โบราณสถานถ้ำพระ
โบราณสถานถ้ำพระ หรือ วัดถ้ำพระ เป็นวัดโบราณที่สร้างภายในถ้ำพระ ซึ่งเป็นถ้ำที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก บริเวณ หมู่ 5 บ้านป่าอ้อ ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ตัวถ้ำตั้งอยู่ภายในภูเขาหินซึ่งมีความสูงประมาณ 800 เมตร ภายในถ้ำพระประดิษฐานพระพุทธรูปจำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบหินงอกหินย้อย และเป็นแหล่งอาศัยของค้างคาว ในภูเขาลูกเดียวกันนอกจากถ้ำพระแล้ว ยังประกอบด้วยถ้ำอื่น ๆ ได้แก่ ถ้ำช้างล้วง ถ้ำลม และถ้ำหวาย ซึ่งบางถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยของฤาษีตามความเชื่อของชาวบ้านและสงฆ์
โบราณสถานถ้ำพระ | |
---|---|
หลวงพ่อดั่งใจ๋ (หลวงพ่อทันใจ) หน้าพระประธาน | |
ที่ตั้ง | ริมแม่น้ำกก หมู่ 5 บ้านป่าอ้อ ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย |
ประเภท | โบราณสถาน ถ้ำ |
เจ้าอาวาส | พระอาจารย์สังวาลย์ อาภากโร |
ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา |
ประวัติ
ถ้ำพระ ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้แสดงถึงความต่อเนื่องในการใช้พื้นที่ มีช่วงหนึ่งที่ถูกทิ้งร้าง และช่วงที่กลับมาใช้งานอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2474 ศาสตราจารย์ฟริทซ์ สารสิน (Fritz Sarasin) ได้ขุดค้นพบเครื่องมือหินที่ถ้ำพระ บนดอยถ้ำพระพบเครื่องมือหินกะเทาะที่ทำด้วยหินกรวดไดอะเบส หินชนวนสีเขียว ในกลุ่มเครื่องมือแบบไซแอเมียน (Siamian) และพบเศษภาชนะดินเผาแบบไม่มีลายและแบลายเชือกทาบ เครื่องมือที่ทำด้วยกระดูกสัตว์ และเปลือกหอย โดยสรุปว่าเครื่องมือหินที่พบเป็นของกลุ่มชนล่าสัตว์ ยังไม่รู้จักการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ ผู้ที่ผลิตเครื่องมือเหล่านี้เป็นกลุ่มโปรโตเมลานีเซียน (Proto-Melanesian)
เหตุที่ได้ชื่อถ้ำพระ เพราะสมัยก่อนมีพระพุทธรูปในถ้ำมากมาย ทั้งพระที่สร้างด้วยโลหะ, อิฐก่อด้วยปูนสอ และไม้ต่างๆ อดีตหากผู้ใดอยากได้บุญหรือเห็นผู้อื่นบวชลูกหลาน ก็เอาพระที่ทำขึ้นมาบวชและเก็บไว้ที่นี่ รวมทั้งถวายพระพุทธรูปที่ได้บนบานไว้ ว่ากันว่ามีมากจนไม่มีที่วางเท้าเดินกันเลย
ในอดีตถ้ำพระมีความสำคัญมาก พบการกล่าวถึงถ้ำพระในจารึกเจ้าเมืองท้าวมูยเชียงรายสร้างพระพุทธรูป เนื้อความจารึกว่า พ.ศ. 2027 พ่อหญัวเจ้าเมืองท้าวมูย เจ้าเมืองเชียงราย ได้มาสร้างพระพุทธรูปไว้ในถ้ำพระ ถวายค่าเช่าหรือภาษีที่นา 82,000 เบี้ย และภาษีที่นาที่มีอยู่เดิมแล้วจำนวน 50,000 เบี้ย และถวายเกิน(ภาษี)หินปูน 20,000 เบี้ย ภาษีหินปูนที่เก็บจากบ้านถ้ำอีก 7,000 เบี้ย รวมเป็นเงิน 159,000 เบี้ย เป็นเครื่องบูชาและบำรุงรักษาพระพุทธรูปในถ้ำพระ ทั้งยังได้ชักชวนให้บรรดาข้าราชการ นักบุญทั้งหลายให้อุทิศข้าพระ ที่ดิน และเงิน ไว้เป็นของบูชาแด่พระพุทธรูป
พ.ศ. 2432 พระยารัตนอาณาเขต (เจ้าหนานสุริยะ) เจ้าหลวงเมืองเชียงราย ได้สร้างพระพุทธรูปที่ถ้ำพระ เพื่อเป็นสิริมงคลเนื่องในงานเฉลิมฉลองทำบุญเมืองเชียงรายในครั้งนั้น จดหมายเหตุเมืองเชียงราย ยุคฟื้นฟูเมืองเชียงรายกล่าวว่า
"เดือน 6 ขึ้น 5 ฅ่ำ เจ้าหลวงสุริยะเป็นเคล้าก่อพระเจ้าถ้ำพระ สกราช 1251 จหลองเมืองค็ปีนี้"
ถ้ำพระมีบุคคลสำคัญมานมัสการไม่ได้ขาด เมื่อมีบุคคลสำคัญมายังเชียงรายทั้งคนไทยและต่างประเทศ ก็มักจะแวะนมัสการพระพุทธรูปหรือเยี่ยมชมถ้ำพระด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งพระองค์ยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จมาถ้ำพระเมื่อ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2448 ได้ทรงจารึกพระนามาภิไธยลงผนังถ้ำว่า "มกุฎทอง" พระนิพนธ์พรรณนาถ้ำพระไว้ในลิลิตพายัพ ดังนี้
๏ รุ่งเช้าพระทรงเดช | ลดเลื่อนริมฝั่งน้ำ | |
ไป่ดำเนินเดินลุถ้ำ | พระพร้อมนามขนานฯ |
๏ ยามนมัสการพระเพี้ยง | คูหา | |
หวลระลึกถึงเรื่องชวา | แต่งไว้ | |
เมื่ออิเหนาลักบุษบา | มาสู่ ถ้ำแฮ | |
จัดแต่งคูหาได้ | ลูบล้วนงามคมฯ | |
— ลิลิตพายัพ |
พ.ศ. 2456 เรจินัลด์ เลอ เมย์ (Reginald Le May) รองกงสุลอังกฤษประจำเชียงใหม่ ได้เดินทางมาเที่ยวถ้ำพระ และบรรยายถึงสภาพของถ้ำพระในขณะนั้น ความว่า
บ่ายวันหนึ่ง ข้าพเจ้าออกไปเที่ยว "ถ้ำพระ" (a cave of Buddha) ตามที่ได้ยินมาว่าอยู่เหนือน้ำแม่กกขึ้นไปหน่อย ข้าพเจ้าลงเรือประทุนลำยาวและท้องตื้น โดยมีคนถ่อสองคนอยู่ข้างหน้าและคนถือท้ายคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง น้ำแม่กกมีสายน้ำไหลเชี่ยวและคดเคี้ยวไปมา ใช้เวลาทวนน้ำขึ้นไปสองชั่วโมงเต็มๆจึงถึงปลายทางฝั่งหนึ่งนั้น เราเห็นแต่สวนและไร่ยาสูบแปลงเล็กๆ แต่อีกฟากหนึ่งนั้นงามกว่า เราผ่านหน้าภูผาสูงยาวไปหลายต่อหลายลูกซึ่งเอียงลงมาจดชายน้ำ ในหมู่ต้นไม้ที่ขึ้นตามเนินเขา มีฝูงลิงสีดำตัวน้อยๆ ฉุดหางกันอยู่ จนกระทั่งมันเห็นพวกเราจึงหายเข้าไปในหลืบหินโค้งสุดท้ายของแม่น้ำเกือบจะเป็นรูปวงกลม
และเราก็มาถึงหน้าผาที่มีช่องทางเข้า ตรงปากถ้ำมีพระพุทธรูปที่พึ่งได้รับปฏิสังขรณ์มาใหม่ๆ ตั้งอยู่มีแสงแวววับของทองคำเปลวที่ปิดหุ้มองค์พระไว้ มีทางเข้าถ้ำสองทาง แต่ต้องปีนหน้าผาสูงชันขึ้นไปเสียจนเหนื่อยกว่าจะถึงถ้ำ หลังจากผ่านปากถ้ำเข้าไปแล้วข้าพเจ้ามาถึงห้องโล่งที่มีเพดานโค้งตามธรรมชาติ มีหินย้อยขนาดใหญ่ยื่นลงมาขึ้นราเขียวด้วยความเก่าแก่ มองตรงไปข้างหน้าก็เห็นแท่นพระยกสูงจากพื้นตลอดความกว้างของถ้ำถัดไปทางขวาเล็กน้อยมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ซ่อมแซมแล้วตั้งอยู่หน้าแท่นพระ บนแท่นพระมีพระพุทธรูปหลายองค์ทั้งพระนอนและพระยืนกองสุมกันอยู่ระเกะระกะ บางองค์ก็เศียรขาด ไม่มีฐานรอง แขนขาด มีทั้งที่ทำด้วยไม้ ดินเผา อิฐ และทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ บางองค์ที่สร้างติดกับหินไว้อย่างแน่นหนาก็เหลือเพียงครึ่งเดียว เข้าใจว่าเมื่อนานมาแล้วพระพุทธรูปส่วนมากคงจะถูกขนย้ายไปไว้ตามวัดและสถานที่อื่นๆ เพราะที่เหลืออยู่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่
ที่มุมหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างนั้นข้าพเจ้าเจอพระพุทธรูปไม้สักเก่าแก่ที่สลักอย่างสวยงามองค์หนึ่ง มีฐานกว้างราว 12 นิ้ว แกะจากไม้ท่อนเดียวกันกับองค์พระ องค์พระนั้นถูกขูดเอาทองออกไปหมดและมีฐานสีแดงที่ซีดจาง พอจับขึ้นมาฐานก็หักเป็นสองท่อน ดูเนื้อไม้ผุกร่อนไปหมด อย่างไรก็ตามหลังจากสำรวจถ้ำอยู่นาน ข้าพเจ้าก็ได้ของดีเป็นศีรษะเล็กๆ ทำด้วยหินทรายทาน้ำมันเคลือบเงาสีดำและยังมองเห็นร่องรอยของการปิดทองรางๆอยู่ คงจะเป็นรูปศีรษะของนักบุญ (พระอรหันต์) มากกว่าเศียรพระพุทธเจ้าเพราะไม่มียอดโมลี และพุทธลักษณะที่น่าเคารพอื่นๆ ที่จำเป็นจะต้องแสดงไว้ รูปปั้นศีรษะนี้มีความสูงเพียง 3 นิ้ว แต่ในแง่ของงานแกะสลักแล้ว มันประณีตที่สุดข้าพเจ้าเคยเห็นมาในสยาม รูปทรงของศีรษะสมบูรณ์และใบหน้านั้นแม้จะมีเปลือกตาหนาแบบชาวมองโกล เส้นรอบนอกของจมูกที่งองุ้ม ริมฝีปากและคอที่มั่นคงนั้น ก็คงจะได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะโรมัน รูปถ่ายของศีรษะนี้อยู่บนปกหน้าของหนังสือเล่มนี้แล้ว
เวลานี้ประวัติของถ้ำสูญหายไปเสียแล้ว และถึงแม้จะมีคนบอกข้าพเจ้าว่ายังมีประวัติที่จารึกไว้อยู่ แต่ข้าพเจ้าก็ค้นหาไม่เจอ ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่ในถ้ำพระนานราว 1 ชั่วโมงหรือกว่านั้น ขูดแซะและคุ้ยเขี่ยไปตามฝุ่นผงที่ทับถมกันมานานหลายยุค แต่เนื่องจากใกล้จะมืดค่ำแล้วในที่สุดข้าพเจ้าจึงไต่กลับลงไปที่เรืออีกเห็นหมอกลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ และอากาศก็เย็นลงทุกที ในขณะที่เรือล่องปราดไปตามแม่น้ำ ฝ่าลมอันเย็นยะเยือกยามสายัณห์นั้น ความคิดของข้าพเจ้าก็ย้อนหลังไปหลายร้อยปี และนึกแปลกใจว่า อะไรหนอทำให้คนพากันทิ้งถ้ำไว้เช่นนั้น ปล่อยให้พวกขโมย และใจบาปมาลักพระพุทธรูปจำนวนมากนั้นไป สำหรับจิตใจที่มีระเบียบของพวกเราแล้ว การทิ้งขว้างและการปล่อยให้ทรุดโทรมอย่างนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจยากเหลือเกิน แต่ภายในภูมิภาคส่วนนี้ของโลก ส่วนที่คนรุ่นก่อนสร้างและอนุรักษ์ไว้รุ่นต่อมากลับไม่เห็นคุณค่า ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับนิสัยของคนไทยที่จะต้องแก้ไขก็คือเรื่องการทำงานไม่ต่อเนื่องและไม่รักษาของเก่านี่แหละ— An Asian Arcady: The Land and Peoples of Northern Siam
นอกจากนี้ยังมีเจ้านายระดับสูงอีกหลายพระองค์ที่มานมัสการพระพุทธรูปในถ้ำพระ และจารึกพระนามาภิไธยลงผนังถ้ำด้วย คือ
"พระราชชายา เจ้าดารารัศมี 5/12/60" เจ้าดารารัศมี พระราชชายาเสด็จเชียงรายและนมัสการถ้ำพระ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2460
"สุขุมาล" สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี "บริพัตร" สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต "นภาพร" พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี ทั้งสามพระองค์และพระโชโต อุทิศทานพลกำลัง 5...ธนปัจจัย 2000 บาท บำรุงถ้ำสนองคุณบิดามารดา เมื่อ พ.ศ. 2465
16 มกราคม พ.ศ.2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชทานพระแสงศาตราเมืองเชียงราย พระองค์ได้เสด็จมาถ้ำพระพร้อมข้าราชบริพาร มีการสร้างสะพานไม้ข้ามแม่น้ำกกฝั่งหน้าปากถ้ำ โดยใช้เส้นทางบกผ่านบ้านเด่นห้าไปสู่แม่น้ำกก เรียกว่าถนนถ้ำพระ (ปัจจุบันคือ ถนนหน้าค่าย)
ถ้ำพระ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 หน้า 3673 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีผู้มาขนพระพุทธรูปจากถ้ำพระไปเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะ พระพุทธรูปที่ถูกนำไปครั้งนั้นมากกว่า 5-6,000 องค์ ผู้เฒ่าผู้แก่แถวนั้นยังช่วยหาพระดีๆ ให้เสียด้วยซ้ำ บางองค์เมื่อ พ.ศ. 2500 ราคาองค์หนึ่งถึงแสนบาทก็มี บางองค์เศียรเป็นแก้วกลมๆ ขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 6 นิ้ว (พระเชียงแสน-โจฬะ) เมื่อ พ.ศ. 2502 พระรุ่นนี้มีการเช่ากันที่เชียงแสน ราคาหนึ่งล้านบาทถ้วน ทำให้ถ้ำพระปัจจุบันมีพระพุทธรูปไม่มากเท่าในอดีต
พ.ศ. 2498 มีการสร้างวิหารน้อยภายในถ้ำด้วยปูนซีเมนต์ แทนวิหารหลังเดิมที่สร้างจากไม้และชำรุด
ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถ้ำพระ ได้มีพระสงฆ์มาจำพรรษาปฏิบัติธรรมและคอยดูแลรักษาโบราณสถานถ้ำพระอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น 1.หลวงพ่อเข้ม 2.หลวงพ่อดี 3.หลวงพ่อศิริ 4.หลวงพ่อดวงตา โชโต และพระอีกหลายรูปที่ไม่สามารถหาชื่อได้
พ.ศ. 2520 - 2526 หลวงพ่อทองคำ ภทฺทโก ได้มาจำพรรษาปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพระ ได้สร้างกุฏิ 2 หลัง ส่งเสริมให้มีกิจกรรมแะประเพณีอย่างต่อเนื่อง ชุมชนถ้ำพระในสมัยนั้นมีความทุรกันดารมาก เด็กๆ จะไปเรียนหนังสือก็ยากลำบาก เพราะต้องเดินไปโรงเรียนข้ามเขา ข้ามทุ่งนาและลำน้ำ ห่างจากโรงเรียนประมาณ 5-6 กิโลเมตร เด็กๆ ส่วนใหญ่จะเลี้ยงวัวเลี้ยงควายที่ครอบครัวเลี้ยงเพื่อใช้ทำนา หลวงพ่อทองคำ ภทฺทโกจึงแนะนำให้เด็กๆ วันเสาร์หรือวันอาทิตย์นำวัวควายมาเลี้ยงใกล้ๆ ถ้ำพระ เพื่อให้เด็กๆ มารวมตัวกันและให้ท่านได้สอยหนังสือเพิ่มเติมความรู้ของเด็กๆ ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือท่านมาก
พ.ศ. 2526-2530 พระจ่ามร ได้มาจำพรรษาปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพระ ได้สร้างกุฏิ 1 หลัง
พ.ศ. 2530-2534 พระวิรัตน์ ได้มาจำพรรษาปฏิบัติธรรมและคอยดูแลรักษาถ้ำพระ
พ.ศ. 2534-2540 มีพระมาจำพรรษาปฏิบัติธรรมและคอยดูแลรักษาถ้ำพระ 3-4 รูป ไม่ปรากฏชื่อ
พ.ศ. 2540-2563 หลวงพ่อทองคำ ภทฺทโก ได้มาจำพรรษาปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพระอีกครั้งหนึ่ง และได้นำชาวบ้านปลูกต้นไม้บริเวณหน้าบันไดของถ้ำพระ ยังเจริญเติบโตจนถึงทุกวันนี้ จนเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2563 หลวงพ่อทองคำ ภทฺทโก ได้อาพาธหนักและมรณภาพ ญาติๆ ของหลวงพ่อได้นำสรีระไปบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าซาง ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย ชาวบ้านและคณะศรัทธาถ้ำพระได้นำอัฐิของท่านมาก่อบรรจุไว้ในถ้ำพระ
พ.ศ. 2543-2547 มีพระมาจำพรรษาปฏิบัติธรรมและคอยดูแลรักษาถ้ำพระ 5 รูป ไม่ปรากฏชื่อเพราะแต่ละรูปอยู่ไม่นาน
พ.ศ. 2547-2554 พระชัยวัฒน์ ญาณธโร ได้มาจำพรรษาปฏิบัติธรรมและคอยดูแลรักษาถ้ำพระ ได้สร้างกุฏ 5 ห้อง 2 ชั้น พระพุทธรูปบนก้อนหินกลางน้ำ ศาลา 1 หลัง ไม่มีอะไรแล้วเสร็จสักอย่าง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552 วิหารน้อยในถ้ำพระเกิดไฟไหม้เสียหายหมด เนื่องจากมีเด็กมาเล่นประทัดและจุดเทียนหน้าพระประธาน ก้อนหินที่อยู๋ในถ้ำเมื่อถูกความร้อนได้ตกลงมาใส่พระประธานเสียหาย พระชัยวัฒน์ ญาณธโรและคณะศรัทธาได้ร่วมกันบูรณะองค์พระประธานและสิ่งต่างๆที่ได้รับความเสียหาย แต่ไม่ได้สร้างวิหารน้อยเหมือนเดิม พระชัยวัฒน์ ญาณธโรได้ออกจากการจำพรรษาปฏิบัติธรรมและคอยดูแลรักษาถ้ำพระเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ในช่วงที่ยังไม่มีพระสงฆ์มาจำพรรษา คณะศรัทธาถ้ำพระและผู้เลื่อมใสจากกรุงเทพมหานครได้สร้างพระพุทธรูปกลางน้ำจนเสร็จ
พ.ศ. 2556 พระอาจารย์สังวาลย์ อาภากโร ได้มาจำพรรษาปฏิบัติธรรมและคอยดูแลรักษาถ้ำพระ ได้ร่วมกับคณะศรัทธาถ้ำพระช่วยกันสานต่องานสร้างกุฏิและศาลาจนแล้วเสร็จ
ปูชนียวัตถุและถาวรวัตถุที่สำคัญของวัด
ถ้ำพระ
ตั้งอยู่ปลายสุดของตัวดอยถ้ำพระทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นที่แม่น้ำกกไหลผ่าน ตัวถ้ำอยู่สูงกว่าระดับพื้นดินประมาณ 12 เมตร มีบันไดก่ออิฐขึ้นไป อดีตหน้าถ้ำแนวเส้นน้ำกกไหลผ่านเลียบเชิงถ้ำพระ ต่อมาเกิดการเปลี่ยนทางน้ำจากสายเดิมราว 100 เมตร ทำให้เป็นผืนดินที่โล่งราบเรียบ ในถ้ำมีพื้นที่ประมาณ 70-80 ตารางเมตร ตรงกลางมีฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นจำนวนมาก ด้านซ้ายมือมีหินงอกหินย้อยมีน้ำหยดลงมาตลอดเวลา ต้องเอาโอ่งรองน้ำไว้ เชื่อว่าเป็นน้ำทิพย์วิเศษ บริเวณด้านหน้าถ้ำพระพบจารึกสลักชื่อบุคคลไว้ว่า "ร.อ.อ. หลวงชวกรม ร.อ.ต. วาศ สารภี ระเบิด 4/8 พ.ศ. 2468" คือ รองอำมาตย์เอก หลวงชวกรมกรณี (อิน แสงสนิท) อัยการจังหวัดเชียงราย และรองอำมาตย์ตรี วาส สารภี ปลัดอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สันนิษฐานว่าเป็นภารกิจสำรวจถ้ำพระเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2469
ถ้ำฤๅษี
เป็นช่องซอกถ้ำเล็กๆ สามารถเดินขึ้นไปสักการะรูปปั้นฤๅษีและถ้ำชีปะขาวเพื่อแสดงความเคารพและเป็นสิริมงคล
ถ้ำช้างล้วง
ตั้งอยู่ประมาณกึ่งกลางของดดอยทางทิศใต้ติดกับลำน้ำกก เล่าว่าช้างทรงของกษัตริย์ยื่นงวงล้วงเข้าไปในถ้ำเพื่อถวายของสักการะสิ่งศักสิทธิ์ จึงได้ชื่อว่าถ้ำช้างล้วง ภายในถ้ำมีปล่องอากาศพอให้มีแสงสว่างลอดมาถึงเฉพาะตรงที่มีโบราณสถานตั้งอยู่ ลึกประมาณ 40 เมตร กว้างพอจุคนได้ประมาณ 80 คน ด้านซ้ายของผนังถ้ำมีการก่ออิฐยกพื้นสูงประมาณ 1 คืบ กว้างประมาณ 1 เมตร ยาวตามแนวผนังถ้ำ ด้านในสุดเป็นฐานชุกชีประดิษฐานพระประธานก่ออิฐสูงประมาณ 1 เมตร มีบันไดขึ้น 3 ขั้น อดีตมีพระประธานก่ออิฐถือปูนหน้าตักกว้างประมาณ 3 ซอก ด้านซ้ายขวาอีกอย่างละ 1 องค์ แต่ถูกทำลาย วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2561 พระอธิการยุทธพงษ์ ฐิตฺเมโธ เจ้าอาวาสวัดกลางเวียง พร้อมคณะศรัทธาถ้ำพระ ได้ร่วมใจก่อสร้างพระเจ้าทันใจทดแทนพระประธานองค์เดิมภายในวันเดียว
ถ้ำยุบ
อยู่หัวสุดของดอยทางทิศตะวันออก ปากถ้ำอยู่ต่ำคล้ายว่าจะยุบลงเหลือทางเข้าครึ่งเดียว จึงได้ชื่อว่าถ้ำยุบ ปากถ้ำกว้างประมาณ 6 เมตร ถ้ำลึกประมาณ 20 เมตร สามารถเดินทะลุออกได้ 2 ทาง ภายในถ้ำมีการก่อพระมหากัจจายนะ 1 องค์ สูงประมาณ 2 เมตร ไม่ทราบผู้ก่อและปีที่สร้าง บริเวณปากถ้ำพบรอยสลักพระพุทธบาทจำลอง โดยมีพระพุทธรูปและเจดีย์อยู่สองข้าง ไม่ทราบปีที่สลัก และยังพบจารึกอยู่ใต้รอยพระพุทธบาท สลักชื่อบุคคลไว้ว่า "ร.อ.ต. วาศ 12/8/2468" คือ รองอำมาตย์ตรี วาส สารภี ปลัดอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สันนิษฐานว่าเป็นภารกิจสำรวจถ้ำพระเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2469
ถ้ำหวาย
อยู่ห่างจากถ้ำยุบประมาณ 100 เมตร ทางเดินเป็นอุโมงค์แคบๆ ภายในเป็นห้องโถงโล่งๆ ประกอบด้วยหินงอกหินย้อย เมื่อโดนแสงไฟฉายจะส่องประกายระยิบระยับ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความตื่นเต้น ผจญภัย
ถ้ำสายลม
มีลมพัดออกมาจากรูปากถ้ำตลอดเวลา เหมือนว่าจะมีลมพัดลอดมาอีกด้านหนึ่งของดอยทางแม่น้ำกก
พระสิงห์หนึ่ง
พระพุทธรูปสิงห์หนึ่ง หน้าตัก 3 เมตร 9 นิ้ว สร้างเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2536
อ้างอิง
- https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/2000
- อภิชิต ศิริชัย ปริวรรต. จดหมายเหตุเมืองเชียงราย ยุคฟื้นฟูเมืองเชียงราย พ.ศ. 2386-2446. พิมพ์ครั้งที่ 1. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2558.
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. ลิลิตพายัพ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทย (พิมพ์เป็นอนุสรณ์แด่พระตำรวจเอก เจ้าพระยาราชศุภมิตร (อ๊อด ศุภมิตร)) 2472.
- Reginald Le May. An Asian Arcady: The Land and Peoples of Northern Siam. Bangkok: White Lotus, 1986.
- อภิชิต ศิริชัย . ประวัติโบราณสถานถ้ำพระ. พิมพ์ครั้งที่ 1. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2562.
- อภิชิต ศิริชัย . ประวัติโบราณสถานถ้ำพระ. พิมพ์ครั้งที่ 1. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2562.
- อภิชิต ศิริชัย . ประวัติโบราณสถานถ้ำพระ. พิมพ์ครั้งที่ 1. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2562.
- อภิชิต ศิริชัย . ประวัติโบราณสถานถ้ำพระ. พิมพ์ครั้งที่ 1. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2562.
- อภิชิต ศิริชัย . ประวัติโบราณสถานถ้ำพระ. พิมพ์ครั้งที่ 1. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2562.
- อภิชิต ศิริชัย . ประวัติโบราณสถานถ้ำพระ. พิมพ์ครั้งที่ 1. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2562.
- อภิชิต ศิริชัย . ประวัติโบราณสถานถ้ำพระ. พิมพ์ครั้งที่ 1. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2562.
- อภิชิต ศิริชัย . ประวัติโบราณสถานถ้ำพระ. พิมพ์ครั้งที่ 1. เชียงราย: ล้อล้านนา, 2562.
ดูเพิ่ม
ประวัติวัดถ้ำพระจากคำบอกเล่าของพระครูปลัดชัยวัฒน์ โพสต์โดยผู้ใช้บน ธรรมะห้านาที
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: วัดถ้ำพระ จังหวัดเชียงราย |