วัดพระแก้วมรกต
วัดอุโบสถรตนาราม (เขมร: វត្តឧបោសថរតនារាម) นิยมเรียกว่า วัดพระแก้วมรกต (វត្តព្រះកែវមរកត) หรือเรียกโดยย่อว่า วัดพระแก้ว (វត្តព្រះកែវ) เป็นวัดที่ตั้งอยู่ภายในพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เป็นวัดในพระราชวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา และวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร ด้วยมีธรรมเนียมที่คล้ายคลึงกัน และถูกสร้างด้วยแรงบันดาลใจจากวัดหลวงในกรุงเทพมหานคร ภายในพระวิหารมีการปูเสื่อที่ทำจากเงินบริสุทธิ์ ทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า วิหารเงิน
วัดพระแก้วมรกต | |
---|---|
พระวิหารพระแก้วมรกต | |
ชื่อสามัญ | วัดอุโบสถรตนาราม |
ที่ตั้ง | ถนนสมเด็จสุธารส เขตโฎนปึญ พนมเปญ ประเทศกัมพูชา |
พระประธาน | พระแก้วมรกต |
พระพุทธรูปสำคัญ | พระชินรังสีราชิกนโรดม |
พระจำพรรษา | ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา |
ความพิเศษ | พระอารามประจำพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล |
ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา |
วัดพระแก้วมรกตถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของพนมเปญ เพราะภายในวัดประกอบด้วยโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญหลายยุคสมัย มักใช้สำหรับประกอบพระราชพิธีสำคัญหรือกิจกรรมระดับชาติ ทั้งยังเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุภายในพระปรางค์คันธบุปผา
ประวัติ
วัดพระแก้วมรกตสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารเมื่อ พ.ศ. 2435 จนถึง พ.ศ. 2445 มีออกญาเทพนิมิต (รส) วาดเค้าโครงและแผนผังของวัด แต่มีสถาปนิกฝรั่งเศสชื่อ Alavigne เป็นผู้ดูแลความถูกต้อง และสมเด็จพระมหาสังฆราช (เที่ยง สุวณฺณเกสโร) เป็นผู้ตรวจสอบ ด้านการก่อสร้างและประดับตกแต่งจัดทำโดยช่างเขมรและสถาปนิกฝรั่งเศสชื่อ Andrilleux จนแล้วเสร็จและสมโภชในปี พ.ศ. 2446 รวมเป็นเงินทั้งหมดห้าแสนเรียล ในหนังสือ เอกสารมหาบุรุษเขมร ระบุว่าพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารทรงพระราชทานนามศาสนสถานแห่งนี้ว่า วัดอุโบสถรตนาราม ดังปรากฏความว่า "...พระบาทสมเด็จพระนโรดมทรงพระยินดีพ้นประมาณ ทรงพระบัญญัติให้เรียกนามวัดว่า พระอุโบสถรตนารามพระแก้วมรกต..." วัดพระแก้วมรกตเป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงศีลอุโบสถทุกวันอุโบสถ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง
วัดพระแก้วมรกตได้รับอิทธิพลการก่อสร้างจากสถาปัตยกรรมไทยพอสมควร ส่วนหนึ่งก็เพราะ พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ผู้สร้างวัด, ออกญาเทพนิมิต (มัก) สถาปนิก และสมเด็จพระมหาสังฆราช (เที่ยง สุวณฺณเกสโร) ที่ปรึกษา ล้วนแต่เป็นบุคคลที่เติบโตและเข้ารับการศึกษาที่กรุงเทพมหานครหลายปี จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้วัดหลวงแห่งนี้ได้รับอิทธิพลจากไทยไปมาก พึงสังเกตว่าชื่อวัดอุโบสถรตนาราม คล้ายคลึงกับชื่อวัดพระศรีรัตนศาสดารามของไทย รวมทั้งมีธรรมเนียมปฏิบัติคล้ายคลึงกันมาก
วัดแห่งนี้ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาเนื่องจากเป็นวัดที่ตั้งอยู่ภายในพระบรมราชวัง แต่มีครั้งเดียวในปี พ.ศ. 2470 ที่พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงผนวชและจำพรรษาในวัดแห่งนี้หนึ่งพรรษา และในรัชกาลนี้เองได้มีการบูรณะวัดพระแก้วมรกตขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2505 จนถึง พ.ศ. 2513 ตรวจงานโดยออกญาวังวรเวียงชัย (ซาน ย็วน)
อาคาร
พระวิหารพระแก้วมรกต
พระวิหารพระแก้วมรกต เป็นสถานที่สำหรับประดิษฐานพระแก้วมรกต สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร โดย Andrilleux สถาปนิกชาวฝรั่งเศสนำเครื่องมือช่างมาใช้ในการก่อสร้าง มีสมเด็จพระมหาสังฆราช (เที่ยง สุวณฺณเกสโร) และพระธรรมลิขิต (ยืม) คอยตรวจตราการก่อสร้างทุกวัน วิหารเป็นทรงจตุรมุข ภายในกว้าง 11 เมตร 40 เซนติเมตร ยาว 31 เมตร 60 เซนติเมตร ประกอบด้วยประตู 8 ประตู และหน้าต่างอีก 16 บาน จิตรกรรมฝาผนังทำเป็นรูปเทพนิมิตในเรื่องปฐมสมโพธิ และทศชาติล้อมรอบ ตรงกลางสร้างเป็นบัลลังก์เพชร มีดอกบัวผุดซ้อนเกสรสำหรับประดิษฐานพระแก้วมรกต ด้านบนพระพุทธรูปมีเศวตฉัตร เมื่อสร้างแล้วเสร็จจึงจัดพระราชพิธีฉลองการบรรจุสีมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445
ในอดีตถือว่าวิหารของวัดพระแก้วมรกตมีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดในกรุงพนมเปญ ดังปรากฏในพระนิพนธ์ นิราศนครวัด ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความว่า "...ขนาดพระอุโบสถ นอกจากวัดพระแก้วที่ในวัง จะหาใหญ่เท่าวัดมกุฎกษัตริย์หรือวัดโสมนัสวิหารไม่มีเลย ฝีมือสร้างจะหาน่าชมมิใคร่พบ..." และทรงกล่าวไว้อีกความว่า "...พระอุโบสถนั้นทำเป็นทรงพระอุโบสถสามัญแต่มียอดปราสาท ข้างในพระอุโบสถปูกระเบื้องเงิน ฝาผนังหว่างหน้าต่างเขียนเรื่องปฐมสมโพธิ กลางพระอุโบสถมีฐานชุกชี ตั้งบุษบกรองพระแก้ว..."
วิหารแห่งนี้เริ่มทรุดโทรมลงตามกาลเวลา สมเด็จพระมหากษัตริยานีสีสุวัตถิ์ กุสุมะ นารีรัตน์ สิรีวัฒนามีพระราชดำริที่จะบูรณะวิหารขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2505 กระทำโดยการรื้อวิหารเดิมแล้วสร้างขึ้นใหม่ โดยคงรูปแบบของสถาปัตยกรรมเดิมไว้ แต่เพิ่มเติมด้วยการปูเสื่อที่ทำจากเงินบริสุทธิ์ 5,329 แผ่น และประดับหินอ่อนจากประเทศอิตาลี คิดเป็นเงินทั้งหมด 20 ล้านเรียล
พระแก้วมรกต
พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปสำคัญของพระวิหารนี้ มีขนาดเล็ก ประดิษฐานอยู่บนบุษบก องค์พระทำจากคริสตัลสีเขียวของห้างบาการาคริสตัล (Baccarat Crystal) ในประเทศฝรั่งเศส ทำให้มีพุทธลักษณะที่ต่างออกไปจากพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรในวัดพระศรีรัตนศาสดารามของไทยไปโดยสิ้นเชิง ส่วนที่จำลองจากพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรไปนั้น เพราะฝ่ายกัมพูชาเข้าใจว่าพระพุทธรูปดังกล่าวเคยประดิษฐานในดินแดนของตนมาก่อน โดยอิงจากตำนานพระโคพระแก้ว และใน ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา อ้างว่าพระแก้วมรกตเคยประดิษฐานอยู่ในกรุงกัมพูชามาก่อน เนื้อหากล่าวถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จเสนกราช ขณะนั้นกรุงอินทปรัตเกิดอุทกภัยใหญ่ พระเจ้าอาทิตยราช กษัตริย์กรุงอโยชนครปรารถนาที่จะได้พระแก้วมรกตไปไว้พระนคร จึงกราบบังคมทูลเชิญกษัตริย์ ขุนนางกรุงอินทปรัต พร้อมพระแก้วมรกตไปไว้กรุงอโยชนคร โดยสร้างพระวิหารเป็นพระอารามหลวงไปไว้เป็นอย่างดี ครั้นกรุงอินทปรัตน้ำแห้งลง พระบาทสมเด็จพระเสนกราชสวรรคตในอโยชนคร พระสิงหกุมารจึงทูลลาพระเจ้าอาทิตยราชไปปลงพระบรมศพของพระราชบิดาที่กรุงอินทปรัต แต่พระเจ้าอาทิตยราชทูลขอพระแก้วมรกตไว้ พระสิงหกุมารมีพระราชดำริว่า อโยชนครก็เป็นประเทศเอกราช และมีบุญคุณต่อกรุงอินทปรัต จึงทูลตอบอนุญาต แล้วนิวัตกรุงอินทปรัตพร้อมกับพระบรมศพ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงพระพุทธรูปองค์นี้ใน นิราศนครวัด ความว่า "...พระแก้วนั้น สมเด็จพระนโรดมสั่งให้ไปทำเป็นพระแก้วมรกตที่ห้างปักกะราต์ฝรั่งเศส ข้อนี้ทราบมานานแล้ว มาได้ความรู้เพิ่มเติมเมื่อเห็นตัวจริง ว่าตั้งใจจะจำลองให้เหมือนพระแก้วมรกตที่ในกรุงเทพฯ สมเด็จพระนโรดมเห็นจะให้ไปสืบแลวัดมาดูได้ขนาดเท่ากัน แต่รูปสัณฐานนั้นผิดกันห่างไกล สีแก้วมรกตที่ฝรั่งเศสหล่อเป็นแก้วใสเป็นอย่างขวดเขียวสี่เหลี่ยม ที่มักใช้ใส่น้ำอบกันแต่ก่อน เครื่องประดับก็ทำแต่ทองครอบพระเกตุมาลา แล้วติดรัศมีต่อขึ้นไป..."
ส่วนหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนหนังสือชื่อ ถกเขมร ได้กล่าวถึงพระพุทธรูปองค์นี้ด้วย ความว่า "...ไปอีกด้านหนึ่งของพระราชวังมีวัดพระแก้ว มีพระพุทธรูปตั้งอยู่บนบุษบกทองในพระอุโบสถ พระพุทธรูปนั้นเป็น "พระแก้ว" จริง ๆ สีเขียวขนาดขวดโคคาโคล่า และสั่งทำมาจากฝรั่งเศส..."
พระชินรังสีราชิกนโรดม
พระชินรังสีราชิกนโรดม เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์เมื่อ พ.ศ. 2447 สนองพระราชกระแสพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารก่อนสวรรคตว่าหลังถวายพระเพลิงแล้ว ให้นำโกศทองคำมาหลอมสร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่งอุทิศแก่พระศรีอริยเมตไตรย โดยพระพุทธรูปองค์นี้ทำจากทองคำ 90 กิโลกรัม (รวมฐานและฉัตร) ประดับเพชรพลอยจำนวน 2,086 เม็ด เพชรเม็ดใหญ่สุดมีขนาด 25 มิลลิเมตรอยู่ที่มงกุฎ และเพชรขนาดรองลงมาคือ 20 มิลลิเมตรประดับที่สังวาล
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงระบุเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ใน นิราศนครวัด ความว่า "...มีของแปลกที่น่าดูอย่างหนึ่ง คือพระพุทธรูปฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนโรดม ทำเป็นพระยืนทรงเครื่อง (แบบฉลองพระองค์ในกรุงเทพฯ) แต่แต่งเครื่องเพชรพลอยอย่างใหม่ฝีมือฝรั่ง ซึ่งเป็นของสมเด็จพระนโรดมทรงพระอุทิศไว้ ฝีมือทำก็งามดี ในวัดพระแก้วมีที่ดูเท่านี้..."
พระระเบียงและจิตรกรรมฝาผนัง
พระระเบียงของวัดพระแก้วมรกตมีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง เรียมเกรติ์ หรือรามายณะฉบับเขมรตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มเรื่องทางด้านทิศตะวันออกแล้วเวียนประทักษิณ มีความยาวทั้งหมด 642 เมตร เริ่มเขียนเมื่อ พ.ศ. 2446-2447 โดยออกญาเทพนิมิต (เธียะก์) และช่างเขียนคนอื่น ๆ อีก 40 คน โดยมีลักษณะที่แตกต่างไปจากจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง รามเกียรติ์ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามของไทยคือมีการเขียนเรื่องย่อเพื่อบอกเหตุการณ์ในภาพกำกับไว้ด้วย
วิทยานิพนธ์ของนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่า จิตรกรรมฝาผนังของเรียมเกรติ์นำเนื้อเรื่องและตัวละครมาจากจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นส่วนใหญ่ แต่มีการนำเสนอที่ต่างกัน ซึ่งอาจเป็นความผิดพลาดของจิตรกรเมื่อส่งผ่านวัฒนธรรมหนึ่งไปอีกวัฒนธรรมหนึ่ง แรงบันดาลใจทางสังคมวัฒนธรรม และบริบทการวาดและลีลาของจิตรกรแต่ละท่าน รวมทั้งผู้มีบทบาทในการสร้างจิตรกรรมฝาผนังในวัดพระแก้วมรกตทั้งสามคนคือ พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ผู้สร้างวัด, ออกญาเทพนิมิต (มัก) สถาปนิก และสมเด็จพระมหาสังฆราช (เที่ยง) ที่ปรึกษา ล้วนแต่เป็นบุคคลที่เติบโตและเข้ารับการศึกษาที่กรุงเทพมหานครหลายปี จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้จิตรกรรมฝาผนังนี้ได้รับอิทธิพลจากไทยไปอย่างสูง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงพระระเบียงและจิตรกรรมฝาผนังไว้ใน นิราศนครวัด ความว่า "...วัดพระแก้วมีพระระเบียงล้อมรอบ ฝาผนังพระระเบียงเขียนเรื่องรามเกียรติ์ อย่างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่รูปภาพเขียนฝีมือเลวไม่น่าดู ดีแต่ฝาผนังไม่ชื้นเหมือนพระระเบียงวัดพระแก้วในกรุงเทพฯ ภาพยังดี..."
ปัจจุบันพระระเบียงวัดพระแก้วมรกตมีความชำรุดทรุดโทรมมาก ทั้งจากสภาพอากาศและการทำลายจากน้ำมือมนุษย์ กระทั่ง พ.ศ. 2528 รัฐบาลกัมพูชาได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลโปแลนด์ในการบูรณะซ่อมแซมจิตรกรรมฝาผนังนี้ แต่ทำได้เพียง 5 ปีก็ยุติลง เพราะใช้งบประมาณเกินกำหนด
มณฑปพระไตรปิฎก
มณฑปพระไตรปิฎก เป็นมณฑปประดิษฐานพระไตรปิฎก ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของพระวิหารพระแก้วมรกต สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ปรากฏใน เอกสารมหาบุรุษเขมร ว่า "...ที่ลานด้านทิศเหนือก่อดินสูงตำให้แน่นจัดหินก่อสร้างเป็นพระมณฑป ลวดลายตกแต่งหลายชั้น ยอดแหลมสูงขึ้นไปข้างบนประดับกระจกปิดทองสว่างพร่างพราย มีหน้าต่างเปิดปิด ฐานข้างล่างในปูกระเบื้องสี ข้างนอกตกแต่งด้วยหินและบันไดตัดด้วยหินอ่อนสำหรับประดิษฐานพระคัมภีร์พระไตรปิฎก..."
นอกจากนี้ ภายในมณฑปพระไตรปิฎกยังเป็นที่ประดิษฐานพระโคนนทิสัมฤทธิ์ ซึ่งพบขุดพบที่อำเภอเกาะธม จังหวัดกันดาล เมื่อ พ.ศ. 2526
กึงพระบาท
กึงพระบาท เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทสี่รอยของพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์ที่ได้ตรัสรู้และปรินิพพานไปแล้ว ได้แก่ พระกกุสันโธ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ และพระโคดม สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ปรากฏใน เอกสารมหาบุรุษเขมร ว่า "...ที่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถมดินจัดหินทำเป็นกึงรจนา ข้างในสร้างเป็นองค์พระพุทธปฏิมาประทับเหนือรัตนบัลลังก์ และประดิษฐานรอยพระพุทธบาทปถวีทั้ง ๔ พระองค์ ซึ่งประทับมีรอยอยู่ในแผ่นดิน..."
พระมณเฑียรสธรรม
พระมณเฑียรสธรรม หรือธรรมศาลา เป็นสถานที่สำหรับเจริญพระปริตรและสัตตปรณากรรม สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ปรากฏใน เอกสารมหาบุรุษเขมร ว่า "...ที่ลานทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถมดินตำให้แน่นราบเสมอก่อสร้างเป็นพระมณเฑียรสัทธรรมมุงกระเบื้องสีใส่ช่อฟ้านาคสะดุ้ง หน้าจั่วลวดลายประดับกระจกปิดทองสำหรับพระภิกษุสงฆ์เทศนาจำเริญพระสัตตปกรณาภิธรรมถวายพระราชกุศล..."
พนมขันทมาลีนาทีบรรพตไกลาส
พนมขันทมาลีนาทีบรรพตไกลาส หรือพนมมณฑป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัด เป็นพระมณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทสัมฤทธิ์ที่มีลายมงคลจำหลัก 108 ประการ สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร คราวเดียวกับการก่อสร้างมณฑปพระไตรปิฎก
หอระฆัง
หอระฆัง สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณเปิดและปิดประตูพระวิหารพระแก้วมรกตในพระราชพิธีต่าง ๆ และในเวลาที่พระสงฆ์เข้าเรียนภาษาบาลี
พระรูปมหินทสุวรรณสนองพระองค์ประทับอัสสพงศ์
พระรูปมหินทสุวรรณสนองพระองค์ประทับอัสสพงศ์ เป็นพระบรมรูปของสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารทรงม้า สร้างเมื่อ พ.ศ. 2418 เป็นของขวัญจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 นำมาประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระวิหารพระแก้วมรกตตั้งแต่ พ.ศ. 2435 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุทรงบวงสรวงขอชัยชนะต่อพระบรมรูปนี้ในการเรียกร้องเอกราชจากประเทศฝรั่งเศสและสัมฤทธิ์ผล พระองค์จึงสร้างมณฑปครอบพระบรมรูปเมื่อ พ.ศ. 2496
พระเจดีย์และพระปรางค์
นอกเหนือศาสนาคารแล้ว ยังมีพระเจดีย์และพระปรางค์ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของบุรพมหากษัตริย์และพระอัฐิของเจ้านายบางพระองค์ด้วย ดังนี้
- พระเจดีย์สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี เป็นพระเจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางใต้ สำหรับบรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี สร้างเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2450 ฐานพระเจดีย์มีศิลาจารึกพระราชประวัติสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีไว้ด้วย แต่ปัจจุบันจารึกนี้ลบเลือนมาก องค์เจดีย์มีลักษณะเป็นทรงระฆังกลมสูงชะลูด ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นจำนวนมาก โดยเฉพาะลายสายสังวาลห้อยระย้ารอบองค์ระฆัง ถือเป็นศิลปะพนมเปญยุคที่ 2
- พระเจดีย์พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร เป็นพระเจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ สำหรับบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร สร้างเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2450 สร้างพร้อมกับพระเจดีย์สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี ฐานพระเจดีย์มีศิลาจารึกพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารไว้ด้วย เจดีย์นี้มีลักษณะแบบเดียวกับพระเจดีย์สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี คือเป็นศิลปะพนมเปญยุคที่ 2
- พระเจดีย์พระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต เป็นพระเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต พระราชชนกในพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ สร้างใน พ.ศ. 2503
- พระปรางค์คันธบุปผา เป็นพระปรางค์สำหรับบรรจุพระอัฐิของพระองค์เจ้านโรดม คันธบุปผา พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2503 โดยสร้างตามอย่างศิลปะเขมรแบบบันทายศรี หลังพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุเสด็จสวรรคตแล้ว มีการนำพระบรมอัฐิของพระองค์มาบรรจุไว้ในพระปรางค์คันธบุปผา เคียงคู่พระอัฐิของพระราชธิดาองค์โปรด ตามพระราชกระแสที่มีไว้ก่อนสวรรคต
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ↑ เขมรสมัยพระนคร, หน้า 138
- Brew, Melanie (2008-12-17). "I want to move to ... Chey Chumneas, Phnom Penh". Phnom Penh Post. สืบค้นเมื่อ 2020-05-13.
- เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 131
- เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 184
- ↑ ธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล (19 พฤศจิกายน 2562). "วัดอุโบสถรตนาราม วัดพระแก้วในวังหลวงพนมเปญ ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตคริสตัลฝรั่งเศส". The Cloud. สืบค้นเมื่อ 7 มีนาคม 2564. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help) - ↑ "รามเกร์-รามเกียรติ์ ที่พระราชวัง "จตุมุข" กรุงพนมเปญ". Matichon Academy. สืบค้นเมื่อ 7 มีนาคม 2564. Check date values in:
|accessdate=
(help) - ↑ เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 133
- ศิลปะเขมร, หน้า 157
- ศิลปะเขมร, หน้า 161
- เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 135
- Chum Ngoen. Guide to Wat Preah Keo Morokot. Phnom Penh:1996, p.2
- เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 136
- นิราศนครวัด, หน้า 27
- นิราศนครวัด, หน้า 52
- เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 137
- อภิญญา ตะวันออก. "5 สิ่ง "เขมร-ไทย" ในประเด็นตามหา". มติชนสุดสัปดาห์. สืบค้นเมื่อ 7 มีนาคม 2564. Check date values in:
|accessdate=
(help) - ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 69-70
- ↑ นิราศนครวัด, หน้า 52-53
- ถกเขมร, หน้า 149
- เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 139
- นิราศนครวัด, หน้า 51-52
- ↑ เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 140
- ↑ ศิลปะเขมร, หน้า 159
- ↑ เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 143
- เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 145
- เขมรสมัยหลังพระนคร, หน้า 148
- ↑ ศิลปะเขมร, หน้า 118-119
- "กัมพูชาประกอบพระราชพิธีลอยพระสรีรางคารเจ้าสีหนุ". วอยซ์ทีวี. 5 กุมภาพันธ์ 2556. สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2564. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help) - "กัมพูชาบรรจุพระบรมอัฐิอดีตกษัตริย์สีหนุ". เดลินิวส์. 11 กรกฎาคม 2557. สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2564. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help)
- บรรณานุกรม
- คึกฤทธิ์ ปราโมช, หม่อมราชวงศ์. ถกเขมร (ฉบับปรับปรุง). นนทบุรี : ดอกหญ้า 2000, 2556. 160 หน้า. ISBN 974-690-105-2
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. นิราศนครวัด. พระนคร : บรรณาคาร, 2515. 244 หน้า.
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563. 336 หน้า. ISBN 978-616-514-668-5
- รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง และศานติ ภักดีคำ. ศิลปะเขมร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557. 232 หน้า. ISBN 978-974-02-1324-6
- ศานติ ภักดีคำ. เขมรสมัยหลังพระนคร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. 224 หน้า. ISBN 978-974-02-1147-1
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: วัดพระแก้วมรกต |