ประเทศฮังการี
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
พิกัดภูมิศาสตร์: 47°N 20°E / 47°N 20°E
ฮังการี (อังกฤษ: Hungary, ฮังการี: Magyarország [ˈmɒɟɒrorsaːɡ] มอดยอโรรฺซาก) เป็นประเทศในภูมิภาคยุโรปกลางที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีอาณาเขตทิศเหนือจรดประเทศสโลวาเกีย ทิศตะวันออกจรดประเทศโรมาเนียและประเทศยูเครน ทิศใต้จรดประเทศเซอร์เบียและประเทศโครเอเชีย ทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดประเทศสโลวีเนียและทิศตะวันตกจรดประเทศออสเตรีย เมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของประเทศคือเมืองบูดาเปสต์ ชื่อประเทศฮังการีในภาษาฮังการี แปลว่า "ประเทศของชาวม็อจยอร์" (Country of the Magyars) ประเทศฮังการีมีพื้นที่ 93,030 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีอาณาเขตเพียงร้อยละ 28 ของพื้นที่ราชอาณาจักรฮังการีเดิมก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยพื้นที่ปัจจุบันนับเป็นอันดับที่ 110 ของโลก โดยมีลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบในที่ราบพันโนเนีย และมีประชากร 9,919,128 คน นับเป็นอันดับที่ 90 ของโลก ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวม็อจยอร์ ใช้ภาษาฮังการีเป็นภาษาราชการซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาทางการไม่กี่ภาษาของสหภาพยุโรป ที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดเป็นกลุ่มภาษาอินโด-ยูโรเปียน ร่วมกับภาษาเอสโตเนีย ภาษาฟินแลนด์ และภาษามอลตา
ฮังการี Magyarország (ฮังการี) | |
---|---|
เมืองหลวง และ ใหญ่สุด | บูดาเปสต์ 47°26′N 19°15′E / 47.433°N 19.250°E |
ภาษาราชการ | ภาษาฮังการี |
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ระบบพรรคเด่น สาธารณรัฐระบบรัฐสภา |
ยาโนช อาแดร์ | |
• นายกรัฐมนตรี | วิกโตร์ โอร์บาน |
ก่อตั้ง | |
• ก่อตั้ง | ธันวาคม พ.ศ. 1543 |
พื้นที่ | |
• รวม | 93,030 ตารางกิโลเมตร (35,920 ตารางไมล์) (108) |
3.7 | |
ประชากร | |
• 2020 ประมาณ | 9,769,526 (91) |
105 ต่อตารางกิโลเมตร (271.9 ต่อตารางไมล์) (78) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2020 (ประมาณ) |
• รวม | $316.342 พันล้าน (53) |
• ต่อหัว | $32,434 (41) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2020 (ประมาณ) |
• รวม | $149.939 พันล้าน (53) |
• ต่อหัว | $15,373 (45) |
จีนี (2019) | 28.0 ต่ำ · 16 |
HDI (2019) | 0.854 สูงมาก · 40 |
สกุลเงิน | โฟรินต์ (Forint) (HUF) |
เขตเวลา | UTC+1 (CET) |
• ฤดูร้อน (DST) | UTC+2 (CEST) |
รหัสโทรศัพท์ | +36 |
โดเมนบนสุด | .hu |
ดินแดนของฮังการีในปัจจุบันมีผู้เข้ามาอาศัยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายศตวรรษ รวมถึงชาวเคลต์, โรมัน, เจอร์แมนิก, ฮัน, สลาฟตะวันตก และอาวาร์ รากฐานของรัฐฮังการีได้รับการสถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยอาร์ปาด เจ้าชายหัวหน้าเผ่าฮังการี หลังจากการพิชิตที่ราบพันโนเนีย พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 เหลนของเขาได้ขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. 1000 พระองค์เปลี่ยนอาณาจักรของพระองค์เป็นอาณาจักรคริสเตียน เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ฮังการีกลายเป็นมหาอำนาจในภูมิภาค และเข้าสู่ยุครุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและการเมืองในคริสต์ศตวรรษที่ 15 หลังจากยุทธการที่โมเฮ็คส์ใน ค.ศ. 1526 บางส่วนของฮังการีถูกยึดครองโดยจักรวรรดิออตโตมัน (ค.ศ. 1541–1699) ต่อมาก็อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต่อมาได้ร่วมกับออสเตรียก่อตั้งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีซึ่งเป็นมหาอำนาจของยุโรป
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และสนธิสัญญาทรียานงได้กำหนดเขตแดนของฮังการีตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้สูญเสียดินแดนร้อยละ 71, ประชากรร้อยละ 58 และกลุ่มชาติพันธุ์ฮังการีร้อยละ 32 หลังจากสมัยระหว่างสงครามที่วุ่นวาย ฮังการีเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยได้รับความเสียหายมีผู้ล้มตายจำนวนมาก ฮังการีกลายเป็นรัฐบริวารของสหภาพโซเวียตซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมซึ่งดำรงอยู่ถึงสี่ทศวรรษ (ค.ศ. 1949–1989) ประเทศนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในระดับสากลอันเป็นผลมาจากการปฏิวัติใน ค.ศ. 1956 และการเปิดพรมแดนด้านที่ติดกับออสเตรียใน ค.ศ. 1989 ซึ่งเร่งการล่มสลายของกลุ่มตะวันออก และในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1989 ฮังการีได้กลายเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยระบบรัฐสภา
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ฮังการีเป็นประเทศอำนาจปานกลาง และมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอันดับ 57 จากการจัดอันดับราคาตลาดตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อเป็นอันดับที่ 58 จาก 191 ประเทศ ซึ่งวัดโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในฐานะผู้ดำเนินการที่สำคัญในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ฮังการีเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 35 และผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 34 ฮังการีเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มีรายได้สูงพร้อมกับมาตรฐานการครองชีพที่สูงมาก มีระบบหลักประกันสังคมและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน ฮังการีมีผลการดำเนินงานที่ดีในระดับสากล โดยติดอันดับที่ 20 ในด้านคุณภาพชีวิต, อันดับที่ 24 ในดัชนีประเทศที่ดี, อันดับที่ 28 ของดัชนีการพัฒนามนุษย์ซึ่งปรับตัวเลขความไม่เท่าเทียมกันในสังคมแล้ว, อันดับที่ 32 ในดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม, อันดับที่ 33 ในดัชนีนวัตกรรมระดับโลก และติดอันดับประเทศที่ปลอดภัยที่สุดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก
ประเทศฮังการีเข้าร่วมสหภาพยุโรปใน ค.ศ. 2004 และเป็นส่วนหนึ่งของเขตเชงเกนตั้งแต่ ค.ศ. 2007 ฮังการีเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ องค์การการค้าโลก ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย สภายุโรป กลุ่มวิแชกราด และอื่น ๆ ฮังการีเป็นที่รู้จักกันดีจากประวัติศาสตร์เชิงวัฒนธรรมอันยาวนาน โดยมีส่วนสำคัญในด้านศิลปะ ดนตรี วรรณคดี กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ฮังการีเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับที่ 11 ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวในยุโรป โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 14.3 ล้านคนใน ค.ศ. 2015 และฮังการียังเป็นที่ตั้งของระบบถ้ำบ่อน้ำร้อนที่ใหญ่ที่สุดและทะเลสาบน้ำร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกลาง และทุ่งหญ้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
นิรุกติศาสตร์
ในภาษาไทย คำว่า "ฮังการี" มีที่มาจากภาษาอังกฤษ (Hungary) ซึ่งมีที่มาจากภาษาละตินว่า "ฮุงการเรีย" Hungaria อักษร "ฮ" ในชื่อของประเทศฮังการี (Hungary) คาดว่าเกิดจากการชื่อเรียก ชาวฮัน ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในแถบที่ราบพันโนเนียช่วงก่อนการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ก่อนการรุกรานของเผ่าอาวาร์ ส่วนที่เหลือของคำ มาจาคำภาษากรีกของจักรวรรดิโรมันตะวันออกว่า Oungroi (Οὔγγροι) ชื่อภาษากรีกถูกยืมมาจากคำภาษาบัลแกเรียโบราณคำว่า ągrinŭ ซึ่งยืมมาจากคำภาษาภาษาโอกูร์ (Oghur) (ในกลุ่มภาษาเตอร์กิก) คำว่า Onogur (10 เผ่าโอกูร์) Onogur เป็นชื่อเรียกรวมของชนเผ่าที่เข้าร่วมกับสมาพันธ์ชนเผ่าบัลแกเรีย ซึ่งปกครองส่วนตะวันออกของที่ราบพันโนเนีย หลังจากการรุกรานของเผ่าอาวาร์
คำว่า "ประเทศฮังการี" ในภาษาฮังการี เรียกว่า Magyarország (อ่านว่า ม็อดยอโรร์สาก) ประกอบด้วย "ม็อจยอร์" (magyar: ชาวม็อจยอร์ หรือ ชาวฮังการี) และ "โอร์สาก" (ország: ประเทศ) ชื่อ "ม็อจยอร์" ซึ่งหมายถึงผู้คนในประเทศนั้น คำว่า magyar นำมาจากชื่อของหนึ่งในเจ็ดชนเผ่าฮังการีกึ่งเร่ร่อนที่สำคัญ คือ เผ่าม็อดแยริ (magyeri) ซึ่ง คำว่า "magy" น่าจะมาจากคำภาษาโปรโตอูกริก ว่า "mäńć" แปลว่า "คน" ซึ่งคำนี้สามารภพบได้ในชื่อเรียกตนเองของชาวแมนซี (mansi: mäńćī, mańśi, måńś) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่พูดภาษากลุ่มฟินโน-อูกริกในแถบเทือกเขาอูรัลของประเทศรัสเซีย (ถิ่นอาศัยเดิมของบรรพบุรุษชาวฮังการี) องค์ประกอบที่สอง "eri " แปลว่า ผู้ชาย หรือ เชื้อสาย ซึ่งคำนี้ยังมีหลงเหลืออยู่ในภาษาฮังการีปัจจุบัน คือคำว่า 'สามี' férj ชาวฮังการี และเหลือในคำภาษามาริ (Mari) คำว่า erge 'ลูกชาย' และคำภาษาฟินแลนด์โบราณ yrkä 'ชายหนุ่ม'
ช่วงเวลา (ค.ศ.) | ประเทศ | หมายเหตุ |
---|---|---|
895–1000 | ราชรัฐฮังการี | ยุคกลาง หลังการพิชิตที่ราบพันโนเนียของชาวฮังการี |
1000–1301 | ราชอาณาจักรฮังการี | ยุคกลาง |
1301–1526 | ราชอาณาจักรฮังการี | ยุคกลาง |
1526–1867 | ราชอาณาจักรฮังการี | เมืองขึ้นของจักรวรรดิออสเตรีย |
1867–1918 | ดินแดนแห่งมงกุฏของนักบุญสตีเฟน | ส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี |
1918–1919 | สาธารณรัฐประชาชนฮังการี | สาธารณรัฐฮังการีที่ 1 |
1919 | สาธารณรัฐโซเวียตฮังการี | |
1919–1920 | สาธารณรัฐฮังการี | |
1920–1946 | ราชอาณาจักรฮังการี | รัฐบาลหุ่นเชิดของนาซีเยอรมนี ระหว่าง ปี ค.ศ.1944 ถึง1945. |
1946–1949 | สาธารณรัฐฮังการี | สาธารณรัฐฮังการีที่ 2 |
1949–1989 | สาธารณรัฐประชาชนฮังการี | รัฐบริวารของสหภาพโซเวียต |
1989–2012 | สาธารณรัฐฮังการี | สาธารณรัฐฮังการีที่ 3 |
2012- ปัจจุบัน | ฮังการี |
ภาษาฮังการี
ภาษาฮังการี หรือ ภาษาม็อจยอร์ (ฮังการี: Magyar nyelv, [ˈmɒɟɒr ˈɲɛlv]) เป็นภาษาตระกูลยูรัลซึ่งมีผู้พูดในประเทศฮังการีและในประเทศเพื่อนบ้าน มีผู้พูดภาษาฮังการีประมาณ 14.7 ล้านคน จำนวน 10 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศฮังการี ในประเทศฮังการีและในประเทศสโลวาเกีย แถบตะวันตกของประเทศยูเครน ประเทศสโลวีเนียตอนเหนือ อาณาเขตตะวันตกและตอนกลางของประเทศโรมาเนีย (ทรานซิลเวเนีย) ประเทศเซอร์เบียตอนเหนือในเขตวอยวอดีนา และประเทศโครเอเชียตอนเหนือในเขตวอยวอดีนา ซึ่งทั้งหมดนั้น ตั้งอยู่บนที่ราบพันโนเนีย หรือ แอ่งคาร์เพเทียน ล้อมรอมด้วยเทือกเขาแอลป์ (ด้านตะวันตก) และเทือกเขาคาร์เพเทียน (ด้านเหนือและตะวันออก)
การที่มีคนพูดภาษาฮังการีอยู่กระจัดกระจายทั่วแอ่งคาร์เพเทียนนั้น เนื่องจากเมื่อก่อน ดินแดนส่วนนี้เคยเป็นราชอาณาจักรฮังการี ซึ่งการถูกแบ่งแยกประเทศของราชอาณาจักรฮังการีภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในปีค.ศ. 1920 โดยสนธิสัญญาทรียานง ทำให้มีชาวฮังการีจำนวนมากถูกตัดขาดจากกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองในดินแดนที่จักรวรรดิออสเตรียฮังการีเคยตั้งอยู่ และกลายเป็นชาวฮังการีพลัดถิ่น ภาษาฮังการีมีการพูดโดยกลุ่มชาวฮังการีพลัดถิ่นอื่น ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ (ในสหรัฐ)
ภาษาฮังการีจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาฟินโนอุกริค ร่วมกับภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาฟินแลนด์ และภาษาเอสโตเนีย เป็นต้น ภาษาที่มีความใกล้ชิดกับภาษาฮังการีมากที่สุดคือ ภาษาแมนซี และภาษาคฮานตีในประเทศรัสเซียตอนกลาง (ไซบีเรีย) เป็นภาษาราชการของสหภาพยุโรปหนึ่งในสี่ภาษา ที่ไม่ได้อยู่ในตระกูลภาษาอินโดยูโรเปียน ความแตกต่างของภาษาฮังการีกับภาษาอื่น ๆ ในยุโรปนั้น สืบเนื่องจากภาษาฮังการีมีต้นกำเนิดมาจากการเข้ามาตั้งรกรากของชนเผ่าม็อจยอร์ ที่มาจากแถบเทือกเขายูรัลในไซบีเรีย ในช่วงการพิชิตที่ราบพันโนเนียของชาวฮังการี ทำให้ภาษาฮังการีเป็นเสมือนเกาะภาษาที่ถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มภาษาสลาวิก โรมานซ์ และ เยอรมัน
ประวัติศาสตร์
แคว้นพันโนเนีย ก่อนปี ค.ศ.895
ก่อนการพิชิตที่ราบพันโนเนียของชาวฮังการี จักรวรรดิโรมันได้ทำการพิชิตดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำดานูบ ระหว่าง 35 ถึง 9 ปีก่อนคริสตกาล โดยตั้งแต่ 9 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงปลายศตวรรษที่ 4 แคว้นพันโนเนีย (Pannonia) ทางตะวันตกของที่ราบพันโนเนีย มีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน โดยมีการตั้งเมืองขึ้นในที่ราบพันโนเนียหลายเมือง เช่น เมืองซาวาเรีย (Savaria ปัจจุบันคือ เมืองโซมบ็อตแฮย์ Szombathely ทางตะวันตกของฮังการี) และเมืองอาควินคุม (Aquincum ปัจจุบันคือ เมืองโอบูดอ Óbuda ฝั่งตะวันตกตอนเหนือในอาณาเขตของกรุงบูดาเปสต์) หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกจากปัญหาภายในและการรุกรานของอนารยชน ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 มีชนเผ่าจากยุโรปตะวันออกจำนวนมากเข้ามาในยุโรปกลางโดยเริ่มต้นด้วยกลุ่มชาวฮัน ได้ทำการโจมตียึดครองยุโรปตะวันออก ตั้งเป็นอาณาจักรฮันนิก ผู้ปกครองที่มีอำนาจที่สุดของอาณาจักรฮันนิก คือ อัตติลาเดอะฮัน (ค.ศ. 434–453) ซึ่งต่อมาได้มีการสลายตัวไป หลังจากการสลายตัวของอาณาจักรฮันนิก ชาวเกปิดส์ (Gepids) ซึ่งเป็นชนเผ่าเยอรมันดั้งเดิมทางตะวันออกซึ่งถูกพวกฮันส์ยึดครองได้ก่อตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้นในที่ราบพันโนเนีย กลุ่มอื่น ๆ ที่มาถึงแอ่งคาร์เพเทียนในช่วงการอพยพ ได้แก่ ชาวก็อธ แวนดัล ลอมบาร์ด และ ชาวสลาฟ ในช่วงทศวรรษที่ 560 ชาวอาวาร์ได้ก่อตั้งจักรวรรดิข่านอาวาร์ ซึ่งเป็นรัฐที่รักษาอำนาจสูงสุดในภูมิภาคนี้มานานกว่าสองศตวรรษ ชาวแฟรงค์ภายใต้กษัตริย์ชาร์เลอมาญเอาชนะเผ่าอาวาร์ลงได้ในสมรภูมิรบ ช่วงทศวรรษที่ 790 ทำให้เผ่าอาวาร์ถอนตัวออกจากยุโรปกลาง ในช่วงกลางศตวรรษที่ 9 อาณาเขตของทะเลสาบบอลอโตนได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็น อาณาจักรชายแดนพันโนเนียของอาณาจักรแฟรงค์ (Frankish March of Pannonia) ส่วนด้านตะวันออกของแม่น้ำดานูบถูกยึดครองโดยจักรวรรดิบัลแกเรียแห่งแรก โดยพวกบัลแกเรียเข้ายึดการปกครองของชนเผ่าสลาฟในท้องถิ่นและเผ่าอาวาร์ที่หลงเหลืออยู่
การบุกทวีปยุโรป และการพิชิตที่ราบพันโนเนียของชาวฮังการี ค.ศ.895-ค.ศ.972
ชาวฮังการี หรือ ชาวม็อจยอร์ ที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้การนำของหัวหน้าเผ่า นามว่า อาร์พาด ผู้สืบเชื้อสายตามประเพณีของอัตติลาเดอะฮัน ได้ทำการพิชิตที่ราบพันโนเนีย (Honfoglalás ฮงโฟ้กลอลาช) ตั้งรกรากอยู่ในที่ราบพันโนเนีย เริ่มตั้งแต่ปี 895 ตามทฤษฎี Finno-Ugrian เผ่าฮังการีมีต้นกำเนิดมาจากประชากรที่พูดภาษาอูราลิกโบราณซึ่งเดิมเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าระหว่างแม่น้ำโวลก้าและเทือกเขาอูราล ในแถบไซบีเรีย (ปัจจุบันอยู่ในประเทศรัสเซีย) ในรูปแบบสหพันธ์ชนเผ่าที่เป็นปึกแผ่น ประเทศฮังการีก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.895 ประมาณ 50 ปีหลังจากการแบ่งจักรวรรดิแคโรลิงเกียนตามสนธิสัญญาแวร์ดุนในปี ค.ศ. 843 ก่อนการรวมอาณาจักรแองโกล - แซกซอน ในขั้นต้นราชรัฐฮังการี (หรือที่เรียกว่า "Western Tourkia" ในแหล่งข้อมูลกรีกยุคกลาง) เป็นรัฐที่สร้างขึ้นโดยเผ่าเร่ร่อน มีการปกครองที่มีประสิทธิภาพและมีอำนาจทางทหารที่สูง ทำให้ชาวฮังการีประสบความสำเร็จในการรบอย่างดุเดือดโดยชาวฮังการีทำการบุกเมืองในยุโรปตั้งแต่กรุงคอนสแตนติโนเปิลทางตะวันออก ไปจนถึง แถบคาบสมุตรสเปนในปัจจุบัน ชาวฮังการีเอาชนะกองทัพจักรวรรดิแฟรงกิชตะวันออกที่สำคัญไม่น้อยกว่าสามกองทัพ ระหว่างปี ค.ศ.907 ถึง 910 แต่ก็ได้หยุดการรุกรานเกือบทั้งหมด หลังความพ่ายแพ้ของกองทัพฮังการีในสมรภูมิเลชเฟลด์ในปี ค.ศ.955 และทำการตั้งถิ่นฐานในที่ราบพันโนเนีย ล้อมรอบไปด้วยภูเขาคาร์เพเทียในแอ่งคาร์เพเทียน
ยุคของราชวงศ์อาร์พาด ค.ศ.972-ค.ศ.1308
พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการี หรือ กษัตริย์เซนต์สตีเฟน กษัตริย์องค์แรกของฮังการี เปลี่ยนให้เผ่าฮังการีมานับถือศาสนาคริสต์
ปี ค.ศ. 972 เป็นปีที่แกรนด์พรินซ์ (ฮังการี: fejedelem) เกซาแห่งราชวงศ์อาร์พาด เริ่มเปลี่ยนศาสนาของเผ่าฮังการีให้เข้ากับยุโรปตะวันตกที่นับถือศาสนาคริสต์ เซนต์สตีเฟน (พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการี) บุตรชายคนแรกของเขากลายเป็นกษัตริย์องค์แรกของฮังการี หลังเอาชนะคอปปานี ลุงผู้นับถือลัทธิเพเกินฮังการีของเขาซึ่งอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ด้วย ภายใต้พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการี ประเทศฮังการีได้รับการยอมรับว่าเป็นอาณาจักรคริสเตียน หลังเข้าพบกับสมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการีได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูง (ซึ่งอาจรวมถึง มงกุฎเซนต์สตีเฟน ซึ่งปัจจุบันเก็บไว้ในรัฐสภาฮังการี) จากพระสันตปาปา ใน ค.ศ.1006 พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการีได้รวมอำนาจและเริ่มการปฏิรูปอย่างกว้างขวางเพื่อเปลี่ยนฮังการีให้เป็นรัฐศักดินาแบบตะวันตก ประเทศฮังการีเปลี่ยนมาใช้ภาษาละติน และ จนถึงปลายปี ค.ศ.1844 ภาษาละตินยังคงเป็นภาษาราชการของฮังการี ในช่วงเวลานี้ฮังการีเริ่มกลายเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจ
ลาดิสลอสที่ 1 ขยายพรมแดนของฮังการีไปจนสุดเขตทรานซิลเวเนียและบุกโครเอเชียในปี ค.ศ.1091 การบุกโครเอเชียสิ้นสุดลงในสมรภูมิภูเขากะวอซด์ (Battle of Gvozd Mountain) ในปี ค.ศ.1097 และเป็นสหภาพส่วนบุคคลของโครเอเชียและฮังการีในปี 1102 ซึ่งปกครองโดย กษัตริย์โคโลมัน แห่งฮังการี (หรือ โคโลมันผู้รักการอ่าน) กษัตริย์ที่ทรงอำนาจและมั่งคั่งที่สุดของราชวงศ์อาร์พาด คือ เบลอที่ 3 ซึ่งใช้จ่ายด้วยแร่เงินบริสุทธิ์ 23 ตันต่อปี ซึ่งมากกว่าการใช้จ่ายของกษัตริย์ฝรั่งเศส (ประมาณ 17 ตัน) และเป็นสองเท่าของรายวงศ์อังกฤษ
กษัตริย์แอนดรูที่ 2ได้ออกตราสาร Diploma Andreanum ซึ่งรับรองสิทธิพิเศษของเขตอยู่อาศัยของนิคมชาวเยอรมันแซ็กซันในเขตทรานซิลเวเนีย ถือเป็นกฎหมายเอกราชฉบับแรกของโลก และเป็นผู้นำสงครามครูเสดครั้งที่ห้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ.1217 โดยตั้งกองทัพหลวงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามครูเสด ตราสารกระทิงทอง ปี ค.ศ.1222 ของเขาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกในภาคพื้นทวีปยุโรป ซึ่งทำให้เหล่าขุนนางเริ่มแสดงความคับข้องใจแก่แอนดรูว์ที่ 2 ซึ่งเป็นรากฐานที่นำไปสู่สถาบันรัฐสภา (parlamentum publicum)
ในปีค. ศ. 1241–1242 อาณาจักรได้รับความเสียหายครั้งใหญ่จากการรุกรานของชาวมองโกล (โกลเดนฮอร์ด) มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร 2 ล้านคนในฮังการีในขณะนั้นเสียชีวิตจากการรุกราน กษัตริย์เบลอที่ 4 ปล่อยให้ชาวคูมัน (Cuman) และชาวยาสสิก (Jassic) เข้ามาในประเทศซึ่งกำลังหลบหนีชาวมองโกล และต่อมาชนชาติเหล่านี้ก็ได้ถูกกลืนเข้าไปเป็นประชากรฮังการี โดยหลังจากมองโกลล่าถอย กษัตริย์เบลอได้สั่งให้สร้างปราสาทหินและป้อมปราการหลายร้อยแห่งเพื่อป้องกันการรุกรานของชาวมองโกลครั้งที่สองที่อาจเกิดขึ้นได้ ชาวมองโกลกลับมาที่ฮังการีในปี ค.ศ.1285 แต่ระบบปราสาทหินที่สร้างขึ้นใหม่และยุทธวิธีใหม่ (โดยใช้อัศวินติดอาวุธในสัดส่วนที่สูงกว่า) หยุดยั้งพวกมองโกลไว้ได้ ทำให้กองทัพมองโกลที่รุกรานพ่ายแพ้ ใกล้กับเมืองแป็ชต์ (ปัจจุบันคือบูดาเปสต์ฝั่งขวา) โดยกองทัพของราชวงศ์ลาดิสลัสที่ 4 แห่งฮังการี การรุกรานในภายหลังทัพมองโกลถูกขับไล่อย่างรวดเร็ว ชาวมองโกลสูญเสียกำลังรุกรานไปมาก และไม่สามารถผนวกฮังการีไว้ในดินแดนของจักรวรรดิมองโกล
เมืองหลวงหลักของราชวงศ์อาร์พาดมีอยู่ 2 แห่ง คือ แอสแตร์โกม (Esztergom) และ เซแก็ชแฟเฮร์วาร์ (Székesfehérvár)
ยุคของราชวงศ์อ็องฌูและฮุนยอดิ ค.ศ.1308-ค.ศ.1526
หลังจากผู้ปกครองคนสุดท้ายของราชวงศ์อาร์พาดเสียชีวิตในปี 1301 การต่อสู้แย่งชิงอำนาจทำให้ประเทศอ่อนแอลงเป็นหลายปี ในที่สุดราชวงศ์อ็องฌู ซึ่งเป็นญาติของราชวงศ์อาร์พาดก็ได้รับอำนาจตลอดทั้งศตวรรษที่ 14 กษัตริย์ชาร์ลส์ โรแบรต์ (Charles Robert) กษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์อ็องฌู ได้รวมศูนย์อำนาจ ในรัชสมัยลูกชายของเขา หลุยส์ที่ 1 แห่งฮังการีประเทศฮังการีมีเขตแดนที่กว้างที่ใหญ่ที่สุด เลยไปถึงเขตประเทศโปแลนด์ ตะวันออกของประเทศออสเตรีย และบางส่วนของแคว้นโบฮีเมียในปัจจุบัน มีรัฐบริวารหลายร้อยรัฐอยู่ใต้ราชอำนาจของประเทศฮังการี หนึ่งในเมืองศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดของกษัตริย์ราชวงศ์อ็องฌู (ถัดจากเมืองเซแก็ชแฟเฮร์วาร์และเมืองบูดา) คือเมืองวิแชกราด ในศตวรรษที่ 15 ราชอาณาจักรฮังการีเป็นมหาอำนาจที่สำคัญในยุโรป ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิซีกิสมุนท์แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ในรัชสมัยของกษัตริย์แมทเธียส คอร์วินุส (Matthias Corvinus) ประเทศฮังการีได้มีพัฒนาการทางวัฒนธรรมที่เจริญที่สุด ศูนย์กลางหลักของประเทศกลายเป็นเมืองบูดาพร้อมด้วยราชสำนักยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่มีชื่อเสียงของกษัตริย์แมเธียส กษัตริย์แมทเธียส คอร์วินุสได้ปกป้องพรมแดนด้านตะวันออกจากจักรวรรดิออตโตมัน และได้โจมตีดินแตนทางด้านตะวันตก ไกลจนถึงแคว้นโบฮีเมีย และ กรุงเวียนนา รวมถึงป้องกันการรุกรานจากพวกเติร์กในทางตะวันออกได้ หลังกษัตริย์แมเธียส คอร์นิวุส สวรรคตโดยไร้ซึ่งทายาทผู้ชอบธรรม บังลังก์แห่งฮังการีได้รับการสืบทอดโดย พระเจ้าววาดือสวัฟที่ 2 ยากีลโลแห่งโปแลนด์ กษัตริย์แห่งราชวงศ์ยากีลโล (ค.ศ.1490-1516) ซึ่งทำให้ราชสำนักฮังการีเกิดความอ่อนแอ และ เกิดความสั่นคลอนทางอำนาจภายในราชอาณาจักร ทำให้ท้ายสุดประเทศฮังการีเกิดทั้งหมด ได้ตกไปอยู่ในการครอบครองของจักรวรรดิออตโตมัน หลังจากสงครามออตโตมัน ที่ฮังการีกับออตโตมันได้ทำการรบมานานกว่า 150 ปี
ในยุคนี้ เมืองหลวงของราชอาณาจักรฮังการี คือ บูดอ แตแมชวาร์ วิแชกราด และ เวียนนา (ภายใต้การยึดครองของกษัตริย์แมทเธียส คอร์วินุสเป็นระยะเวลาชั่วคราว)
ยุคสงครามออตโตมัน 1526-1699
ในตอนต้นของคริสต์ทศวรรษ 1520 จักรวรรดิออตโตมานได้โจมตีป้อมปราการชายแดนฮังการีทางตอนใต้อย่างต่อเนื่อง หลังจากสงครามกับชาวฮังการีและรัฐอื่น ๆ ราว 150 ปี การล่มสลายของเมืองนานโดร์แฟเฮร์วาร์ (Nándorfehérvár) (หรือ กรุงเบลเกรด ประเทศเซอร์เบียในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นประตูสำคัญทางใต้ของอาณาจักรฮังการีในยุคกลาง เป็นปัจจัยใหญ่ที่ทำให้ทัพจักรวรรดิออตโตมันเคลื่อนทัพสู่ที่ราบพันโนเนียได้ การโจมตีเมืองนานโดร์แฟเฮร์วาร์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1521 ตามมาด้วยการโจมตีพื้นที่ด้านในของประเทศ จักรวรรดิออตโตมันได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือกองทัพฮังการีในยุทธการที่โมฮาช ในปี ค.ศ.1526 ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 2 แห่งฮังการี สิ้นพระชนม์ขณะหลบหนี ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายทางการเมืองนั้น ขุนนางฮังการีที่แตกแยกได้เลือกกษัตริย์สองพระองค์ให้ปกครองราชอาณาจักรฮังการีพร้อมกัน คือ พระเจ้ายาโนชที่ 1 แห่งฮังการี (John Zápolya) และ จักรพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Ferdinand I) แห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค
ทัพของจักรวรรดิออตโตมันทำการโจมตีจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยทำการปิดล้อมกรุงเวียนนาในปี ค.ศ. 1529 แต่ไม่สามารถยึดได้สำเร็จ หลังการยึดครองกรุงบูดาโดยชาวเติร์กในปี ค.ศ.1541 ฮังการีได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนและยังคงอยู่จนถึงสิ้นศตวรรษที่ 17 ทางตะวันตกเฉียงเหนือถูกผนวกโดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค ซึ่งปกครองในฐานะกษัตริย์แห่งฮังการี เรียกส่วนนี้ว่า ราชอาณาจักรฮังการี (เมืองหลวงอยู่ที่กรุงบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย) แผ่นดินส่วนตะวันออกของราชอาณาจักรกลายเป็นเอกราชในฐานะราชรัฐทรานซิลเวเนีย ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน (และต่อมาโดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค) พื้นที่ศูนย์กลางที่เหลืออยู่รวมถึงเมืองหลวงบูดาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ปาชาลิกแห่งบูดา (Pashalik of Buda) เป็นพื้นที่ใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน ทหารออตโตมัน 17,000-19,000 คน ประจำการอยู่ในป้อมปราการออตโตมันในดินแดนของฮังการี โดยเป็นชาวเติร์กออร์โธดอกซ์และชาวมุสลิมบอลข่านสลาฟ มากกว่าชาวตุรกี นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่จากกลุ่มชนสลาฟออร์ธอด็อกซ์ใต้ที่ทำหน้าที่เป็น ทหารราบอาคินยิ (akinji) และกองกำลังอื่น ๆ ที่มีไว้สำหรับการปล้นสะดมในดินแดนของฮังการีในปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 1686 กองทัพของโฮลีลีก (Holy League) ซึ่งมีทหารกว่า 74,000 คนจากชาติต่าง ๆ ได้ยึดคืนกรุงบูดาจากออตโตมันเติร์ก หลังจากความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของออตโตมานในอีกไม่กี่ปีต่อมา ราชอาณาจักรฮังการีทั้งหมดก็ถูกปลดออกจากการปกครองของออตโตมันในปี ค.ศ. 1718 การบุกเข้าไปในฮังการีครั้งสุดท้ายโดยข้าราชบริพารชาวเติร์กตาตาร์จากไครเมียเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1717
หลังพ้นจากการครอบครองของจักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิออสเตรียของราชวงศ์ฮาร์พบวร์ก ได้ทำการยึดครอง และ ปกครองอาณาเขตทั้งหมดของราชอาณาจักรฮังการี ราชวงศ์ฮาร์พบวร์กได้ทำการปฏิรูปศาสนาและการปกครองในอาณาเขตราชอาณาจักรฮังการี ในศตวรรษที่ 17 ทำให้อาณาจักรส่วนใหญ่หันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แทนที่นิกายโปรแตสแตนท์ องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของฮังการีได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐานอันเป็นผลมาจากสงครามที่ยืดเยื้อกับจักรวรรดิออตโตมัน พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้รับความเสียหาย การเติบโตของประชากรถูกทำให้ชงัก และเมืองขนาดเล็กจำนวนมาก ถูกทำลายราบคาบ รัฐบาลออสเตรียภายใต้จักรวรรดิออสเตรีย ได้ทำการตั้งถิ่นฐานชาวเซิร์บและชาวสลาฟอื่น ๆ ไว้ทางตอนใต้ที่ประชากรถูกกำจัดเกือบหมด และ ตั้งรกรากชาวเยอรมัน (เรียกว่า ดานูบสวาเบียน) ในหลายพื้นที่ แต่ชาวฮังการีไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานหรือตั้งถิ่นฐานใหม่ทางตอนใต้ของที่ราบฮังการีใหญ่ คงไว้เฉพาะตอนกลางและตอนเหนือเท่านั้น
ฮังการีภายใต้จักรวรรดิออสเตรีย ค.ศ.1669 - ค.ศ.1867
ระหว่างปี 1703 ถึงปี 1711 ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย มีการลุกฮือครั้งใหญ่ที่นำโดยเจ้าชายราโกตซี แฟแร็นตส์ที่ 2 ซึ่งหลังจากการอ่อนกำลังลงของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ก จากการต่อสู้ภายใน (สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน) ทำให้ในปี ค.ศ.1707 ณ สภาไดเอตแห่งโอโน็ต (Diet of Ónod) ราโกตซีได้เข้ามามีอำนาจชั่วคราวในฐานะเจ้าชายปกครองฮังการีในช่วงสงคราม แต่ปฏิเสธการขึ้นเป็นกษัตริย์ฮังการี และกลายเป็นสงครามเพื่อปลดแอกจากราชวงศ์ฮาร์พบวร์ก เรียกว่า สงครามอิสรภาพของราโกตซี โดยมีการรวมตัวเป็นกองทัพต่อต้านราชวงศ์ฮาพส์บวร์กโดยชาวฮังการี เรียกว่า กองทัพคุรุตซ์ (Kuruc) แม้ว่ากองทัพคุรุตซ์จะเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้ แต่แพ้การสู้รบหลักที่แทร็นเชน (Trencsén) (ปัจจุบันคือเมือนเตรนซีน ประเทศสโลวาเกีย) ซึ่งส่งผลให้ใน ค.ศ.1708 มา กองกำลังคุรุตซ์ ได้ทำการจำนน เนื่องจากการความพ่ายแพ้ต่อออสเตรียและขวัญกำลังใจที่ตกต่ำ
ในช่วงระหว่างและหลังจากสงครามนโปเลียน สภาไดเอ็ทของฮังการีไม่ได้มีการจัดประชุมกันมาหลายทศวรรษ ในช่วงทศวรรษที่ 1820 จักรพรรดิแห่งออสเตรียถูกบังคับให้จัดประชุมสภาไดเอ็ท ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคปฏิรูป (1825–1848, ฮังการี: reformkor) เคานต์ อิชต์วาน เซแช็นยี (Count István Széchenyi) หนึ่งในรัฐบุรุษที่โดดเด่นที่สุดของประเทศฮังการี ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงฮังการีให้ทันสมัย การรณรงค์ของเขานั้นทำให้เกิดการบูรณะรัฐสภาฮังการีขี้นใหม่ในปี ค.ศ.1825 ในช่วงเวลานี้ได้มีการกำเนิดพรรคเสรีนิยมเกิดขึ้นและมุ่งเน้นไปที่นโยบายเพื่อพวกชนชั้นล่าง นายลอโย็ช โค็ชชูต (Lajos Kossuth) นักเขียนข่าวที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น กลายเป็นผู้นำของสภาล่างในรัฐสภา การเปลี่ยนแปลงมุ่งเน้นไปที่ความทันสมัย แม้ว่าราชวงศ์ฮาพส์บวร์กจะทำการขัดขวางกฎหมายเสรีนิยมที่สำคัญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสิทธิพลเมือง การเมือง และ การปฏิรูปเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีการคุมขังนักปฏิรูปหลายคน เช่น ลอโย็ช โค็ชชูต (Lajos Kossuth) และ มิฮาย ตานชิช (Mihály Táncsics) โดยทางการ เนื่องจากการพยายามปฏิรูประบอบการเมืองการปกครองใหม่ จนสุดท้ายพวกออสเตรียต้องยอมให้อำนาจครึ่งหนึ่งกับชาวฮังการี กลายเป็น จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ประเทศมหาอำนาจในยุโรปกลาง มีเมืองหลวง คือ กรุงเวียนนา และ กรุงบูดาเปสต์ และมีพระมหากษัตริย์ร่วมกัน คือ จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 แห่งออสเตรีย
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1867-ค.ศ.1914)
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
หลังจากเกิดเหตุการณ์การเจรจาต่อรองระหว่างออสเตรียและฮังการีเมื่อปี ค.ศ.1867 ซึ่งดำเนินการการรวมชาติการเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ และเป็นการสานต่อโครงสร้างของการปกครองที่คงตัวตั้งแต่เมื่อยังคงเป็นจักรวรรดิออสเตรีย ตั้งแต่ปีค.ศ.1804 ถึง ค.ศ.1867 เพื่อปกป้องและขยายอำนาจของจักรวรรดิ ซึ่งรวมไปถึงคาบสมุทรอิตาลี (ซึ่งนำไปสู่สงครามออสเตรีย-ซาร์ดีเนียเมื่อปีพ.ศ. 2402 ท่ามกลางรัฐต่างๆของสมาพันธรัฐเยอรมัน ซึ่งถูกแทนที่โดยปรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจสูงสุดในกลุ่มประเทศเยอรมันทั้งมวล อันนำไปสู่สงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย เมื่อปีพ.ศ. 2409 ทำให้ประเทศหลายประเทศต้องมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมทั้งประเทศฮังการี ซึ่งมีการชุมนุมประท้วงที่ไม่พอใจการปกครองของออสเตรีย รวมทั้งการรวมเชื้อชาติต่างๆของจักรวรรดิออสเตรีย ชาวฮังการีไม่พอใจต่อการปราบปรามจลาจลของออสเตรีย ซึ่งมีจักรวรรดิรัสเซียสนับสนุนอีกแรง ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติเสรีนิยมในประเทศฮังการี เมื่อปีพ.ศ. 2391 อย่างไรก็ตาม ความไม่พอใจของฮังการีต่อการปกครองของทางออสเตรียได้เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปี
ส่วนทางด้านออสเตรียซึ่งสนับสนุนระบอบกษัตริย์หรือจักรพรรดิอย่างเต็มที่ จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟ ทรงริเริ่มที่จะเจรจากับฮังการี โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้นำปฏิวัติของชาวฮังการี ให้มั่นใจและรับรองต่อระบอบการปกครองของพระองค์ โดยในที่สุด ชาวฮังการีก็ยอมรับพระองค์เป็นประมุขในฐานะสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งฮังการี โดยฮังการีได้ก่อตั้งรัฐสภาเป็นของตนเอง ณ กรุงบูดาเปสต์ เพื่อที่จะได้ออกกฎหมายเป็นของตนเองในนามของ ดินแดนแห่งมงกุฏนักบุญสตีเฟน
สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914-ค.ศ.1918)
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สนธิสัญญาทรียานง (ค.ศ.1920) และการเสียดินแดนของราชอาณาจักรฮังการี
สนธิสัญญาทรียานง (ฝรั่งเศส: Traité de Trianon; ฮังการี: Trianoni békeszerződés; อังกฤษ: Treaty of Trianon) เป็นหนึ่งในห้าสนธิสัญญาสันติภาพสำคัญ ที่เตรียมไว้ในการประชุมสันติภาพปารีสและลงนามในพระราชวังกร็องทรียานง (Grand Trianon Palace) ในเมืองแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 ระหว่างชาติฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กับราชอาณาจักรฮังการี หลังเป็นหนึ่งในรัฐผู้สืบทอดของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี หลังการแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยมีเนื้อหาในการทำให้อาณาจักรฮังการีกลายเป็นราชอาณาจักรฮังการี และแบ่งแยกดินแดนเดิมของอาณาจักรฮังการีแก่ประเทศเพื่อนบ้าน
สนธิสัญญาทรียานงร่างขึ้นจากคำร้องขอสงบศึกของ อดีตจักรพรรดิและรัฐบาลขุนนางจักรวรรดิออสเตรีย- ฮังการี หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรและผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องได้ยอมรับคำขอสงบศึกของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 โดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้กำหนดให้ฮังการีเป็นรัฐอิสระและกำหนดเขตแดนเสียใหม่ การแบ่งดินแดนทำให้ประเทศฮังการีกลายเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพื้นที่ 93,073 ตารางกิโลเมตร (35,936 ตารางไมล์) เป็นปริมาณเพียง 28% จากพื้นที่เดิมของฮังการีเมื่อยังเป็นจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเคยมีพื้นที่อยู่ 325,411 ตารางกิโลเมตร (125,642 ตารางไมล์) มีประชากร 7.6 ล้านคน ซึ่งนับเป็นเพียง 36% ของจำนวนประชากรในฮังการีก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่มีประชากรอยู่ 20.9 ล้านคน พื้นที่ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจัดสรรให้กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด ส่วนใหญ่ประชากรไม่ใช่ชาวฮังการี แต่ 31% ของชาวฮังการี (3.3 ล้านคน) ถูกทิ้งไว้นอกเขตแดนของประเทศฮังการี ห้าในสิบเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรก่อนสงครามตกไปอยู่ในการครอบครองของประเทศอื่น ๆ เช่น เมืองโปโจญ (Pozsony: ปัจจุบันคือ กรุงบราติสลาวา, เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกีย), เมืองโคโลจวาร์ (Kolozsvár: ปัจจุบันคือ เมืองคลูช-นาโปกา, ประเทศโรมาเนีย), เมืองซาเกร็บ (Zágráb: ปัจจุบันคือ กรุงซาเกร็บ, ประเทศโครเอเชีย), เมืองน็อจวาร็อด (Nagyvárad, ปัจจุบันคือ เมืองออราเดีย, ประเทศโรมาเนีย) เป็นต้น สนธิสัญญาทรียานงจำกัดขนาดกองทัพของฮังการีให้มีทหารเพียง 35,000 คน และกองทัพเรือออสเตรีย-ฮังการีถูกยุบลงไป
ประเทศที่ได้ครองดินแดนของอาณาจักรฮังการีที่เสียไป ประกอบด้วยราชอาณาจักรโรมาเนีย, สาธารณรัฐเชโกสโลวัก, ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย และสาธารณรัฐออสเตรีย หนึ่งในองค์ประกอบหลักของสนธิสัญญาคือแนวคิด "การตัดสินใจโดยประชาชน" เป็นความพยายามที่จะทำให้คนที่ไม่ใช่ชาวฮังการี มีรัฐชาติและความเป็นเอกราชของตนเอง นอกจากนี้ฮังการีจะต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้กับประเทศเพื่อนบ้านด้วย สนธิสัญญาดังกล่าวถูกกำหนดโดยฝ่ายสัมพันธมิตรมากกว่าการเจรจาร่วมกับชาวฮังการี และชาวฮังการีไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับเงื่อนไขสนธิสัญญา คณะผู้แทนชาวฮังการีได้ลงนามในสนธิสัญญาทรียานง (พร้อมกับการเขียนประท้วงสนธิสัญญาแนบร่วม) เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 ที่พระราชวังกร็องทรียานง ในเมืองแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส สนธิสัญญาดังกล่าวได้รับการจดทะเบียนในชุดสนธิสัญญาของสันนิบาตชาติเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1921 อาณาเขตของประเทศสาธารณรัฐฮังการีในปัจจุบันมียังมีขนาดคงเดิมตามสนธิสัญญาทรียานง มีการแก้ไขเล็กน้อยจนถึงปี ค.ศ. 1924 เกี่ยวกับชายแดนฮังการีและออสเตรีย (รัฐบูร์เกนลันด์) รวมไปถึงหมู่บ้านสามแห่งที่กลายเป็นดินแดนของประเทศเชโกสโลวาเกียในปี ค.ศ. 1947 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
สนธิสัญญาทรียานง เป็นเหตุการณ์สูญเสียทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของประเทศฮังการี เป็นสาเหตุที่ทำให้มีชนกลุ่มน้อยฮังการีกระจัดกระจายอยู่ทั่ว 7 ประเทศที่ได้ดินแดนไปในฮังการี วันที่ 4 มิถุนายน ของทุก ๆ ปี คือ วันรวมเป็นหนึ่งแห่งชาติ (A nemzeti összetartózás napja) เพื่อชาวฮังการีที่อยู่ทั่วโลก ให้มารวมกันอีกครั้ง หลังการถูกแยกกันจากสนธิสัญญาทรียานง
ระหว่างสงครามโลก (ค.ศ.1918-ค.ศ.1938)
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง วิเตซ มิกโลช โฮร์ตี แห่งน็อจบาญอ (ฮังการี: nagybányai Horthy Miklós) พลเรือเอกชาวฮังการี ที่ได้กลายเป็นผู้สำเร็จราชการแห่งราชอาณาจักรฮังการี ซึ่งมิกโลช โฮร์ตี ได้ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแห่งอาณาจักรฮังการีในสมัยระหว่างสงคราม และเกือบตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1920 ถึง 15 ตุลาคม ค.ศ. 1944 เขาได้ถูกขนามนามว่า "ฮิสเซอรีนไฮเนส ผู้สำเร็จราชการแห่งอาณาจักรฮังการี"(ฮังการี: Ő Főméltósága a Magyar Királyság Kormányzója) เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพเรือออสเตรีย-ฮังการีในช่วงท้ายปีของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้รับการเลื่อนยศตำแหน่งเป็นพลเรือโทและผู้บัญชาการกองเรือ เมื่อพลเรือเอกก่อนหน้านี้ได้ถูกขับออกจากตำแหน่งโดยจักรพรรดิคาร์ลที่ได้ให้การสนับสนุนการก่อกบฏ ในปี ค.ศ. 1919 ตามมาด้วยส่วนหนึ่งของการปฏิวัติและการเข้าแทรกแซงจากภายนอกในฮังการี ตั้งแต่โรมาเนีย เชโกสโลวาเกีย และยูโกสลาเวีย โฮร์ตีได้เดินทางกลับบูดาเปสต์พร้อมกับกองทัพแห่งชาติและต่อมาก็ได้รับเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการจากรัฐสภาฮังการี โฮร์ตีได้นำรัฐบาลชาติอนุรักษนิยมตลอดช่วงสมัยระหว่างสงคราม และได้ประกาศให้พรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีและพรรคแอร์โรว์ครอสส์ เป็นพรรคการเมืองผิดกฎหมาย และดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นการเรียกร้องดินแดนที่เสียไปในสนธิสัญญาทรียานงคืน เขาเป็นผู้ทำให้ความพยายามคืนสู่บัลลังก์ของ สมเด็จพระเจ้าคาร์ลที่ 4 ทั้งสองครั้งในปี ค.ศ. 1921 ต้องล้มเหลว รัฐบาลฮังการีตกอยู่ใต้ภัยคุกคามจากฝ่ายสัมพันธมิตรที่อาจจะประกาศสงครามถ้าหากมีการฟื้นฟูราชวงศ์ฮาพส์บวร์คขึ้นมา สมเด็จพระเจ้าคาร์ลที่ 4 จึงทรงถูกพาออกไปจากฮังการีโดยเรือรบของสหราชอาณาจักรในสถานะผู้ลี้ภัย
สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1938-ค.ศ.1944)
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในปลายปี ค.ศ. 1930 นโยบายต่างประเทศของโฮร์ตี ทำให้เขาต้องกลายเป็นพันธมิตรอย่างไม่เต็มใจกับเยอรมนีในการต่อกรกับสหภาพโซเวียต ด้วยการสนับสนุนอย่างเดียดฉันท์ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โฮร์ตีนั้นสามารถกู้คืนดินแดนบางส่วนที่ถูกเอาไปจากพวกเขาโดยฝ่ายสัมพันธมิตร เช่น สโลวาเกียตอนใต้ ราชอาณาจักรยูโกสลาเวียบางส่วน เขตทรานซิลเวียเนียบางส่วน และ เขตทรานสคาลเพเทียของสหภาพโซเวียต ภายใต้การนำของโฮร์ตี, ฮังการีได้ให้การสนับสนุนผู้ลี้ภัยชาวโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 และได้มีส่วนร่วมในบทบาทการสนับสนุน (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับแนวหน้า) ในช่วงที่เยอรมันเข้ารุกรานสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1941 และเยอรมันเข้ารุกรานยูโกสลาเวียในปีเดียวกัน ได้ครอบครองและผนวกรวมเข้ากับดินแดนของชาวฮังการีในอดีตซึ่งได้ถูกมอบให้กับราชณาจักรยูโกสลาเวีย โดยฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อย่างไรก็ตามด้วยความไม่เต็มใจของโฮร์ตีที่จะมีส่วนร่วมในความพยายามทำสงครามของเยอรมันและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในฮังการี รวมทั้งได้ปฏิเสธที่จะส่งมอบชาวยิวเชื้อสายฮังการีมากกว่า 600,000 คนจาก 825,000 คนให้แก่เจ้าหน้าที่เยอรมัน ควบคู่ไปกับความพยายามหลายครั้งในการจัดการข้อตกลงอย่างลับ ๆ กับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากได้เห็นชัดเจนว่า ฝ่ายอักษะจะพ่ายแพ้สงคราม จนท้ายที่สุดก็ทำให้เยอรมันต้องส่งกองทัพเข้าไปรุกรานและเข้าควบคุมประเทศฮังการีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 ในปฏิบัติการมาร์กาเรต ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 โฮร์ตีได้แถลงการณ์ว่าฮังการีนั้นได้ประกาศสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตรและถอนตัวออกจากฝ่ายอักษะแล้ว เขาได้ถูกบังคับให้ลาออกและถูกจับกุมโดยนาซีเยอรมนีและถูกพาตัวไปยังแคว้นบาวาเรีย
คอมมิวนิสต์ฮังการี (ค.ศ.1945-ค.ศ.1989)
หลังจากความพ่ายแพ้ของนาซีเยอรมนี ประเทศฮังการีกลายเป็นรัฐบริวารของสหภาพโซเวียต ผู้นำโซเวียตได้เลือก นายมาตยาช ราโกชิ (Mátyás Rákosi) ให้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนระบบของประเทศฮังการีให้เป็นแบบคอมมิวนิสต์แบบโซเวียต ราโกชิได้ปกครองฮังการีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ถึง ค.ศ. 1956 นโยบายของรัฐบาลในด้านการทหาร, การทำอุตสาหกรรม, การรวมกลุ่ม และ การชดเชยจากสงครามทำให้คุณภาพชีวิตในประเทศฮังการีลดลงอย่างรุนแรง ในการเลียนแบบตำรวจลับ KGB ของโจเซฟ สตาลิน รัฐบาลของราโกชิได้จัดตั้งตำรวจลับ ÁVH เพื่อบังคับใช้ระบอบการปกครองใหม่ โดยได้ทำการกวาดล้างเจ้าหน้าที่และปัญญาชนประมาณ 350,000 คน ซึ่งถูกจำคุกหรือประหารชีวิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ถึง 1956 นักคิดอิสระ, นักประชาธิปไตย และ บุคคลสำคัญในสมัยผู้สำเร็จราชการมิกโลช โฮร์ตีหลายคนถูกจับอย่างลับ ๆ และถูกวิสามัญฆาตกรรมในค่ายกักกันแรงงานกูลากทั้งในและต่างประเทศ ชาวฮังการีราว 600,000 คนถูกเนรเทศไปยังค่ายแรงงานโซเวียตซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 200,000 คน
หลังจากการเสียชีวิตของสตาลินในปี ค.ศ. 1953 สหภาพโซเวียตได้ดำเนินโครงการกดขี่ประชาชนแบบราโคซีหลายแบบ ซึ่งนำไปสู่การปลดมาตยาช ราโกชิ ออกจากตำแหน่ง และนายอิมแร น็อจย์ (Imre Nagy) ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ในช่วงนี้ได้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากขึ้นจากนักศึกษาและปัญญาชน อิมแร น็อจย์สัญญาว่าจะเปิดการค้าเสรีและการเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ในขณะที่นายราโกชิคัดค้านทั้งสองอย่างจริงจัง ในที่สุดราโกชิก็สามารถทำลายชื่อเสียงของอิมเร น็อจย์ และแทนที่เขาด้วยนายแอร์เนอ แกเรอ (Ernő Gerő) ที่แข็งกร้าวกว่า ประเทศฮังการีเข้าร่วมสนธิสัญญาวอร์ซอ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1955 เนื่องจากความไม่พอใจของสังคมต่อระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ที่เพิ่มขึ้นในรัฐบริวารของโซเวียตรัสเซีย หลังจากการยิงผู้ประท้วงอย่างสันติโดยกองกำลังทหารโซเวียตและตำรวจลับ ได้มีการชุมนุมทั่วประเทศเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1956 ผู้ประท้วงพากันรวมตัวทั่วท้องถนนในกรุงบูดาเปสต์และเริ่มการปฏิวัติรัฐบาล เรียกว่า การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956 เพื่อที่จะระงับความวุ่นวาย นายอิมแร น็อจย์ได้กลับมาดำรงตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรี และสัญญาว่าจะมีการเลือกตั้งโดยเสรีและนำฮังการีออกจากสนธิสัญญาวอร์ซอ
อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่กองกำลังปฏิวัติลุกขึ้นต่อสู้กับกองทัพโซเวียตและตำรวจลับ ÁVH กองกำลังประชาชนติดอาวุธประมาณ 3,000 คน ได้ต่อสู้กับรถถังโซเวียตโดยใช้ค็อกเทลโมโลตอฟและปืนพก แม้ว่าโซเวียตจะมีกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่ามาก แต่กองทัพโซเวียตก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก และเมื่อถึงวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ.1956 กองทัพโซเวียตส่วนใหญ่ได้ถอนกำลังจากกรุงบูดาเปสต์ไปรักษาการณ์ในชนบท ในช่วงเวลาหนึ่งผู้นำโซเวียตไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองต่อการต่อต้านในฮังการีอย่างไร แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเข้าแทรกแซงเพื่อป้องกันไม่ให้อำนาจของสหภาพโซเวียตในยุโรปตะวันออกสั่นคลอน ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ.1956 มีการเสริมกำลังทหารมากกว่า 150,000 นายและรถถัง 2,500 คันเข้าประเทศฮังการีจากสหภาพโซเวียต ชาวฮังการีเกือบ 20,000 คนถูกสังหารในการต่อต้านการแทรกแซง ขณะที่อีก 21,600 คนถูกจำคุกหลังจากนั้นด้วยเหตุผลทางการเมือง ประมาณ 13,000 คนถูกคุมขัง และ 230 คนถูกนำตัวไปประหารชีวิต นายอิมแร น็อจย์ถูกตัดสินทางการเมืองอย่างลับๆ โดยถูกตัดสินว่ามีความผิด และถูกตัดสินประหารชีวิต เขาถูกประหารชีวิตโดยการแขวนคอในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1958 เนื่องจากพรมแดนของประเทศฮังการีถูกเปิดออกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ผู้คนเกือบ 250,000 คนได้หนีออกจากประเทศ ก่อนที่การปฏิวัติของอิมแร น็อจย์จะถูกระงับลง
หลังช่วงเวลาแห่งการยึดครองทางทหารของโซเวียตไม่นานนัก นายยาโนช กาดาร์ (János Kádár) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิมแร น็อจย์ ได้รับเลือกจากผู้นำโซเวียตให้เป็นหัวหน้ารัฐบาลใหม่และเป็นประธานพรรคสังคมนิยมแรงงาน (MSzMP) ที่ปกครองใหม่ กาดาร์ทำให้สถานการณ์เป็นปกติอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1963 รัฐบาลได้ให้นิรโทษกรรมทั่วไปและปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังส่วนใหญ่การลุกฮือใน ค.ศ. 1956 กาดาร์ประกาศแนวนโยบายใหม่ตามที่ประชาชนไม่ถูกบังคับให้แสดงความภักดีต่อพรรคอีกต่อไปหากพวกเขายอมรับระบอบสังคมนิยมโดยปริยายว่าเป็นความจริงของชีวิต ในสุนทรพจน์หลายครั้งเขาอธิบายว่า "คนที่ไม่ต่อต้านเราอยู่กับเรา" ยาโนช กาดาร์นำเสนอลำดับความสำคัญของการวางแผนใหม่ในระบบเศรษฐกิจ เช่น การอนุญาตให้เกษตรกรมีที่ดินส่วนตัวจำนวนมากภายใต้ระบบฟาร์มรวม (háztájigazdálkodás ฮาซตายิกอสดาลโกดาช) มาตรฐานการครองชีพในฮังการีสูงขึ้นเนื่องจากสินค้าอุปโภคบริโภคและการผลิตอาหารมีความสำคัญเหนือกว่าการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหาร ซึ่งมีอัตราลดลงเหลือหนึ่งในสิบเมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติใน ค.ศ. 1956
ในปี ค.ศ. 1968 กลไกเศรษฐกิจใหม่ (NEM) ได้นำองค์ประกอบของตลาดเสรีเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม จากทศวรรษที่ 1960 ถึงปลายทศวรรษที่ 1980 ประเทศฮังการีมักถูกเรียกว่าเป็น "ค่ายทหารที่มีความสุขที่สุด" ในกลุ่มยุโรปตะวันออก ในช่วงหลังสงครามเย็น GDP ต่อหัวของฮังการีเป็นอันดับสี่รองจากเยอรมนีตะวันออก เชโกสโลวาเกีย และ สหภาพโซเวียต อันเป็นผลมาจากมาตรฐานการครองชีพที่ค่อนข้างสูงนี้ เศรษฐกิจที่เปิดเสรีมากขึ้น การกดขี่จากภาครัฐที่น้อยลง และสิทธิในการเดินทางที่ถูกจำกัดน้อยลง ฮังการีจึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในประเทศคอมมิวนิสต์ที่มีความเป็นเสรีนิยมที่สุดในช่วงคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษที่ 1980 มาตรฐานการครองชีพลดลงอย่างมากอีกครั้งเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ซึ่งประเทศคอมมิวนิสต์ไม่สามารถที่จะแก้ไขวิกฤตได้ เมื่อกาดาร์เสียชีวิตในปี 1989 สหภาพโซเวียตประสบกับภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างมาก (ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1991) และนักปฏิรูปรุ่นใหม่เห็นว่าการเปิดประเทศให้เสรีจะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองนี้ จะเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงของประเทศฮังการีเข้าสู่การเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยในที่สุด
หลังการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์จนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.1989-ปัจจุบัน)
ใน ปี ค.ศ.1989 มีเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง (ฮังการี: rendszerváltás) เนื่องจากการร่วมสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก โดยมีการก่อตั้งสาธารณรัฐฮังการีที่ 3 (Harmadik Magyar Köztársaság) ขึ้นมา ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ.1989 แทนที่สาธารณรัฐประชาชนฮังการี ซึ่งมีระบบการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ และในปีถัดมา ค.ศ.1990 ประเทศฮังการีได้มีการจัดตั้งรัฐสภา, รัฐบาล และ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐขึ้น ถึงแม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองดีขึ้นมา หลังจากนั้น ก็ได้มีการจัดตั้งสถาบันอื่น ๆ ที่สำคัญในประเทศต่อมาในภายหลัง หลังปี ค.ศ.1990
ในช่วงทศวรรศที่ 1990 ประเทศฮังการีมีความพยายามสร้างร่วมมือกับประเทศยุโรปตะวันตก ประเทศฮังการีกลายเป็นสมาชิกนาโต้ในปี ค.ศ.1999 และหลังจากการเป็นสมาชิกนาโต้ 2 สัปดาห์ ก็ได้มีส่วนร่วมในสงครามกลางเมืองยูโกสลาเวีย โดยมีประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเป็นคู่กรณี ทหารฮังการีมีส่วนร่วมในปฏิบัติการของนาโต้ในอัฟกานิสถานเกือบตั้งแต่แรกเริ่ม โดยเป็นหน่วยงานด้านการแพทย์ หลังจากนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.2003 มีการส่งหน่วยทหารฮังการีเข้าไปรบในประเทศอัฟกานิสถาน โดยงานของกองกำลังฮังการีในอัฟการนิสถานนั้น ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหน่วยงานลาดตระเวนคุ้มกันและหน่วยงานสังคมสงเคราะห์
ฮังการีเข้าร่วมสหภาพยุโรป เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2007 และเป็นสมาชิกพื้นที่เชงเก้นของสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้การควบคุมพรมแดนถาวรที่พรมแดนฮังการี - ออสเตรีย, ฮังการี - สโลวีเนีย และฮังการี - สโลวัก ถูกยกเลิก แต่สกุลเงินอย่างเป็นทางการของประเทศยังคงเป็นเงินสกุลฮังกาเรียนโฟรินต์ ไม่ได้ใช้เงินยูโร
ชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศเปลี่ยนจากสาธารณรัฐฮังการี เป็นประเทศฮังการี (Magyarország) ตามกฎหมายพื้นฐานฉบับใหม่ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.2012
ฮังการีในวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยยุโรป (ค.ศ.2015)
ประเทศฮังการีได้ประสบกับวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยยุโรป ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 ถึง 2019 แต่มีจุดวิกฤตในปี ค.ศ. 2015 เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการย้านถิ่นฐานของมนุษย์ที่มีจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่ผู้ลี้ภัยและผู้ย้ายถิ่นทางเศรษฐกิจได้ทำการอพยพจำนวนมากจากพื้นที่ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ทวีปแอฟริกา และคาบสมุทรบอลข่านตะวันตก หลั่งไหลสู่สหภาพยุโรปข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ โดยผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่มาจากประเทศซีเรีย อัฟกานิสถานและเอริเตรีย ซึ่งประเทศฮังการีซึ่งเป็นประเทศหน้าด่านระหว่างสหภาพยุโรปและบอลข่านก็ได้ทำหน้าที่เป็นประเทศแรกที่ทำการรับรองผู้อพยพก่อนเดินทางต่อไปยังประเทศยุโรปตะวันตก อาทิ ประเทศเยอรมนี แต่ฮังการีคือหนึ่งในประเทศที่ไม่ยอมรับการรับผู้อพยพ และเกิดนโยบายกั้นรั้วพรมแดนด้านใต้ของประเทศที่ติดกับประเทศเซอร์เบีย นโยบายที่นำโดยนายวิกโตร์ โอร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการีจากพรรค FIDESZ
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2015 รัฐบาลฮังการีได้ประกาศการก่อสร้างรั้วสูง 4 เมตร ยาว 175 กิโลเมตร ตามแนวชายแดนทางใต้ของประเทศเซอร์เบีย โดยได้ทำการสร้างเสร็จสิ้นในขั้นตอนที่หนึ่งเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015 ตามข้อมูลของกระทรวงกลาโหมฮังการี รั้วประกอบด้วยลวดมีดโกนของนาโต้สามเส้นยาว 175 กิโลเมตร และรั้วอีกชั้นหนึ่งเป็นรั้วลวดหนามสูงประมาณ 4 เมตร โดยรั้วชั้นที่สองได้ทำการสร้างเสร็จในปลายปี ค.ศ. 2015 นายยาโนช ลาซาร์ (János Lázár) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอธิบายว่า "ฮังการีถูกปิดล้อมจากผู้ค้ามนุษย์" และประกาศว่ารัฐบาลจะ "ปกป้องพรมแดนที่ขยาย [ของพวกเขา] นี้ด้วยกำลัง" ประเทศฮังการีได้ทำการจัดกำลังตำรวจ 9,000 นายเพื่อกันผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารจากการเข้าประเทศฮังการี โดยคณะกรรมาธิการยุโรปเตือนสมาชิกประเทศฮังการีเกี่ยวกับขั้นตอนที่ขัดต่อพันธกรณีของสหภาพยุโรปและเรียกร้องให้สมาชิกอย่างฮังการีหาวิธีอื่นในการรับมือกับการอพยพเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2015 นายวิกโตร์ โอร์บานได้ปกป้องการจัดการของประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ผู้อพยพภายใน แม้ว่าจะมีความวุ่นวายเนื่องจากการประท้วงของผู้อพยพโดยการอดอาหาร (hunger strike) หน้าสถานีรถไฟหลักระหว่างประเทศของบูดาเปสต์ (สถานีรถไฟตะวันออก: Keleti pályaudvar) พร้อมกับวิจารณ์การจัดการของประเทศเยอรมนีและสหภาพยุโรปโดยรวมที่ไม่ห้ามผู้อพยพเข้าสู่ยุโรป ในวันเดียวกันนั้นตำรวจฮังการีอนุญาตให้ผู้อพยพขึ้นรถไฟในบูดาเปสต์มุ่งหน้าไปทางตะวันตกก่อนจะหยุดที่เมืองบิชแก (Bicske) โดยตำรวจพยายามขนส่งผู้อพยพไปยังค่ายทะเบียนที่เมืองบิชแก เพื่อลงข้อมูลของผู้อพยพก่อนที่จะเดินทางต่อด้วยรถไฟอีกขบวนหนึ่งไปยังกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย แต่ผู้อพยพปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือและประท้วงขัดขืนโดยการอยู่ในรถไฟซึ่งไม่ได้เดินทางไปยังกรุงเวียนนาต่อไป
และเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2015 ผู้อพยพประมาณหนึ่งพันคนที่สถานีรถไฟตะวันออก (Keleti Pályaudvar) ออกเดินทางโดยการเดินเท้าไปยังออสเตรียและเยอรมนี ในคืนวันเดียวกันรัฐบาลฮังการีตัดสินใจส่งรถประจำทางเพื่อขนส่งผู้อพยพผิดกฎหมายไปยังเมืองแฮ็จแย็ชฮอโลม (Hegyeshalom) ที่ติดกับชายแดนประเทศออสเตรีย
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2015 มีรายงานว่าตำรวจฮังการีได้ปิดกั้นเส้นทางจากเซอร์เบียและจัดการจุดเข้าออกประจำที่มีเจ้าหน้าที่ทหารและเฮลิคอปเตอร์อย่างเข้มงวด พวกเขาปิดผนึกพรมแดนด้วยลวดมีดโกนและกักขังผู้อพยพข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย ด้วยการขู่ว่าจะถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาทางอาญา เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2015 ฮังการีได้ปิดผนึกพรมแดนกับเซอร์เบีย ผู้อพยพหลายร้อยคนพังรั้วกั้นระหว่างฮังการีและเซอร์เบียสองครั้งในวันพุธที่ 16 กันยายน 2015 และโยนเศษคอนกรีตและขวดน้ำข้ามรั้ว ตำรวจฮังการีตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาและปืนใหญ่น้ำที่จุดผ่านแดนโฮร์โกช 2 (Horgoš 2) โดยรัฐบาลเซอร์เบีย ณ กรุงเบลเกรดประท้วงการกระทำเหล่านี้ของประเทศฮังการี ผู้ลี้ภัยชาวอิรักวัย 20 ปีถูกตัดสินให้เนรเทศและถูกห้ามเข้าประเทศฮังการีเป็นเวลา 1 ปีรวมถึงค่าธรรมเนียมศาล 80 ยูโรตามกฎหมายใหม่ที่บังคับใช้เมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2015 ประเทศฮังการีเริ่มสร้างรั้วอีกแห่งตามแนวชายแดนกับโครเอเชียซึ่งเป็นชาติสมาชิกสหภาพยุโรป แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเขตเชงเก้น ภายในสองสัปดาห์ผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนข้ามจากโครเอเชียไปยังฮังการีซึ่งส่วนใหญ่ไปชายแดนออสเตรีย
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2015 ฮังการีประกาศว่าจะปิดพรมแดนสีเขียวกับโครเอเชียสำหรับผู้อพยพ และตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมเป็นต้นไป ผู้อพยพหลายพันคนเปลี่ยนจุดหมายไปยังประเทศสโลวีเนียแทน และเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2016 ฮังการีได้ประกาศภาวะฉุกเฉินสำหรับทั้งประเทศและส่งทหาร 1,500 นายไปยังพรมแดนทางใต้ ในเดือนสิงหาคม 2016 ภาวะฉุกเฉินได้ขยายไปถึงเดือนมีนาคม 2018 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นับตั้งแต่ ปลายปี ค.ศ.2015 จวบจนปัจจุบัน ประเทศฮังการีไม่ได้ประสบกับปัญหาที่ตามมาจากวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยยุโรปอีกเลย
ประเทศฮังการีและโรคโควิด-19 (ค.ศ.2020-ปัจจุบัน)
ประเทศฮังการีเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 (SARS-CoV-2) ในวิกฤตการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 โดยมีเคสแรกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2020 และวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2020 ได้มีการตรวจพบไวรัสโควิด-19 ในทุก ๆ เทศมณฑลของประเทศฮังการี จนถึงปัจจุบัน (วันที่ 2 กุมภาพันธุ์ ค.ศ. 2021) มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 360,000 คน และเสียชีวิต 12,656 คน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสภาพเศรษฐกิจของประเทศฮังการีทั้งประเทศ
จำนวนเคสที่ตรวจพบทั้งหมด | 369,288 |
---|---|
จำนวนผู้ที่กำลังรักษาตัวอยู่ | 87,829 |
จำนวนผู้ที่หายแล้ว | 268,803 |
จำนวนผู้เสียชีวิต | 12,656 |
จำนวนคนที่โดนกักตัวอยู่ | 18,030 |
จำนวนประชากรที่ตรวจเชื้อแล้ว | 3,176,944 |
ล่าสุด : Feb 2, 2022 8:49 CET |
ภูมิศาสตร์
ฮังการีตั้งอยู่ในยุโรปกลาง ในที่ราบพันโนเนีย (Pannonia Basin) หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แอ่งคาร์เพเทียน ระหว่างลองจิจูด 16 °ถึง 23 °ของซีกโลกตะวันออก และ ระหว่างละติจูด 45 °ถึง 49 °ของซีกโลกเหนือ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล รูปร่างประเทศฮังการีคล้ายรูปไต มีพื้นที่ทั้งหมด 93,030 ตารางกิโลเมตร (ขนาดเล็กกว่าภาคเหนือของประเทศไทยเล็กน้อย) เป็นประเทศขนาดอันดับที่ 108 ของโลก
ฮังการีมีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน 7 ประเทศ คือ โรมาเนีย ออสเตรีย สโลวาเกีย ยูเครน เซอร์เบีย โครเอเชีย และสโลวีเนีย ความยาวของพรมแดนประเทศคือ 2215.3 กิโลเมตร ติดกับประเทศสโลวาเกีย 654.7 กิโลเมตร ยูเครน 136.7 กิโลเมตร โรมาเนีย 447.7 กิโลเมตร เซอร์เบีย 174.4 กิโลเมตร โครเอเชีย 344.8 กิโลเมตร สโลวีเนีย 102.0 กิโลเมตร และ ออสเตรีย 355.0 กิโลเมตร
พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศฮังการีเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ เรียกว่า ที่ราบฮังการีใหญ่ (ฮังการี: Nagyalföld) ตั้งอยู่ทางตะวันออกและตอนกลางของประเทศ ทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ติดกับประเทศสโลวักเกียเป็นแถบที่มีแนวเทือกเขาอยู่ โดยมีแนวเทือกเขาที่สูงที่สุด ชื่อว่า เคแคชแตเตอ (ฮังการี: Kékes tető) เป็นจุดที่สูงที่สุดในประเทศ อยู่ที่ 1,015 เมตร จากระดับน้ำทะเล ด้านตะวันตกเป็นพื้นที่ราบสูง และ ภูเขา เรียกว่า เทือกเขาทรานส์ดานูเบีย สลับกับที่ราบลุ่ม เรียกว่า ที่ราบฮังการีเล็ก (ฮังการี: Kisalföld)
การแบ่งเขตทางภูมิศาสตร์ของประเทศฮังการีคร่าว ๆ นั้น นิยมใช้แม่น้ำขนาดใหญ่สองสายที่ไหลผ่านใจกลางประเทศเป็นตัวแบ่ง คือ แม่น้ำดานูบ และ แม่น้ำทิสซอ ซึ่งจะสามารถแบ่งแยกประเทศออกได้เป็นสามส่วน ดังนี้
- เขตเลยแม่น้ำดานูบ หรือ ทรานส์ดานูเบีย (ฮังการี: Dunántúl, อังกฤษ: Transdanubia) ทางตะวันตกของประเทศฮังการี เป็นที่ตั้งของที่ราบฮังการีเล็ก และ เทือกเขาทรานส์ดานูเบีย
- เขตระหว่างแม่น้ำดานูบและแม่น้ำทิสซอ (ฮังการี: Duna-Tisza köze)
- เขตเลยแม่น้ำทิสซอ (ฮังการี: Tiszántúl) เป็นที่ตั้งของที่ราบฮังการีใหญ่
ฮังการีมีทะเลสาบหลายแห่ง แต่ทะเลสาบที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุด คือ ทะเลสาบบอลอโตน (Balaton)
ภูมิประเทศ
ดินแดนส่วนใหญ่ของประเทศตั้งอยู่ที่ระดับความสูงน้อยกว่า 200 เมตรจากระดับน้ำทะเล แม้ว่าจะมีภูเขาอยู่บ้างบางส่วน แต่ภูเขาที่สูงเกิน 300 เมตรนั้น มีพื้นที่น้อยกว่า 2% ของดินแดนทั้งหมด จุดสูงสุดคือ Kékes tető ที่ระดับความสูง 1,014 เมตรจากระดับน้ำทะเล และจุดต่ำสุดอยู่ทางใต้ของเมืองแซแก็ด ทางฝั่งขวาของแม่น้ำทิสซา เรียกจุดนั้นว่า Gyálarét Lúdvár ที่ระดับความสูง 75.8 เมตรจากระดับน้ำทะเล สมบัติทางธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของประเทศ คือ ดิน 70% ของฮังการีเหมาะสำหรับใช้ในการกสิกรรม และภายในสัดส่วนดังกล่าวนี้ 72% เป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูก
ศูนย์กลางของประเทศอยู่ในเขตเทศบาลเมืองปุสตอว็อช (ฮังการี: Pusztavacs) จุดเหนือสุดอยู่ในหมู่บ้านฟึเซร์ (ฮังการี: Füzér) จุดทางใต้สุดอยู่ในหมู่บ้านแบแรแม็นด์ (ฮังการี: Beremend) จุดทางตะวันออกสุดอยู่ในหมู่บ้านกอร์โบลซ์ (ฮังการี: Garbolc) และจุดทางตะวันตกสุดอยู่ในหมู่บ้านแฟลเชอเซิลเนิค (ฮังการี: Felsőszölnök)
ภูมิประเทศของประเทศฮังการีส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มน้ำ มีแม่น้ำสองสาย ไหลผ่านเหนือจรดใต้ ประกอบด้วย แม่น้ำดานูบ และ แม่น้ำทิสซอ และมี แม่น้ำดราวา เป็นแม่น้ำกั้นพรมแดนระหว่างฮังการีกับโครเอเชียทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ตามการแบ่งทางภูมิศาสตร์นั้น สามารถแบ่งประเทศฮังการีได้ออกเป็น 6 เขตทางภูมิศาสตร์ใหญ่ ซึ่งแบ่งได้อีกเป็น 35 พื้นที่ขนาดกลาง และ 227 พื้นที่ขนาดเล็ก ประกอบด้วย
- เขตที่ราบฮังการีใหญ่ (ภาษาอังกฤษ: Great Hungarian Plain, ภาษาฮังการี: Alföld หรือ Nagyalföld) เป็นที่ราบตอนกลาง และ ตะวันออก ที่แทบจะไม่มีความสูงแตกต่างกันเลย เมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือ เมืองแดแบร็ตแซ็น
- เขตเทือกเขาฮังการีเหนือ (ภาษาอังกฤษ: North Hungarian Mountains, ภาษาฮังการี: Északi-középhegység) ทอดยาวจากเมืองวิแชกราด จนถึงเมืองโบโดร็ก ติดกับพรมแดนประเทศสโลวาเกีย มีภูเขามาตรอ (Mátra) เป็นจุดที่สูงที่สุด โดยจุดที่สูงที่สุดในประเทศฮังการี มีชื่อว่า Kékes tető (เกแกชแตเตอ) มีความสูง 1014 เมตรจากระดับน้ำทะเล
- เขตเทือกเขาทรานส์ดานูเบีย (ภาษาอังกฤษ: Transdanubian Mountains, ภาษาฮังการี: Dunántúli-középhegység) มีความยาวคู่ขนานไปกับทะเลสาบบอลอโตน มีทิศทางจากตะวันออกเฉียงเหนือไปยังตะวันตกเฉียงใต้ ขนาบข้างกับแม่น้ำดานูบ มีแถบภูเขาบอโคญ (Bakony) แถบดินแดนเหนือทะเลสาบบอลอโตน (พื้นที่ปลูกไวน์ตั้งแต่ยุคโบราณ) เทือกเขาแวแลนแซ (Velencei-hegység) เทือกเขาแวร์เตช (Vertés) และ เทือกเขาดูนอซุก (Dunazug-hegyvidék)
- เขตเนินเขาทรานส์ดานูเบีย (ภาษาอังกฤษ: Transdanubian Hills, ภาษาฮังการี: Dunántúli-dombság) เป็นเขตเนินเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฮังการี ใต้ทะเลสาบบอลอโตน เมืองที่ใหญ่ที่สุดคือเมืองเปช ในแถบนี้ประกอบไปด้วย เนินเขาซอลอ (Zalai-dombság) เนินเขาโชโม็ดย์ (Somogyi-dombság) เนินเขาโตลนอย (Tolnai-hegyhát) เนินเขาบอรอญอ (Baranyai-dombság) และ 2 เทือกเขา ประกอบด้วย เทือกเขาแมแชค (Mecsek-hegység) มีจุดที่สูงที่สูดเรียกว่า แซงเกอ (Zengő) ณ ความสูงที่สุด 682 เมตร จากระดับน้ำทะเล และเทือกเขาวิลลาญ (Villányi-hegység)
- เขตที่ราบฮังการีเล็ก (ภาษาอังกฤษ: Little Hungarian Plain, ภาษาฮังการี: Kisalföld) เป็นที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย ที่ราบระหว่างแม่น้ำ Szigetköz Rábaköz และ แอ่งมอร์ตซอล (Marcal-medence) เมืองที่มีประชากรมากที่สุด คือ เมืองจเยอร์
- เขตชายแดนฮังการีตะวันตก (ภาษาอังกฤษ: West-Hungarian Borderland, ภาษาฮังการี: Nyugat-magyarországi peremvidék) หรือ เขตตีนเทือกเขาแอลป์ (ภาษาฮังการี: Alpokalja) คือ ส่วนที่ติดกับเทือกเขาแอลป์ ในรัฐบูร์กันแลนด์ ประเทศออสเตรีย เป็นส่วนที่อยู่ด้านตะวันตกที่สุดของประเทศ จุดที่สูงที่สุดอยู่ที่ เทือกเขาเคอแซก (Kőszeg) และ เทือกเขาโชโปรน (Sopron) เมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือ โซมบ็อตแฮย์
แหล่งน้ำ
ที่ราบพันโนเนียเป็นแหล่งกักเก็บน้ำเกือบทั้งหมดจากแม่น้ำดานูบ นอกจากนี้ประเทศฮังการียังมีแหล่งน้ำร้อนใต้พิภพเป็นจำนวนมาก โดยมีแหล่งน้ำร้อนใต้พิภพมากที่สุดในทวีบยุโรป อุณหภูมิของน้ำแร่ร้อนอาจสูงเกิน 70 °C แกนหลักของทรัพยากรน้ำในประเทศฮังการี คือ แม่น้ำดานูบ ที่มีความยาวจากแหล่งกำเนิดจนถึงปากแม่น้ำถึง 2,850 กิโลเมตร โดยมีความยาวอยู่ที่ 417 กิโลเมตรในพรมแดนประเทศฮังการี อย่างไรก็ดี แม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในประเทศฮังการี คือ แม่น้ำทิสซอ ซึ่งมีความยาวทั้งหมด 962 กิโลเมตร โดยมีความยาวในพรมแดนฮังการี 584.9 กิโลเมตร ซึ่งมีแควสาขากระจายออกไปทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำดราวาทางใต้ติดพรมแดนโครเอเชีย และมีแม่น้ำสายน้อยอีกหลายสาย ประกอบด้วย แม่น้ำตูร์ แม่น้ำซอโมช แม่น้ำครอสนอ แม่น้ำเกอเริช และ แม่น้ำมูเรช
ทะเลสายที่ใหญ่ที่สุดในฮังการีและในยุโรปกลาง คือ ทะเลสาบบอลอโตน พื้นที่ 594 ตารางกิโลเมตร ตามมาด้วยทะเลสาบทิสซอ (ทะเลสาบเทียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฮังการี ขนาด 127 ตารางกิโลเมตร ทะเลสาบนอยซีเดิล ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนประเทศฮังการี และ ประเทศออสเตรีย มีพื้นที่ในพรมแดนฮังการี 75 ตารางกิโลเมตร และทะเลสาบแวแลนแซซึ่งมีพื้นที่ 10.1 ตารางกิโลเมตร
พื้นทีส่วนใหญ่ของฮังการี ประมาณ 70%ทำการเกษตร ส่วนพื้นที่เหลือ เป็นป่าทึบ ได้แก่ ป่าโอ๊ก และ ป่าบีช สัตว์ท้องถิ่นที่พบทั่วไป เช่น กระต่ายป่า กวาง หมี นาก สัตว์ป่าหายาก เช่น แมวป่า ค้างคาวทะเล สัตว์พื้นเมืองที่มีมากที่สุด คือ นกชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะนกน้ำที่ชอบพื้นที่ชื้นแฉะแถบที่ลุ่มตามทะเลสาบ ประเทศฮังการีมีอุทยานแห่งชาติ 10 แห่ง เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า 145 แห่ง และ พื้นที่คุ้มครอง 35 แห่ง
พืชและสัตว์
พื้นที่ 20 เปอร์เซ็นต์ของประเทศถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้ ฮังการีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายของสัตว์มากที่สุดในยุโรป เพื่อปกป้องพืชและสัตว์ให้ใช้ชีวิตอยู่ในระบบนิเวศน์แบบดั้งเดิม รัฐบาลฮังการีจึงจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ 10 แห่ง พื้นที่คุ้มครองภูมิทัศน์ 38 แห่ง พื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติแห่งชาติ 142 แห่ง อนุสรณ์สถานธรรมชาติ และพื้นที่ธรรมชาติ 1125 แห่ง ซึ่งพื้นที่เหล่านี้จะได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาลท้องถิ่น นับเป็นพื้นที่ทั้งหมด 8160 ตารางกิโลเมตร คุณค่าทางธรรมชาติที่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาล ได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา ทะเลสาบ แม่น้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และ ถ้ำ โดยแหล่งอนุรักษ์ที่สำคัญที่สุดตามภูมิภาค มีดังนี้ กรุงบูดาเปสต์ ประกอบด้วย เกาะมากาเร็ต Gellért Hill Sas Hill และระบบถ้ำ Pál-völgyi
ในแถบทรานส์ดานูเบีย ประกอบด้วย ทะเลสาบนอยซีเดิล อันเป็นมรดกโลก ทะเลสาบน้ำร้อน Hévíz ถ้ำ Tapolca-tavas ทะเลสาบ Tata ทะเลสาบ Velence และพื้นที่เดินป่า Tihany Inner Lakes และเส้นทางศึกษาธรณีวิทยาถ้ำ Abaligeti เขตอนุรักษ์ธรรมชาติSzársomlyó อุทยานก่อนประวัติศาสตร์ของเหมืองหิน Villány, เหมือง Fertőrákos, Danube Bend ตลอดจนป่าขนาดใหญ่ในภูมิภาค Pilis, เทือกเขาทรานส์ดานูเบีย (Bakony, Vértes, Visegrád Mountains), เทือกเขา Gemenc, เทือกเขา Gyulaj, เทือกเขา Alpokalja และเทือกเขา Mecsek
ทางตอนเหนือของฮังการีมีป่าไม้และคุณค่าทางธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขาฮังการีเหนือ ซึ่งมีโอกาสเดินป่ามากมาย อาทิ Börzsöny, ภูเขามาตรอ (Mátra), อุทยานแห่งชาติบีคค์ (Bükki Nemzeti Park) (ระบบถ้ำ Lillafüred),อุทยานแห่งชาติออกแตแล็ค (Aggteleki Nemzeti Park) ในที่ราบฮังการีใหญ่มีอุทยานแห่งชาติฮอร์โตบาจ (Hortobágyi Nemzeti Park) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลก Bugac Mártély และ Kunhalmas
ในประเทศฮังการีมีสวนรุกขชาติสำหรับแสดงพันธุ์ไม้หลายแห่ง ได้แก่ Vácrátó, Zirc, Badacsonytomaj, Kám, Kőszeg, Kámon, Vép, Szeleste และ Szarvas สถานที่สาธิตสัตว์พิเศษ ได้แก่ สวนเกมSóstóในเมืองนยีแรจฮาซอ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิมในKardoskút ฟาร์มม้าของรัฐในเมืองแมเซอแฮดแยช (Mezőhegyes) และ บาโบลนอ (Bábolna) เขตอนุรักษ์เดวอวานยอ (Dévaványa) ทะเลสาบทิสซอ Ecocentre ในเมืองโปโรซโล (Poroszló) และ บ้านหมี ในเมืองแวแรแชดย์ฮาซอ (Veresegyháza)
ในประเทศฮังการี สัตว์เลื้อยคลาน และ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกทุกชนิดได้รับการคุ้มครอง ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือ เต่าแก้มแดง
รายชื่ออุทยานแห่งชาติ
อุทยานแห่งชาติในประเทศฮังการีมีอยู่ทั้งหมด 10 แห่ง โดยที่ใหญ่ที่สุดคือ อุทยานแห่งชาติฮอร์โตบาจ (Hortobágyi Nemzeti Park) ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
อันดับที่ | อุทยานแห่งชาติ | อุทยานแห่งชาติ (ภาษาฮังการี) | เมือง (ภาษาฮังการี) | พื้นที่ (ตร.กม.) | ก่อตั้ง (พ.ศ.) |
---|---|---|---|---|---|
1 | ฮอร์โตบาจย์ | Hortobágyi | แดแบรตแซน Debrecen | 820 | 1973 |
2 | กิชกุนชาก | Kiskunsági | แกชแกเมต Kecskemét | 530 | 1975 |
3 | บึกก์ | Bükki | แอแกร์ Eger | 402 | 1976 |
4 | อ็อกแตแลค | Aggteleki | โยชวอเฟอ Jósvafő | 201.7 | 1985 |
5 | แฟร์เตอ-ฮ็อนชาก | Fertő–Hanság | ชอร์โรด Sarród | 237.31 | 1991 |
6 | ดูนอ-ดราวอ | Duna–Dráva | เปช Pécs | 500 | 1996 |
7 | ดูนอ-อิโปย | Duna–Ipoly | บูดาเปสต์ Budapest | 603 | 1997 |
8 | บอลอโตน- แฟลวิเดกิ | Balaton-felvidéki | โชปอก Csopak | 570 | 1997 |
9 | เกอเริช-มอโรช | Körös–Maros | ซอร์วอช Szarvas | 501 | 1997 |
10 | เออร์เชกิ | Őrségi | เออริแซนต์เปแตร์Őriszentpéter | 439.27 | 2002 |
ภูมิอากาศ
ประเทศฮังการีอยู่ในเขตอบอุ่น มี 4 ฤดู ประกอบด้วย ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) และ ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)
ประเทศฮังการจัดอยู่ในเขตภาคพื้นทวีปที่มีฤดูร้อนอบอุ่น โดยมีฤดูร้อนที่อบอุ่น ความชื้นต่ำ มีฝนตกประปราย และ ฤดูหนาวที่ชื้น มีหิมะตกในฤดูหนาว อุณภูมิเฉลี่ยต่อปี อยู่ที่ 9.7 °C อุณหภูมิสูงที่สุดอยู่ที่ 41.9 °C ในฤดูร้อน (ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ณ เมืองคิชคุนฮอลอช) และ ต่ำที่สุด −35 °C ในฤดูหนาว (ในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2483 ณ เมืองมิชโกลซ์ตอโปลซอ) อุณหภูมิในฤดูร้อน อยู่ที่ 23 - 28 °C และ ในฤดูหนาวอยู่ที่ −3 ถึง −7 °C มีฝนตกเฉลี่ย 600 มิลลิเมตร ต่อปี
ประเทศฮังการีอยู่ในอันดับที่ 6 ของดัชนีการปกป้องสิ่งแวดล้อมซึ่งจัดอันดับโดย GW/CAN
การท่องเที่ยวและสถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดสามแห่งของประเทศฮังการี ที่มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศไปเที่ยวมากที่สุด ประกอบด้วย กรุงบูดาเปสต์ (Budapest) ทะเลสาบบอลอโตน (Balaton) และ โค้งน้ำดานูบ (Dunakanyar) ใกล้กับเมืองวิเชกราด ในหนึ่งปีมีนักท่องเที่ยวประมาณ 7 ล้านคนที่มาเที่ยว ณ ประเทศฮังการี ในมุมมองแบบอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เราจะสามารถแบ่งเขตประเทศฮังการีได้เป็น 9 เขต:
1. กรุงบูดาเปสต์และแม่น้ำดานูบกลาง (Budapest–Közép-Duna-vidék)
2. เขตทรานส์ดานูเบียกลาง (Közép-Dunántúl)
3. เขตทรานส์ดานูเบียตะวันตก (Nyugat-Dunántúl)
4. ทะเลสาบบอลอโตน (Balaton)
5. เขตทรานส์ดานูเบียใต้ (Dél-Dunántúl)
6. เขตฮังการีเหนือ (Észak-Magyarország)
7. เขตที่ราบใหญ่เหนือ (Észak-Alföld)
8. เขตที่ราบใหญ่ใต้ (Dél-Alföld)
9. ทะเลสาบทิสซอ (Tisza-tó)
นอกจากนั้น นักท่องเที่ยวก็นิยมมาเข้าร่วมเทศกาลต่าง ๆ ในประเทศฮังการีที่มีในแต่ละปี ทั้งด้านศิลปะวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ สนุกสนาน และ การแข่งขันกีฬา เทศกาลที่จัดในกรุงบูดาเปสต์ประกอบด้วย: เทศกาลตอวอซิเฟสติวัล/เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (Tavaszi Fesztivál), บูดาเปสต์พาเรด (Budapest Parádé) และ เทศกาลซิแก็ดเฟสติวัล/เทศกาลเกาะ (Sziget Fesztivál) ส่วนในเขตทะเลสาบบอลอโตน จะมีเทศกาลดนตรีบอลอโตนซาวนด์ (Balaton Sound) ที่มีศิลปินจากทั่วโลกมา และเทศกาลหุบเขาศิลปะ (Művészetek Völgye หรือ เทศกาลมือเวแซแต็กเวิลจแย) ในที่ราบใหญ่ฮังการี มีเทศกาลแข่งม้าเมืองฮอร์โตบาจ (Hortobágyi Lovasnapok és Hídivásár), เทศกาลคาร์นิวัลดอกไม้เมืองแดแบร็ตแซ็น (Debreceni virágkarnevál) และเทศกาลซอบอดเตริยาเตกโก็ก/เทศกาลเพลงกลางแจ้งจตุรัสเสรีภาพเมืองแซแก็ด (Szegedi Szabadtéri Játékok) ในเมืองมิชโกลซ์ทางเหนือของฮังการี มีเทศกาลโอเปร่านานาชาติเมืองมิชโกลซ์ (Miskolci Nemzetközi Operafesztivál) และในเมืองโชโปรน ทางตะวันตกของประเทศ มีเทศกาลโวล์ต (VOLT Fesztivál)
ในประเทศฮังการี นอกจากกรุงบูดาเปสต์ (Budapest) แล้ว ยังมีเมืองที่เป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรมอื่น ๆ อยู่ในประเทศ ประกอบด้วย เซแก็ชแฟเฮร์วาร์ (Székesfehérvár), แดแบร็ตแซน (Debrecen), โชโปรน (Sopron), เจอร์ (Győr), โซ็มบ็อทแฮย์ (Szombathely), เคอแซ็ก (Kőszeg), เปช (Pécs), คอโป็ชวาร์ (Kaposvár), แอสแตร์โกม (Esztergom), แว็สเปรม (Veszprém), ปาปอ (Pápa), วาร์ปอโลตอ (Várpalota), แอแกร์ (Eger), มิชโกลซ์ (Miskolc), และเมืองแซแก็ด (Szeged) ส่วนเมืองที่มีมรดกโลกอยู่นั้น มีเมืองโตคอย (Tokaj), ฮอร์โตบาจ (Hortobágy), ญีแร็จฮาซอ (Nyíregyháza), ญีร์บาโตร์ (Nyírbátor), ชาโรชปอต็อก (Sárospatak), ปาซโต (Pásztó), แค็ชแคเมต (Kecskemét), คอโลชอ (Kalocsa), แซนแตช (Szentes), โฮดแมเซอวาชาร์แฮย์ (Hódmezővásárhely), บอยอ (Baja) และ แซ็นแต็นแดร (Szentendre)
ในประเทศฮังการีมีโบสถ์สมัยยุคกลางจำนวนมาก (Ják, Lébény, Ócsa, tihanyi altemplom, Csaroda เป็นต้น) ปราสาทแสนโรแมนติก (Visegrád, Nagyvázsony, Sümeg, Szigliget, Szigetvár, Siklós, Pécsvárad, Magyaregregy, Sárvár, tatai vár, cseszneki vár, Drégely vára, Hollókő, boldogkői vár, diósgyőri vár, füzéri vár, Sárospatak, Szerencs, Szécsény, Gyula) พิพิธภัณฑ์ในราชวังเก่า (Fertőd, Nagycenk, Keszthely, Gödöllő, Martonvásár, Ráckeve เป็นต้น) สถานที่ท่องเที่ยวมรดกโลกที่นักท่องเที่ยวไปในประเทศฮังการี ประกอบด้วยหมู่บ้านโบราณโฮโล่เคอ (hollókő), ราชวังพันโนฮอลมิแบนเซ็ช (Pannonhalmi Bencés Főapátság), กำแพงป้องกันเมืองโคมาโรม (komáromi erődrendszer), โบราณสถานกอร์ซิวมีในเมืองตาทซ์ (gorsium), แหล่งโครงกระดูกมนุษย์โบราณเมืองเวร์แต็ซเซอเลอ (vértesszőlősi ősemberleletek), และเขตเมืองเก่าเมืองมอยค์ (majki műemlékegyüttes)
มรดกโลก
องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้จัดให้ 9 สถานที่ในประเทศฮังการีให้เป็นมรดกโลก ดังนี้:
- กรุงบูดาเปสต์: ทิวทัศน์รอบแม่น้ำดานูบ และเขตหุบเขาปราสาทฝั่งบูดอ (Budai Várnegyed)
- หมู่บ้านโฮโล่เคอ (Hollókő) หมู่บ้านเก่าที่ยังรักษาสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของชาติพันธุ์ฮังการีไว้ (เมืองโฮโล่เคอ)
- ระบบถ้ำอ็อกก์แตแล็ก-กอร์สต์และสโลวัก-กอร์สต์ (Aggteleki-karszt és a Szlovák-karszt barlangjai) (มรดกโลกร่วมกับประเทศสโลวาเกีย)
- อารามปอนโนนฮอลมอ (Pannonhalmi Bencés Főapátság) อารามเก่าแก่อายุพันปี และทิวทัศน์รอบอาราม (เมืองปอนโนนฮอลมอ)
- อุทยานแห่งชาติโฮร์โตบาจย์ (Hortobágyi Nemzeti Park) – ทุ่งหญ้าธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปกลาง
- สุสานคริสเตียนโบราณเมืองเปช (Pécsi ókeresztény sírkamrák)
- ชนบทรอบทะเลสาบแฟร์เตอ (Fertő-táj) (มรดกโลกร่วมกับประเทศออสเตรีย)
- เขตชนบทโตกอยิ (Tokaji Történelmi Borvidék) สถานที่ทำไวน์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
- กรุงบูดาเปสต์: ถนนอ็อนดราชชี (Andrássy út)
การบริหารจัดการภายใน
การเมือง
ประเทศฮังการี ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งเป็นระบบสภาเดียว โดยมีประธานาธิบดีซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ทำหน้าที่เป็นประมุขของประเทศอยู่ในตำแหน่งวาระละ 5 ปี ดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 วาระ แต่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารรัฐบาลที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในการบริหาร ปัจจุบัน ประธานาธิบดี คือ นายยาโน็ช อาแดร์ (János Áder) และ นายกรัฐมนตรี คือ นายโอร์บาน วิกโตร์ (Orbán Viktor)
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ (köztársaságielnök) ทำหน้าที่เป็นประมุขและได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภาทุก ๆ ห้าปี ประธานาธิบดีมีหน้าที่และอำนาจที่เป็นตัวแทน: รับตำแหน่งประมุขต่างประเทศ เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการตามคำแนะนำของรัฐสภา และ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองกำลัง ที่สำคัญประธานาธิบดียังมีอำนาจในการยับยั้ง (วีโต้) ตัวบทกฎหมาย และ อาจส่งต่อร่างกฎหมายไปยังศาลรัฐธรรมนูญ 15 คน เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของกฎหมายซ้ำ ตำแหน่งทางราชการที่สำคัญที่สุดอันดับสามในฮังการี คือประธานรัฐสภา ซึ่งได้รับเลือกจากรัฐสภาและรับผิดชอบดูแลการประชุมประจำวันของสภา
นายกรัฐมนตรี (miniszterelnök) ได้รับเลือกจากรัฐสภาโดยทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและใช้อำนาจบริหาร ในสถานการณ์ปรกติ นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าของพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เลือกรัฐมนตรีและมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการปลดรัฐมนตรี กระนั้นก็มีข้อแม้ว่า ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นคณะรัฐมนตรี จะต้องปรากฏตัวในการพิจารณาอย่างเปิดเผย เพื่อให้คณะกรรมการรัฐสภาลงคะแนนเสียงในรัฐสภา และ ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากประธานาธิบดี
ในปี ค.ศ.2009 ฮังการีประสบปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรงต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF เป็นเงินประมาณ 9 พันล้านยูโร [142] อัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ของฮังการีมีจุดสูงสุดในปี ค.ศ.2011 ที่ 83% และลดลงตั้งแต่นั้นมา จากข้อมูลของ Eurostat หนี้ขั้นต้นของรัฐบาลฮังการีมีจำนวน 25.119 พันล้าน HUF หรือ 74.1% ของ GDP ในปี ค.ศ.2016 [143] รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ 1.9% ของ GDP ในปี ค.ศ.2015 [144]อันดับเครดิตของฮังการีโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Standard & Poor's, Moody's และ Fitch Ratings อยู่ในระดับ Investment Grade BBB โดยมีแนวโน้มที่มั่นคงในปี ค.ศ.2016
ดัชนีการรับรู้คอร์รัปชันประจำปี ค.ศ.2019 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติของฮังการี ได้ลดลงจากคะแนน 51 ในปี ค.ศ.2015 เป็น 44 ในปี ค.ศ.2019 ทำให้ประเทศฮังการีเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปที่มีการทุจริตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 คู่กับโรมาเนีย และ ตามหลังประเทศบัลแกเรีย [145]
หลังจากทศวรรษแห่งการปกครองประเทศฮังการีของพรรคฟิแด็ซ-KDNP (Fidesz-KDNP) นำโดย นายวิกโตร์ ออร์บาน (Viktor Orbán) รายงานของ Freedom House in Transit 2020 ได้จัดประเภทฮังการีใหม่จากระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองแบบเปลี่ยนผ่านหรือแบบผสม นอกจากนี้ รัฐบาลฮังการี ยังมีการจำกัดและกำกับดูแลของรัฐสภา สื่ออิสระ องค์กรพัฒนาเอกชน และ นักวิชาการ ในขณะที่รวมอำนาจไว้ที่รัฐบาลกลาง [146]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การแบ่งเขตการปกครอง
ฮังการีเป็นรัฐเดี่ยว แบ่งออกเป็น 19 เทศมณฑล และ 1 เมืองหลวง โดยกรุงบูดาเปสต์เป็นเขตปกครองแยกออกไป และแบ่งย่อยได้อีกเป็น 174 เขต (อำเภอ) ณ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 [158] เขตต่างๆจะถูกแบ่งออกเป็นเมืองและหมู่บ้าน โดยมี 23 เมืองที่กำหนดให้มีสิทธิเขตพิเศษ เป็น "เมืองหลัก" ทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางทางอำนาจปกครองในแต่ละมณฑล (คล้ายกับอำเภอเมืองของประเทศไทย) บทบาทขององค์การบริหารส่วนเทศมณฑลโดยพื้นฐานแล้วจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเชิงกลยุทธ์ ในขณะที่เทศบาลเมืองจะเน้นการดูแลและพัฒนาโรงเรียนอนุบาล สาธารณูปโภค การกำจัดขยะ และ การดูแลผู้สูงอายุ
ตั้งแต่ปีพ. ศ. 2539 มณฑลและเมืองบูดาเปสต์ได้ถูกแบ่งออกเป็น 7 ภูมิภาคเพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติและการพัฒนา ได้แก่ ฮังการีตอนกลาง (Közép-Magyarország), ทรานส์ดานูเบียตอนกลาง (Közép-Dunántúl), ที่ราบใหญ่ทางตอนเหนือ (Észak-Alföld), ฮังการีตอนเหนือ (Észak-Magyaroszág), ทรานส์ดานูเบียตอนใต้ (Dél-Dunántúl), ที่ราบทางตอนใต้ (Dél-Alföld) และ ทรานส์ดานูเบียตะวันตก (Nyugat-Dunántúl)
เทศมลฑล (megye) | เมืองศูนย์กลาง | ประชากร | ภูมิภาค |
---|---|---|---|
บาช-กิชกุน | แก็ชแกเมต | 524,841 | ที่ราบทางตอนใต้ |
บอรอญอ | เปช | 391,455 | ทรานส์ดานูเบียตอนใต้ |
เบเกช | เบเกชชอบอ | 361,802 | ที่ราบทางตอนใต้ |
โบร์โชด-ออบออูย-แซ็มเปลน | มิชโกลส์ | 684,793 | ฮังการีตอนเหนือ |
บูดาเปสต์ | บูดาเปสต์ | 1,744,665 | ฮังการีตอนกลาง |
โชงกราด-ชอนาด | แซแก็ด | 421,827 | ที่ราบทางตอนใต้ |
แฟเยร์ | เซแก็ชแฟเฮร์วาร์ | 426,120 | ทรานส์ดานูเบียตอนกลาง |
จเยอร์-โมโชน-โชโปรน | จเยอร์ | 449,967 | ทรานส์ดานูเบียตะวันตก |
ฮ็อยดู-บิฮอร์ | แดแบร็ตแซ็น | 565,674 | ที่ราบใหญ่ทางตอนเหนือ |
แฮแว็ช | แอแกร์ | 307,985 | ฮังการีตอนเหนือ |
ยาส-น็อจกุน-โซลโนก | โซลโนก | 386,752 | ที่ราบใหญ่ทางตอนเหนือ |
โกมาโรม-แอ็สแตร์โกม | ตอตอบาญอ | 311,411 | ทรานส์ดานูเบียตอนกลาง |
โนกราด | ช็อลโกตอร์ยาน | 201,919 | ฮังการีตอนเหนือ |
แป็ชต์ | บูดาเปสต์ | 1,237,561 | ฮังการีตอนกลาง |
โซโมจ | กอโปชวาร์ | 317,947 | ทรานส์ดานูเบียตอนใต้ |
ซอโบลช์-ซ็อดมาร์-แบแร็ก | ญีแร็จฮาซอ | 552,000 | ที่ราบใหญ่ทางตอนเหนือ |
โตลนา | แซ็กซาร์ด | 231,183 | ทรานส์ดานูเบียตอนใต้ |
ว็อช | โซมบ็อตแฮย์ | 257,688 | ทรานส์ดานูเบียตะวันตก |
แว็สเปรม | แว็สเปรม | 353,068 | ทรานส์ดานูเบียตอนกลาง |
ซอลอ | ซอลอแอแกร์แซ็ก | 287,043 | ทรานส์ดานูเบียตะวันตก |
การรักษาความปลอดภัยในประเทศ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การทหาร
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
นโยบายต่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของฮังการีตั้งอยู่บนพื้นฐานของพันธะสัญญา 4 ประการ ได้แก่ 1.เพื่อความร่วมมือในมหาสมุทรแอตแลนติก 2.เพื่อการรวมยุโรป 3.เพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ และ 4.เพื่อกฎหมายระหว่างประเทศ เศรษฐกิจของฮังการีค่อนข้างเปิดกว้าง และ การค้าระหว่างประเทศมีความสัมพันธ์อย่างมากกับเศรษฐกิจของประเทศฮังการี
ฮังการีเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2498 และเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป NATO OECD กลุ่มวิแชกราด องค์การการค้าโลก ธนาคารโลก AIIB และ IMF ฮังการีเข้ารับตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปเป็นเวลาครึ่งปีในปี พ.ศ. 2554 และครั้งต่อไปจะเป็นปี พ.ศ. 2567 ในปี พ.ศ. 2558 ฮังการีเป็นผู้บริจาคเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา OECD Non-DAC รายใหญ่อันดับ 5 ของโลกซึ่งคิดเป็น 0.13% ของรายได้รวมประชาชาติของประเทศฮังการี
บูดาเปสต์เมืองหลวงของฮังการีเป็นที่ตั้งของสถานทูตมากกว่า 100 ชาติ ฮังการีเป็นเจ้าภาพที่ตั้งสำนักงานใหญ่หลักและระดับภูมิภาคขององค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งเช่น European Institute of Innovation and Technology, European Police College, สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ, องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ, ศูนย์ระหว่างประเทศเพื่อการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย, สถาบันการศึกษาระหว่างประเทศ, องค์การแรงงานระหว่างประเทศ, องค์การระหว่างประเทศเพื่อการย้ายถิ่น, กาชาดระหว่างประเทศ, ศูนย์สิ่งแวดล้อมในภูมิภาคสำหรับยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก, คณะกรรมาธิการดานูบ และอื่น ๆ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียด และการเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตยของประเทศฮังการี เป้าหมายด้านนโยบายต่างประเทศอันดับต้น ๆ ของฮังการี คือ การรวมเข้าเป็นองค์กรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของตะวันตก ฮังการีเข้าร่วมโครงการ Partnership for Peace ในปี พ.ศ. 2538 และได้สนับสนุนภารกิจ IFOR และ SFOR ในบอสเนีย ประเทศฮังการีหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียดได้ปรับปรุงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่เป็นมิตร โดยการลงนามในสนธิสัญญาพื้นฐานกับโรมาเนีย สโลวาเกีย และ ยูเครน สิ่งเหล่านี้ละทิ้งการอ้างสิทธิเหนือดินแดนที่หายไปจากสนธิสัญญาทรียานงทั้งหมด และ วางรากฐานสำหรับความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามปัญหาสิทธิของชนกลุ่มน้อยชาวฮังการีในโรมาเนีย สโลวาเกีย และ เซอร์เบีย ทำให้ความตึงเครียดระดับทวิภาคีปะทุขึ้นเป็นระยะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ความสัมพันธ์กับยูเครนแย่ลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากปัญหาของชนกลุ่มน้อยฮังการีในยูเครน ประเทศฮังการีได้ลงนามในเอกสาร OSCE และดำรงตำแหน่งประธานในสำนักงานของ OSCE ในปี พ.ศ. 2540
เศรษฐกิจ
ฮังการีเป็นประเทศเศรษฐกิจผสมที่มีรายได้สูงในสหภาพยุโรป และ กลุ่มประเทศ OECD ซึ่งมีดัชนีการพัฒนามนุษย์และกำลังแรงงานที่มีทักษะสูงมาก ฮังการีมีความไม่เท่าเทียมกันด้านรายได้ต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 16 ของโลก นอกจากนี้ยังเป็นเศรษฐกิจที่ซับซ้อนที่สุดอันดับ 9 ตามดัชนีความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ ฮังการีเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 57 ของโลก (จาก 188 ประเทศที่วัดโดย IMF) มีผลผลิตทางเศรษฐกิจ 265.037 พันล้านดอลลาร์ และอยู่ในอันดับที่ 49 ของโลกในแง่ของ GDP ต่อหัววัดโดยความเท่าเทียมกันของกำลังซื้อ ฮังการีเป็นเศรษฐกิจตลาดที่เน้นการส่งออกโดยให้ความสำคัญอย่างมากกับการค้าต่างประเทศ โดยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจการส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 36 ของโลก ประเทศนี้มีการส่งออกมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2558 โดยเกินดุลการค้าสูงถึง 9.003 พันล้านดอลลาร์ โดย 79% ส่งออกภายในสหภาพยุโรปและ 21% เป็นการส่งออกนอกสหภาพยุโรป ฮังการีมีเศรษฐกิจที่เป็นของเอกชนมากกว่า 80% โดยมีการเก็บภาษีโดยรวม 39.1% อันเป็นรากฐานสำคัญสำหรับเศรษฐกิจสวัสดิการของประเทศ การบริโภคในครัวเรือนนับเป็นองค์ประกอบหลักของ GDP มีสัดส่วนถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของของ GDP การลงทุนของเอกชนอยู่ที่ 22 เปอร์เซ็นต์และรายจ่ายของรัฐบาลที่ 20 เปอร์เซ็นต์ ฮังการียังคงเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก FDI ภายในประเทศอยู่ที่ 119.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2558 ในขณะที่ฮังการีลงทุนในต่างประเทศมากกว่า 50 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2558 คู่ค้าที่สำคัญของฮังการี ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย โรมาเนีย สโลวาเกีย ฝรั่งเศส อิตาลี โปแลนด์ และ สาธารณรัฐเช็ก
อุตสาหกรรมหลักของประเทศฮังการี ได้แก่ การแปรรูปอาหาร ยายานยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เคมีภัณฑ์ โลหะ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และ การท่องเที่ยว (ในปี 2014 ฮังการีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 12.1 ล้านคน) ฮังการีเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก การผลิตและการวิจัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาฮังการีได้เติบโตขึ้นเป็นศูนย์กลางหลักด้านเทคโนโลยีมือถือ ความปลอดภัยของข้อมูล และ การวิจัยฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้อง อัตราการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจอยู่ที่ 68.3% ในปี พ.ศ. 2560 ในด้านโครงสร้างการจ้างงาน 63.2% ของแรงงานที่มีงานทำ ทำงานในภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วน 29.7% ในขณะที่เกษตรกรรมมีอยู่ 7.1% โดยมีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 4.1% ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 โดยลดลงจาก 11% ในช่วงวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ ฮังการีเป็นส่วนหนึ่งของตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งมีผู้บริโภคมากกว่า 508 ล้านคน นโยบายการค้าภายในประเทศหลายประการถูกกำหนดโดยข้อตกลงระหว่างสมาชิกสหภาพยุโรป และ ตามกฎหมายของสหภาพยุโรป
บริษัทมหาชนในประเทศฮังการี จะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์กรุงบูดาเปสต์ หรือ BUX (Budapest Stock Exchange) บริษัทในตลาด BUX อาทิ บริษัท 500 แห่งที่ทำกำไรสูงที่สุด MOL Group OTP Bank, Gedeon Richter Plc., Magyar Telekom, CIG Pannonia, FHB Bank, Zwack Unicum เป็นต้น นอกจากนี้ประเทศฮังการีมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวนมาก อาทิ บริษัทซับพลายเออร์ชิ้นส่วนยานยนต์ และ บริษัทสตาร์ทอัพเทคโนโลยีหลายแห่ง
กรุงบูดาเปสต์เป็นศูนย์กลางทางการเงินและธุรกิจของประเทศฮังการี เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยจัดมีการจัดกรุงบูดาเปสต์เป็นเมืองระดับอัลฟ่าของโลก ในการศึกษาโดยเครือข่ายการวิจัยโลกาภิวัตน์และเมืองโลก เป็นเมืองที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจในเมืองเร็วที่สุดเป็นอันดับสองในยุโรปเนื่องจาก GDP ต่อหัวในเมือง เพิ่มขึ้น 2.4 เปอร์เซ็นต์ และการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในปี พ.ศ. 2557 ในระดับประเทศบูดาเปสต์เป็นเมืองเอกของฮังการีเกี่ยวกับธุรกิจและเศรษฐกิจคิดเป็น 39% ของรายได้ประชาชาติ เมืองนี้มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในเขตเมืองมากกว่า 1 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 2558 ทำให้กรุงบูดาเปสต์เป็นหนึ่งในเศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป บูดาเปสต์ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มี GDP สูงเป็น 100 อันดับแรกของโลกซึ่งวัดโดย PricewaterhouseCoopers และในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเมืองทั่วโลกโดย EIU บูดาเปสต์มีขีดการแข่งขันอยู่เหนือ กรุงเทลอาวีฟ กรุงลิสบอน กรุงมอสโกว์ และ กรุงโยฮันเนสเบิร์ก นอกจากนี้อัตราภาษีนิติบุคคลของฮังการีมีเพียง 9% ซึ่งค่อนข้างต่ำสำหรับประเทศในสหภาพยุโรป ทำให้บริษัทมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูง
ประเทศฮังการีใช้ค่าเงิน โฟรินต์ฮังการี (HUF) แทนการใช้เงินยูโร (EUR) ถึงแม้ว่าจะมีมูลค่าหนี้สาธารณะต่ำพอที่จะเปลี่ยนค่าเงินได้ แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในสหภาพยุโรป ที่ 73.5% ใน ปี พ.ศ. 2558 ในปัจจุบัน ค่าเงินของประเทศฮังการีมีการควบคุมดูแลโดยธนาคารแห่งชาติประเทศฮังการี (Hungarian National Bank) ตั้งใน พ.ศ. 2467 หลังการล่มสลายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยมีเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี
ธนบัตรโฟรินต์ฮังการี
ธนบัตรทุกฉบับ มีขนาด 154 × 70 มิลลิเมตร (ภาพของธนบัตรในตารางนี้คือฉบับเก่าซึ่งมีรูปแบบแตกต่างจากฉบับใหม่เล็กน้อย)
จำนวน | ภาพ | สีหลัก | แบบธนบัตร | แบบแรก | แบบล่าสุด | ||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ด้านหน้า | ด้านหลัง | ด้านหน้า | ด้านหลัง | ||||
500 โฟรินต์ | ส้ม และ น้ำตาล | เจ้าชายราโกตซี แฟแร็นตส์ที่ 2 (Francis II Rákóczi) ผู้นำกองทัพคุรุตซ์ในการต่อต้านราชวงศ์ฮาพส์บวร์กของจักรวรรดิออสเตรีย | ปราสาทชาโรชปอต็อก (Sárospataki vár) | แบบปี 1998 | แบบปี 2013 | ||
1000 โฟรินต์ | ฟ้า | กษัตริย์แมทเธียส คอร์วินุส (Matthias Corvinus) กษัตริย์ราชวงศ์ฮุนยอดิ ผู้นำประเทศฮังการีเข้าสู่ยุคความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา | น้ำพุเฮอร์คิวลิส ณ ปราสาทวิแชกราด (Visegrádi vár) | แบบปี 1998 | แบบปี 2015 | ||
2000 โฟรินต์ | น้ำตาล | กาโบร์ แบ็ตแล็น (Gábor Bethlen) เจ้าชายแห่งแคว้นทรานซิลเวเนีย ผู้ต่อต้านราชวงศ์ฮาพส์บวร์ก | ภาพวาดโดยวิคโตร์ มอดอราส (Viktor Madarász) ภาพของกาโบร์ แบ็ตแล็นกับที่ปรึกษาผู้ทรงภูมิ | แบบปี 1998 | แบบปี 2013 | ||
5000 โฟรินต์ | เหลือง | โกรฟ อิชต์วาน เซแชญี (István Széchenyi) รัฐบุรุษของประเทศฮังการี ในช่วงปฏิรูปประเทศ และ ผู้สร้างสะพานโซ่เซแชญีที่โด่งดังของกรุงบูดาเปสตต์ ได้ชื่อว่า "ชาวฮังการีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด" | คฤหาสน์เซแชญี (Széchenyi-kastély) ในเมืองน็อจแซ็งค์ (Nagycenk) | แบบปี 1999 | แบบปี 2009 | ||
10000 โฟรินต์ | แดง และ ฟ้า | พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการี (Stephen I) กษัตริย์องค์แรกของฮังการี ผู้เปลี่ยนชาวฮังการีให้นับถือศาสนาคริสต์คาทอลิก แทนลัทธิเพแกนแบบฮังการีโบราณ | ทิวทัศน์ของเมืองแอ็สแตร์โกม (Esztergom) | แบบปี 1997 | แบบปี 2014 | ||
20,000 โฟรินต์ | เทา และ เหลืองอมแดง | แฟแร็นตส์ แดอาค (Ferenc Deák) รัฐบุรุษของประเทศฮังการี ในช่วงปฏิรูปประเทศ | สภาผู้แทนราษฎรเก่าในเมืองแป็ชต์ (ปัจจุบันคือ กรุงบูดาเปสต์ฝั่งตะวันออก) | แบบปี 2001 | แบบปี 2015 |
ตัวเลขทางเศรษฐกิจ | ||
---|---|---|
GDP (nominal) | 161 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ (2019) | |
อัตราการเพิ่มขึ้นของ GDP | 2,2% (2020 Q1) | |
GDP ต่อหัว (PPP) | 33 979 ดอลลาร์ (2019) | |
หนี้สาธารณะ | 31 157 พันล้านโฟรินต์ฮังการี (2020. május) | |
อัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ | 66,3% (2019) | |
อัตราเงินเฟ้อ | 2,9% (2020. június) | |
อัตราส่วนการจ้างงานต่อประชากร | 59,4% (2020. április) | |
อัตราการว่างงาน | 4,1% (2020. május) | |
ค่าจ้างขั้นต่ำ | 161 000 โฟรินต์ฮังการี (2020) | |
อัตราการเติบโตของค่าจ้าง | 7,8% (2020. április) | |
อัตราดอกเบี้ย | 0,6% (2020. július) | |
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา | 15% (2020) | |
ภาษีมูลค่าเพิ่ม | 27% (2020) | |
ภาษีเงินได้นิติบุคคล | 9% (2020) |
เกษตรกรรม
ในประเทศฮังการีมีการกสิกรรมยาวนานหลายศตวรรษ สามารถผลิตผลิตผลทางการเกษตรสำหรับการส่งออกและการบริโภคในประเทศได้ สินค้าทางการเกษตรที่สำคัญ ประกอบด้วย วัวเนื้อ ข้าวสาลี ปาปริก้า และ ไวน์ ตลาดส่วนใหญ่คือยุโรปกลาง และ ยุโรปตะวันออก (เป็นตลาดดั้งเดิมนับตั้งแต่ยุคกลาง) แต่หลังการเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย ก็มีปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่ลดลง เนื่องจากประเทศโฟกัสที่ภาคการบริการ และ ภาคอุตสาหกรรม มากกว่า
70% ของพื้นที่ประเทศฮังการี มีความเหมาะสมกับการเกษตรกรรม และมีพื้นที่ป่า 22.5% มีดินที่แร่ธาตุสูง มีแสงแดดเกือบตลอดปี (ยกเว้นหน้าหนาวที่มีเมฆมาก) มีแม่น้ำไหลผ่านกลางประเทศ ทำให้ผลิตธัญพืช อาทิ ข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ ได้จำนวนมาก และมีผักผลไม้คุณภาพดี การเกษตรคิดเป็น 3.5% ของ GDP และพลเมืองฮังการี 7% ทำงานในภาคเกษตรกรรม ในปี พ.ศ. 2559
การพัฒนาผลิตภัณฑ์
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
พื้นดิน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การครอบครองที่ดิน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อุตสาหกรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ระบบขนส่งสาธารณะ
การขนส่งในประเทศฮังการี มีอยู่หลากหลายแบบ ประกอบด้วย ถนน, รถราง, รถไฟใต้ดิน, รถโทรลีย์บัส, รถไฟ, เครื่องบิน และ เรือล่องแม่น้ำ
ถนน
ประเทศฮังการี มีถนนรวมกันความยาว 159,568 กิโลเมตร โดยที่ 70,050 กิโลเมตร เป็นถนนลาดยาง (รวมทางด่วานความยาว 1,481 กิโลเมตร (ข้อมูลปี ค.ศ. 2016) และ 89,518 กิโลเมตร เป็นถนนไม่ลาดยาง
ถนนฮังการจัดรูปแบบตามด้านล่างนี้:
- Gyorsforgalmi út (ทางด่วน: โยร์ชโฟร์กอลมิ อูต):
- Autópálya (ทางหลวง: เอาโตปายอ): เลนถนน 2+2 และ เลนฉุกเฉิน 1+1, ไม่มีทางแยก เดินทางได้เร็วที่สุด จำกัดความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- Gyorsút (ถนนเร็ว: โยร์ชอูต): 2+2 travel lanes, central reservation, few at-grade intersections, speed limit 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (68 ไมล์ต่อชั่วโมง)
- Autóút (ถนนรถยนต์: เอาโตอูต): 2+2, 2+1 or 1+1 travel lanes, central reservation, some at-grade intersections, speed limit 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (68 ไมล์ต่อชั่วโมง)
- Elsődrendő főút (ถนนทางเอก: แอลเชอแร็นเดอ เฟออูต) (มีเลขถนนหนึ่งตัว เช่น 6)
- Másodrendű főút (ถนนทางโท: มาโชดิก เฟออูต) (มีเลขถนนสองตัว เช่น 57)
- Helyi út (ถนนท้องถิ่น: แฮยิ อูต) (มีเลขถนนสามตัวขึ้นไป เช่น 4519)
ทางด่วนและถนนรถยนต์
ทางด่วน (autópálya: เอาโตปายอ) ในฮังการีมีอยู่ดังนี้:
M1 | M3 | M4 | M5 | M6 | M7 | M8 | M15 | M19 | M30 | M31 | M35 | M43 | M60
ทางรถยนต์ (autóút: เอาโต อูต) ในฮังการีมีอยู่ดั้งนี้
M0 | M2 | M9 | M51 | M70 | M85 | M86
การเดินทางด้วยรถบัส
การขนส่งรถประจำทางระหว่างเทศมลฑล มีบริษัทโวลัน (Volán) ให้บริการทั่วประเทศ โวลันคือบริษัทรถบัส 24 แห่งที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1970 และตั้งชื่อตามภูมิภาคที่ให้บริการ โวลันให้บริการขนส่งท้องถิ่นในเมืองที่ไม่มีบริษัทขนส่งสาธารณะของตัวเอง (ทุกเมืองยกเว้นบูดาเปสต์, มิสโคลก์, เปช, กอโปชวาร์ และ แดแบร็ตแซน) และให้บริการรถบัสในเมืองที่บริษัทท้องถิ่นให้บริการรถรางและรถโทรลีย์บัสเท่านั้น (เมืองแซแก็ด) ในช่วงต้นปี ค.ศ.2015 บริษัท 24 แห่งได้รับการจัดตั้งเป็น บริษัทระดับภูมิภาค 7 แห่ง
ทางรถไฟ
หมายเหตุ: ฮังการีและออสเตรียร่วมกันบริหารจัดการทางรถไฟมาตรฐานข้ามพรมแดนระหว่างเยอร์-โชโปรน-เอเบนเฟิร์ต (Győr–Sopron–Ebenfurt (GySEV/ROeEE)) ระยะทางประมาณ 101 กม. ในฮังการีและ 65 กม. ในออสเตรีย
ในบูดาเปสต์มีสถานีรถไฟ (Pályaudvar: ปายออุดวอร์) หลัก 3 แห่ง ได้แก่ สถานีรถไฟตะวันออก (Keleti) สถานีรถไฟตะวันตก (Nyugati) และสถานีรถไฟใต้ (Déli) โดยมีสถานีนอกเมืองอื่น ๆ เช่น สถานีรถไฟแคแล็นเฟิลด์ (Kelenföld) จากสถานีรถไฟสามแห่ง สถานีรถไฟใต้มีความทันสมัยที่สุด แต่สถานีรถไฟตะวันออกและตะวันตก มีการตกแต่งและสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจกว่า
สถานีรถไฟที่สำคัญอื่น ๆ ทั่วประเทศ ได้แก่ สถานีรถไฟเมืองโซลโน็ก (Szolnok) (จุดตัดรถไฟที่สำคัญที่สุดนอกบูดาเปสต์) สถานีรถไฟทิสซอ (Tiszai) ในเมืองมิชโกลซ์ (Miskolc) และสถานีรถไฟเปช (Pécs), สถานีรถไฟเจอร์ (Győr), สถานีรถไฟแดแบร็ตแซน (Debrecen), สถานีรถไฟแซแก็ด (Szeged) และ สถานีรถไฟเซแก็ชแฟเฮร์วาร์ (Székesfehérvár) โดยเมืองเดียวที่มีระบบรถไฟใต้ดินคือบูดาเปสต์ โดยในบูดาเปสต์ยังมีบริการรถไฟชานเมืองและรอบ ๆ เมือง ซึ่งดำเนินการภายใต้ชื่อ รถไฟเฮฟ (HÉV)
ระบบรถไฟ
- สุทธิ 7,606 กิโลเมตร
- Standard gauge: 7,394 km 1,435 mm (4 ft 8 1⁄2 in) gauge (2,911 km electrified; 1,236 km double track)
- Broad gauge: 36 km 1,520 mm (4 ft 11 27⁄32 in) gauge
- Narrow gauge: 176 km 760 mm (2 ft 5 15⁄16 in) gauge (1998)
ระบบรถไฟระหว่างประเทศ
- ใช้รางแบบเดียวกัน:
- Austria (6 lines)
- Croatia (3 lines)
- Romania (5 lines)
- Serbia (2 lines)
- Slovakia (10 lines)
- Slovenia (1 line)
- ใช้รางคนละแบบ – 1,435 mm (4 ft 8 1⁄2 in) / 1,520 mm (4 ft 11 27⁄32 in)
- Ukraine (2 lines)
สนามบิน
ในฮังการีมีสนามบิน 43-45 แห่งรวมถึงสนามบินขนาดเล็กที่ไม่ได้ลาดยางด้วย โดยสนามบินนานาชาติ 5 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติลิสต์ แฟแร็นซ์ (Budapest-Liszt Ferenc), ท่าอากาศยานนานาชาติแดแบร็ตแซน (Debrecen Airport), ท่าอากาศยานเฮวีซ-บอลอโตน (Hévíz – Balaton International Airport) (ก่อนหน้านี้คือ ชาร์แมลเล็ค Sármellék หรือที่เรียกว่า FlyBalaton เนื่องจากอยู่ใกล้กับทะเลสาบบอลอโตน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของฮังการี) ท่าอากาศยานนานาชาติเยอร์-เปร์ (Győr-Pér และ ท่าอากาศยานนานาชาติเปช-โปกาญ (Pécs-Pogány) (ตั้งแต่ ค.ศ.2015 ไม่มีการให้บริการเที่ยวบินผู้โดยสารปกติจาก Győr-Pér และ ท่าอากาศยานนานาชาติเปช-โปกาญ (Pécs-Pogány) โดยสายการบินประจำชาติฮังการี สายการบินฮังการีมอเล็ฟ (Malév Hungarian Airlines) หยุดให้บริการในปี ค.ศ.2012
สนามบินที่มีรันเวย์ลาดยาง
20 แห่ง
- ยาวกว่า 3,047 m: 2
- 2,438 to 3,047 m: 8
- 1,524 to 2,437 m: 4
- 914 to 1,523 m: 1
- สั้นกว่า 914 m: 1
สนามบินที่ไม่มีรันเวย์ราดยาง
27 แห่ง
- 2,438 to 3,047 m: 3
- 1,524 to 2,437 m: 5
- 914 to 1,523 m: 12
- สั้นกว่า 914 m: 7
สนามบินนานาชาติ
สนามบินที่นานาชาติ 5 สนามบินในฮังการี จากใหญ่ที่สุด ไปน้อยที่สุด:
- Budapest Ferenc Liszt International Airport (BUD): ท่าอากาศยานนานาชาติลิสต์ แฟแรนซ์
- Debrecen International Airport (DEB): ท่าอากาศยานนานาชาติแดแบร็ตแซน
- Hévíz–Balaton Airport (SOB): ท่าอากาศยานเฮวีซ-บอลอโตน
- Győr-Pér International Airport (QGY): ท่าอากาศยานนานาชาติเยอร์-เปร์
- Pécs-Pogány International Airport (QPJ): ท่าอากาศยานนานาชาติเปช-โปกาญ
สนามจอดเฮลิคอปเตอร์
ประเทศฮังการีมีสนามจอดเฮลิคอปเตอร์อยู่ 5 สนาม
ทางน้ำ
ประเทศฮังการีมีแม่น้ำระยะทาง 1,373 กิโลเมตร ที่สามารถเดินเรือได้
ท่าเรือ
ท่าเรือที่สำคัญที่สุด คือ กรุงบูดาเปสต์ (Budapest) เมืองที่สำคัญรองลงมา คือ เมืองดูนออูยวาโรช (Dunaújváros) และ เมืองบอยอ (Baja)
ท่าเรือแม่น้ำดานูบ:
- Győr-Gönyű: เมืองเจอร์
- Komárom: เมืองโคมาโรม
- Budapest: กรุงบูดาเปสต์ (ท่าเรือแชแปล)
- Dunaújváros: เมืองดูนออูยวาโรช
- Dunavecse: เมืองดูนอแวแช
- Madocsa: เมืองมอโดชอ
- Paks: เมืองป็อคช์
- Fadd-Dombori: เมืองฟอดด์-โดมโบริ
- Bogyiszló: เมืองโบจยิซโล
- Baja: เมืองบอยอ
- Mohács: เมืองโมฮาช
ท่าเรือแม่น้ำทิสซอ:
- Szeged: เมืองแซแก็ด
ขนส่งในเมือง
บริษัทที่ให้บริการขนส่งสาธารณะในประเทศฮังการี
- BKK (กรุงบูดาเปสต์ Budapest) (รถบัส รถแทร็ม รถโทรลีย์บัส และ รถไฟใต้ดิน/เมโทร)
- DKV Zrt. (เมืองแดแบร็ตแซน Debrecen) (รถบัส รถแทร็ม และ รถโทรลีย์บัส)
- MVK Zrt. (เมืองมิชโกลซ์ Miskolc) (รถบัส และ รถแทร็ม)
- SzKT Kft. (เมืองแซแก็ด Szeged) (รถแทร็ม และ รถโทรลีย์บัส, ส่วนบัสนั้นเป็นของบริษัท Volánbusz)
- Tüke Busz Zrt. (เมืองเปช Pécs) (รถบัส)
- KT Zrt. (เมืองกอโปชวาร์ Kaposvár) (รถบัส)
- T-busz Kft. (เมืองตอตอบาญอ Tatabánya) (รถบัส)
- V-busz Kft. (เมืองแว็สเปรม Veszprém) (รถบัส)
- KeKo (เมืองแก็ชแกเมต Kecskemét) (รถบัส)
ส่วนในเมืองอื่น ๆ การบริการรถสาธารณะระหว่างเมืองที่ไม่ใช่รถไฟ จะมีแต่รถบัสเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นของบริษัทโวลันบุส Volánbusz
เมโทร/รถไฟใต้ดิน
เมโทรบูดาเปสต์ (Budapest Metro) คือ รถไฟใต้ดินในกรุงบูดาเปสต์ รถไฟใต้ดินสาย 1 ซึ่งเปิดใน ค.ศ.1896 เป็นรถไฟใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดในภาคพื้นทวีปยุโรป, รถไฟใต้ดินสาย 2 เปิดในปี ค.ศ.1970, รถไฟใต้ดินสาย 3 เปิดในปี ค.ศ.1976 และ รถไฟใต้ดินสาย 4 เปิดในปี ค.ศ.2014
รถราง/รถแทร็ม (Tram)
รถราง รถแทร็ม หรือ วิลลอโมช ในเมืองแบบดั้งเดิมที่พลุกพล่านที่สุดในโลกอยู่ในกรุงบูดาเปสต์ เป็นรถรางสาย 4/6 ในบูดาเปสต์ โดยรถรางยาว 50 เมตรจะวิ่งในช่วงเวลา 120 ถึง 180 วินาที ในช่วงเวลาเร่งด่วนและในรถรางมักจะเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนหนึ่งของเส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดียวกับที่รถรางไฟฟ้าเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกบนโลกในปี ค.ศ.1887 โดยตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เครือข่ายรถรางของบูดาเปสต์ได้รับการปรับปรุงโดยการสั่งซื้อรถรางใหม่ (Combino Supra และ CAF Urbos 3) รวมถึงการขยายเส้นทางแทร็มบางสาย (เช่นสาย 1 ไปยังสถานีรถไฟแคแล็นเฟิลด์ (Kelenföld))
เมืองที่มีแทร็มในประเทศฮังการี
- บูดาเปสต์ (Budapest)
- มิชโกลซ์ (Miskolc)
- แซแก็ด (Szeged)
- แดแบร็ตแซน (Debrecen)
โทรลีย์บัส (Trolleybus)
โทรลีย์บัส คือ รถรางใช้ไฟฟ้าที่มีหน้าตาเหมือนรถบัส มีสายไฟต่ออยู่ข้างบน โทรลีย์บัสพบได้ใน 3 เมือง คือ กรุงบูดาเปสต์ (Budapest), เมืองแดแบร็ตแซน (Debrecen) และ เมืองแซแก็ด (Szeged)
ท่อส่งแก็ส
- น้ำมันดิบ: 1,204 กิโลเมตร
- ก๊าซธรรมชาติ: 4,387 กิโลเมตร (ใน ค.ศ.1991)
ระบบโทรคมนาคม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ระบบการศึกษา
ในฮังการีโรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่เป็นของเทศบาล แต่โรงเรียนประถมและมัธยมส่วนใหญ่เป็นของรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 แต่ก็ยังมีกลุ่มคริสตจักร กลุ่มชาติพันธุ์ และ เอกชน ที่เป็นเจ้าของโรงเรียนด้วย แม้ว่าการศึกษาสาธารณะของฮังการีจะมีโลกทัศน์ที่เป็นกลาง แต่สถาบันการศึกษาของคริสตจักรมักจะได้รับเงินอุดหนุนหลายครั้งจากรัฐบาล
เด็กฮังการีจะต้องเข้าโรงเรียนอนุบาลตั้งแต่อายุสามขวบ โดยเริ่มโรงเรียนประถมศึกษาในปีที่เขาอายุครบหกขวบ ก่อนวันที่ 1 กันยายนของปีนั้น ๆ โรงเรียนประถมฮังการีมักจะใช้เวลาแปดปี หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมสายอาชีพ หรือ โรงเรียนมัธยมสายสามัญเพื่อศึกษาต่อได้ โรงเรียนมัธยมสายอาชีพส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาเรียน 4 ปี แต่โรงเรียนมัธยมสายสามัญมักจะใช้เวลา 6-8 ปี ซึ่งเด็กสามารถเข้าเรียนต่อในระดับมัธยม เมื่อเรียนจบเกรด 4 หรือ 6 ได้ตามลำดับ แล้วแต่ว่าเรียนต่อสายใด ตั้งแต่ปีการศึกษาที่ 1997/1998 โรงเรียนมัธยมศึกษามักจะเริ่มการสอนตั้งแต่เกรด 5 7 หรือ 9 พระราชบัญญัติการศึกษาสาธารณะกำหนดให้มีการศึกษาภาคบังคับในฮังการี เด็กทุกคนต้องเรียนหนังสือ
หลังจากสอบสำเร็จการศึกษาแล้วนักเรียนสามารถศึกษาต่อในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยได้ อาทิ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์เอิตเวิช โลรานด์ (ELTE), มหาวิทยาลัยแดแบร็ตแซ็น (University of Debrecen), มหาวิทยาลัยแชมแมลไวช์ (Semmelweis University), มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และวิศวกรรมบูดาเปสต์ (BME), มหาวิทยาลัยคอร์วินุส (Corvinus University) ฯลฯ ด้วยการสอบเข้า และ/หรือ ด้วยคะแนนที่คำนวณจากผลการศึกษา ในปัจจุบันรัฐให้ทุนการศึกษาของรัฐหากนักเรียนตกลงที่จะทำงานในฮังการีเป็นระยะเวลา 20 ปี หลังจากสำเร็จการศึกษาหรือ ชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการฝึกอบรมหลังจากนั้น มิฉะนั้นนักเรียนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมเองเต็มจำนวน ประเทศฮังการีเปลี่ยนมาใช้ระบบการศึกษาแบบโบโลญญาในปี ค.ศ. 2005 ซึ่งมีการแนะนำหลักสูตรปริญญาตรีและหลักสูตรปริญญาโท โดยมี ปริญญาตรี 3 ปี และ ปริญญาโท 2 ปี อันเป็นผลมาจากกระบวนการโบโลญญาหลังจากได้รับปริญญาตรีแล้วนักเรียนอาจศึกษาต่อปริญญาตรีในสาขาอื่น หรือ ศึกษาระดับปริญญาโทต่อ จากการสำรวจของ OECD การศึกษาของฮังการีอยู่ในอันดับที่ 21 ของโลกในแง่ของคุณภาพโดยรวม การใช้จ่ายด้านการศึกษาคิดเป็น 4.85% ของ GDP อัตราส่วนครูต่อนักเรียนคือ 1:11 สัดส่วนของบัณฑิตที่อาศัยอยู่ในประเทศเพิ่มขึ้นสามเท่าระหว่างปี ค.ศ. 1980 ถึง 2010 สัดส่วนของบัณฑิตที่อาศัยอยู่ในฮังการีคือ 19% จากประชากรผู้ใหญ่ ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป
ในปี ค.ศ. 2020 ตามการเรียงลำดับคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยในประเทศฮังการีแล้ว มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศฮังการี คือ มหาวิทยาลัยเอิตเวิช โลรานด์ (Eötvös Loránd Tudományegyetem, ELTE) ตามมาด้วยอันดับที่ 2 มหาวิทยาลัยแซแก็ด (SZTE), อันดับที่ 3 มหาวิทยาลัยวิศวกรรมและเศรษฐศาสตร์บูดาเปสต์ (BME), อันดับที่ 4 มหาวิทยาลัยคาทอลิกเปแตร์ ปาสมาญ (PPKE), อันดับที่ 5 มหาวิทยาลัยแดแบร็ตแซ็น (DE), อันดับที่ 6 มหาวิทยาลัยแชมเมลไวช์ (SE), อันดับที่ 7 มหาวิทยาลัยเปช, อันดับที่ 8 มหาวิทยาลัยคอร์วินุสบูดาเปสต์ (ฺBCE), อันดับที่ 9 มหาวิทยาลัยพันนอน (PE) และอันดับที่ 10 มีสองมหาวิทยาลัยร่วมกัน คือ มหาวิทยาลัยคริสตจักรปฏิรูปกาโรลิ กาชปาร์ (KRE) และมหาวิทยาลัยการบริการสาธาณะแห่งชาติ (NKE) ตามลำดับ มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งของฮังการีมักจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน อาทิ มหาวิทยาลัยเอิตเวิช โลรานด์ เน้นวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมนุษยศาสตร์, มหาวิทยาลัยแซแก็ดเน้นการแพทย์และเภสัชกรรม, มหาวิทยาลัยวิศวกรรมและเศรษฐศาสตร์บูดาเปสต์เน้นวิศวกรรมและเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น
อันดับ | สถาบัน | ชื่อย่อ | อันดับตามผู้สอน | อันดับตามผู้เรียน |
1. | มหาวิทยาลัยเอิตเวิช โลรานด์ (Eötvös Loránd Tudományegyetem) | ELTE | 1. | 1. |
2. | มหาวิทยาลัยแซแก็ด (Szegedi Tudományegyetem) | SZTE | 2. | 5. |
3. | มหาวิทยาลัยวิศวกรรมและเศรษฐศาสตร์บูดาเปสต์ (Budapesti Műszaki és Gazdaságtudományi Egyetem) | BME | 7. | 2. |
4. | มหาวิทยาลัยคาทอลิกเปแตร์ ปาสมาญ (Pázmány Péter Katolikus Egyetem) | PPKE | 6. | 6. |
5. | มหาวิทยาลัยแดแบร็ตแซ็น (Debreceni Egyetem) | DE | 4. | 9. |
6. | มหาวิทยาลัยแชมเมลไวช์ (Semmelweis Egyetem) | SE | 9. | 4. |
7. | มหาวิทยาลัยเปช (Pécsi Tudományegyetem) | PTE | 4. | 10. |
8. | มหาวิทยาลัยคอร์วินุสบูดาเปสต์ (Budapesti Corvinus Egyetem) | BCE | 15. | 2. |
9. | มหาวิทยาลัยพันนอน (Pannon Egyetem) | PE | 3. | 16. |
10. | มหาวิทยาลัยคริสตจักรปฏิรูปกาโรลิ กาชปาร์ (Károli Gáspár Református Egyetem) | KRE | 10. | 12. |
10. | มหาวิทยาลัยการบริการสาธาณะแห่งชาติ (Nemzeti Közszolgálati Egyetem) | NKE | 16. | 6. |
ประชากรศาสตร์
ในปี พ.ศ. 2562 ประเทศฮังการีมีประชากรจำนวน 9,772,756 คน ความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ 105.1 คน /ตารางกิโลเมตร การเติบโตของประชากรคือ -0.1% สาเหตุหลักที่ทำให้ประชากรลดลง คือ อัตราการเสียชีวิตที่สูง มีผู้เสียชีวิต 12.9 ต่อ 1,000 คน (สถิติปี พ.ศ. 2554) ซึ่งเป็นผลมาจากสุขภาพที่ไม่ดีของประชากรและจำนวนการเกิดต่ำ (อัตราการตายของทารกต่ำ 5 ใน 1000) การย้ายถิ่นฐานตามธรรมชาติ ออกจากประเทศ ประมาณ 35,000-40,000 คน / ปี และมีผู้เข้ามาอาศัยเพิ่ม 10,000-15,000 คนต่อปี อายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 71.5 ปีสำหรับผู้ชาย และ 79.19 ปีสำหรับผู้หญิง ประชากรฮังการีมีสัดส่วนของคนหนุ่มสาวกำลังลดลงมากขึ้นเรื่อย ๆ และประชากรผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ประชากรอายุ 0-14 ปีคิดเป็น 14.8% ของประเทศ ประชากรอายุ 15-64 ปีคิดเป็น 67.7% และผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีคิดเป็น 17.5% ของประชากรทั้งประเทศ การใช้จ่ายด้านสุขภาพคิดเป็น 7.75% ของ GDP
ชาติพันธุ์
ประเทศฮังการีมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวม็อจยอร์ (หรือ ชาวฮังการี) มากกว่า 80% และมากกว่า 90% ของพลเมืองทั้งหมด สื่อสารโดยใช้ภาษาฮังการี ประเทศฮังการียอมรับชนกลุ่มน้อยขนาดใหญ่ 2 กลุ่มซึ่งถูกกำหนดให้เป็น "ชนกลุ่มน้อยแห่งชาติ" เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาอาศัยอยู่ในภูมิภาคของตนมานานหลายศตวรรษในพรมแดนฮังการี ประกอบด้วย ชุมชนชาวเยอรมันประมาณ 130,000 คนที่อาศัยอยู่ทั่วประเทศ และ ชนกลุ่มน้อยชาวยิปซีจำนวนประมาณ 300,000 คนซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทางตอนเหนือของประเทศ การศึกษาบางชิ้นระบุว่าชาวยิปซีในฮังการีมีจำนวนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (876,000 คน - ประมาณ 9% ของประชากร) จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2554 ประเทศฮังการี มีชาวฮังการี 8,314,029 (83.7%) ชาวยิปซี 308,957 คน (3.1%) ชาวเยอรมัน 131,951 คน (1.3%) ชาวสโลวัก 29,647 คน (0.3%) ชาวโรมาเนีย 26,345 คน (0.3%) และ ชาวโครเอเชีย 23,561 คน (0.2%) โดยมีอยู่ 1,455,883 คน (14.7% ของประชากรทั้งหมด) ที่ไม่ได้ประกาศชาติพันธุ์ของตน ดังนั้นชาวฮังกาเรียนจึงประกอบด้วยคนมากกว่า 90% ที่ประกาศชาติพันธุ์ของตน ในฮังการีผู้คนสามารถประกาศชาติพันธุ์ได้มากกว่าหนึ่งชาติพันธุ์ดังนั้นจำนวนชาติพันธุ์จึงสูงกว่าจำนวนประชากรทั้งหมด
ปัจจุบันมีชาวฮังการีพลัดถิ่น 5 ล้านคนที่อาศัยอยู่นอกประเทศฮังการี โดยเฉพาะในโรมาเนีย และ สโลวาเกีย เนื่องจากสนธิสัญญาทรียานง ซึ่งแบ่งแยกประเทศฮังการีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ศาสนา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เขตเมือง
| อันดับ | ชื่อเมือง | เทศมลฑล | ประชากร (พ.ศ. 2562) | อันดับ | ชื่อเมือง | เทศมลฑล | ประชากร (พ.ศ. 2562) | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1. | บูดาเปสต์ Budapest | บูดาเปสต์ | 1 752 286 | 11. | โซลโนก Szolnok | ยาส-น็อจกุน-โซลโนก | 71 285 | ||
2. | แดแบร็ตแซ็น Debrecen | ฮ็อยดู-บิฮอร์ | 201 432 | 12. | เอรด์ Érd | แป็ชต์ | 68 211 | ||
3. | แซแก็ด Szeged | โชงกราด | 160 766 | 13. | ตอตอบาญอTatabánya | โกมาโรม-แอ็สแตร์โกม | 65 845 | ||
4. | มิชโกลส์ Miskolc | โบร์โชด-ออบออูย-แซ็มเปลน | 154 521 | 14. | โชโปรน Sopron | เยอร์-โมโชน-โชโปรน | 62 671 | ||
5. | เปช Pécs | บอรอญอ | 142 873 | 15. | กอโปสวาร์ Kaposvár | โซโมจ | 61 441 | ||
6. | เยอร์ Győr | เยอร์-โมโชน-โชโปรน | 132 038 | 16. | แว็สเปรม Veszprém | แว็สเปรม | 59 738 | ||
7. | ญีแร็จฮาซอ Nyíregyháza | ซอโบลช์-ซ็อดมาร์-แบแร็ก | 116 799 | 17. | เบเกชชอบอ Békéscsaba | เบเกช | 58 996 | ||
8. | แก็ชแกเมต Kecskemét | บาช-กิชกุน | 110 687 | 18. | ซอลอแอแกร์แซ็ก Zalaegerszeg | ซอลอ | 57 403 | ||
9. | เซแก็ชแฟเฮร์วาร์ Székesfehérvár | แฟเยร์ | 96 940 | 19. | แอแกร์ Eger | แฮแว็ช | 52 898 | ||
10. | โซมบ็อตแฮย์ Szombathely | ว็อช | 78 407 | 20. | น็อจคอนิจอ Nagykanizsa | ซอลอ | 46 649 |
วัฒนธรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ศิลปะ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วิทยาศาสตร์
สถาบันวิทยาศาสตร์ฮังการี (Magyar Tudományos Akadémia (ตัวย่อ: MTA)) ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน ปีค.ศ.1825 ณ เมืองโปโจญ (Pozsony เมืองหลวงของราชอาณาจักรฮังการีในยุคนั้น ปัจจุบันเมืองโปโจญคือกรุงบราติสลาวา เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกีย) เป็นหนึ่งในสถาบันที่ตั้งขึ้นในยุคปฏิรูปของประเทศฮังการี (Magyar reformkor) โดยโกรฟ อิชต์วาน เซแชนยี (Széchenyi István) รัฐบุรุษฮังการี ได้ให้รายได้ทั้งหมดที่เขาได้รับในหนึ่งปี ในการก่อตั้งสมาพันธ์นักวิทยาศาสตร์ฮังการี (ซึ่งต่อมากลายเป็น MTA) ขึ้นในปีนั้น (Magyar Tudós Társaság) พร้อมกับได้รับเงินช่วยเหลือจากขุนนางคนอื่น ๆ ด้วย จวบจนถึงทุกวันนี้ MTA เป็นหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ของรัฐฮังการีอันมีหน้าที่หลักในการปลูกฝังความคิดทางวิทยาศาสตร์ เผยแพร่ผลงานวิทยาศาสตร์ และเป็นตัวแทนนักวิทยาศาสตร์ฮังการี โดยมีภารกิจสำคัญในการสนับสนุนเงินทุนและความช่วยเหลือในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
รายชื่อนักวิทยาศาสตร์ชาวฮังการีผู้ได้รับรางวัลโนเบล (เรียงจากล่าสุดไปเก่าที่สุด):
ชื่อ | ค.ศ.ที่ได้รับรางวัล | งานวิจัย | ประเภทรางวัล |
---|---|---|---|
อิมแร แกร์เตส Kertész Imre | 2002 | งานประพันธ์ | วรรณกรรม |
จเยอร์จ โอลาฮ์ Oláh György | 1994 | คาร์โบเคชั่น | เคมี |
ยาโนช ฮอร์ชาญิ Harsányi János | 1994 | ทฤษฎีเกม | เศรษฐศาสตร์ |
เดนนิส กาบอร์ Gábor Dénes | 1971 | การคิดค้นภาพโฮโลแกรม | ฟิสิกส์ |
แยเนอ วิกแนร์ Wigner Jenő | 1963 | ทฤษฎีนิวเคลียสและอนุภาคมูลฐาน | ฟิสิกส์ |
เบเกชี จเยอร์จ Békésy György | 1961 | การศึกษากลไกทางกายภาพของการกระตุ้นหูชั้นใน | การแพทย์ |
จเยอร์จ แฮแวชี Hevesy György | 1943 | การใช้ไอโซโทปกัมมันตภาพรังสีในการศึกษากระบวนการทางเคมีต่าง ๆ เช่น การเมทาบอลิซึมในสัตว์ | เคมี |
อัลแบรต์ เซนท์-จเยอร์จยี Szent-Györgyi Albert | 1937 | การค้นพบวิตามินซีและวิตามินพี | การแพทย์ |
ริชาร์ด จิกโมนดี Zsigmondy Richárd | 1925 | การศึกษาลักษณะที่แตกต่างกันของสารละลายและวิธีการคอลลอยด์ที่จำเป็นในเคมีคอลลอยด์สมัยใหม่ | เคมี |
โรแบร์ต บาราญ Bárány Róbert | 1914 | คุณสมบัติระบบการทรงตัวในหูมนุษย์ | การแพทย์ |
ฟึเลิป เลนาร์ด Lénárd Fülöp | 1905 | การวิจัยเรื่องคุณสมบัติของรังสีแคโทด | ฟิสิกส์ |
สถาปัตยกรรม
ประเทศฮังการีเป็นที่ตั้งของโบสถ์ยิวที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1859 ในสไตล์มูริชรีไววอล ซึ่งจุคนได้ถึง 3,000 คน รวมถึงเป็นที่ตั้งของโรงอาบน้ำสปายาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป (โรงอาบน้ำเซแชญี) สร้างเสร็จในปี 1913 ในสไตล์โมเดิร์นเรเนซองส์ และตั้งอยู่ในสวนสาธารณะในเมืองบูดาเปสต์ ส่วนอาคารที่ใหญ่ที่สุดในฮังการีมีความยาว 268 เมตร ซึ่งก็คืออาคารรัฐสภาฮังการี (Országház) และประเทศฮังการียังเป็นที่ตั้งของมหาวิหารแอสแตร์โกม หนึ่งในมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป (Esztergomi Bazilika) และอารามศาสนาคริสต์ซึ่งมีขนาดอาณาเขตที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ชื่อว่า อารามปอนโนนฮอลมอ (Pannonhalma Archabbey) และสุสานคริสเตียนยุคแรกที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศอิตาลี ณ เมืองเปช (Pécs) ทางตอนใต้ของประเทศฮังการี
รูปแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในฮังการี ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบฮิสตอริซิสม์ (Historicism) และสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) อาร์ตนูโวของฮังการีมีพื้นฐานมาจากลักษณะสถาปัตยกรรมประจำชาติ มีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกที่ชาวฮังการีอพยพมาเมื่อ 1 พันปีก่อน เออเดิน แลคแนร์ (Ödön Lechner (1845–1914)) ศิลปินที่สำคัญที่สุดในศิลปะแบบอาร์ตนูโวของฮังการี โดยเริ่มแรกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมอินเดียและซีเรีย และต่อมาจากการออกแบบตกแต่งแบบฮังการีดั้งเดิม ด้วยวิธีนี้เขาสร้างการสังเคราะห์รูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ด้วยการนำองค์ประกอบเหล่านี้ไปใช้กับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมสามมิติ เขาได้ผลิตอาคารรูปแบบศิลปะอาร์ตนูโวที่มีลักษณะเฉพาะตัวแบบฮังการี กลุ่ม "คนรุ่นใหม่" (Fiatalok) ซึ่งมีสถาปนิกรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่มีชื่อเสียง อาทิ กาโรย โกช (Károly Kós) และ แดเจอ ซรุมแมชกี (Dezsö Zrumeczky) ได้ใช้โครงสร้างลักษณะและรูปแบบของสถาปัตยกรรมฮังการีแบบดั้งเดิม เพื่อการสร้างสถาปัตยกรรมขึ้นในยุคต่อมา (ศตวรรษที่ 20)
นอกจากสองรูปแบบหลักแล้ว กรุงบูดาเปสต์เมืองหลวงของประเทศฮังการี มีสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่มีต้นกำเนิดจากประเทศในยุโรปอื่น ๆ เซเซชชัน (Sezession) จากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ยุงเงนสติล (Jugendstil) แบบเยอรมนี อาร์ตนูโวจากเบลเยียมและฝรั่งเศส ร่วมกับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมอังกฤษและฟินแลนด์ อิทธิพลทางศิลปะนี้สะท้อนให้เห็นในอาคารที่สร้างขึ้นในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 20 โดยเริ่มแรก เบลอ ลอยตอ (Béla Lajta) นำสไตล์ของ Lechner มาใช้ ต่อมาได้รับแรงบันดาลใจจากเทรนด์สถาปัตยกรรมแบบอังกฤษและฟินแลนด์ หลังจากพัฒนาความสนใจในสไตล์อียิปต์ในที่สุดเขาก็มาถึงสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ออลอดาร์ อาร์กอย (Aladár Árkay) ใช้เส้นทางเกือบเดียวกัน อิชต์วาน แมดจยอซอย (István Medgyaszay) ได้พัฒนาสไตล์ของตัวเองซึ่งแตกต่างจาก Lechner โดยใช้ลวดลายแบบดั้งเดิมที่มีสไตล์เพื่อสร้างการออกแบบตกแต่งในคอนกรีต ในแวดวงศิลปะประยุกต์ผู้ที่รับผิดชอบส่วนใหญ่ในการส่งเสริมการแพร่กระจายของอาร์ตนูโวคือ โรงเรียนและพิพิธภัณฑ์มัณฑนศิลป์ ซึ่งเปิดในปี ค.ศ. 1896
อาคารต่าง ๆ ในย่านใจกลางเมืองบูดาเปสต์เกือบทั้งหมดมีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี มีกำแพงหนาเพดานสูงและลวดลายที่ผนังด้านหน้า และมีความซับซ้อนทางสถาปัตยกรรม
เพลง
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วรรณกรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อาหาร
ชาวฮังการีทานขนมปังเป็นหลัก รวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากนม (เช่น ชีส ตูโร ครีมเปรี้ย) แป้งพาสต้า เกี๊ยว หรือ มันฝรั่ง โดยอาหารฮังการีมักมีความข้น มีเครื่องเทศจำพวกพริกไทยและพริกปาปริก้าแดงอยู่จำนวนมาก[240] เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมอาหารฮังการี อาหารฮังการีมักผสมชีสและครีมเปรี้ยวลงไป และมักใช้เนื้อสัตว์อย่างเช่น วัว หมู หรือ แกะ และมักไม่ค่อยจะมีผักใบเขียว โดยยกตัวอย่างซุปกูยาช (Gulyás) ที่เป็นอาหารประจำชาติของฮังการีที่ เป็นตัวอย่างเมนูที่ดีที่แสดงคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีอยู่เด่นชัดในอาหารฮังการี ซุปกูยาชมีการปรุงรสด้วยปาปริก้า (พริกแดงบด) มันฝรั่ง เนื้อสัตว์ ครีมข้น และ แครอทลงไป และบางครั้งก็มีการใส่ครีมเปรี้ยวแบบฮังการีชนิดข้นที่เรียกว่า แตยเฟิล (Telföl) ลงไป เพื่อทำให้อาหารมีรสชาติเปรี้ยวและทำให้รสชาติอาหารอ่อนลง
มีอาหารฮังการีอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กับซุปกูยาช ดังนี้
- ซุปชาวประมง (Halászlé - ฮอลาสเล) ซึ่งเป็นซุปปลาแม่น้ำอุ่น ๆ ของฮังการีที่มีชื่อเสียง เรียกว่า "ซุปของชาวประมง หรือ ฮอลาซเลมักจะมีส่วนผสมของปลาลวกหลายชนิด ผสมกับเครื่องเทศฮังการีต่าง ๆ [241]
- สตูว์เนื้อเปอร์เกิลต์ (Pörkölt - เปอร์เกิลต์) สตูว์เนื้อสัตว์คั่วกับเครื่องเทศ มักทานกับพาสต้าโนแคดลิ (nokedli) หรือ ขนมปัง
- ลางโกช (Lángos) แป้งปาท่องโก๋ขนาดยักษ์ทอดน้ำมัน ใส่ชีส ครีมเปรี้ยว และ น้ำมันกระเทียมเจียว
- ไก่ราดปาปริก้า (Csirkepaprikás: ชิร์แกะปอปริกาช) ไก่ราดพริกปาปริก้า ราดด้วยครีมปาปริก้าเข้มข้น ทานกับเกี๋ยวแป้งขนาดเล็ก เรียกว่า โนแคดลิ (nokedli)
- แพนเค้กฮอร์โตบาจ (Hortobágyi palacsinta) เป็นเครปเปรี้ยวสอดไส้เนื้อลูกวัว