ศิลปะลพบุรี
ศิลปะลพบุรี คือศิลปะในพุทธศตวรรษที่ 16–18 ทางภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีศิลปกรรม ประติมากรรมและสถาปัตยกรรมแบบหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับศิลปะสถาปัตยกรรมของขอม ศิลปะสกุลช่างลพบุรีเป็นศิลปะที่เกี่ยวเนื่องในศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะศาสนาพุทธแบบลัทธิมหายาน ศิลปะสมัยนี้ส่วนมากเป็นภาพจำหลักด้วยศิลาและสำริด โดยเฉพาะการปั้นหล่อสำริดมีความเจริญมาก ท่วงทำนองในการปั้นหุ่นมีความชำนาญยิ่งทำให้กิริยาท่าทางไม่แข็งกร้าวแบบศิลปะขอมในประเทศกัมพูชา
ชื่อ
ชื่อเรียก ศิลปะลพบุรี มีหลักฐานว่าเกิดขึ้นครั้งแรก ๆ โดยการค้นคว้าของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในพระนิพนธ์เมื่อปี พ.ศ. 2469 ในหนังสือ ตำนานพระพุทธเจดีย์ และหนังสือ โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร โดยศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ซึ่งพิมพ์ในปี พ.ศ. 2471 ก็ปรากฏในหนังสือโดยสรุปนิยามอย่างกว้าง ๆ
ต่อมาราว พ.ศ. 2510 ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงใช้ชื่อเรียกนี้เพื่ออธิบายว่า "หมายถึงโบราณวัตถุสถานขอมที่ค้นพบในประเทศไทย รวมทั้งโบราณวัตถุสถาน ที่ทำ ขึ้นในประเทศไทย แต่ทำเลียนแบบศิลปะขอมในประเทศกัมพูชา ฉะนั้น ศิลปะสมัยลพบุรีในที่นี้จึงมีทั้งที่เป็นแบบขอมอย่างแท้จริง และที่ทำขึ้นเลียนแบบขอมอันมีลักษณะของตนเองผิดแปลกออกไปบ้าง"
เหตุผลการเรียกว่า ศิลปะลพบุรี คือ ประการแรก เมืองลพบุรีซึ่งเป็นเมืองสำคัญมาก่อนการเกิดกรุงศรีอยุธยาและมีหลักฐานโบราณวัตถุสถานแบบขอม/เขมรมากมาย ประการสอง เมืองลพบุรีถูกหยิบยืมมาใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมแบบก่อนสยามที่ไม่ต้องการให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอื่นใด ประการที่สาม เป็นเพราะภัยคุกคามของอาณานิคมฝรั่งเศสที่มีอำนาจยึดครองอินโดจีนเอาไว้ได้ในขณะนั้น
นอกจากนั้นยังมีเสนอชื่อหรือคำเรียกใหม่อยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็น ศิลปะเขมร, ศิลปะขอม/เขมร (ที่พบ) ในประเทศไทย, ศิลปะร่วมแบบเขมรในประเทศไทย, สมัยอิทธิพลเขมร, ศิลปะที่มีแม่แบบจากเมืองพระนคร และศิลปะในลัทธิวัชรยานจากกัมพูชา เป็นต้น
ประติมากรรม
พระพุทธรูปสมัยลพบุรีมีพื้นฐานสืบเนื่องมาจากวัฒนธรรมเขมร ทั้งเทคนิคการสร้างที่ใช้วัสดุหินทรายและรูปแบบศิลปกรรม สามารถแบ่งกลุ่มรูปแบบไว้ 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 มีการผสมระหว่างทวารวดีกับศิลปะเขมร (ราวกลางถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 18) กลุ่มที่ 2 รูปแบบที่สืบทอดมาจากศิลปะเขมร (ราวกลางถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 19) และกลุ่มที่ 3 กลุ่มที่พัฒนามาเป็นลักษณะท้องถิ่นอย่างแท้จริง (ปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 19)
ลักษณะทีท่าของพระพุทธรูปมีความรู้สึกเสมือนอยู่ในสภาพมีอำนาจแบบเทพเจ้าหรือกษัตริย์ มากกว่าที่จะเป็นสัญลักษณ์ของความหลุดพ้น ตามความเชื่อศรัทธาในคติมหายานแบบศรีวิชัยครั้งราชวงศ์ไศเลนทร์ก็เป็นไปได้ ที่นิยมการสร้างรูปพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ นางปัญญาบารมีและรูปเหวัชระสัตว์
พระพุทธรูปส่วนใหญ่เป็นนาคปรกปางสมาธิ ประทับนั่งเหนือขนดนาคสามชั้น พระชงฆ์มีสันเล็กน้อย พระเศียรยังแสดงเครื่องทรงคือมงกุฎทรงสูงที่ทำเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมีประดับลายกลีบบัว พระเนตรปิดและเหลือบลงใต้ พระโอษฐ์แบะกว้าง ขอบพระโอษฐ์หนา ทรงแย้มพระโอษฐ์แบบบายน แต่มีลักษณะแตกต่างจากศิลปะบายน ได้แก่ พระพักตร์ยาวเป็นรูปไข่มากกว่า พระวรกายยืดสูงกว่า
พระพุทธรูปสมัยลพบุรียังได้ให้อิทธิพลไปยังกลุ่มพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนต้นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มพระพุทธรูปหินทรายที่มีพระพักตร์ค่อนข้างยาว และส่วนหนึ่งน่าจะให้อิทธิพลไปยังกลุ่มพระพุทธรูปแบบอู่ทองรุ่นที่ 3 ที่เชื่อว่าเป็นอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยด้วย
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมสร้างด้วยอิฐและหิน มีทั้งที่สร้างในศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมมียอดเป็นชั้น ๆ ซ้อนกันขึ้นไปจนแหลมมนที่มุมของอาคารนี้จะย่อมุม ทำเป็นลดมุมแบบย่อเหลี่ยมลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ปรางค์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมอินเดียที่เรียกว่า ศิขร
การตกแต่งสถาปัตยกรรมไม่นิยมพื้นที่ว่าง มักตกแต่งลวดลายดอกไม้ ใบไม้และลายประดิษฐ์ ตามส่วนต่าง ๆ ของอาคาร ผังอาคารเป็นแบบง่าย ๆ แบบกากบาท มักมีการสร้างระเบียงคดล้อมรอบ สถาปัตยกรรมนี้ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระโพธิสัตว์ พระพุทธรูปนิยมสร้างเป็น 3 องค์ อันหมายถึงธรรมกาย ได้แก่พระธรรม สัมโภคกาย และนิรมาณกาย
อ้างอิง
- สุภัทรดิศ ดิศกุล, ม.จ. ศิลปสมัยลพบุรี. พระนคร : กรมศิลปากร, 2510.
- "ลพบุรีสมัยพระนารายณ์: ร่องรอยการพัฒนาในอดีตและมรดกทางวัฒนธรรม". ศิลปวัฒนธรรม.
- รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. ประวัติ แนวความคิด และวิธีค้นคว้าวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะไทย. (กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2551), 134-181
- "พระพุทธรูปนาคปรกในพิพิธภัณฑ์ฯ สมเด็จพระนารายณ์ เป็นพุทธศิลป์แบบศิลปะลพบุรีที่แท้จริง?". ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน.
- "พระพุทธรูปสำคัญและพุทธศิลป์ในดินแดนไทย".
- "ศิลปะสมัยลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘". หน้าจั่ว.