เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์
เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ มีพระนามเต็มว่า เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ ดำรงรัฐสีมาอุบลราชธานีบาล พระนามเดิมว่า เจ้าหน่อคำ พรหมเทพสกุล
เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ (หน่อคำ พรหมเทพ) | |
---|---|
เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทศราช | |
ก่อนหน้า | พระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) |
ถัดไป | เจ้าราชบุตร (หนูคำ) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | นครหลวงเวียงจันทน์ |
เสียชีวิต | เมืองอุบลราชธานี |
ศาสนา | ศาสนาพุทธ |
ทรงเป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ ๕ ในฐานะเจ้าประเทศราชต่อจากพระพรหมราชวงศา (กุคำ สุวรรณกูฎ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ ๔ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เดิมมีพระยศในตำแหน่งคณะอาญาสี่เป็นที่เจ้าราชวงษ์นครจำปาศักดิ์ ในสมัยเจ้าราชบุตร (โย่) พระราชโอรสในเจ้าอนุวงศ์เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ทรงเป็นต้นสกุลพระราชทาน ๓ สกุลคือ พรหมโมบล เทวานุเคราะห์ และ พรหมเทพ
ราชตระกูลแห่งราชวงศ์เวียงจันทน์
เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ทรงสืบเชื้อสายราชตระกูลมาจากราชวงศ์เวียงจันทน์อันเก่าแก่ พระองค์เป็นพระโอรสในเจ้าเสือกับเจ้านางท่อนแก้ว เจ้าเสือผู้เป็นพระบิดานั้นเป็นพระราชโอรสในเจ้าอนุวงศ์ พระมหากษัตริย์แห่งนครเวียงจันทน์พระองค์สุดท้าย ดังนั้น เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์จึงมีศักดิ์เป็นพระราชนัดดา (หลานปู่) ในสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๕ และเป็นพระราชปนัดดา (เหลนทวด) ในสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๓ (สมเด็จพระเจ้าสิริบุญสาร) ฝ่ายพระมารดาคือเจ้านางท่อนแก้วนั้นเป็นพระธิดาในสมเด็จเจ้ามหาอุปฮาต (ติสสะ) ผู้เป็นอุปราชนครหลวงเวียงจันทน์ในสมัยสงครามกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๕ และสมเด็จเจ้ามหาอุปฮาต (ติสสะ) ยังเป็นพระราชอนุชาต่างพระมารดากับสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๕ ดังนั้น เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์จึงมีศักดิ์เป็นพระราชนัดดา (หลานตา) ในสมเด็จเจ้ามหาอุปฮาต (ติสสะ) อีกด้วย
เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์มีพระญาติใกล้ชิดเป็นพระขนิษฐภคินี (น้องสาว) คือเจ้าหญิงหนูมั่น ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าจอมมารดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) โดยได้รับพระราชทานพระนามใหม่ว่า เจ้าจอมมารดาดวงคำ เจ้าหญิงหนูมั่นเป็นพระธิดาในเจ้าคลี่กับเจ้านางท่อนแก้ว เจ้าคลี่เป็นพระราชโอรสในเจ้าอนุวงศ์ เจ้าคลี่จึงมีศักดิ์เป็นพี่น้องกับเจ้าเสือผู้เป็นพระบิดาในเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ ฝ่ายเจ้านางท่อนแก้วนั้นเป็นพระธิดาในสมเด็จเจ้ามหาอุปฮาต (ติสสะ) ดังนั้น เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์และเจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงดวงคำ จึงเป็นพี่น้องร่วมพระมารดาแต่ต่างพระบิดากัน นอกจากนี้ เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ยังมีศักดิ์เป็นลุงของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านารีรัตนา และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) กับเจ้าจอมมารดาดวงคำ และเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ยังมีศักดิ์เป็นหลานลุงในสมเด็จเจ้าราชบุตร (โย่) พระเจ้านครจำปาศักดิ์ ผู้เป็นพระเชษฐาของเจ้าเสือพระบิดาในเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์
ขึ้นเป็นเจ้าประเทศราช
เมืองอุบลราชธานีนี้ เดิมแรกตั้งเมืองมีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ปรากฏความในเอกสารจดหมายเหตุ ร.๑ จ.ศ. ๑๑๕๔ เลขที่ ๒ สมุดไทยดำ เรื่องทรงตั้งเจ้าประเทศราชกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องตั้งให้พระประทุม เป็นพระประทุมวรราชสุริยวงษเมืองอุบลราชธานี ความว่า "ด้วย พระบาทสมเดจ๊พระพุทธิเจ้าอยหัว ผู้พานพิภพกรุงเทพพระมหาณครศรีอยุทธยา มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมตั้งให้พระประทุม เปนพระประทุมววรราชสุริยวงษ ครองเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช เศกให้ ณ วัน ๒ ฯ ๑๓ ๘ ค่ำจุลศักราช ๑๑๕๔ ปีชวดจัตวาศก" เจ้าผู้ปกครองเมืองมีพระยศเป็นพระประเทศราช นิยมออกคำนำนามพระยศในจารึกว่า เจ้าพระ เช่น เจ้าพระประทุมฯ เจ้าพระพรหมฯ เป็นต้น เจ้านายสายแรกที่ปกครองเมืองทรงปกครองเมืองดอนมดแดงมาก่อน ทรงสืบเชื้อสายจากราชตระกูลนครศรีสัตนาคณหุตล้านช้างเวียงจันทน์และนครเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า ตั้งแต่ครั้งเจ้าพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าทิดพรหม) เจ้าเมืองพระองค์ก่อนเถิงแก่พิราลัย ทางราชการบ้านเมืองก็ยังหาตัวเจ้าเมืองจะปกครองมิได้ พระเจ้าแผ่นดินสยามจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าราชวงศ์ (หน่อคำ) เจ้านายในคณะอาญาสี่เมืองนครจำปาศักดิ์ ผู้เป็นพระเชษฐาในเจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงดวงคำมาเป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามว่า เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ ดำรงรัฐสีมา อุบลราชธานีบาล เพื่อให้คล้องกันกับพระนามของ เจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ ดำรงรัฐสีมา มุกดาหาราธิบดี หรือเจ้าหนู เจ้าเมืองมุกดาหารบุรี (บังมุก) ผู้เป็นพระญาติใกล้ชิด ส่วนตำแหน่งเจ้าราชวงศ์นครจำปาศักดิ์เมื่อว่างลงแล้วนั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพิมพิสาร (บัวระพันธ์) พระโอรสในเจ้านุด พระราชนัดดาในเจ้านครจำปาศักดิ์ (หมาน้อย หรือ พรหมาน้อย) รับตำแหน่งสืบไป
วิวาทกับเจ้านายกรมการเมืองอุบลราชธานี
พี่น้อง
การพระศาสนา
อัญเชิญพระเจ้าทองทิพย์จากนครเวียงจันทน์
สร้างวัดไชยมงคล
วัดธรรมยุติกนิกายลำดับ ๔ แห่งเมืองอุบลราชธานี
วัดไชยมงคลเป็นวัดราษฎร์ ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๒ ถนนสุรศักดิ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี รหัสไปรษณีย์ ๓๔๐๐๐ มีเนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๓ งาน ๘๙.๗ ตารางวา ตามเอกสารโฉนดที่ ๑๙๔๕ เลขที่ดิน ๑ หน้าสำรวจ ๑๐๖ เล่มที่ ๒๐ หน้า ๔๕ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ออกให้ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ โดยมีอาณาเขตทิศเหนือจรดถนนพโลชัย ทิศใต้จรดถนนสุรศักดิ์ ทิศตะวันออกจรดถนนสาธารณประโยชน์ ทิศตะวันตกจรดที่ดินเอกชน วัดไชยมงคลเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี โดยเป็นวัดที่สร้างขึ้นเป็นลำดับที่ ๔ ในบรรดาวัดที่สังกัดธรรมยุติกนิกายในเมืองอุบลราชธานี โดยวัดแรกที่สร้างขึ้นคือวัดสุปัฏนารามวรวิหาร สร้างโดยเจ้าพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าทิดพรหม ต้นสายสกุล พรหมวงศานนท์) (พ.ศ. ๒๓๓๘ - ๒๓๘๘) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ ๒ วัดที่สร้างขึ้นเป็นลำดับที่ ๒ คือวัดศรีอุบลรัตนาราม (วัดศรีทอง) สร้างโดยพระอุปฮาด (โท ต้นราชตระกูล ณ อุบล) และคณะกรมการเมืองอุบลราชธานี โดยเริ่มสร้างกุฎิ วิหาร และศาลาการเปรียญขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ นอกจากนี้เจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานียังได้ร่วมมือกันสร้างวัดสุทัศนาราม ซึ่งเป็นวัดในสังกัดธรรมยุติกนิกายแห่งที่ ๓ ส่วนวัดไชยมงคลนั้นเป็นวัดสังกัดธรรมยุติกนิกายในลำดับที่ ๔
มูลเหตุสร้างวัดไชยมคล
วัดไชยมงคลสร้างขึ้นโดยเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ (พ.ศ. ๒๔๐๙-๒๔๒๕) ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) มูลเหตุการสร้างวัดไชยมงคลขึ้นนั้น ตามประวัติกล่าวว่า เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๙ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์นุเคราะห์วงศ์ (บ้างออกพระนามว่าเจ้าพรหมเทวานุสรณ์) เป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานีพระองค์ที่ ๔ แล้ว ในปีเดียวกันได้เกิดกบฏฮ่อขึ้นที่นครหลวงเวียงจันทน์ฝั่งประเทศลาว ขณะนั้นสยามถือว่าแผ่นดินฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงยังเป็นประเทศราชของสยามอยู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) จึงได้มีพระบรมราชโองการให้เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ ยกกองทัพไปปราบกบฏฮ่อที่นครหลวงเวียงจันทน์ เมื่อพระได้รับพระบรมราชโองการแล้ว พระองค์จึงสั่งให้แม่ทัพนายกองรวบรวมไพร่พล พระองค์เห็นว่าสถานที่รวบรวมไพร่พลหรือบริเวณที่ตั้งวัดปัจจุบันนี้ มีความร่มรื่น มีต้นโพธิ์ต้นไทรเจริญงอกงามอยู่เป็นจำนวนมาก สถานที่นี้มีชัยภูมิอันดีเหมาะที่จะเป็นที่รวบรวมไพร่พลเพื่อยกกองทัพไปปราบกบฏฮ่อ ด้วยความที่เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ทรงมีเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์ที่เป็นนักรบ พระองค์จึงสามารถปราบกบฏฮ่อสำเร็จอย่างง่ายดาย หลังเสร็จศึกสงครามแล้วจึงเดินทางกลับมาที่เมืองอุบลราชธานี และทรงดำริที่จะสร้างอนุสรณ์สถานแห่งชัยชนะขึ้น ณ สถานที่รวบรวมไพร่พล พระองค์จึงทรงรวบรวมกำลังศรัทธาจากเหล่าข้าราชบริพาร ไพร่พล และชาวบ้านชาวเมืองอุบลราชธานี สร้างวัดขึ้น ณ สถานที่เคยเป็นที่รวบรวมไพร่พลก่อนเดินทางไปปราบกบฏฮ่อ ในปีพุทธศักราช ๒๔๑๔ โดยพระราชทานนามวัดว่า วัดไชยมงคล เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ พร้อมทั้งได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระปราบไพรีพินาศ ที่อัญเชิญมาจากนครหลวงเวียงจันทน์ มาประดิษฐานไว้ที่วัดไชยมงคลแห่งนี้ ส่วนอีกองค์หนึ่งคือ พระทองทิพย์ ทรงนำไปประดิษฐานไว้ที่วัดศรีทองหรือวัดศรีอุบลรัตนาราม ในปัจจุบัน เมื่อดำเนินการสร้างวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์พร้อมทั้งชาวบ้านชาวเมืองได้กราบอาราธนาเจ้าอธิการสีโหหรือท่านอัญญาสิงห์จากวัดศรีอุบลรัตนาราม มาเป็นเจ้าอาวาสวัดไชยมงคลรูปแรก
ลำดับเจ้าอาวาสวัดไชยมงคล (พ.ศ. ๒๔๑๔-๒๕๕๓)
- เจ้าอธิการสีโห (เจ้าอธิการสิงห์) เจ้าอาวาสรูปแรก (พ.ศ. ๒๔๑๔) เดิมอยู่วัดศรีทอง
- ญาครูลา บ้านเดิมอยู่บ้านปลาดุก
- ญาครูคำ บ้านเดิมอยู่บ้านก้านเหลือง
- พระอาจารย์ทอง
- พระอาจารย์มหาคำแสน
- พระอาจารย์กอง
- พระครูชิโนวาทสาทร (พระมหาอุทัย ปภสฺสโร, ปธ. ๔) พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๓๘
- พระครูมงคลชัยคุณ (พระสมชาย กลฺยาโณ) พ.ศ. ๒๕๓๘-๒๕๔๓)
- พระครูจิตวิสุทธิญาณคุณ (พระจตุรงค์ ญาณุตฺตโม) พ.ศ. ๒๕๔๓-ปัจจุบัน ๒๕๕๓)
ผลงาน
เสด็จราชการทัพศึกฮ่อ
ขอตั้งเมืองชานุมานมลฑลและเมืองพนานิคม
รวบรวมตำนานเมืองจำปาศักดิ์
เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ทรงเป็นเจ้านายลาวพระองค์หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการค้นคว้า และรวบรวมตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์ร่วมกันกับเจ้าราชวงษ์ผู้เป็นเจ้านายลาวจากนครจำปาศักดิ์ ตำนานนี้ถูกรวบรวมไว้ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๐ เรียกว่า ตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์ ฉะบับเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์ และเจ้าราชวงศ์ ดังปรากฏความในตอนต้นของตำนานว่า
...วัน ๔ เดือน ๖ ขึ้นค่ำ ๓ ปีระกาตรีศกศักราช ๑๒๒๓ ตรงกับปีคฤสตศักราช ๑๘๖๑ เป็นปีที่ ๑๑ ในรัชชกาลที่ ๔ ในพระบรมราชวงศ์อันนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ สุทธสมมติเทพยพงศ์วงศาดิศวรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมราชมหาจักรพรรดิราชสังกาศ บรเมธรรหิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตรพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ที่ ๔ ในพระบรมราชวงศ์อันนี้ มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งพระศรีสุนทรโวหารเจ้ากรมพระอาลักษณ์ และเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์เจ้าเมืองอุบลราชธานี และเจ้าราชวงศ์เมืองนครจำปาศักดิ์เก่า ซึ่งเป็นโทษต้องถอดออกนอกราชการค้างอยู่นานในกรุงเทพมหานคร มารวบรวมพงศาวดารเก่าของเมืองนครจำปาศักดิ์ และรวบรวมจดหมายเหตุเก่าใหม่มีใน ๔ แผ่นดินมาเลือกเอาความตามสมควร แล้วเรียงเรื่องพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกเอกอุดมลงไว้ เพื่อจะให้ผู้อ่านได้ทราบความเดิม ตามเหตุที่มีจริงเป็นจริงดังจะกล่าวไปนี้...
ตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์ฉบับนี้ ได้ถูกนำมาอ้างอิงทางวิชาการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ลาวและประวัติศาสตร์อีสานอยู่บ่อยครั้งในวงการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบัน
การพระราชทานเพลิง
เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ทรงมีพระชนม์และถึงพิราลัยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๖ พร้อมกับพระศพของพระขนิษฐภคินีคือ เจ้าจอมมารดาดวงคำ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โดยหลังจากพิธีเก็บอัฐิเจ้าจอมมารดาดวงคำ แล้ว ได้ชักศพเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงษ์ขึ้นตั้งในเมรุ ประกอบหีบทองทึบ มีการมหรศพ เวลาบ่ายพระราชทานเพลิง พระราชทานผ้าไตร 5 ไตร ผ้าขาวพับ 10 พับ กัลปพฤกษ์ 2 ต้น ต้นละ 20 บาท กับดอกไม้เพลิง และหนัง
อนุสรณ์
จังหวัดอุบลราชธานีได้ตั้งชื่อถนนสายหนึ่งว่า ถนนพรหมเทพ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระนามและคุณงามความดีของพระองค์
เกี่ยวกับนามสกุล
สกุลพรหมโมบล
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานนามสกุลแก่ทายาทใกล้ชิดของเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ว่า พรหโมบล เขียนเป็นอักษรโรมันว่า Brahmopala ลำดับเลขทะเบียนพระราชทานนามสกุลที่ ๑๔๐๔ ทรงพระราชทานแก่หลวงบุเรศผดุงกิจ (รวย) ปลัดกรมกองตระเวณ เป็นหลานเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์ เมืองอุบลราชธานี ๒๗/๔/๑๔ อนึ่ง หลวงบุเรศผดุงกิจ (รวย) ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่ พันตำรวจเอก พระยาบุเรศผดุงกิจ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นบุตรของนายขำ เป็นพระนัดดาในเจ้าหญิงหนูจีน เจ้าหญิงหนูจีนเป็นพี่น้องกับเจ้าเสือพระบิดาในเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ (หน่อคำ) เจ้าหญิงหนูจีนและเจ้าเสือเป็นพระราชธิดาและพระราชโอรสในเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ดังนั้น พระยาบุเรศผดุงกิจ (รวย พรหโมบล) จึงมีศักดิ์เป็นหลานยายในเจ้าหญิงหนูจีน และมีศักดิ์เป็นหลานตาในเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ (หน่อคำ) ผู้ถือว่าเป็นต้นสกุล
สกุลเทวานุเคราะห์
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานนามสกุลแก่ทายาทใกล้ชิดของเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ว่า เทวานุเคราะห์ เขียนเป็นอักษรโรมันว่า Devanugrah ลำดับเลขทะเบียนพระราชทานนามสกุลที่ ๓/๖๔๓๕ ทรงพระราชทานแก่นายจันทร์แพ บุตรชายเจ้าจันทร์โสม (จันทร์โฉม) ลำดับอักษร ท ที่ ๒๔ พระราชทานเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑ อนึ่ง เจ้าจันทร์โสมเคยได้รับการสถาปนาเป็นพระสนมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) และได้รับพระราชทานพระนามใหม่ว่า เจ้าจอมมารดาจันทร์โฉม และมีพระราชธิดา ๑ พระองค์ คือพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม ต่อมาเจ้าจอมมารดาจันทร์โฉมได้สมรสใหม่และมีบุตรชายคือนายจันทร์แพ เจ้าจอมมารดาจันทร์โฉมเป็นพี่น้องกับเจ้าเสือพระบิดาของเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ (หน่อคำ) ทั้ง ๒ พระองค์เป็นพระราชธิดาและพระราชโอรสในเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ดังนั้น นายจันทร์แพ จึงมีศักดิ์เป็นหลานลุงในเจ้าเสือ และมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง (น้องชาย) ในเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ (หน่อคำ) ผู้ถือว่าเป็นต้นสกุล
สกุลพรหมเทพ
อ้างอิง
- . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2017-10-15. สืบค้นเมื่อ 2010-05-08.
- บำเพ็ญ ณ อุบล และคณะ. อุบลราชธานี ๒๐๐ ปี. กรุงเทพฯ : ชวนพิมพ์. ๒๕๓๕.
- หม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว. ปฐม คเนจร). พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ : ตีพิมพ์ในประชุมพงศาวดารภาค ๔. ม.ป.ท. : ม.ป.พ., ม.ป.ป..
- คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี. เรื่อง ทรงตั้งเจ้าประเทศราช กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. ม.ป.ท. : สำนักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๔. น. ๕-๗.
- เติม วิภาคย์พจนกิจ. ประวัติศาสตร์อีสาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๖. น. ๑๑๑.
- . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2016-07-10. สืบค้นเมื่อ 2016-07-29.
- https://th.wikisource.org/wiki/%[ลิงก์เสีย]
- . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2010-06-19. สืบค้นเมื่อ 2021-09-02.
- https://sites.google.com/site/thailandsurname/home/-ph-1
- กรมศิลปากร. นามสกุลพระราชทานในรัชกาลที่ ๗ ถึงรัชกาลปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : เดือนตุลา. ๒๕๕๔. น. ๕๕