลี่ยนเครื่องเป็น m43 ปี 1997 ปรับโฉมโดยเปลี่ยนไฟเลี้ยวและไฟท้าย มีรุ่น 323i และยังมีรุ่น 320i carbriolet อีกด้วยซึ่งนับว่าหายากพอสมควร
รุ่นนี้ขายต่อไปเรื่อยๆ จนถึงปลายปี 2542
รุ่นที่ 4 (E46, พ.ศ. 2541 - 2548)
รุ่นที่ 4 หรือ E46 ได้ยกเลิกการผลิตเกียร์ธรรมดาแบบปกติลงทั้งหมด โดยหันไปผลิตเกียร์ธรรมดาแบบไร้คลัตช์ (ควบคุมเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดา แต่เวลาเปลี่ยนเกียร์ไม่ต้องเหยียบคลัตช์ จึงสนุกได้แบบเกียร์ธรรมดา แต่ขับสบายเหมือนเกียร์อัตโนมัติ) และเกียร์ธรรมดาแบบอิเล็คโทรไฮเดราลิค (เหมือนเกียร์ธรรรมดาแบบไร้คลัตช์ แต่มีระบบเซนเซอร์เปลี่ยนเกียร์ได้เองเมื่อถึงความเร็วที่ควรเปลี่ยนเกียร์แล้วแต่ไม่มีคำสั่งเปลี่ยนเกียร์จากผู้ขับขี่) ในขณะที่เกียร์อัตโนมัติแบบทั่วไปก็ยังมีอยู่ ตัวถังยังมีหลากหลายทั้งแบบวากอน, คูเป้, แฮทช์แบ็ค, ซีดาน และแบบเปิดประทุน ครบถ้วน
เครื่องยนต์มีตั้งแต่เครื่องยนต์ขนาด 1900 ซีซี 8 วาล์ว 4 สูบ 105 แรงม้า ประหยัดน้ำมัน ไปจนถึงเครื่องยนต์ขนาด 4000 ซีซี 32 วาล์ว 8 สูบ กำลังสูงสุด 507 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 502 นิวตัน-เมตร ครอบคลุมความต้องการเกือบทุกรูปแบบของผู้ใช้รถ ทำให้มียอดขายยอดเยี่ยม และในปี พ.ศ. 2545 E46 ได้ทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ 3 ซีรีส์ นับตั้งแต่เริ่มผลิตมา โดยสามารถขายได้ถึง 561,249 คันในปีเดียว
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ ได้รับคัดเลือกจากนิตยสารชื่อดัง "Car and Driver" ให้เป็น 1 ใน 10 รถยอดเยี่ยมประจำปี ทุกปีตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผลิต (อันที่จริง ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 มาจนถึงปัจจุบัน บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ ได้รับคัดเลือกเป็นรถยอดเยี่ยมประจำปีมีตลอด 17 ปีซ้อนแล้ว)
สำหรับประเทศไทยมาในปี 2543 ไมเนอร์เชนจ์ในปลายปี 2545 มีรุ่นที่ขายคิอ 318i, 318iSE, 323i, 323iSE, 330i, 320ci และ 325i convertible โดยรุ่นนี้เปลี่ยนจากยนตรกิจมาเป็นบริษัทแม่มาทำตลาด รุ่นที่ขายดีมี 318i และ 323i รุ่นนี้ยังหารถสภาพดีได้ไม่ยากแต่ค่าอะไหล่นับว่าแพงกว่า E36 อยู่มากเหมือนกัน
รุ่นที่ 5 (E90, พ.ศ. 2548 - 2555)
รุ่นที่ 5 หรือ E90 สำหรับซีดาน, E91 สำหรับวากอน, E92 สำหรับคูเป้ และ E93 สำหรับรถเปิดประทุน เปิดตัวในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 และภายในสิ้นปีเดียวกัน มียอดการส่งมอบรถแล้วทั้งสิ้น 229,900 คัน และได้หันกลับมาผลิตเกียร์ธรรมดาแบบธรรมดา กับเกียร์อัตโนมัติทั่วไปอีกครั้ง มีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีกำลังเพิ่มขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม 15% สอดคล้องกับวิกฤติราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยเครื่องยนต์มีตั้งแต่ขนาด 1600 ซีซี ประหยัดน้ำมัน ไปจนถึง 4400 ซีซี 8 สูบ 456 แรงม้า
สำหรับในประเทศไทย E90 มีการทำตลาดดังนี้
พ.ศ. 2548
- เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ โดยเริ่มจาก 320i, 320iSE และ 330i เป็นรุ่นนำเข้าในช่วงแรก
- มีการเปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศ ในปลายปีเดียวกัน
พ.ศ. 2549
- มีการเพิ่มรุ่นย่อย 325i และ 318i
พ.ศ. 2550
- ไม่มีการเปลี่ยงแปลงในแต่ละรุ่น
พ.ศ. 2551
- มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 320d พร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร เป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ชอบรถยุโรปที่มีสมรรถนะแรง แต่มีความทนทาน ด้วยเครื่องยนต์ N47D20 4cyl 177bhp
พ.ศ. 2552
- มีการเปิดตัวรุ่น LCI โดยเรียกรุ่นกันติดปากว่ารุ่น V-Shape โดยมีรุ่น 318i, 320i, 320i SE, 320d, 320d SE และ 325i
พ.ศ. 2553
- มีการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ 325i Sport พร้อมชุดแต่ง M Aerodynamics Kit ผลิตจำกัด 48 คัน
- มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่คือ 320d Sport พร้อมชุดแต่ง M Aerodynamics Kit
พ.ศ. 2554
- มีการปรับอุปกรณ์ใน 320i และ 320d ทุกรุ่นย่อย โดยเปลี่ยนชุดตกแต่งสีดำล้วน เป็นชุดแต่ง Edition Exclusive โดยตกแต่งด้วยแถบโครเมียม กระจังหน้าโครเมียม และ กาบบันไดข้างดีไซน์พิเศษแบบ edition
พ.ศ. 2555
- ยุติทำตลาดไป โดยถูกแทนที่โดย รุ่นที่ 6 หรือ F30
รุ่นที่ 6 (F30, พ.ศ. 2555 - 2562)
รุ่นที่6หรือ F30 สำหรับซีดาน,F31 สำหรับวากอนและGT สำหรับแฮทช์แบค เปิดตัวเมื่อ14 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ในเมืองมิวนิก,ประเทศเยอรมัน โดยได้ถ่ายทอดสดผ่านทางfacebookอีกด้วย
ในประเทศไทย มีการเปิดตัวอย่างรวดเร็วฉับไวเกินคาดคิด ในงานแถลงข่าวประจำปีของ BMW Thailand เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012 ก่อนจะนำไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ให้สาธารณชนได้สัมผัส และจับจองกันล่วงหน้า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2012 ในงาน Bangkok International Motor Show โดยในช่วงแรก มีเฉพาะรุ่น 320d ที่มีรูปแบบ การตกแต่งให้เลือก ถึง 3 สไตล์ ทั้งแบบ Modern Luxury และ Sport รถยนต์ล็อตแรก สั่งเข้ามาจากเยอรมัน ในแบบ CBU แต่รถยนต์ที่ส่งมอบให้ลูกค้า จะผลิตจากโรงงานของ BMW ที่ระยอง โดยใช้ชิ้นส่วนนำเข้า แบบ CKD ต่อมาได้มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่เป็น รุ่นเบนซิน 320i และ 328i ในปี 2556
BMW ซีรีส์ 3 F30 ได้มีการเปลี่ยนแปลงตามรุ่นปีดังนี้
พ.ศ. 2555
- มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในงาน Bangkok International Motor Show โดยในช่วงแรก มีเฉพาะรุ่น 320d ที่มีรูปแบบ การตกแต่งให้เลือก ถึง 3 สไตล์ ทั้งแบบ Modern Luxury และ Sport
- มีการเปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศแบบ CKD ในปลายปีเดียวกัน
- มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ รุ่นเบนซิน 320i, 328i และ 320d Touring (นำเข้าทั้งคันแบบ CBU) ในงาน Motor Expo 2012
พ.ศ. 2556
- มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่เป็นในรุ่นเบนซิน 320i โดยเพิ่มรุ่น base เข้ามา
- มีการเปิดตัวรุ่น 316i และ Activehybrid 3
- มีการเปิดตัวรุ่น 328i M Sport เอาใจคนรักรถแบบสปอร์ต
- มีการเปิดตัว 320d GT ในตัวถัง fastback เป็นครั้งแรก โดยช่วงแรกเป็นรุ่นนำเข้า ต่อมาได้มีการเปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศในภายหลัง มีทั้ง 2 รุ่น คือ Luxury และ Sport
พ.ศ. 2557
- มีการปรับอุปกรณ์ในรุ่น 316i โดยเปลี่ยนล้อ จากขนาด 16 นิ้ว เป็น 17 นิ้ว
- มีการเปิดตัวรุ่นพิเศษ 325d M Sport เอาใจคนรักดีเซลที่อยากได้มุมมองที่เติมอารมณ์สปอร์ต
- มีการเปิดตัว 320i/320d M Sport ตามมาในปลายปีเดียวกัน
พ.ศ. 2558
- มีการตัดรุ่น 316i, 320i base, 320i/320d modern, 325d M Sport และ Activehybrid3 ทิ้งไป
- มีการปรับอุปกรณ์ในรุ่น luxury โดยมีการตัดอุปกรณ์บางรายการเช่น ตัด comfort access, parking sensor, cruise control, keyless entry และ ระบบนำทาง navigator และได้มีการลดขนาดจอ idrive เป็น 6.5 นิ้ว ส่วนรุ่น sport ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
- มีการเปิดตัวรุ่น LCI ในงาน Motor Expo 2015 โดย เปิดตัวทั้ง 3 รหัส 320i ซึ่งกลับมาเพิ่มรุ่น base อีกครั้ง, 320d และ 330i ซึ่งเป็นรหัสรุ่นย่อยใหม่ แทน 328i
พ.ศ. 2559
- มีการเปิดตัวรุ่น 330e Plug-in hybrid โดยจำหน่ายรุ่นนำเข้าทั้งคันในช่วงแรก พร้อมขายรุ่น M Sport เพียงรุ่นเดียว
- มีการตัดรุ่น 330i ออกไป โดยถูกแทนที่โดย 330e
- มีการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ 320d Iconic รุ่นเครื่องดีเซลราคาจับต้องได้ โดยจะได้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว มีระบบควบคุม ความเร็ว อัตโนมัติ Cruise Control มาให้ด้วย แต่จะตัด Comfort Access / ระบบนำทาง Navigation System – เครื่องเล่น DVD ม่านบังแดดหลังไฟฟ้าออกไป นอกนั้นถือว่า Option ใกล้เคียง กับ 320i เดิม
- มีการเปิดตัวรุ่น 320d Celebration Edition ผลิตจำนวนจำกัด 100 คัน
- มีการตัดรุ่น 320i และ 320d รุ่น Luxury/Sport ทั้งหมดออกไป ในปลายปีเดียวกัน โดยจำหน่ายแต่รุ่น 320d Iconic เพียงรุ่นเดียว
- มีการเปิดตัวรุ่น 330e Plug-in hybrid รุ่นประกอบในประเทศ โดยเพิ่มรุ่นย่อยเป็นรุ่น Luxury
พ.ศ. 2560
- มีการเปิดตัวรุ่น 318i ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ และ 320d M Performance เครื่องดีเซล ที่มาพร้อมด้วยชุดแต่ง M Performance
- มีการเปิดตัว 320d GT รุ่น LCI ยังมี 2 รุ่น คือ Luxury และ Sport เหมือนเคย แต่ได้เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ M Sport ในปลายปีเดียวกัน
- มีการเปิดตัวรุ่น 330e M Sport รุ่นประกอบในประเทศ เข้ามาแทนรุ่นนำเข้า
- มีการปรับอุปกรณ์ในรุ่น 320d Iconic โดยเปลี่ยนหน้าจอ new interface และ สีเบาะ cognac
- มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 330e Iconic ในงาน Motor Expo 2017 เพื่อเอาใจคนที่ชอบรถ Plug-in hybrid ในราคาที่จับต้องได้
พ.ศ. 2561
- มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 330e Sport มาแทน Luxury โดยมาในราคาที่ถูกกว่า Luxury แต่ option มากกว่า Iconic โดยลักษณะของตัวรถ ภายนอก และกันชนจะเหมือนกับรุ่น Iconic แต่ได้ล้ออัลลอย 18 นิ้วลาย 5 ก้านคู่มาแทน ภายในได้มีการเพิ่ม กล้องมองหลัง, ระบบ comfort access, ระบบ Parking sensor และมีพวงมาลัย 3 ก้านแบบมาตรฐาน พร้อม Paddleshift มาให้ ขณะที่ตัว Luxury ยังไม่มีมาให้
- มีการเปิดตัวรุ่น 320d M Sport ในราคาที่ถูกกว่า เพื่อเอาใจคนรักดีเซลที่อยากได้มุมมองที่เติมอารมณ์สปอร์ตแต่มีราคาที่จับต้องได้ โดย option ที่เพิ่มจาก Iconic เป็น ชุดแต่ง M Sport, ช่วงล่าง M Sport, ขอบหน้าต่างสีดำเข้ม Black hi-gloss, comfort access และระบบ Parking sensor
- มีการตัดรุ่น 320d GT ทั้ง 2 รุ่น คือ Luxury และ Sport ทิ้งไป โดยจำหน่ายแต่รุ่น M Sport เพียงรุ่นย่อยเดียว
- มีการปรับอุปกรณ์ในรุ่น 320d Iconic อีกครั้ง โดยเพิ่มระบบ BMW ConnectedDrive เหมือนรถรุ่นอืนๆ พร้อมระบบ Remote Services, บริการติดต่อผู้ช่วยส่วนตัว, ระบบ Teleservices และปุ่มโทรออกฉุกเฉิน
- มีการตัดรุ่น 330e Iconic ออกไป หลังจากเปิดตัว 330e Sport ได้ไม่นาน
พ.ศ. 2562
- ยุติการจำหน่ายในไทย แต่จะเหลือเพียงรุ่น 320d GT M Sport เท่านั้นที่ยังมีจำหน่ายอยู่
- มีการนำ 320d GT Luxury กลับมาจำหน่ายอีกครั้ง ในราคา 2.769 ล้านบาท เพิ่มด้วยระบบ Teleservices พร้อมระบบ BMW Connected Drive เหมือน รุ่นอื่นๆ
พ.ศ. 2563
- มีการตัดรุ่น 320d GT M Sport ทิ้งไป แล้วเหลือเพียง 320d GT Luxury เท่านั้นที่ยังทำตลาดอยู่ แต่เนื่องจากตัว GT ได้ยุติการผลิตในประเทศเยอรมันเป็นที่เรียบร้อยแล้วประกอบกับคนนิยมรถ SUV Crossover กันจำนวนมาก ทำให้คาดว่าตัว GT จะยุติการจำหน่ายในไทยตามตลาดโลกหลังจากนี้
- มีการเปิดตัว 320d GT Sport รุ่นล๊อตสุดท้ายมาแทนรุ่น Luxury เดิม โดยราคาพิเศษอยู่ที่ 2.299 ล้านบาท
รุ่นที่ 7 (G20, พ.ศ. 2561 - ปัจจุบัน)
BMW ต่อยอดตำนานของ BMW 3 Series ที่มีอายุมายาวนานกว่า 40 ปี ด้วยการเปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 7 ในรหัส G20 ในงาน Paris Motor Show 2018 วันนี้
สำหรับประเทศไทยมีการทำตลาดดังนี้
พ.ศ. 2562
- มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ ที่อาคาร BAB BOX ถนนวิทยุ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ โดยเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคัน มี 2 รุ่นย่อยด้วยกันคือ 320d Sport และ 330i M Sport
พ.ศ. 2563
- มีการเปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศทั้ง 320d และ 330e Plug-in Hybrid โดยเป็นรุ่น M Sport ทั้ง 2 รุ่น
พ.ศ. 2564
- มีการเปิดตัวรุ่นฐานล้อยาวเป็นครั้งแรกเป็นรุ่น 330Li M Sport ภายใต้รหัส G28 โดยเป็นรถประกอบมาเลเซีย แต่เปิดที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 3 ต่อจากจีนและอินเดีย
- มีการปรับอุปกรณ์ใหม่โดยเพิ่ม อัพเกรด ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ เป็นแบบ Sport Steptronic, แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift, หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า BMW Head-up Display, ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger และระบบสั่งงานโดยการเคลื่อนไหวของมือ Gesture Control ใน 320d M Sport และเพิ่มระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control with Stop & Go Function ใน 330e M Sport ส่วนราคายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
- มีการเปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศรุ่น M340i xDrive เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 6 สูบ 387 แรงม้า
- มีการเปิดตัว 330e M Sport M Performance Edition โดยผลิตจำนวนจำกัดเพียง 15 คันเท่านั้น
อ้างอิง
- http://www.headlightmag.com/bmw-3-series-e3412/
- ↑ https://pantip.com/topic/30773317
- https://www.bmw.co.th/content/dam/bmw/marketTH/common/Brochure/update-180831/Technical%20Data%20320d%20(Iconic)%20320d%20M%20Sport%20330e%20Sport%20330e%20M%20Sport%20(TH).pdf
- http://www.headlightmag.com/news-bmw-3-series-gran-turismo-production-stopped/
- http://www.headlightmag.com/bmw-320d-gt-sport-thailand-last-lot/
- http://www.headlightmag.com/official-price-bmw-320d-sport-330i-m-sport-g20/
- https://www.headlightmag.com/official-price-bmw-330li-m-sport-gran-sedan-g28/
- https://www.headlightmag.com/official-price-bmw-320d-330e-my2021/