ฟุตบอลทีมชาติสเปน
ฟุตบอลทีมชาติสเปน (สเปน: Selección de fútbol de España) เป็นทีมฟุตบอลประจำประเทศสเปน อยู่ภายใต้การควบคุมและเป็นตัวแทนของราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนในการแข่งขันระหว่างประเทศนัดต่าง ๆ ซึ่งจัดขึ้นโดยสหพันธ์สมาคมฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า)
ฉายา |
| ||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
สมาคม | ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (RFEF) | ||||||||||||||||
สมาพันธ์ | ยูฟ่า (ยุโรป) | ||||||||||||||||
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | ลุยส์ เอนริเก | ||||||||||||||||
กัปตัน | [[เซร์ฆิโอ บุสเกตส์ ]] | ||||||||||||||||
ติดทีมชาติสูงสุด | เซร์ฆิโอ ราโมส (168) | ||||||||||||||||
ทำประตูสูงสุด | ดาบิด บิยา (59) | ||||||||||||||||
รหัสฟีฟ่า | ESP | ||||||||||||||||
อันดับฟีฟ่า | |||||||||||||||||
อันดับปัจจุบัน | 6 (27 พฤษภาคม 2021) | ||||||||||||||||
อันดับสูงสุด | 1 (July 2008 – June 2009, October 2009 – March 2010, July 2010 – July 2011, October 2011- July 2014) | ||||||||||||||||
อันดับต่ำสุด | 25 (March 1998) | ||||||||||||||||
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก | |||||||||||||||||
สเปน 1–0 เดนมาร์ก (Brussels, Belgium; 28 สิงหาคม 1920) | |||||||||||||||||
ชนะสูงสุด | |||||||||||||||||
สเปน 13–0 บัลแกเรีย (มาดริด, Spain; 21 พฤษภาคม 1933) | |||||||||||||||||
แพ้สูงสุด | |||||||||||||||||
สเปน 1–7 อิตาลี (Amsterdam, Netherlands; 4 June 1928) อังกฤษ 7–1 สเปน (ลอนดอน, อังกฤษ; 9 ธันวาคม 1931) | |||||||||||||||||
ฟุตบอลโลก | |||||||||||||||||
เข้าร่วม | 14 (ครั้งแรกใน 1934) | ||||||||||||||||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ, 2010 | ||||||||||||||||
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป | |||||||||||||||||
เข้าร่วม | 9 (ครั้งแรกใน 1964) | ||||||||||||||||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ, 1964, 2008 และ 2012 | ||||||||||||||||
Summer Olympics | |||||||||||||||||
เข้าร่วม | 10 (ครั้งแรกใน 1920) | ||||||||||||||||
ผลงานดีที่สุด | Champions, 1992 | ||||||||||||||||
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ | |||||||||||||||||
เข้าร่วม | 2 (ครั้งแรกใน 2009) | ||||||||||||||||
ผลงานดีที่สุด | Runners-up, 2013 | ||||||||||||||||
เกียรติยศ
|
ทีมชาติสเปนเป็นที่รู้จักกันในฉายา "La Furia Española" และฉายาซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าคือ "La Furia Roja" มาจากคำที่ชาวอิตาลีเป็นผู้คิดขึ้นและนำมาใช้เรียกทีมชาตินี้ในภาษาของตนว่า "Furia Rossa" คำว่า "ฟูเรีย" (ความดุเดือด, ความโมโหร้าย) มาจากรูปแบบการเล่นที่ค่อนข้างรุนแรงของนักฟุตบอลสเปนในการแข่งขันนัดต่าง ๆ ที่ทีมชาติสเปนเข้าร่วมเป็นครั้งแรกที่เมืองแอนต์เวิร์ป (ประเทศเบลเยียม) และต่อมาก็ถูกนำมาใช้เรียกเหตุการณ์การปล้นเมืองแอนต์เวิร์ปของสเปนในสงครามแปดสิบปี (ค.ศ. 1576) ซึ่งเป็นตำนานมืดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์การทหารของสเปนด้วย ส่วน "รอสซา" (สีแดง) มาจากสีของเสื้อทีม สำหรับในประเทศไทยนั้นทีมนี้มีฉายาว่า "กระทิงดุ"
สเปนได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 12 ครั้ง และเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในฟุตบอลโลก ปี 1982 ผลงานที่ดีที่สุดที่ทีมชาติสเปนเคยทำได้นั้นคือชนะเลิศในปี2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้
ทีมชาติสเปนยังได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ฟุตบอลยูโร) 8 ครั้ง ครั้งสำคัญคือฟุตบอลยูโร ปี 1964 ซึ่งถือเป็นแชมป์ในบ้านตัวเองหลังจากเอาชนะสหภาพโซเวียตไป 2-1 แต่ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร ปี 1984 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส สเปนทำได้เพียงรองแชมป์เพราะแพ้ให้กับเจ้าบ้านด้วยคะแนน 2-0 และไม่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศอีกเลยจนกระทั่งในการแข่งขันฟุตบอลยูโร ปี 2008 สเปนก็ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จโดยพบกับเยอรมนีและคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด
ความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดในกีฬาโอลิมปิกของฟุตบอลทีมชาติสเปนได้แก่ การแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ค.ศ. 1992 ที่เมืองบาร์เซโลนา สเปนคว้าเหรียญทองได้สำเร็จหลังจากเอาชนะโปแลนด์ 3-2 ในรอบชิงชนะเลิศที่สนามกัมนอว์ (Camp Nou) ส่วนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ค.ศ. 2000 สเปนได้เหรียญเงินโดยแพ้แคเมอรูนหลังจากการดวลจุดโทษในรอบชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ สเปนยังเคยได้เหรียญเงินในกีฬาโอลิมปิกที่เมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ค.ศ. 1920 อีกด้วย
ประวัติการแข่งขัน
การแข่งขันครั้งแรก
ฟุตบอลทีมชาติสเปนได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1920 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นตัวแทนประเทศสเปนไปแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 7 ที่เมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ทีมชาติสเปนลงสนามอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1920 โดยพบกับทีมชาติเดนมาร์กที่สนามกีฬาในกรุงบรัสเซลส์ และสามารถเอาชนะเดนมาร์ก 1-0 ด้วยการยิงประตูจากปาตรีเซียว ทีมชาติสเปนได้เหรียญเงินเป็นครั้งแรกจากการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้น
การแข่งขันใหญ่ระหว่างปี ค.ศ. 1950-2004
- 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1950; รีโอเดจาเนโร (บราซิล): สเปน-อังกฤษ (1-0, ประตูจากซาร์รา) ฟุตบอลโลก ปี 1950
- 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1950; รีโอเดจาเนโร (บราซิล): สเปน-สวีเดน (1-3) ฟุตบอลโลกปี 1950
- 21 มิถุนายน ค.ศ. 1964; มาดริด: สเปน-สหภาพโซเวียต (2-1) รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร ปี 1964
- 21 ธันวาคม ค.ศ. 1983; เซบิยา: สเปน-มอลตา (12-1) ในรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร ปี 1984
- 27 มิถุนายน ค.ศ. 1984; ปารีส: สเปน-ฝรั่งเศส (0-2) รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร ปี 1984
- 18 มิถุนายน ค.ศ. 1986; เกเรตาโร (เม็กซิโก): สเปน-เดนมาร์ก (5-1) ในฟุตบอลโลก ปี 1986
- 8 สิงหาคม ค.ศ. 1992; บาร์เซโลนา: สเปน-โปแลนด์ (3-2) รอบชิงชนะเลิศในโอลิมปิกปี 1992
- 30 กันยายน ค.ศ. 2000; ซิดนีย์: สเปน-แคเมอรูน (2-3) รอบชิงชนะเลิศในโอลิมปิกปี 2000
- 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2004; มาดริด: สเปน-อังกฤษ (1-0) เป็นการลงสนามครั้งที่ 500 ของทีมชาติสเปน
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008
แม้จะทำผลงานครั้งแรก ๆ ได้ไม่ดีนักเมื่อเริ่มต้นแข่งขันรอบคัดเลือกตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 แต่สเปนก็สามารถผ่านเข้ามาในรอบแบ่งกลุ่มของการแข่งขันฟุตบอลยูโรที่ออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ได้สำเร็จ ในช่วงนี้เองเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้จัดการทีมลุยส์ อาราโกเนสกับสื่อมวลชนสเปน ครั้งแรกในเรื่องผลการแข่งขันที่ผ่านมาซึ่งย่ำแย่ และครั้งที่ 2 ในเรื่อง "ข่าว" ความขัดแย้งกับอดีตกัปตันทีมชาติราอุล กอนซาเลซ
ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มสเปนอยู่ในกลุ่ม D ร่วมกับสวีเดน กรีซ และรัสเซีย ในนัดแรกที่พบกับรัสเซียนั้นผลออกมาคือสเปนชนะไป 4-1 โดยได้ 3 ประตูจากดาบิด บียา และอีก 1 ประตูจากเซสก์ ฟาเบรกัส ส่วนในนัดที่ 2 ที่พบกับสวีเดน สเปนก็ยังเอาชนะได้ด้วยคะแนน 2-1 จากการยิงของเฟร์นันโด ตอร์เรสและบียา และในนัดสุดท้ายที่พบกับแชมป์เก่ากรีซ สเปนสามารถเอาชนะได้เช่นกันด้วยคะแนน 1-2 โดยได้ประตูจากรูเบน เด ลา เรด และดานี กวีซา
ด้วยชัยชนะทั้งสามครั้งรวดทำให้สเปนอยู่ในอันดับที่ 1 ของกลุ่ม และต้องไปพบกับอิตาลีในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งสเปนสามารถยิงจุดโทษเอาชนะไปได้ 4-2 หลังจากต่อเวลาพิเศษแล้วยังเสมอกัน 0-0 ในนัดนี้อีเกร์ กาซียัส ผู้รักษาประตูฝ่ายสเปนสามารถหยุดลูกยิงจากฝ่ายตรงข้ามไว้ได้ 2 ลูก ส่วนผู้ทำประตูให้กับสเปนในนัดนี้ได้แก่ บียา, กาซอร์ลา, เซนนา และฟาเบรกัส
สเปนลงแข่งในรอบรองชนะเลิศกับรัสเซียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน และเอาชนะไปได้ด้วยคะแนน 3-0 ซึ่งเป็นประตูที่ยิงได้ในครึ่งหลังทั้งหมดจากชาบี อาร์นันดัส, ดานี กวีซา และดาบิด ซิลบา ทำให้สเปนผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี อย่างไรก็ตาม สเปนก็ต้องขาดบียากองหน้าคนสำคัญไปเพราะได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาจากการเตะลูกฟรีคิกในนัดที่แข่งกับรัสเซีย
ในวันที่ 29 มิถุนายน สเปนพบกับเยอรมนีซึ่งชนะตุรกีมาได้ด้วยคะแนน 3-2 ในนัดนี้ เฟร์นันโด ตอร์เรสทำประตูให้สเปนขึ้นนำเยอรมนีได้ในนาทีที่ 33 โดยไม่มีฝ่ายใดทำประตูเพิ่มอีกในครึ่งหลัง เกมจึงสิ้นสุดลงด้วยคะแนน 1-0 ทำให้ทีมชาติสเปนได้ครองแชมป์การแข่งขันใหญ่อีกครั้งหลังจากว่างเว้นไปถึง 44 ปี
ฟุตบอลโลก 2010
ในฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ก่อนการแข่งขันสเปนถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ได้ แต่เมื่อได้แข่งนัดแรกแล้ว สเปนกลับเป็นฝ่ายพลิกล็อกแพ้สวิตเซอร์แลนด์ไป 0-1 แต่หลังจากนั้นสเปนก็ทำผลงานกระเตื้องขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ
ในรอบชิงชนะเลิศ สเปนเป็นฝ่ายเอาชนะเนเธอร์แลนด์ ที่ชนะมาทุกรอบได้ ไป 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หลังจากเสมอมาในเวลาปกติ 0-0 จากการยิงประตูของอันเดรส อีเนียสตา ในนาทีที่ 116 ทำให้สเปนได้ครองแชมป์โลกเป็นครั้งแรก และเป็นทีมจากทวีปยุโรปทีมแรกที่คว้าแชมป์โลกได้นอกทวีปของตนเอง และเป็นทีมแรกที่แพ้ก่อนในนัดแรกแต่พลิกกลับๅ/มาเป็นแชมป์ได้ในที่สุด
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ที่โปแลนด์และยูเครนเป็นเจ้าภาพ สเปนในฐานะแชมป์เก่าสามารถป้องกันแชมป์เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันได้สำเร็จ โดยในรอบชิงชนะเลิศสามารถระเบิดฟอร์มถล่มอิตาลีไปอยางขาดลอยถึง 4-0
ฟุตบอลโลก 2014
ในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ สเปนในฐานะแชมป์เก่าอยู่กลุ่ม B ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันกับ เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศเมื่อคราวที่แล้ว, ชิลี และออสเตรเลีย ในนัดแรก สเปนเป็นฝ่ายแพ้เนเธอร์แลนด์ไปมากถึง 1-5 ซึ่งนับเป็นผลการแข่งขันที่สเปนแพ้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ทีมชาติอีกด้วย และในนัดถัดมา สเปนก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อ ชิลี 0-2 ทำให้ตกรอบแรกไปทันที โดยไม่ต้องรอผลการแข่งขันนัดที่ 3 กับออสเตรเลีย อีกทั้งถือว่า สเปนเป็นทีมแชมป์เก่าที่ตกรอบแรกฟุตบอลโลกเป็นทีมที่ 4 ต่อจาก อิตาลี ในฟุตบอลโลก 1950, บราซิล ในฟุตบอลโลก 1966 และ ฝรั่งเศส ในฟุตบอลโลก 2002
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016
สเปนในฐานะแชมป์เก่า และแชมป์ 2 สมัยติดต่อกัน ได้ลงเล่นในกลุ่ม D ร่วมกับโครเอเชีย, สาธารณรัฐเช็ก และตุรกี โดยก่อนการแข่งขันถูกยกให้เป็นทีมเต็ง 3 ที่จะได้แชมป์ในคราวนี้ ผลปรากฏว่าในรอบแรก สเปนได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายหรือรอบที่ 2 ด้วยการเป็นที่ 2 ของกลุ่ม เนื่องจากนัดสุดท้ายแพ้ต่อ โครเอเชียไป 1-2 แต่ต้องตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อเป็นฝ่ายแพ้ต่อ อิตาลี ซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศเมื่อ 4 ปีก่อน ไป 2-0 ทำให้ บีเซนเต เดล โบสเก หัวหน้าผู้ฝึกสอนประกาศลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนได้ประกาศแต่งตั้งยูเลน โลเปเตกี ที่เคยพาทีมชาติสเปนรุ่นอายุไม่เกิน 19 และ 21 ปีคว้าแชมป์ยุโรปเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่
ผู้เล่น
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
รายชื่อผู้เล่นที่ถูกเรียกตัวเพื่อลงแข่งขันรายการฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ข้อมูลการลงเล่นและการทำประตูนับถึงวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2021
# | ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | GK | ดาบิด เด เฆอา | 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1990 (อายุ 30 ปี) | 45 | 0 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด |
2 | DF | เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา | 28 สิงหาคม ค.ศ. 1989 (อายุ 31 ปี) | 25 | 0 | เชลซี |
3 | DF | ดิเอโก โยเรนเต | 16 สิงหาคม ค.ศ. 1993 (อายุ 27 ปี) | 7 | 0 | ลีดส์ยูไนเต็ด |
4 | DF | เปา ตอร์เรส | 16 มกราคม ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 7 | 1 | บิยาร์เรอัล |
5 | MF | เซร์ฆิโอ บุสเกตส์ (กัปตัน) | 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1988 (อายุ 32 ปี) | 122 | 2 | บาร์เซโลนา |
6 | MF | มาร์โกส โยเรนเต | 30 มกราคม ค.ศ. 1995 (อายุ 26 ปี) | 4 | 0 | อัตเลติโกเดมาดริด |
7 | FW | อัลบาโร โมราตา | 23 ตุลาคม ค.ศ. 1992 (อายุ 28 ปี) | 39 | 19 | ยูเวนตุส |
8 | MF | โกเก | 8 มกราคม ค.ศ. 1992 (อายุ 29 ปี) | 49 | 0 | อัตเลติโกเดมาดริด |
9 | FW | ฌาราร์ต มูแรนู | 7 เมษายน ค.ศ. 1992 (อายุ 29 ปี) | 10 | 5 | บิยาร์เรอัล |
10 | MF | เตียโก | 11 เมษายน ค.ศ. 1991 (อายุ 30 ปี) | 41 | 2 | ลิเวอร์พูล |
11 | FW | เฟร์รัน ตอร์เรส | 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 (อายุ 21 ปี) | 10 | 6 | แมนเชสเตอร์ซิตี |
12 | DF | เอริก การ์ซิอา | 9 มกราคม ค.ศ. 2001 (อายุ 20 ปี) | 7 | 0 | แมนเชสเตอร์ซิตี |
13 | GK | โรเบร์ต ซันเชซ | 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 (อายุ 23 ปี) | 0 | 0 | ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน |
14 | DF | โฆเซ กายา | 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1995 (อายุ 26 ปี) | 13 | 2 | บาเลนเซีย |
16 | MF | โรดริ | 22 มิถุนายน ค.ศ. 1996 (อายุ 24 ปี) | 19 | 1 | แมนเชสเตอร์ซิตี |
17 | MF | ฟาเบียน รุยซ์ | 3 เมษายน ค.ศ. 1996 (อายุ 25 ปี) | 11 | 1 | นาโปลี |
18 | DF | ฌอร์ดี อัลบา | 21 มีนาคม ค.ศ. 1989 (อายุ 32 ปี) | 72 | 8 | บาร์เซโลนา |
19 | FW | ดานิ โอลโม | 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 (อายุ 23 ปี) | 11 | 3 | แอร์เบ ไลพ์ซิช |
20 | FW | อาดามา ตราโอเร | 25 มกราคม ค.ศ. 1996 (อายุ 25 ปี) | 5 | 0 | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ |
21 | FW | มิเกล โอยาร์ซาบัล | 21 เมษายน ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 13 | 4 | เรอัลโซซิเอดัด |
22 | FW | ปาโบล ซาราเบีย | 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 (อายุ 29 ปี) | 3 | 1 | ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง |
23 | GK | อูไน ซิมอน | 11 มิถุนายน ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 6 | 0 | อัตเลติกเดบิลบาโอ |
24 | DF | แอมริก ลาปอร์ต | 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1994 (อายุ 27 ปี) | 0 | 0 | แมนเชสเตอร์ซิตี |
26 | MF | เปดริ | 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 (อายุ 18 ปี) | 3 | 0 | บาร์เซโลนา |
ผู้เล่นที่ลงเล่นมากที่สุด
ข้อมูลเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2016
# | ชื่อ | ปี | ลงเล่น | ประตู |
---|---|---|---|---|
1 | อีเกร์ กาซียัส | 2000-2016 | 167 | 0 |
2 | เซร์คีโอ ราโมส | 2005- | 136 | 10 |
3 | ชาบี อาร์นันดัส | 2000-2014 | 133 | 12 |
4 | อันโดนี ซูบีซาร์เรตา | 1985-1998 | 126 | 44 |
5 | ชาบี อาลอนโซ | 2003-2014 | 114 | 16 |
6 | อันเดรส อีเนียสตา | 2006- | 113 | 13 |
7 | เซสก์ ฟาเบรกัส | 2006- | 110 | 15 |
เฟร์นันโด ตอร์เรส | 2003- | 110 | 38 | |
9 | ดาบิด ซิลบา | 2006- | 103 | 24 |
10 | ราอุล กอนซาเลซ | 1996-2006 | 102 | 44 |
ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุด
ข้อมูลเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015
# | ชื่อ | ปี | ประตู (ลงเล่น) | เฉลี่ย/เกม |
---|---|---|---|---|
1 | ดาบิด บียา | 2005-2014 | 59 (97) | 0.61 |
2 | ราอุล | 1996-2006 | 44 (102) | 0.43 |
3 | เฟร์นันโด ตอร์เรส | 2003- | 38 (110) | 0.35 |
4 | เฟร์นันโด เอียร์โร | 1989-2002 | 29 (89) | 0.33 |
5 | เฟร์นันโด โมเรียนเตส | 1998-2007 | 27 (47) | 0.57 |
6 | เอมีเลียว บูตราเกโญ | 1984-1992 | 26 (69) | 0.38 |
7 | อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน | 1957-1961 | 23 (31) | 0.74 |
8 | ดาบิด ซิลบา | 2003- | 23 (94) | 0.24 |
9 | คูเลียว ซาลีนัส | 1986-1996 | 22 (56) | 0.39 |
10 | มีเชล | 1985-1992 | 21 (66) | 0.32 |
สถิติโลกใหม่ ชนะรวด 15 นัด ทำลายสถิติโลกมากที่สุด
เป็นสถิติชนะมากกว่าสถิติเดิมที่บราซิล ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ทำไว้ คือ ชนะติดต่อกัน 14 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่ฟีฟ่า (FIFA) บันทึกไว้
- นัดที่ 1 วันที่ 26 มิถุนายน 2551 สเปน ชนะ รัสเซีย 3-0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบรองชนะเลิศ
- นัดที่ 2 วันที่ 29 มิถุนายน 2551 สเปน ชนะ เยอรมนี 1-0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบชิงชนะเลิศ
- นัดที่ 3 วันที่ 20 สิงหาคม 2551 สเปน ชนะ เดนมาร์ก 3-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 4 วันที่ 6 กันยายน 2551 สเปน ชนะ บอสเนีย 1-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 5 วันที่ 10 กันยายน 2551 สเปน ชนะ อาร์มีเนีย 4-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 6 วันที่ 11 ตุลาคม 2551 สเปน ชนะ เอสโตเนีย 3-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 7 วันที่ 15 ตุลาคม 2551 สเปน ชนะ เบลเยียม 2-1 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 8 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 สเปน ชนะ ชิลี 3-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 9 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 สเปน ชนะ อังกฤษ 2-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 10 วันที่ 28 มีนาคม 2552 สเปน ชนะ ตุรกี 1-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 11 วันที่ 1 เมษายน 2552 สเปน ชนะ ตุรกี 2-1 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 12 วันที่ 9 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ อาเซอร์ไบจาน 6-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 13 วันที่ 14 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ นิวซีแลนด์ 5-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
- นัดที่ 14 วันที่ 17 มิถุนายน 2552สเปน ชนะ อิรัก 1-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
- นัดที่ 15 วันที่ 20 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ แอฟริกาใต้ 2-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
สถิติโลกใหม่ เทียบเท่าทีมชาติบราซิล ไม่แพ้ทีมใด 35 นัดติดต่อกัน
- นัดที่ 1 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550 (2007) อังกฤษ ชนะ สเปน 0 - 1 กระชับมิตร
- นัดที่ 2 วันที่ 24 มีนาคม 2550 (2007) สเปน ชนะ เดนมาร์ก 2-1 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 3 วันที่ 28 มีนาคม 2550 (2007) สเปน ชนะ ไอซ์แลนด์ 1 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 4 วันที่ 2 มิถุนายน 2550 (2007) ลิทัวเนีย แพ้ สเปน 0-2 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 5 วันที่ 6 มิถุนายน 2550 (2007) ลิกเตนสไตน์ แพ้ สเปน 0 - 2 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 6 วันที่ 22 สิงหาคม 2550 (2007) กรีซ แพ้ สเปน 2 - 3 กระชับมิตร
- นัดที่ 7 วันที่ 8 กันยายน 2550 (2007) ไอซ์แลนด์ เสมอ สเปน 1 - 1 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 8 วันที่ 12 กันยายน 2550 (2007) สเปน ชนะ ลัตเวีย 2 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 9 วันที่ 13 ตุลาคม 2550 (2007) เดนมาร์ก แพ้ สเปน 1 - 3 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 10 วันที่ 17 ตุลาคม 2550 (2007) ฟินแลนด์ เสมอ สเปน 0 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 11 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2550 (2007) สเปน ชนะ สวีเดน 3 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 12 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2550 (2007) สเปน ชนะ ไอร์แลนด์เหนือ 1 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 13 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 (2008) สเปน ชนะ ฝรั่งเศส 1 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 14 วันที่ 26 มีนาคม 2551 (2008) สเปน ชนะ อิตาลี 1 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 15 วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 (2008) สเปน ชนะ เปรู 2 - 1 กระชับมิตร
- นัดที่ 16 วันที่ 4 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ สหรัฐอเมริกา 1 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 17 วันที่ 10 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ รัสเซีย 4 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 18 วันที่ 14 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ สวีเดน 2 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 19 วันที่ 18 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ กรีซ 2 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 20 วันที่ 22 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน เสมอ อิตาลี 0 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 21 วันที่ 26 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ รัสเซีย 3 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 22 วันที่ 29 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ เยอรมนี 1 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์ ชิงชนะเลิศ
- นัดที่ 23 วันที่ 20 สิงหาคม 2551 (2008) เดนมาร์ก แพ้ สเปน 0 - 3 กระชับมิตร
- นัดที่ 24 วันที่ 6 กันยายน 2551 (2008) สเปน ชนะ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 1 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 25 วันที่ 10 กันยายน 2551 (2008) สเปน ชนะ อาร์มีเนีย 4 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 26 วันที่ 11 ตุลาคม 2551 (2008) เอสโตเนีย แพ้ สเปน 3 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 27 วันที่ 15 ตุลาคม 2551 (2008) เบลเยียม แพ้ สเปน 1 - 2 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 28 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 (2008) สเปน ชนะ ชิลี 3 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 29 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 (2009) สเปน ชนะ อังกฤษ 2 - 0 ฟุตบอลกระชับมิตร
- นัดที่ 30 วันที่ 28 มีนาคม 2552 (2009) สเปน ชนะ ตุรกี 1 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 31 วันที่ 1 เมษายน 2552 (2009) ตุรกี แพ้ สเปน 1 - 2 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 32 วันที่ 9 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ อาเซอร์ไบจาน 6 - 0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 33 วันที่ 14 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ นิวซีแลนด์ 5 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
- นัดที่ 34 วันที่ 17 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ อิรัก 1 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
- นัดที่ 35 วันที่ 20 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ แอฟริกาใต้ 2 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
อดีตผู้เล่นคนสำคัญ
อ้างอิง
- ""La Roja" from Miguel, Spain". 17 June 2010. สืบค้นเมื่อ 30 June 2010.
- "La Roja lean to the left". FIFA. 16 June 2009. สืบค้นเมื่อ 4 January 2012.
- "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 27 พฤษภาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2021.
- ↑ Since 1992, squads for Football at the Summer Olympics have been restricted to three players over the age of 23, which Javier will play in 2016. The achievements of such teams are not usually included in the statistics of the international team.
- El Mundo. "El inspirador de la "furia española" fue un vasco" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. Check date values in:
|accessdate=
(help) - "Nace la Furia Roja" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. Check date values in:
|accessdate=
(help) - Terra Networks. "2-2. España pierde el oro en los penaltis" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. Check date values in:
|accessdate=
(help) - Diario de Córdoba. "España jugará ante Inglaterra su partido número 500" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. Check date values in:
|accessdate=
(help) - El Mundo. "Aragonés pierde los nervios por Raúl" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2008.. Check date values in:
|accessdate=
(help) - ล็อกถล่ม สเปนแพ้ สวิสฯ 0-1
- รายงานผล
- น ซิวแชมป์โลกสมัยแรก 'อิเนียสตา' ซัดประตูชัย 1-0 น.116จากไทยรัฐ
- "บันทึกที่สุดยูโร 2012 กระทิงดุ สเปน ที่สุดของที่สุด". สยามสปอร์ต. July 3, 2012. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.
- "กระทิงจุก!แพ้ยับสุดในบอลโลกเป็นอันดับ2ของชาติ". สยามสปอร์ต. 14 June 2014. สืบค้นเมื่อ 19 June 2014.
- "ย้อนรอย!4แชมป์เก่าจอดป้ายรอบแรก". สยามสปอร์ต. 19 June 2014. สืบค้นเมื่อ 19 June 2014.
- "จัดอันดับทีมเต็งแชมป์ยูโร 2016". fun78. May 24, 2016. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.
- "สเปน แชมป์เก่าพลาดท่าแพ้ โครเอเชีย 2-1 ผ่านเข้ารอบเป็นอันดับ 2 บอลยูโร". ช่อง 7. June 22, 2016. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.
- "Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย "อิตาลีโชว์เหนือ! ชนะสเปน แชมป์เก่า 2-0 ลิ่ว 8 ทีมสุดท้าย ยูโร2016"". เนชั่นทีวี. June 28, 2016. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016. line feed character in
|title=
at position 50 (help) - "พอแล้ว!เดลบอสเก้ขอลาออกกุนซือกระทิง". สยามกีฬารายวัน. 1 กรกฎาคม 2559. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2560. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help) - "สเปนตั้งโลเปเตกีกุมบังเหียนต่อเดลบอสเก้". สยามกีฬารายวัน. 21 กรกฎาคม 2559. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2560. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help) - "Oficial | Convocatoria de la Selección española para la EURO 2020" [Official | Call for the Spanish national team for Euro 2020]. Royal Spanish Football Federation (ภาษาสเปน). 24 May 2021. สืบค้นเมื่อ 24 May 2021.
- Royal Spanish Football Federation [SeFutbol] (1 June 2021). "Oficial | ¡¡Estos los dorsales de la SeFutbol para la EURO 2020!!" [Official | These are the national team numbers for EURO 2020!!] (ทวีต) (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 1 June 2021 – โดยทาง ทวิตเตอร์.
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (สเปน)
- Furiaroja เว็บไซต์อย่างไม่เป็นทางการของฟุตบอลทีมชาติสเปน (สเปน)
- ข้อมูลเกี่ยวกับฟุตบอลทีมชาติสเปน (สเปน)
- ข้อมูลเกี่ยวกับฟุตบอลทีมชาติสเปนจากเว็บไซต์ของฟีฟ่า (อังกฤษ)
- สถิติการแข่งขันของฟุตบอลทีมชาติสเปนจากมูลนิธิ RSSSF (อังกฤษ)
- สถิติผู้เล่นฟุตบอลทีมชาติสเปนจากมูลนิธิ RSSSF (อังกฤษ)