พระสุรินทรบริรักษ์
ประวัติ
ชาติกำเนิด
รองอำมาตย์เอกพระสุรินทร์บริรักษ์ เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าเมืองวาริชภูมิ เป็นชาวภูไท เดิมชื่อ ท้าวสุพรม เกิดที่เมืองกะป๋อง (เมืองเซโปน สาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) เมื่อปี พ.ศ. 2385 เป็นบุตรชายคนโตของท้าวราชนิกูล ไม่ปรากฏพี่น้องร่วมสายเลือด และเป็นหลานของท้าวคำผง ผู้เป็นเจ้าเมืองกะป๋อง แต่ผลกระทบจากการศึกสงคราม ทำให้ชาวเมืองกะป๋องต้องอพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเพื่อความสงบสุขในการทำกิน
การอพยพเข้ามาในประเทศสยาม
การอพยพข้ามมาประเทศสยามของชาวภูไทเมืองกะป๋องในช่วงนั้นมีหลายระลอก ในปี พ.ศ. 2387 ท้าวราชนิกูลได้นำชาวภูไทเมืองกะป๋องประมาณ 400 ครัวเรือน อพยพข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมาประเทศสยามตามคำชักชวนของ พระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนคร และพระสุนทรราชวงศา (ท้าวฝ้าย เจ้าเมืองยโสธรและนครพนม) ขบวนผู้อพยพได้เดินทาง พักแรมตามพื้นที่ต่าง ๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2390 ท้าวราชนิกูลและชาวภูไทเมืองกะป๋องได้ตั้งหมู่บ้านขึ้นที่บ้านหนองหอย (อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร)
การรับราชการและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์
ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประเทศสยามต้องเผชิญกับปัญหาโจรจีนฮ่อ ซึ่งแผ่อิทธิพลลงมาจากทางใต้ของประเทศจีน กลุ่มฮ่อได้ออกปล้นวัว ควาย พืชผลทางการเกษตรของชาวบ้าน จนได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถทำกินได้อย่างปกติสุข พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงส่ง พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) มาเป็นแม่ทัพใหญ่ในการปราบฮ่อ โดยตั้งค่ายอยู่ที่เมืองหนองคาย ในปี พ.ศ. 2419 ท้าวสุพรม บุตรของท้าวราชนิกูล ได้นำไพร่พลชาวภูไทเข้าสมทบกับพระพิทักษ์เขตขันธ์ (เจ้าเมืองหนองหาน) ร่วมเดินทางไปกับทัพใหญ่ของ พระยามหาอำมาตย์ ปราบฮ่อที่เวียงจันทร์ และทุ่งเชียงคำจนชนะราบคาบ เสร็จจากการศึกแล้วจึงนำไพร่พลกลับ เมื่อมาถึงบ้านหนองหอยก็พบว่า ท้าวราชนิกูล ผู้เป็นบิดา ได้ป่วยหนักและเสียชีวิตลง ท้าวสุพรม จึงจัดการพิธีศพของบิดา เมื่อแล้วเสร็จก็นำไพร่พลกลับไปเข้าร่วมกองทัพของ พระยามหาอำมาตย์ อีกครั้ง ความทราบถึง พระยามหาอำมาตย์ ทำให้ท่านรักและเอ็นดู ท้าวสุพรม เป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยเห็นว่า เป็นคนซื่อสัตย์ รับใช้ราชการอย่างอุตสาหะ และกล้าหาญ พระยามหาอำมาตย์ จึงแต่งตั้งท้าวสุพรม เป็น "พระพรมสุวรรณภักดี" ดำรงตำแหน่ง นายกองแห่งบ้านหนองหอย ปฏิบัติราชการแทนบิดาสืบไป
ในปี พ.ศ. 2430 พระพรมสุวรรณภักดี และ พระพิทักษ์เขตขันธ์ ได้เดินทางไปเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ กรุงเทพมหานคร โดยการเดินทางครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก พระยามหาอำมาตย์ จึงทำให้การดำเนินการต่าง ๆ สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อความทั้งหมดทราบถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานยศเลื่อนบรรดาศักดิ์ พระพรมสุวรรณภักดี เป็น "รองอำมาตย์เอกพระสุรินทรบริรักษ์" และจัดตั้งบ้านป่าเป้า ขึ้นเป็นเมืองวาริชภูมิ โดยมี พระสุรินทรบริรักษ์ เป็นเจ้าเมือง และในปี พ.ศ. 2440 พระสุรินทรบริรักษ์ ได้รับพระราชทานเครื่องยศตามบรรดาศักดิ์ เป็น ถาดหมากและคนโท ทำจากเงิน จำนวน 1 สำรับ เสื้อเยียรบับ (เสื้อยศ) ลายดิ้นทอง สัปทนทำจากแพรหลินแดง หอก ดาบ และง้าวตีขึ้นจากเหล็กเนื้อดีอีกจำนวนหนึ่ง
การจัดตั้งเมืองอำเภอวาริชภูมิ
ในช่วงนี้จะเกิดความสับสนว่า ชาวภูไทกะป๋อง ซึ่งอาศัยอยู่บ้านหนองหอย ในเขตเมืองสกลนคร แทนที่จะจัดตั้งเมืองที่บ้านหนองหอย แต่เหตุใดจึงจัดตั้งเมืองวาริชภูมิขึ้นที่บ้านป่าเป้า ซึ่งอยู่ในเขตเมืองหนองหาน เหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการจัดตั้งเมืองที่บ้านหนองหอย ถูกคัดค้านจาก พระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนคร ซึ่งข้อขัดแย้งนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานมาแล้ว ตั้งแต่สมัย ท้าวราชนิกูล และได้พยายามร้องขอกับ พระยาประจันตประเทศธานี หลายครั้งแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ พระพิทักษ์เขตขันธ์ เจ้าเมืองหนองหาน จึงยกพื้นที่บ้านป่าเป้า ในเขตเมืองหนองหาน ให้กับพระสุรินทรบริรักษ์ เพื่อจัดตั้งเมืองวาริชภูมิ และได้เกลี้ยกล่อมให้ พระสุรินทรบริรักษ์ ไปอพยพชาวภูไทกะป๋อง ที่อาศัยอยู่บ้านหนองหอย มาอยู่ที่บ้านป่าเป้าแทน แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากชาวภูไทกะป๋อง เป็นคนรักฐิ่นฐาน จึงไม่ยอมย้ายบ้านเมืองไปอยู่ที่อื่น ทำให้เมืองวาริชภูมิ ต้องย้ายมาตั้งที่บ้านหนองหอยดังเดิม จึงเกิดข้อพิพาทเขตแดนระหว่างเมืองหนองหาน และเมืองสกลนคร อย่างไม่จบสิ้น
ในปี พ.ศ. 2435 พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้สำเร็จราชการหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ มีคำสั่งให้โอนเมืองวาริชภูมิ มาทำราชการขึ้นกับเมืองสกลนคร แต่ให้กรมการเมืองวาริชภูมิ ยังคงตำแหน่งเดิมทุกคน และในปี พ.ศ. 2441 มีพระราชโองการประกาศใช้ข้อบังคับท้องที่ ร.ศ.117 ให้ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชบุตร ราชวงศ์ อันเป็นตำแหน่งแบบอาณาจักรล้านช้างแต่โบราณ มาเป็นตำแหน่งเหมือนข้าราชการส่วนกลางทั่วประเทศ โดยเมืองวาริชภูมิ มีคณะกรมการเมือง ดังนี้
พระสุรินทรบริรักษ์ (สุพรม เหมะธุลิน) เป็น ผู้ว่าราชการเมือง
หลวงสมัครวาริชกิจ (หล้า) เป็น ปลัดเมือง
หลวงสฤษฎ์วาริชการ (พิมพ์) เป็น ศาลเมือง (ยกกระบัตรเมือง)
ขุนสมานวาริชภูมิ (คำตัน) เป็น ศาลเมือง (ยกกระบัตรเมือง)
ขุนราชมหาดไทย (เคน) เป็น มหาดไทย
ขุนบริบาล (วันทอง) เป็น นครบาล
ขุนพรหมสุวรรณ (เพชร) เป็น คลังเมือง
ขุนศรีสุริยวงศ์ (บุตร) เป็น โยธาเมือง
การได้รับพระราชทานนามสกุล
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามสกุลให้พระสุรินทรบริรักษ์ โดยอิงตามชื่อของบรรพบุรุษ คือ ท้าวคำผง ว่า " เหมะธุลิน " (เหมะ แปลว่า ทองคำ , คำ ธุลิน แปลว่า ผง , เศษ) เขียนเป็นอักษรโรมันว่า HEMADHULIN อยู่ในลำดับที่ 1,209 ของนามสกุลพระราชทาน
รองอำมาตย์เอกพระสุรินทรบริรักษ์ ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2455 สิริอายุได้ 70 ปี เก็บรักษาบรรจุศพไว้ 2 ปี และได้รับพระราชทานเพลิงศพ ในปี พ.ศ. 2457
อ้างอิง
- มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ภูไทกะป๋อง ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ภูไทในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ดร.สพสันติ์ เพชรคำ : วารสารวิถีสังคมมนุษย์ ปีที่ 1 ฉบับพิเศษ เดือน มกราคม - มิถุนายน พ.ศ. 2556
- ↑ http://phutaikapong.blogspot.com/p/3-4-5-2-4.htmlประวัติ ความเป็นมา และวัฒนธรรมของชาวภูไทกะป๋อง
- http://phutaiwaritchaphum.blogspot.com/2010/02/การย้ายถิ่นฐานของกลุ่มภูไทวาริชภูมิ
- https://www.m-culture.go.th/young/ewt_news.php?nid=442&filename=index ประเภณีเลี้ยงผีมเหศักข์ กระทรวงวัฒนธรรม
- http://www.guideubon.com/web/viewtopic.php?f=7&t=8545&start=15การอพยพและการจัดตั้งเมืองของชาวภูไทกลุ่มต่าง ๆ
- ↑ https://www.facebook.com/KrmKarmeuxngSwangdaendin/posts/524117240978302พระสุรินทร์บริรักษ์ เจ้าเมืองวาริชภูมิ : กรมการเมืองสว่างแดนดิน , ธวัช ปุณโณทก ผู้เรียบเรียง
- เอกสาร ร.5 มท. เล่ม15 จ.ศ.1240 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
- http://www.phyathaipalace.org/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99/namebox.htmlลำดับนามสกุลพระราชทาน ตัวอักษรขึ้นต้นด้วย “ห” : วังพญาไท
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2457/D/63.PDF