ยุทธนาวีริโอเดลาปลาตา
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
บทความนี้ต้องการข้อความอธิบายความสำคัญที่กระชับ และสรุปเนื้อหาไว้ย่อหน้าแรกของบทความ |
ยุทธนาวีริโอเดลาปลาตา | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
เป็นส่วนหนึ่งของ สงครามโลกครั้งที่สอง | |||||||
| |||||||
คู่ขัดแย้ง | |||||||
นาซีเยอรมนี | สหราชอาณาจักร | ||||||
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ | |||||||
ฮันส์ แลงสดอร์ฟ | เฮนรี่ ฮาร์วูด | ||||||
กำลัง | |||||||
1 เรือปืนยามฝั่ง | 1 heavy cruiser 2 light cruisers | ||||||
กำลังพลสูญเสีย | |||||||
1 pocket battleship damaged 36 dead 60 wounded | 1 heavy cruiser heavily damaged 2 light cruisers damaged 72 dead 28 wounded |
เบื้องหลัง
ก่อนเริ่มสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 3 กันยายน 1939 เยอรมันได้ส่งเรือ Pocket Battle Ship 2 ลำ ได้แก่ เรือด็อยทช์ลันท์ และ เรือแอดมิรัลกราฟชเป ไปคอยอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือและใต้ เพื่อเตรียมการรังควานเรือสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตร
เรือกราฟชเปในการบังคับบัญชาของ น.อ.แลงสดอร์ฟ ได้ออกจากเยอรมนีตั้งแต่ 21 สิงหาคม1939 และไปคอยอยู่ในบรเวณภาคใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก เรือกราฟชเปไม่ได้เริ่มทำลายเรือสินค้าของสัมพันธมิตรทันทีที่เกิดสงคราม เพราะฮิตเลอร์หวังว่า หลังจากที่เยอรมนีพิชิตโปแลนด์แล้ว อังกฤษกับฝรั่งเศสจะเจรจาสงบศึก แต่เมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง ฮิตเลอร์จึงสั่งให้เริ่มทำลายเรือสินค้าได้
เรือกราฟชเปได้เริ่มจับและทำลายเรือสินค้าตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 1939 และได้เปลี่ยนพื้นที่ปฏิบัติการ เพื่อให้อังกฤษติดตามได้ยาก และต้องกระจายกำลังค้นหา บางครั้ง เรือกราฟชเปออกมาปฏิบัติการจนถึงมหาสมุทรอินเดีย นับถึงเดือนธันวาคม 1939 เรือกราฟชเปจับและจมเรือสินค้า 9 ลำ รวมระวางขับน้ำ 50,000 ตัน ในระหว่างปฏิบัติการ เรือกราฟชเปได้รับการส่งกำลังบำรุงจากเรือลำเลียง อัลมาร์ค ที่ติดตามไปด้วย
กว่าอังกฤษจะทราบข่าวว่า มีเรือของเยอรมันออกปฏิบัติการรังควานเรือสินค้าในมหาสุมทรแอตแลนติก ก็ภายหลังจากที่ลูกเรือสินค้าที่ถูกเรือกราฟชเปจับและได้ปล่อยไปกับเรือชาติเป็นกลางไปแจ้งข่าว แต่อังกฤษก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรือลาดตระเวณหนักหรือเรือประจัญบานกระเป๋า แต่ภายหลังอังกฤษก็แน่ใจว่าเป็นเรือประจัญบานประเป๋าทั้ง 2 ลำ ดังนั้น อังกฤษและฝรั่งเศสจึงได้ส่งหน่วยเรือออกค้นหาและทำลายเรือเยอรมัน จำนวน 7 หมู่เรือ นอกจากนี้อังกฤษยังได้จัดเรือประจัญบานและเรือลาดตระเวนให้การคุ้มกันคอนวอยที่เดินทางระหว่างสหรัฐอเมริกา – อังกฤษอีกด้วย รวมทั้งยังคอยสกัดจับเรือสินค้าเยอรมัน ซึ่งจอดหลบอยู่ตามเมืองท่าประเทศเป็นกลางในทวีปอเมริการใต้ ที่พยายามหลบออกทะเลเพื่อหนีกลับเยอรมันหรือออกไปส่งกำลังบำรุงให้เรือรังควานในทะเล
เหตุการณ์ในการยุทธ
วันที่ 2 ธ.ค.39 เรือกราฟชเป ได้จับเรือสินค้าอังกฤษชื่อ โดริคสตาร์ ที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ เซนต์เฮนา แต่ก่อนเรือลำนี้จะจมได้ส่งวิทยุรายงายให้อังกฤษทราบ ในขณะนั้นเรือรบอังกฤษกระจายกันอยู่หลายพื้นที่ สำหรับเรือหมู่ จี ในการบังคับบัญชาของ พล.ร.จ.ฮาร์วูด ซึ่งปฏิบัติการตามชายฝั่งอเมริการใต้ ประกอบด้วย เรือลาดตระเวนเบา เอแจค ซึ่งเป็นเรือธงอยู่ที่ปากริโอเดลาปลาตา เรือลาดตระเวนเบา อาชิลเลส อยู่บริเวณ ริโอเดจานิโร เรือลาดตระเวนหนัก อีเซเตอร์ กำลังซ่อมอยู่ที่เกาะฟอล์กแลนด์ เรือลาดตระเวนหนัก คัมเบอร์แลนด์ อยู่เกาะฟอล์กแลนด์เช่นเดียวกัน พล.ร.จ.ฮาร์วูด ได้ประมาณสถานการณ์ว่าเรือ กราฟชเป จะต้องหลบออกจากฝั่งแอฟริกามายังฝั่งอเมริกาใต้แน่นอน เพื่อให้อังกฤษติดตามได้ยาก และเพื่อทำลายเรือสินค้าทางฝั่งอเมริกาใต้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรือบบรทุกอาหารของอังกฤษ พล.ร.จ.ฮาร์วูด คาดว่าเยอรมันคงมาถึงที่ปากริโอเดลาปลาตา ซึ่งมีท่าเรือใหญ่ๆหลายแห่ง และมีเรือสินค้าผ่านเข้าออกจำนวนมาก จึงสั่งการให้เรือต่างๆในหมู่ จี มารวมกำลังกันที่นอกปากริโอเดลาปลาตา แต่ให้เรือ คัมเบอร์แลนด์ อยู่ที่เกาะฟอล์กแลนด์เพื่อป้องกันในกรณีที่เยอรมันเข้าระดมยิงฝั่งที่เกาะ ดังนั้น เมื่อ 12 ธ.ค.1939 เรือ เอแจค อาชิลเลส และอีเซเตอร์ได้มารวมตัวกัน และแล่นลาดตระเวนอยู่ห่างชายฝั่งนอกริโอเดลาปลาตา 150 ไมล์ ฝ่ายเยอรมันหลังจากจมเรือ โดริคสตาร์แล้ว น.อ.แลงสดอร์ฟได้ตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่ปฏิบัติการมาเป็นปากริโอเดลาปลาตา ตรงตามที่ พล.ร.จ.ฮาร์วูด คาดไว้ เพราะบริเวณนี้มีเรือสินค้าเป็นจำนวนมาก ขณะเดินทางเรือ กราฟชเปได้จมเรือสินค้าอีก 2 ลำ ในที่สุดเรือกราฟชเปมาถึงบริเวณนอกชายฝั่งปากริโอเดลาปลาตาในช่วงเช้าของวันที่ 13 ธ.ค.1939 ในระหว่างเดินทางเครื่องบินทะเลประจำเรือชำรุด ฝ่ายเยอรมันจึงขาดการลาดตระเวนระยะไกล ซึ่งกำลังทั้ง 2 ฝ่ายได้ปะทะกันในตอนเช้านี้เอง
การเปรียบเทียบกำลัง
จากข้อมูลการเปรียบเทียบกำลังจะเห็นได้ว่า ฝ่ายเยอรมันเสียเปรียบทั้งด้านระวางขับน้ำรวมและจำนวนปืนโดยรวม แต่ได้เปรียบด้านระยะยิงของปืนที่สามารถกันไม่ให้เรืออังกฤษปิดระยะเข้ามายิงได้
ผลการปะทะ
เรือกราฟชเปถูกกระสุนชำรุดหลายแห่ง แต่ตัวเรือและเครื่องจักรยังใช้ได้ดี อุปกรณ์ที่ชำรุดได้แก่ ห้องครัวทำให้การประกอบอาหารไม่สะดวก ทหารประจำเรือบาดเจ็บและเสียชีวิต 94 คน กระสุนปืนขนาด 11 นิ้วเหลือ 30 เปอร์เซนต์
ขณะที่ฝ่ายอังกฤษ เรืออีเซเตอร์เสียหายหนักไม่สามารถทำการรบได้อีก เรือเอแจคเสียหายปานกลางใช้ปืนได้เพีง 2 ป้อม กระสุนเหลือ 50 เปอร์เซนต์ เรือ อาชิลเลสเสียหายเล็กน้อย แต่กระสุนปืนเหลือ 30 เปอร์เซนต์
หลังจากการปะทะ เรือกราฟชเปได้เข้าจอดที่ท่าเรือ มอนเตวิเดโอ แล้ว อัครราชทูตเยอรมันได้เจรจาขอยือเวลาจอดพักในท่าจาก 24 ชม.เป็น 15 วัน เพื่อซ่อมแซมเรือให้เรียบร้อยสมบูรณ์ รัฐบาลอุรุกวัยได้ส่งช่างมาตรวจสอบเรือร่วมกับเยอรมันและยอมยืดเวลาจอดพักเพิ่มให้อีก 48 ชม. รวมแล้วเรือกราฟชเปสามารถจอดพักที่ท่าเรือมอนเตวิเดโอได้ 72 ชม.
ขณะที่ฝ่ายอังกฤษได้ระดมเรือต่างๆ มายังปากริโอเดลาปลาตา แต่มีเพียงเรือลาดตระเวนหนัก คัมเบอร์แลนด์ ลำเดียวเท่านั้นที่สามารถมาถึงปากริโอเดลาปลาตาในวันที่ 14 ธ.ค. ส่วนหมู่เรืออื่นๆที่เหลือ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-7 วัน อังกฤษซึ่งไม่ต้องการให้เยอรมันออกจากที่เรือมอนเตวิเดโอ ก่อนที่ฝ่ายอังกฤษจะรวมกำลังกันสำเร็จ ดังนั้น อังกฤษได้ป้องกันไม่ให้เรือกราฟชเปออกจากท่าก่อนกำหนดด้วยการส่งเรือสินค้าออกจากท่าเรือมอนเตวิเดโอทุกวัน เพราะตามกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลชาติเป็นกลางจะปล่อยให้เรือคู่สงครามออกจากท่าได้ก็ต่อเมื่อเรือของอีกฝ่ายออกจากท่าไปแล้ว 24 ชม. แต่ในทางการทูต อังกฤษแสดงท่าทีคัดค้านการยืดเวลาจอดของเรือกราฟชเป ในทางเดียวกัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำอาร์เจนตินาได้ปล่อยข่าวลวงโดยพูดโทรศัพท์กับทางการอังกฤษโดยไม่เข้ารหัส ทั้งที่รู้ว่าโทรศัพท์ถูกดักฟัง เพื่อให้เยอรมันเข้าใจว่าอังกฤษมีเรือมาสมทบที่ปากแม่น้ำเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ อังกฤษยังได้แพร่ข่าวลือว่า เรือบรรทุกเครื่องบิน อาร์รอแยล และเรือลาดตระเวนสงคราม รีเนาวร์ ได้มาถึงปากแม่น้ำแล้ว ทั้งที่ความจริง เรือทั้งสองลำอยู่ห่างออกไป 1,000 ไมล์
การกระจายข่าวลวง ประกอบกับความเสียหายของตัวเรือ ทำให้ น.อ.แลงสดอร์ฟ เห็นว่าเรือกราฟชเป ไม่มีทางต่อสู้กับอังกฤษได้ จึงรายงานไปยังกองทัพเรือเยอรมันให้พิจารณาเลือกดังนี
- พยายามตีฝ่ายออกไปบูเอโนไอเรส และยอมให้กักเรือไว้ที่นั่น
- จมตัวเองที่ปากริโอเดลาปลาตา
- ยอมให้กักเรือไว้ที่มอนเตวิเดโอ
กองทัพเรือเยอรมันได้ตอบรายงานเมื่อ 16 ธ.ค. ว่าให้ น.อ.แลงสดอร์ฟ เลือกปฏิบัติตามข้อ 1 หรือ2 แต่ไม่ให้ปฏิบัติตามข้อ 3 โดยเด็ดขาด ดังนั้น น.อ.แลงสดอร์ฟ จึงตัดสินใจจมตัวเองที่ปากริโอเดลาปลาตา บ่ายของวันที่ 17 ธ.ค. เรือสินค้าของฝรั่งเศสได้ออกจากท่ามอนเตวิเดโอ ทำให้ไม่ว่า เรือกราฟชเปจะออกจากท่าใน 72 ชม.หรือไม่ ย่อมจะผิดกฎหมายระหว่างประเทศอยู่ดี ค่ำวันเดยวกัน น.อ.แลงสดอร์ฟได้ถ่ายทหารประจำเรือที่ไม่มีหน้าที่สำคัญขึ้นบก ทำลายเอกสารลับ เครื่องมือลับ และนำเรือออกจากท่ามอนเตวิเดโอ ออกไปนอกทะเลอาณาเขตของอุรุกวัยแล้วระเบิดเรือจมตัวเอง ทหารประจำเรือที่เหลือประมาณ 200 คน ที่มากับเรือได้ถ่ายไปขึ้นเรือสินค้าเยอรมันชื่อ ทาโคมา ซึ่งแล่นตามมาด้วย เพียงสามวันหลังจากที่เรือได้สิ้นสภาพลง น.อ.แลงสดอร์ฟ ได้ปลิดชีวิตตัวเองด้วยกระสุนปืน ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ และ ได้สิ้นลมลงบนธงชาติของเยอรมันที่ตัวเองปูรอเอาไว้ อันเป็นการเลือกทางออกแบบชายชาตินาวีที่ถือว่า สิ้นเรือก็สมควรสิ้นลม การเสียชีวิตของน.อ.แลงสดอร์ฟ ครั้งนี้ ต่างได้รับการสดุดีในความกล้าหาญจากทหารเรือทุกฝ่ายแม้กระทั่ง ฝ่ายตรงข้าม พิธีศพได้จัดทำอย่างสมเกียรติ เพราะการสู้รบครั้งนี้ ถือว่าเป็นการสู้รบกันอย่างชายชาติทหารที่มีการเคารพในกฎเกณฑ์และเต็มไปด้วยจริยธรรม
อ้างอิง
- กองทัพเรือ, เอกสารอ้างอิงกองทัพเรือ 7104 “ประวัติการสงครามทางเรือสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2, พ.ศ. 2545, กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
- ปรีชา ศรีวาลัย, “สงครามโลกครั้งที่ 2”, พ.ศ. 2543, โอเดียนสโตร์
- Dudley Pope, “The Battle of the River Plate”, 1987, The Naval Institute Press USA.