fbpx
วิกิพีเดีย

หนังสือปฐมกาล

หนังสือปฐมกาล (อังกฤษ: Book of Genesis; ฮีบรู: בראשית‎; แอราเมอิก: ܣܦܪܐ ܕܒܪܝܬܐ; กรีก: Γένεση) มาจากภาษากรีกว่า “การเกิด” หรือ “ที่มา” เป็นหนังสือที่กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโลก มนุษย์ และอิสราเอล ซึ่งเป็นตัวแทนของชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกไว้ (ซึ่งมีความนัยทางเทววิทยา) ชื่อ "ปฐมกาล" แปลมาจากคำแรกของคัมภีร์ฮีบรูคำว่า בראשית (B'reshit or Bərêšîth) แปลว่า "ในปฐมกาล..." (in the beginning...)

ผู้เขียน

หนังสือปฐมกาลเป็นหนังสือเล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม (โทราห์) และเป็นเล่มแรกในหมวดเบญจบรรณ ชาวยิวเชื่อว่าโมเสสเป็นผู้เขียนขึ้น เนื้อหากล่าวถึงประวัติการสร้างโลกของพระยาห์เวห์ จนถึงลำดับลูกหลานของวงศ์วานอิสราเอล และการเข้าสู่อียิปต์ ซึ่งประกอบด้วยเรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายดี เช่น อาดัมกับเอวา เรือโนอาห์ หอบาเบล ฯลฯ

สำหรับศาสนายูดาห์ ความสำคัญทางคริสต์ศาสนวิทยาเน้นพันธสัญญา (Covenants) ซึ่งเป็นพันธสัญญาระหว่างพระยาห์เวห์กับชาติที่ได้รับเลือก (Chosen People) คือชาวยิว เกี่ยวกับดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) ที่พระเจ้าทรงประทาน สำหรับศาสนาคริสต์ ตีความหมายมาสู่ความเชื่อว่า พระเยซูเปรียบได้กับอาดัมคนใหม่ และพันธสัญญาใหม่เป็น “บทสรุปของพันธสัญญาเดิม”

โครงสร้างของ หนังสือปฐมกาล ประกอบด้วย ประวัติศาสตร์ช่วงต้น (primeval history) (ปฐมกาล 1-11) กับ ลำดับพงศาวลี (biblical Patriarchs) ขณะที่ โครงเรื่องเกี่ยวกับโยเซฟ (บุตรยาโคบ) เป็นเรื่องเล่าต่างหาก ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าหนังสือปฐมกาลเขียนโดยผู้ไม่ออกนามและมีการแก้ไขระหว่างศตวรรษที่ 10 ถึง 5 ก่อนคริสตกาล

เนื้อหาโดยสรุป

หนังสือปฐมกาลเริ่มต้นด้วยการทรงสร้างของพระเจ้า ทั้งการสร้างฟ้าสวรรค์ โลก สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อาดัมและเอวามนุษย์คู่แรก รวมทั้งการกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของความบาปอันเป็นเหตุให้มนุษย์ถูกขับออกจากสวนเอเดน และหนังสือปฐมกาลก็นำไปสู่เหตุการณ์ที่สำคัญของมนุษยชาติ 2 เหตุการณ์ ได้แก่ การสร้างหอบาเบล และปรากฏการณ์เรือโนอาห์ในเหตุการณ์น้ำท่วมโลก

ต่อมากล่าวถึง การทรงเรียกอับราฮัม และพันธสัญญาที่ทรงกระทำต่อเขาและภรรยา และยังกล่าวไปถึงรุ่นลูกของอับราฮัม ซึ่งได้แก่ อิสอัค และอิชมาเอล บรรพบุรุษของชนชาติอิสราเอลและปาเลสไตน์ รุ่นหลานของอัมราฮัมได้แก่ยาโคบ ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่า อิสราเอล และรุ่นเหลน ได้แก่ โยเซฟ ผู้ซึ่งนำพาอิสราเอลเข้าไปพำนักอยู่ในแผ่นดินอียิปต์

หนังสือปฐมกาลยังกล่าวถึงยุคก่อนหน้าที่ชนชาติอิสราเอลจะเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งอธิบายถึงพื้นฐานแนวความคิดทางด้านชาตินิยม ศาสนา รวมไปถึงประวัติศาสตร์ กฎหมาย และประเพณีต่าง ๆ ของชนชาติยิวอีกด้วย

เนื้อหาโดยย่อ

กำเนิดโลก

ในหนังสือปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างสรรพสิ่ง โดยทรงใช้เวลาในการสร้างโลกทั้งสิ้น 6 วัน และทรงใช้เวลาอีก 1 วันเพื่อพักผ่อน จึงเป็นที่มาของการกำหนดให้ 1 สัปดาห์ มี 7 วัน และกำหนดให้มี 1 วันเป็นวันพักผ่อน ที่มักพบในพระคัมภีร์ว่า "วันสะบาโต" ชาวยิวเคร่งครัดในวันสะบาโตมาก ไม่ทำอะไรในวันนั้น กิจกรรมที่อนุญาตให้ทำในวันนั้นมีจำนวนจำกัดมาก การไม่เคารพวันสะบาโต เสมือนการไม่ยำเกรงพระเจ้าเลยทีเดียว

ลำดับการทรงเนรมิตสร้างโลกของพระเจ้าเป็นดังนี้

  • วันที่ 1 ทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่น‍ดิน​ก็​ร้าง​และ​ว่าง‍เปล่า ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า
  • วันที่ 2 พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้น ออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น พระเจ้าจึงทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า ฟ้า
  • วันที่ 3 พระเจ้าทรงแยกแผ่นดินออกจากแผ่นน้ำ และทรงเรียกแผ่นน้ำนั้นว่า ทะเล ทรงเนรมิตให้เกิดพืช ทั้งผัก หญ้า และต้นไม้นานาชนิด
  • วันที่ 4 พระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างต่าง ๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และทรงสร้างดาวต่าง ๆ
  • วันที่ 5 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเล และนกในอากาศ และทรงอวยพระพรแก่สัตว์เหล่านั้นว่า "จง​มี​ลูก‍ดก​ทวี​มาก‍ขึ้น​จน​เต็ม​น้ำ​ใน​ทะเล และ​ให้​นก​ทวี​มาก​ขึ้น​บน​แผ่น‍ดิน‍โลก"
  • วันที่ 6 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์บนแผ่นดิน ได้แก่ สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่า และทรงสร้างมนุษย์ โดยตรัสว่า "ให้​เรา​สร้าง​มนุษย์​ตาม​ฉายา​ของ​เรา ตาม​อย่าง​ของ​เรา ให้​ครอบ‍ครอง​ฝูง‍ปลา​ใน​ทะเล ฝูง‍นก​ใน​ท้อง‍ฟ้า​และ​ฝูง‍สัตว์‍ใช้‍งาน ให้​ปก‍ครอง​แผ่น‍ดิน‍โลก​ทั้ง‍หมด และ​สัตว์‍เลื้อย‍คลาน​ทุก​ชนิด​บน​แผ่น‍ดิน​ทั้ง‍หมด"
  • วันที่ 7 ในวันที่เจ็ดก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ (Sabbath) เพราะ​ใน​วัน‍นั้น​พระ‍องค์​ทรง​หยุด‍พัก​จาก​การ‍งาน​ทั้ง‍ปวง​ที่​พระ‍เจ้า​ทรง​เนร‌มิต‍สร้าง​และ​ทรง​กระ‌ทำ

กำเนิดมนุษย์

ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 2 กล่าวถึงไว้ว่า พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ บนโลกใบนี้ เนื่องจากพระเจ้าทรงระบายลมปราณให้แก่มนุษย์ด้วย เรามักรู้จักลมปราณที่ว่าในนามของวิญญาณ และนั่นจึงไม่มีความแตกต่างกัน ที่เมื่อร่างกายของมนุษย์สูญสลาย ก็กลับกลายไปเป็นดินเช่นเดิมนั่นเอง เช่นเดียวกับสัตว์ทั้งโลก เมื่อตายไปก็เป็นดินทั้งนั้น

พระเจ้าทรงสร้างสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ซึ่งคาดว่าอาจอยู่ในพื้นที่ของประเทศอิรักในปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากปฐมกาลได้กล่าวถึงแม่น้ำไทกริส และยูเฟรติสไว้ ซึ่งในสวนแห่งเอเดนนี้พระเจ้าทรงบัญชาไว้แก่มนุษย์ว่า "ผล‍ไม้​ทุก‍อย่าง​ใน​สวน​นี้ เจ้า​กิน​ได้​ตาม‍ใจ‍ชอบ แต่​ผล​ของ​ต้น‍ไม้​แห่ง​การ​รู้​ถึง​ความ​ดี​และ​ความ​ชั่ว​นั้น ห้าม​เจ้า​กิน เพราะ​ใน​วัน​ใด​ที่​เจ้า​กิน เจ้า​จะ​ต้อง​ตาย​แน่"

ในครั้งแรก พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ผู้ชาย ชื่อ อาดัม ต่อมาทรงเห็นว่าไม่ควรให้มนุษย์อยู่คนเดียว จึงทรงสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมให้ โดยทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งออกมาขณะอาดัมกำลังหลับ และนำกระดูกซี่โครงนั้นมาสร้างเป็นมนุษย์ผู้หญิง ชื่อ เอวา

ความบาป

ปฐมบาป เข้ามาในโลกครั้งแรก จากการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ของมนุษย์ เอวา ถูกล่อลวงโดยมารในรูปของงู ให้สงสัยในคำสั่งของพระเจ้า และไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ พระเจ้าจึงมอบความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ให้ผู้หญิง นั่นคือการอุ้มท้อง และการคลอดลูก เพื่อเตือนให้มนุษย์ระลึกถึงความเจ็บปวดจากการมีบาป ดังพระดำรัสของพระเจ้า ว่า "เรา​จะ​เพิ่ม​ความ​ทุกข์​ลำ‌บาก​มาก​ขึ้น​แก่​เจ้าและ​เมื่อ​เจ้า​มี‍ครรภ์ เจ้า​จะ​คลอด‍บุตร​ด้วย​ความ​เจ็บ‍ปวด ถึง‍กระ‌นั้น เจ้า​จะ​ยัง​ปรารถ‌นา​ใน​สามี​ของ​เจ้า และ​เขา​จะ​ปก‍ครอง​ตัว​เจ้า"

อาดัม ไม่เชื่อฟังพระเจ้าเพราะเชื่อเอวา ดังนั้น ผู้ชายจึงถูกลงโทษให้ต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ดังที่พระเจ้าทรงตร้สไว้ว่า "เจ้า​จะ​ต้อง​หา‍กิน​ด้วย​เหงื่อ​อาบ‍หน้าจน​เจ้า​กลับ​ไป​เป็น​ดิน เพราะ​เจ้า​ถูก​นำ​มา​จาก​ดิน และ​เพราะ​เจ้า​เป็น​ผง‍คลี​ดิน และ​เจ้า​จะ​กลับ​เป็น​ผง‍คลี​ดิน​ดัง‍เดิม" การไม่เชื่อฟังพระเจ้าของอาดัม และเอวา ทำให้ทั้งสองคนถูกขับออกจากสวนเอเดน ต้องทำมาหาเลี้ยงตนเอง และสืบเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อมาอีกมากมาย

กาลเวลาต่อมาคาอิน (บุตรชายคนโตของอดัมและอีฟ) ได้ทำการสังหารอาเบล (บุตรชายคนเล็กของอดัมและอีฟและน้องชายของตน) จึงถือว่าเป็นการฆาตกรรมครั้งแรกของมนุษย์ พระเจ้าได้ทราบความในภายหลังจึงได้ลงโทษสาปให้คาอินทำไร่การเกษตรไม่ได้และกลายเป็นคนพเนจรร่อนเร่ไปมาในโลก คาอินได้ทูลอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่า "โทษที่ได้รับนั้นหนักหนากว่าจะรับได้และเมื่อร่อนเร่ไปในโลกแล้วอาจจะโดนคนอื่นฆ่าตายได้" แต่พระเจ้าได้ทำสัญลักษณ์ไว้ในตัวคาอินว่า "ผู้ใดได้สังหารนายคาอิน ผู้นั้นจะได้รับโทษทัณฑ์ถึงเจ็ดเท่า" หลังจากนั้นคาอินได้เดินทางไปยังเมืองโนดทางด้านทิศตะวันออกของเอเดน สร้างเมืองและให้กำเนิดทายาทเป็นเวลาต่อมา

ในปฐมกาลช่วงถัดมา ลำดับถึงพงศ์พันธุ์ของอาดัมและเอวาต่อเรื่อยมา น่าสังเกตว่า ยิ่งมนุษย์ห่างไกลพระเจ้ามากขึ้น อายุขัยของมนุษย์ก็ยิ่งสั้นลงไปด้วยเช่นกัน ตามหลักพระคัมภีร์แล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลก ล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องกัน เพราะเราต่างสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันทั้งสิ้น

เรือโนอาห์

 
โนอาห์ต่อนาวา วาดโดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส ประมาณ ค.ศ. 1675 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ Magyar Szépművészeti Múzeum บูดาเปสต์

เมื่อมนุษย์ห่างจากพระเจ้า ความบาปต่าง ๆ ก็ครอบงำมนุษย์มากขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายเสมอไป จึงทรงดำริว่า จะกวาดล้างมนุษย์ไปเสียจากแผ่นดินโลก ทั้งมนุษย์ สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศด้วย

แต่ด้วยทรงเห็นว่าโนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมในสมัยของเขา และดำเนินกับพระเจ้า พระองค์จึงทรงบอกเหตุการณ์น้ำท่วมโลกให้โนอาห์ทราบ พร้อมทั้งทรงมอบแผนผังรูปแบบเรือที่ใช้ในการช่วยชีวิตของโนอาห์ให้รอดพ้นจากการถูกล้างโลกในครั้งนั้น เป็นที่มาของ เรือโนอาห์ นั่นเอง เนื่องจากตามพระประสงค์ของพระเจ้า ต้องการให้โนอาห์นำสิ่งมีชีวิตบนโลกขึ้นไปบนเรือด้วยอย่างละคู่ พระเจ้าทรงบัญชาอย่างไร โนอาห์ก็ทำตามนั้นทุกประการ

เมื่อถึงกำหนดของพระเจ้า พระองค์ทรงบอกให้โนอาห์ขึ้นไปอยู่บนเรือ และทรงบันดาลให้ฝนตก 40 วัน 40 คืนติดต่อกัน และทรงปิดตาน้ำทั้งหมด จนน้ำท่วมโลก ผู้คน สัตว์ และพืชทุกชนิดที่อาศัยบนโลกก็เสียชีวิตไปทั้งสิ้น และทรงให้น้ำท่วมโลกอยู่เป็นเวลาถึง 150 วัน

ภายหลัง เมื่อพระเจ้าทรงระลึกถึงโนอาห์ จึงทรงทำให้น้ำลดลง โดยใช้เวลาประมาณ 150 ว้น เมื่อน้ำลดลงแล้วโนอาห์ และครอบครัวจึงกลับมาอาศัยอยู่บนแผ่นดินตามปกติ พระเจ้าทรงอวยพระพรให้แก่โนอาห์ และมอบบัญญัติบางประการ เช่น "ห้าม​กิน​เนื้อ​พร้อม​กับ​ชีวิต​ของ​มัน คือ​เลือด​ของ​มัน" ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชาวยุโรปไม่รับประทานเลือด นอกจากนี้พระเจ้ายังทรงมีพันธสัญญาแก่โนอาห์ว่า "เรา​จะ​ตั้ง​พันธ‌สัญญา​ของ​เรา​ไว้​กับ​พวก‍เจ้า​ว่า​จะ​ไม่​ทำ‍ลาย​มนุษย์​และ​สัตว์​ทั้ง‍ปวง​โดย​ให้​น้ำ‍ท่วม​อีก และ​จะ​ไม่‍ให้​มี​น้ำ​มา​ท่วม​ทำ‍ลาย​โลก​อีก‍ต่อ‍ไป...เรา​ตั้ง​รุ้ง​ของ​เรา​ไว้​ที่เมฆ และรุ้ง​นั้น​จะ​เป็น​เครื่อง‍หมาย​แห่ง​พันธ‌สัญญา​ระหว่าง​เรา​กับ​โลก" ฉะนั้นตราบใดที่ยังเห็นรุ้งกินน้ำ ก็เป็นเหมือนคำสัญญาของพระเจ้าว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก (ทั้งใบ) อีก

หอบาเบล

หอบาเบล เกิดจากความสามัคคีของมนุษย์ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จากลูกหลานของโนอาห์ ได้ขยายพงศ์พันธุ์แผ่ไพศาลออกไป แต่ทั่วทั้งโลกต่างพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน ผู้คนในยุคนั้นจึงได้ร่วมกันสร้างหอบาเบล โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างเป็นหอเทียมฟ้า สร้างชื่อเสียงไว้ และเป็นแหล่งรวมอารยธรรมของมนุษย์ไว้ด้วยกัน

การสร้างหอบาเบล เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับมนุษยชาติ ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ ก็นำมาซึ่งความหยิ่งผยอง คิดท้าทายพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้เกิดภาษาที่แตกต่างกัน ทำให้มนุษย์สื่อสารกันไม่เข้าใจ การก่อสร้างหอบาเบลจึงหยุดชะงักลงเพียงนั้น

คำว่า "บาเบล" ที่ใช้ตั้งชื่อหอคอยนี้ มาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรู ที่แปลว่า วุ่นวาย นั่นเอง และจากการสร้างหอบาเบล ทำให้มีพระธรรมข้อที่น่าประทับใจที่คริสตชนมักใช้ให้กำลังใจกัน กล่าวไว้ว่า แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ดู‍สิ คน​เหล่า‍นี้​เป็น​ชน‍ชาติ​เดียว​หมด มี​ภาษา​เดียว นี่​เป็น​เพียง​เบื้อง‍ต้น​ของ​สิ่ง​ที่​พวก‍เขา​จะ​ทำ และ​บัด‍นี้​ไม่‍มี​อะไร​ยับ‍ยั้ง​ทุก‍สิ่ง​ที่​พวก‍เขา​คิด​จะ​ทำ"

กำเนิดอิสราเอล

ภายหลังจากยุคของโนอาห์อีกหลายลำดับ ทายาทชื่อ อับราฮัม ซึ่งยำเกรงพระเจ้า และอธิษฐานต่อพระองค์เป็นประจำ พระเจ้าตรัสกับอับราฮัม ให้อพยพครอบครัวไปยังดินแดนที่พระเจ้าประทานให้ เป็นที่ซึ่งน้ำดินดี อุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งอวยพรให้พงษ์พันธุ์ของอับราฮัมเป็นพงษ์พันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นภรรยาของอับราฮัมเป็นหมัน

อับราฮัมได้ย้ายออกจากเมือง เดินทางไปตามที่พระเจ้าทรงนำ และผ่านไปยังเมืองโสโดม และเมืองโกโมรา โดยโลทหลานชายของอับราฮัมที่เดินทางมาด้วย ได้ตั้งหลักแหล่งที่เมืองโสโดมนี้ แต่ต่อมาเมืองนั้นก็ถูกพระเจ้าลงโทษโดยให้กลายเป็นเกลือทั้งเมือง (รวมทั้งผู้คน สัตว์ สิ่งของ) ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางส่วนเชื่อว่าปัจจุบันทะเลสาบเดดซี หรือ ทะเลตาย คือที่ตั้งของเมืองโสโดม และเมืองโกโมรา ในอดีตนั่นเอง

ภรรยาของอับราฮัมชื่อ นางซาราห์ ซึ่งเดิมทีนางเป็นหมัน เมื่ออับราฮัมอายุได้ 99 ปี พระเจ้าทรงให้พันธสัญญาว่า อับราฮัมจะเป็นบิดาของชนชาติใหญ่ นางซาราห์จึงยกนางฮาร์กา สาวใช้ ให้เป็นภรรยาของอับราฮัม นางฮาร์กาตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายชื่อ อิชมาเอล เมื่ออิชมาเอลอายุได้ 13 ปี นางซาราห์ก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายชื่อ อิสอัค ในระหว่างนั้นมีเหตุให้อับราฮัมต้องขับไล่นางฮาการ์และอิชมาเอลออกจากครอบครัวไป ส่วนอิสอัคได้รับการเลี้ยงดูจากบิดา จนเติบใหญ่และมีบุตรชาย ชื่อยาโคบ ซึ่งภายหลังได้รับฉายาใหม่ว่า อิสราเอล และเป็นที่มาของชื่อประเทศอิสราเอลในทุกวันนี้ เพราะเชื่อว่าชาวยิวทุกเผ่าล้วนเป็นลูกหลานของยาโคบ

ยาโคบ หรือ อิสราเอล มีบุตรชายทั้งสิ้น 12 คน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการแบ่งเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลออกเป็น 12 เผ่า และ โยเซฟ บุตรชายคนสุดท้องของ ยาโคบ เป็นบุคคลที่ช่วยให้ชาวอิสราเอลสามารถหนีภัยแล้งไปพำนักอยู่ในประเทศอียิปต์ และก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ในภายหลัง ซึ่งได้บันทึกไว้ในหนังสืออพยพ

มุมมองของศาสนาคริสต์ต่อหนังสือปฐมกาล

ในคริสตจักรยุคแรก มุ่งเน้นการศึกษาหนังสือปฐมกาลในเชิงทฤษฎีที่อ้างอิงอยู่บนพื้นฐานความเชื่อของชาวยิว ผู้เขียนพระวรสารนักบุญยอห์น ได้ใช้รูปแบบเปรียบเทียบระหว่างหนังสือปฐมกาล บทที่ 1 และพระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 1 โดยเปรียบพระลักษณะพระเจ้า มุ่งถึงการนำเสนอความเป็นตรีเอกภาพของพระเจ้ามากขึ้น โดยใช้คำว่า "พระ‍วาทะ​" (Word) รวมเข้ากับคำว่า "พระเจ้า" ดังกล่าวไว้ว่า "ใน​ปฐม‍กาล​พระ‍วาทะ​ทรง​ดำรง​อยู่ และ​พระ‍วาทะ​ทรง​อยู่​กับ​พระ‍เจ้า และ​พระ‍วาทะ​ทรง​เป็น​พระ‍เจ้า"

ศาสนาคริสต์ ได้นำเสนอความแตกต่างจากศาสนายูดาห์มากขึ้น เมื่อมีการนำเสนอภาพของพระเยซู ที่ทรงเป็นเสมือน อาดัม ที่ถูกส่งลงมาบังเกิดใหม่ เพื่อไถ่ความบาปให้แก่มนุษยชาติ และคริสตจักรก็เปรียบเสมือนเรือโนอาห์ที่ช่วยให้มนุษย์ผู้ชอบธรรมได้รับความรอด จากการรับบัพติสมา และพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัมที่ทรงอวยพระพรแก่ลูกหลานที่สืบเชื้อสายของอับราฮัมโดยสายเลือด กลับกลายเป็นลูกหลานของอับราฮัมที่สืบเชื้อสายโดยความเชื่อที่มีต่อองค์พระเยซู

นอกจากนี้ ยังมีภาพเปรียบเทียบในหนังสือปฐมกาล ที่ปรากฏชาย 3 คนเพื่อแจ้งข่าวการเกิดของอิสอัค แก่อับราฮัม กับโหราจารย์ 3 คนที่แจ้งข่าวการประสูติของพระเยซู อีกด้วย

มุมมองของศาสนาอิสลามต่อหนังสือปฐมกาล

ในคัมภีร์อัลกุรอานและคัมภีร์ไบเบิล มีทั้งส่วนที่เหมือน และส่วนที่แตกต่างกัน โดยพื้นฐานทั้งสองมีโครงเริ่มแรกเหมือนกัน โดยเนื้อหาในแง่ประวัติศาสตร์นั้น พระคัมภีร์ในทั้งสองศาสนามีความสอดคล้องกันตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก การสร้างมนุษย์ ความบาป เรือโนอาห์ เหตุการณ์น้ำท่วมโลก เรื่องราวของอับราฮัม การทำนายฝันของโยเซฟ จนกระทั่งโมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้า แต่ในมุมมองของคัมภีร์อัลกุรอานมองว่าหนังสือปฐมกาลมีความคลาดเคลื่อนของเนื้อหา ที่แตกต่างในหลายประเด็น และคัมภีร์อัลกุรอานค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องของกฎบัญญัติสูงมาก

ตัวอย่างของเนื้อหาส่วนที่มีความแตกต่าง

  • เรื่องเหตุการณ์น้ำท่วมโลก เนื้อหาคัมภีร์ทั้งสองศาสนากล่าวเหมือนกันว่าเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก (แม้มีคริสต์ศาสนิกชนบางกลุ่มความเชื่อ ไม่เชื่อเช่นนั้นก็ตาม) ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า ภรรยา (วาอิละฮฺ) และบุตรชาย (กันอาน) ของโนอาห์ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาไม่ยอมขึ้นเรือและเสียชีวิตในเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ซึ่งในพระธรรมปฐมกาลในคัมภีร์ไบเบิลนั้น ได้นับบุตรชายทั้งสามคนของโนอาห์ขึ้นไปบนเรือทั้งสิ้น


  • เรื่องราวของโลท (ลูฎ) ในคัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึงโลทน้อยมาก ในขณะที่ในคัมภีร์อัลกุรอาน จัดให้โลท อยู่ในหมวดหมู่อัครสาวกและผู้พยากรณ์เหมือนกับอับราฮัม (อิบรอฮีม) ลุงของเขา แต่อ้างถึงฐานะในหมวดหมู่ดังกล่าวจากคัมภีร์โทราห์ของศาสนายูดาห์ คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าภรรยาของโลทได้ติดตามโลทออกจากเมืองโสโดม และได้หันหลังกลับไปมองเมืองนั้น จึงถูกสาปให้เป็นเสาเกลือ แต่ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า ภรรยาของโลท เมื่อได้ยินเสียงกึกก้องของการลงโทษ นางได้เหลียวหลังไปดูหมู่บ้านของพวกนาง ทันใดนั้นก้อนหินก็หล่นลงมาฆ่านางตายทันที


  • การถวายบุตรแด่พระเจ้า ของอับราฮัม ในคัมภีร์อัลกุรอานเชื่อว่าบุตรที่ถูกถวายแด่พระเจ้าคืออิชมาเอล และเชื่อว่าอิชมาเอล คือ บุตรหัวปี ซึ่งบุตรทั้งสองคนเป็นผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัมเหมือนกัน อิสอัค (อิสฮัค) และลูกหลานได้รับมรดก และรับพันธสัญญาของพระเจ้ามีบุตรหลานมากมายเป็นศาสดาพยากรณ์ เช่นเดียวกับที่ทางสายอิชมาเอลที่มีมุฮัมมัดเป็นศาสดาในยุคหลัง ในขณะที่คัมภีร์ไบเบิลนั้น อิสอัคเป็นบุตรที่พระเจ้าให้นำไปถวาย และพระเจ้าได้ตั้งพันธสัญญาขึ้นต่ออับราฮัม ว่าเชื้อสายของเขา (อิสอัค ผู้เป็นบุตรหัวปีของนางซาราห์ภรรยาหลวง) จะเป็นต้นเชื้อสายของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง (ทางศาสนาคริสต์เล็งถึงการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์) และกล่าวถึงการอวยพรของพระเจ้าต่อเชื้อสายของอับราฮัมทางฝั่งอิชมาเอล (บุตรหัวปีของนางฮาการ์ทาสรับใช้ของนางซาราห์) ว่า "ดูเถิด เราได้อวยพรเขาและจะกระทำให้เขามีลูกดกทวีมากขึ้นอุดมบริบูรณ์อย่างยิ่ง เขาจะให้กำเนิดเจ้านายสิบสององค์และเราจะกระทำให้เขาเป็นชนชาติใหญ่ชนชาติหนึ่ง"

การเปรียบเทียบกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์โลก

บนพื้นฐานของหนังสือปฐมกาลศาสนายูดาห์และศาสนาคริสต์ ต่างยึดเอาหนังสือปฐมกาล และหนังสือเล่มต่อ ๆ มาเป็นเครื่องช่วยในการคำนวณอายุเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏตามหลักฐานของพระคัมภีร์ เชื่อว่าโลกนี้ถูกสร้างเมื่อ 4 พันปีก่อนคริสตกาล (the beginning of the 4th millennium BC.) โดยนับตั้งแต่วันเริ่มแรกสร้างโลกของพระเจ้า การกำเนิดอาดัม และเอวา และเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ และวันแรกของการสร้างโลกที่คำนวณด้วยวิธีการนี้ ที่เป็นที่ยอมรับและกล่าวอ้างถึงมากที่สุด คือเวลา 9 โมงเช้า ของวันที่ 23 เดือนตุลาคม เมื่อ 4004 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งบิช๊อป เจมส์ ยูเซอร์ (Anglican Bishop James Ussher) เป็นผู้คำนวณขึ้น

แต่การคำนวณอายุโลกด้วยวิธีการดังกล่าว ก่อให้เกิดข้อกังขาขึ้นอย่างมาก รวมทั้งนักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีโดยส่วนใหญ่ต่างก็ไม่ยอมรับการคำนวณอายุโลกด้วยวิธีการดังกล่าว นอกจากนี้ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และชีววิทยา ล้วนแล้วแต่ไม่สอดคล้องกับผลการคำนวณดังกล่าว เนื่องจากหลักฐานบางอย่างระบุอายุของโลกไว้กว่า 4 พันล้านปีด้วยซ้ำไป ประเด็นอายุของโลกจึงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างศาสนศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในปัจจุบัน

อ้างอิง

  1. หนังสือปฐมกาล, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  2. biblestudytools.net
  3. โดยประมาณ พัฒนาการของคณะผู้เชี่ยวชาญพระคริสตธรรมพิจารณาช่วงเวลาในปฐมกาลและเบญจบรรณ มีขึ้นตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20, "Source Analysis", Barry Bandstra, วิทยาลัย Hope, มิชิแกน.
  4. หนังสือปฐมกาล 22:3, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  5. หนังสือปฐมกาล 1:1, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  6. webinspirer.com
  7. หนังสือปฐมกาล 1:1-2, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  8. หนังสือปฐมกาล 1:4-5, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  9. หนังสือปฐมกาล 1:7-8, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  10. หนังสือปฐมกาล 1:14, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  11. หนังสือปฐมกาล 1:22, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  12. หนังสือปฐมกาล 1:26, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  13. หนังสือปฐมกาล 2:2-3, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  14. หนังสือปฐมกาล บทที่ 2, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  15. หนังสือปฐมกาล 2-16-17, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  16. หนังสือปฐมกาล 3:16, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  17. หนังสือปฐมกาล 3:19, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  18. หนังสือปฐมกาล 6:5-7, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  19. หนังสือปฐมกาล 6:9-22, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  20. หนังสือปฐมกาล 7:1-24, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  21. หนังสือปฐมกาล 9:4, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  22. หนังสือปฐมกาล 9:11-13, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  23. หนังสือปฐมกาล บทที่ 8, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  24. หนังสือปฐมกาล 11:1, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  25. หนังสือปฐมกาล 11:4, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  26. หนังสือปฐมกาล 11:6-9, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  27. หนังสือปฐมกาล บทที่ 11, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  28. หนังสือปฐมกาล 11:6, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  29. พระวรสารนักบุญยอห์น 1:1, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  30. หนังสือปฐมกาล บทที่ 8, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  31. พระวรสารนักบุญมัทธิว บทที่ 2, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  32. คัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย ฮูด 11:40-43
  33. หนังสือปฐมกาล 9:18-19, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  34. จดหมายของนักบุญเปโตร ฉบับที่ 1 3:20, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  35. จดหมายของนักบุญเปโตร ฉบับที่ 2 2:5, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  36. หนังสือปฐมกาล 19:26, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  37. คัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย ฮูด 11:81[1]
  38. หนังสือปฐมกาล 22:1-11, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  39. หนังสือปฐมกาล 17:7, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
  40. พระวรสารนักบุญมัทธิว 1:1-17, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011

หน, งส, อปฐมกาล, งก, ามภาษา, ในบทความน, ไว, ให, านและผ, วมแก, ไขบทความศ, กษาเพ, มเต, มโดยสะดวก, เน, องจากว, เด, ยภาษาไทยย, งไม, บทความด, งกล, าว, กระน, ควรร, บสร, างเป, นบทความโดยเร, วท, งกฤษ, book, genesis, บร, בראשית, แอราเมอ, ܣܦܪܐ, ܕܒܪܝܬܐ, กร, Γένεση, มาจาก. lingkkhamphasa inbthkhwamni miiwihphuxanaelaphurwmaekikhbthkhwamsuksaephimetimodysadwk enuxngcakwikiphiediyphasaithyyngimmibthkhwamdngklaw krann khwrribsrangepnbthkhwamodyerwthisudhnngsuxpthmkal 1 xngkvs Book of Genesis hibru בראשית aexraemxik ܣܦܪܐ ܕܒܪܝܬܐ krik Genesh macakphasakrikwa karekid hrux thima epnhnngsuxthiklawthungcuderimtnkhxngolk mnusy aelaxisraexl sungepntwaethnkhxngchnchatithiphraecaideluxkiw sungmikhwamnythangethwwithya chux pthmkal aeplmacakkhaaerkkhxngkhmphirhibrukhawa בראשית B reshit or Beresith aeplwa inpthmkal in the beginning 2 enuxha 1 phuekhiyn 2 enuxhaodysrup 3 enuxhaodyyx 3 1 kaenidolk 3 2 kaenidmnusy 3 3 khwambap 3 4 eruxonxah 3 5 hxbaebl 3 6 kaenidxisraexl 4 mummxngkhxngsasnakhristtxhnngsuxpthmkal 5 mummxngkhxngsasnaxislamtxhnngsuxpthmkal 5 1 twxyangkhxngenuxhaswnthimikhwamaetktang 6 karepriybethiybkbchwngewlainprawtisastrolk 7 xangxingphuekhiyn aekikhhnngsuxpthmkalepnhnngsuxelmaerkkhxngkhmphiribebilphakhphnthsyyaedim othrah aelaepnelmaerkinhmwdebycbrrn chawyiwechuxwaomessepnphuekhiynkhun enuxhaklawthungprawtikarsrangolkkhxngphrayahewh cnthungladblukhlankhxngwngswanxisraexl aelakarekhasuxiyipt sungprakxbdwyeruxngthiruckknaephrhlaydi echn xadmkbexwa eruxonxah hxbaebl lsahrbsasnayudah khwamsakhythangkhristsasnwithyaennphnthsyya Covenants sungepnphnthsyyarahwangphrayahewhkbchatithiidrbeluxk Chosen People khuxchawyiw ekiywkbdinaednaehngphnthsyya Promised Land thiphraecathrngprathan sahrbsasnakhrist tikhwamhmaymasukhwamechuxwa phraeysuepriybidkbxadmkhnihm aelaphnthsyyaihmepn bthsrupkhxngphnthsyyaedim okhrngsrangkhxng hnngsuxpthmkal prakxbdwy prawtisastrchwngtn primeval history pthmkal 1 11 kb ladbphngsawli biblical Patriarchs khnathi okhrngeruxngekiywkboyesf butryaokhb epneruxngelatanghak phuechiywchayechuxwahnngsuxpthmkalekhiynodyphuimxxknamaelamikaraekikhrahwangstwrrsthi 10 thung 5 kxnkhristkal 3 enuxhaodysrup aekikh hnngsuxpthmkalerimtndwykarthrngsrangkhxngphraeca thngkarsrangfaswrrkh olk singmichiwittang xadmaelaexwamnusykhuaerk rwmthngkarklawthungcuderimtnkhxngkhwambapxnepnehtuihmnusythukkhbxxkcakswnexedn aelahnngsuxpthmkalknaipsuehtukarnthisakhykhxngmnusychati 2 ehtukarn idaek karsranghxbaebl aelapraktkarneruxonxahinehtukarnnathwmolktxmaklawthung karthrngeriykxbrahm aelaphnthsyyathithrngkrathatxekhaaelaphrrya 4 aelayngklawipthungrunlukkhxngxbrahm sungidaek xisxkh aelaxichmaexl brrphburuskhxngchnchatixisraexlaelapaelsitn runhlankhxngxmrahmidaekyaokhb sungtxmaidchuxwa xisraexl aelarunehln idaek oyesf phusungnaphaxisraexlekhaipphankxyuinaephndinxiyipthnngsuxpthmkalyngklawthungyukhkxnhnathichnchatixisraexlcaepnrupepnrang sungxthibaythungphunthanaenwkhwamkhidthangdanchatiniym sasna rwmipthungprawtisastr kdhmay aelapraephnitang khxngchnchatiyiwxikdwyenuxhaodyyx aekikhkaenidolk aekikh inhnngsuxpthmkal phraecathrngenrmitsrangsrrphsing 5 odythrngichewlainkarsrangolkthngsin 6 wn aelathrngichewlaxik 1 wnephuxphkphxn cungepnthimakhxngkarkahndih 1 spdah mi 7 wn aelakahndihmi 1 wnepnwnphkphxn thimkphbinphrakhmphirwa wnsabaot chawyiwekhrngkhrdinwnsabaotmak imthaxairinwnnn kickrrmthixnuyatihthainwnnnmicanwncakdmak karimekharphwnsabaot esmuxnkarimyaekrngphraecaelythiediywladbkarthrngenrmitsrangolkkhxngphraecaepndngni 6 wnthi 1 thrngenrmitsrangfaaelaaephndin aephn din k rang aela wang epla 7 thrngaeykkhwamswangxxkcakkhwammud phraecathrngeriykkhwamswangnnwa wn aelakhwammudnnwa khun miewlaeynaelaewlaecha 8 wnthi 2 phraecathrngsrangphakhphun aelwthrngaeyknathixyuitphakhphun xxkcaknathixyuehnuxphakhphun phraecacungthrngeriykphakhphunnnwa fa 9 wnthi 3 phraecathrngaeykaephndinxxkcakaephnna aelathrngeriykaephnnannwa thael thrngenrmitihekidphuch thngphk hya aelatnimnanachnid wnthi 4 phraecathrngsrangdwngswangtang khxngphakhphunfa ephuxaeykwnxxkcakkhun ihepnhmaykahndvdu wn pi 10 aelathrngsrangdawtang wnthi 5 phraecathrngsrangstwthael aelankinxakas aelathrngxwyphraphraekstwehlannwa cng mi luk dk thwi mak khun cn etm na in thael aela ih nk thwi mak khun bn aephn din olk 11 wnthi 6 phraecathrngsrangstwbnaephndin idaek stwichngan stweluxykhlan aelastwpa aelathrngsrangmnusy odytrswa ih era srang mnusy tam chaya khxng era tam xyang khxng era ih khrxb khrxng fung pla in thael fung nk in thxng fa aela fung stw ich ngan ih pk khrxng aephn din olk thng hmd aela stw eluxy khlan thuk chnid bn aephn din thng hmd 12 wnthi 7 inwnthiecdkthrngphkkarnganthngsinkhxngphraxngkhthiidthrngkratha phraecacungthrngxwyphraphraekwnthiecd thrngtngiwepnwnbrisuththi Sabbath ephraa in wn nn phra xngkh thrng hyud phk cak kar ngan thng pwng thi phra eca thrng enr mit srang aela thrng kra tha 13 kaenidmnusy aekikh inhnngsuxpthmkal bththi 2 14 klawthungiwwa phraecathrngpnmnusydwyphngkhlidin aetsingthithaihmnusyaetktangcakstwxun bnolkibni enuxngcakphraecathrngrabaylmpranihaekmnusydwy eramkrucklmpranthiwainnamkhxngwiyyan aelanncungimmikhwamaetktangkn thiemuxrangkaykhxngmnusysuyslay kklbklayipepndinechnedimnnexng echnediywkbstwthngolk emuxtayipkepndinthngnnphraecathrngsrangswnaehnghnungiwthiexedn sungkhadwaxacxyuinphunthikhxngpraethsxirkinpccubn thngnienuxngcakpthmkalidklawthungaemnaithkris aelayuefrtisiw sunginswnaehngexednniphraecathrngbychaiwaekmnusywa phl im thuk xyang in swn ni eca kin id tam ic chxb aet phl khxng tn im aehng kar ru thung khwam di aela khwam chw nn ham eca kin ephraa in wn id thi eca kin eca ca txng tay aen 15 inkhrngaerk phraecathrngsrangmnusyphuchay chux xadm txmathrngehnwaimkhwrihmnusyxyukhnediyw cungthrngsrangkhuxupthmphthiehmaasmih odythrngchkkraduksiokhrngxnhnungxxkmakhnaxadmkalnghlb aelanakraduksiokhrngnnmasrangepnmnusyphuhying chux exwa khwambap aekikh pthmbap ekhamainolkkhrngaerk cakkarimechuxfngphraeca khxngmnusy exwa thuklxlwngodymarinrupkhxngngu ihsngsyinkhasngkhxngphraeca aelaimechuxfngkhasngkhxngphraxngkh phraecacungmxbkhwamthukkhthiyingihyihphuhying nnkhuxkarxumthxng aelakarkhlxdluk ephuxetuxnihmnusyralukthungkhwamecbpwdcakkarmibap dngphradarskhxngphraeca wa era ca ephim khwam thukkh la bak mak khun aek ecaaela emux eca mi khrrph eca ca khlxd butr dwy khwam ecb pwd thung kra nn eca ca yng prarth na in sami khxng eca aela ekha ca pk khrxng tw eca 16 xadm imechuxfngphraecaephraaechuxexwa dngnn phuchaycungthuklngothsihtxngthanganhnkephuxhaeliyngkhrxbkhrw dngthiphraecathrngtrsiwwa eca ca txng ha kin dwy ehngux xab hnacn eca klb ip epn din ephraa eca thuk na ma cak din aela ephraa eca epn phng khli din aela eca ca klb epn phng khli din dng edim 17 karimechuxfngphraecakhxngxadm aelaexwa thaihthngsxngkhnthukkhbxxkcakswnexedn txngthamahaeliyngtnexng aelasubephaphnthumnusytxmaxikmakmaykalewlatxmakhaxin butrchaykhnotkhxngxdmaelaxif idthakarsngharxaebl butrchaykhnelkkhxngxdmaelaxifaelanxngchaykhxngtn cungthuxwaepnkarkhatkrrmkhrngaerkkhxngmnusy phraecaidthrabkhwaminphayhlngcungidlngothssapihkhaxinthairkarekstrimidaelaklayepnkhnphencrrxneripmainolk khaxinidthulxxnwxntxphraecawa othsthiidrbnnhnkhnakwacarbidaelaemuxrxneripinolkaelwxaccaodnkhnxunkhatayid aetphraecaidthasylksniwintwkhaxinwa phuididsngharnaykhaxin phunncaidrbothsthnththungecdetha hlngcaknnkhaxinidedinthangipyngemuxngondthangdanthistawnxxkkhxngexedn srangemuxngaelaihkaenidthayathepnewlatxmainpthmkalchwngthdma ladbthungphngsphnthukhxngxadmaelaexwatxeruxyma nasngektwa yingmnusyhangiklphraecamakkhun xayukhykhxngmnusykyingsnlngipdwyechnkn tamhlkphrakhmphiraelw mnusythukkhnbnolk lwnaelwaetepnyatiphinxngkn ephraaeratangsubechuxsaymacakbrrphburuskhnediywknthngsin eruxonxah aekikh onxahtxnawa wadodycitrkrchawfrngess praman kh s 1675 pccubncdaesdngxyuthi Magyar Szepmuveszeti Muzeum budaepst emuxmnusyhangcakphraeca khwambaptang kkhrxbngamnusymakkhun phraecathrngehnwakhwamchwraykhxngmnusymimakbnaephndin aelathrngehnwaekhakhwamkhidinickhxngekhalwnepneruxngchwrayesmxip cungthrngdariwa cakwadlangmnusyipesiycakaephndinolk thngmnusy stweluxykhlan aelankinxakasdwy 18 aetdwythrngehnwaonxahepnthioprdpraninsayphraentrkhxngphraeca epnkhnchxbthrrm diphrxminsmykhxngekha aeladaeninkbphraeca phraxngkhcungthrngbxkehtukarnnathwmolkihonxahthrab phrxmthngthrngmxbaephnphngrupaebberuxthiichinkarchwychiwitkhxngonxahihrxdphncakkarthuklangolkinkhrngnn epnthimakhxng eruxonxah nnexng enuxngcaktamphraprasngkhkhxngphraeca txngkarihonxahnasingmichiwitbnolkkhunipbneruxdwyxyanglakhu phraecathrngbychaxyangir onxahkthatamnnthukprakar 19 emuxthungkahndkhxngphraeca phraxngkhthrngbxkihonxahkhunipxyubnerux aelathrngbndalihfntk 40 wn 40 khuntidtxkn aelathrngpidtanathnghmd cnnathwmolk phukhn stw aelaphuchthukchnidthixasybnolkkesiychiwitipthngsin aelathrngihnathwmolkxyuepnewlathung 150 wn 20 phayhlng emuxphraecathrngralukthungonxah cungthrngthaihnaldlng odyichewlapraman 150 wn emuxnaldlngaelwonxah aelakhrxbkhrwcungklbmaxasyxyubnaephndintampkti phraecathrngxwyphraphrihaekonxah aelamxbbyytibangprakar echn ham kin enux phrxm kb chiwit khxng mn khux eluxd khxng mn 21 sungepnehtuphlthichawyuorpimrbprathaneluxd nxkcakniphraecayngthrngmiphnthsyyaaekonxahwa era ca tng phnth syya khxng era iw kb phwk eca wa ca im tha lay mnusy aela stw thng pwng ody ih na thwm xik aela ca im ih mi na ma thwm tha lay olk xik tx ip era tng rung khxng era iw thiemkh aelarung nn ca epn ekhruxng hmay aehng phnth syya rahwang era kb olk 22 channtrabidthiyngehnrungkinna kepnehmuxnkhasyyakhxngphraecawa caimekidehtukarnnathwmolk thngib xik 23 hxbaebl aekikh hxbaebl ekidcakkhwamsamkhkhikhxngmnusy phayhlngehtukarnnathwmolk caklukhlankhxngonxah idkhyayphngsphnthuaephiphsalxxkip aetthwthngolktangphudphasaediywkn aelamisphthsaeniyngediywkn 24 phukhninyukhnncungidrwmknsranghxbaebl odymikhwammunghmayephuxsrangepnhxethiymfa srangchuxesiyngiw aelaepnaehlngrwmxarythrrmkhxngmnusyiwdwykn 25 karsranghxbaebl epnkarsrangkhwamphakhphumiicihkbmnusychati sungkhwamphakhphumiicni knamasungkhwamhyingphyxng khidthathayphraeca dwyehtuni phraecacungthrngbndalihekidphasathiaetktangkn thaihmnusysuxsarknimekhaic karkxsranghxbaeblcunghyudchangklngephiyngnn 26 khawa baebl thiichtngchuxhxkhxyni macakraksphthphasahibru thiaeplwa wunway nnexng 27 aelacakkarsranghxbaebl thaihmiphrathrrmkhxthinaprathbicthikhristchnmkichihkalngickn klawiwwa aelwphraecatrswa du si khn ehla ni epn chn chati ediyw hmd mi phasa ediyw ni epn ephiyng ebuxng tn khxng sing thi phwk ekha ca tha aela bd ni im mi xair yb yng thuk sing thi phwk ekha khid ca tha 28 kaenidxisraexl aekikh phayhlngcakyukhkhxngonxahxikhlayladb thayathchux xbrahm sungyaekrngphraeca aelaxthisthantxphraxngkhepnpraca phraecatrskbxbrahm ihxphyphkhrxbkhrwipyngdinaednthiphraecaprathanih epnthisungnadindi xudmsmburn phrxmthngxwyphrihphngsphnthukhxngxbrahmepnphngsphnthuthiyingihy sunginkhnannphrryakhxngxbrahmepnhmnxbrahmidyayxxkcakemuxng edinthangiptamthiphraecathrngna aelaphanipyngemuxngosodm aelaemuxngokomra odyolthhlanchaykhxngxbrahmthiedinthangmadwy idtnghlkaehlngthiemuxngosodmni aettxmaemuxngnnkthukphraecalngothsodyihklayepnekluxthngemuxng rwmthngphukhn stw singkhxng sungnkprawtisastrbangswnechuxwapccubnthaelsabeddsi hrux thaeltay khuxthitngkhxngemuxngosodm aelaemuxngokomra inxditnnexngphrryakhxngxbrahmchux nangsarah sungedimthinangepnhmn emuxxbrahmxayuid 99 pi phraecathrngihphnthsyyawa xbrahmcaepnbidakhxngchnchatiihy nangsarahcungyknangharka sawich ihepnphrryakhxngxbrahm nangharkatngkhrrph aelakhlxdbutrchaychux xichmaexl emuxxichmaexlxayuid 13 pi nangsarahktngkhrrphaelakhlxdbutrchaychux xisxkh inrahwangnnmiehtuihxbrahmtxngkhbilnanghakaraelaxichmaexlxxkcakkhrxbkhrwip swnxisxkhidrbkareliyngducakbida cnetibihyaelamibutrchay chuxyaokhb sungphayhlngidrbchayaihmwa xisraexl aelaepnthimakhxngchuxpraethsxisraexlinthukwnni ephraaechuxwachawyiwthukephalwnepnlukhlankhxngyaokhbyaokhb hrux xisraexl mibutrchaythngsin 12 khn sungepncuderimtnkaraebngephaphnthukhxngxisraexlxxkepn 12 epha aela oyesf butrchaykhnsudthxngkhxng yaokhb epnbukhkhlthichwyihchawxisraexlsamarthhniphyaelngipphankxyuinpraethsxiyipt aelakxihekidehtukarntang inphayhlng sungidbnthukiwinhnngsuxxphyphmummxngkhxngsasnakhristtxhnngsuxpthmkal aekikhinkhristckryukhaerk mungennkarsuksahnngsuxpthmkalinechingthvsdithixangxingxyubnphunthankhwamechuxkhxngchawyiw phuekhiynphrawrsarnkbuyyxhn idichrupaebbepriybethiybrahwanghnngsuxpthmkal bththi 1 aelaphrawrsarnkbuyyxhn bththi 1 odyepriybphralksnaphraeca mungthungkarnaesnxkhwamepntriexkphaphkhxngphraecamakkhun odyichkhawa phra watha Word rwmekhakbkhawa phraeca dngklawiwwa in pthm kal phra watha thrng darng xyu aela phra watha thrng xyu kb phra eca aela phra watha thrng epn phra eca 29 sasnakhrist idnaesnxkhwamaetktangcaksasnayudahmakkhun emuxmikarnaesnxphaphkhxngphraeysu thithrngepnesmuxn xadm thithuksnglngmabngekidihm ephuxithkhwambapihaekmnusychati aelakhristckrkepriybesmuxneruxonxahthichwyihmnusyphuchxbthrrmidrbkhwamrxd cakkarrbbphtisma aelaphnthsyyakhxngphraecathimitxxbrahmthithrngxwyphraphraeklukhlanthisubechuxsaykhxngxbrahmodysayeluxd klbklayepnlukhlankhxngxbrahmthisubechuxsayodykhwamechuxthimitxxngkhphraeysunxkcakni yngmiphaphepriybethiybinhnngsuxpthmkal thipraktchay 3 khnephuxaecngkhawkarekidkhxngxisxkh aekxbrahm 30 kbohracary 3 khnthiaecngkhawkarprasutikhxngphraeysu 31 xikdwy swnnirxephimetimkhxmul khunsamarthchwyephimkhxmulswnniidmummxngkhxngsasnaxislamtxhnngsuxpthmkal aekikhinkhmphirxlkurxanaelakhmphiribebil mithngswnthiehmuxn aelaswnthiaetktangkn odyphunthanthngsxngmiokhrngerimaerkehmuxnkn odyenuxhainaengprawtisastrnn phrakhmphirinthngsxngsasnamikhwamsxdkhlxngkntngaetphraecathrngsrangolk karsrangmnusy khwambap eruxonxah ehtukarnnathwmolk eruxngrawkhxngxbrahm karthanayfnkhxngoyesf cnkrathngomessekhaefaphraeca aetinmummxngkhxngkhmphirxlkurxanmxngwahnngsuxpthmkalmikhwamkhladekhluxnkhxngenuxha thiaetktanginhlaypraedn aelakhmphirxlkurxankhxnkhangihkhwamsakhykberuxngkhxngkdbyytisungmak twxyangkhxngenuxhaswnthimikhwamaetktang aekikh eruxngehtukarnnathwmolk enuxhakhmphirthngsxngsasnaklawehmuxnknwaehtukarnnathwmolkniekidkhunthwthngolk aemmikhristsasnikchnbangklumkhwamechux imechuxechnnnktam inkhmphirxlkurxanklawwa phrrya waxilah aelabutrchay knxan khxngonxah imechuxfngphraeca phwkekhaimyxmkhuneruxaelaesiychiwitinehtukarnnathwmolk 32 sunginphrathrrmpthmkalinkhmphiribebilnn idnbbutrchaythngsamkhnkhxngonxahkhunipbneruxthngsin 33 34 35 eruxngrawkhxngolth lud inkhmphiribebil klawthungolthnxymak inkhnathiinkhmphirxlkurxan cdiholth xyuinhmwdhmuxkhrsawkaelaphuphyakrnehmuxnkbxbrahm xibrxhim lungkhxngekha aetxangthungthanainhmwdhmudngklawcakkhmphirothrahkhxngsasnayudah khmphiribebilklawwaphrryakhxngolthidtidtamolthxxkcakemuxngosodm aelaidhnhlngklbipmxngemuxngnn cungthuksapihepnesaeklux 36 aetinkhmphirxlkurxanklawwa phrryakhxngolth emuxidyinesiyngkukkxngkhxngkarlngoths nangidehliywhlngipduhmubankhxngphwknang thnidnnkxnhinkhlnlngmakhanangtaythnthi 37 karthwaybutraedphraeca khxngxbrahm inkhmphirxlkurxanechuxwabutrthithukthwayaedphraecakhuxxichmaexl aelaechuxwaxichmaexl khux butrhwpi sungbutrthngsxngkhnepnphusubechuxsaykhxngxbrahmehmuxnkn xisxkh xishkh aelalukhlanidrbmrdk aelarbphnthsyyakhxngphraecamibutrhlanmakmayepnsasdaphyakrn echnediywkbthithangsayxichmaexlthimimuhmmdepnsasdainyukhhlng inkhnathikhmphiribebilnn xisxkhepnbutrthiphraecaihnaipthway 38 aelaphraecaidtngphnthsyyakhuntxxbrahm waechuxsaykhxngekha xisxkh phuepnbutrhwpikhxngnangsarahphrryahlwng caepntnechuxsaykhxngphuthicaesdcmaphayhlng thangsasnakhristelngthungkarmabngekidkhxngphraeysukhrist 39 40 aelaklawthungkarxwyphrkhxngphraecatxechuxsaykhxngxbrahmthangfngxichmaexl butrhwpikhxngnanghakarthasrbichkhxngnangsarah wa duethid eraidxwyphrekhaaelacakrathaihekhamilukdkthwimakkhunxudmbriburnxyangying ekhacaihkaenidecanaysibsxngxngkhaelaeracakrathaihekhaepnchnchatiihychnchatihnung swnnirxephimetimkhxmul khunsamarthchwyephimkhxmulswnniidkarepriybethiybkbchwngewlainprawtisastrolk aekikhbnphunthankhxnghnngsuxpthmkalsasnayudahaelasasnakhrist tangyudexahnngsuxpthmkal aelahnngsuxelmtx maepnekhruxngchwyinkarkhanwnxayuehtukarntang thiprakttamhlkthankhxngphrakhmphir echuxwaolknithuksrangemux 4 phnpikxnkhristkal the beginning of the 4th millennium BC odynbtngaetwnerimaerksrangolkkhxngphraeca karkaenidxadm aelaexwa aelaehtukarnsakhytang thirabuiwinphrakhmphir aelawnaerkkhxngkarsrangolkthikhanwndwywithikarni thiepnthiyxmrbaelaklawxangthungmakthisud khuxewla 9 omngecha khxngwnthi 23 eduxntulakhm emux 4004 pikxnkhristkal sungbichxp ecms yuesxr Anglican Bishop James Ussher epnphukhanwnkhunaetkarkhanwnxayuolkdwywithikardngklaw kxihekidkhxkngkhakhunxyangmak rwmthngnkprawtisastr aelankobrankhdiodyswnihytangkimyxmrbkarkhanwnxayuolkdwywithikardngklaw nxkcaknidwyhlkthanthangwithyasastr thngdandarasastr phumisastr aelachiwwithya lwnaelwaetimsxdkhlxngkbphlkarkhanwndngklaw enuxngcakhlkthanbangxyangrabuxayukhxngolkiwkwa 4 phnlanpidwysaip praednxayukhxngolkcungyngkhngepnthithkethiyngknrahwangsasnsastr aelankwithyasastrsmyihminpccubnxangxing aekikh hnngsuxpthmkal phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 biblestudytools net odypraman phthnakarkhxngkhnaphuechiywchayphrakhristthrrmphicarnachwngewlainpthmkalaelaebycbrrn mikhuntngaetklangkhriststwrrsthi 20 Source Analysis Barry Bandstra withyaly Hope michiaekn hnngsuxpthmkal 22 3 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 1 1 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 webinspirer com hnngsuxpthmkal 1 1 2 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 1 4 5 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 1 7 8 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 1 14 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 1 22 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 1 26 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 2 2 3 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal bththi 2 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 2 16 17 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 3 16 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 3 19 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 6 5 7 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 6 9 22 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 7 1 24 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 9 4 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 9 11 13 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal bththi 8 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 11 1 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 11 4 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 11 6 9 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal bththi 11 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 11 6 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 phrawrsarnkbuyyxhn 1 1 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal bththi 8 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 phrawrsarnkbuymththiw bththi 2 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 khmphirxlkurxan chbbphasaithy hud 11 40 43 hnngsuxpthmkal 9 18 19 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 cdhmaykhxngnkbuyepotr chbbthi 1 3 20 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 cdhmaykhxngnkbuyepotr chbbthi 2 2 5 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 19 26 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 khmphirxlkurxan chbbphasaithy hud 11 81 1 hnngsuxpthmkal 22 1 11 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 hnngsuxpthmkal 17 7 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 phrawrsarnkbuymththiw 1 1 17 phrakhristthrrmkhmphir chbbmatrthan 2011 wikisxrs mingantnchbbekiywkb hnngsuxpthmkal bthkhwamekiywkbsasnakhristniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodyephimkhxmulekhathungcak https th wikipedia org w index php title hnngsuxpthmkal amp oldid 9400389, wikipedia, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด,

บทความ

, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม