fbpx
วิกิพีเดีย

หัวโขน

หัวโขน เป็นงานศิลปะชั้นสูง ใช้สำหรับสวมครอบศีรษะ ปิดบังส่วนหน้าของผู้แสดงโขนอย่างมิดชิด เป็นศิลปวัตถุประเภทประณีตศิลป์ และงานศิลปะที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรตระการตาเช่นเดียวกับเครื่องแต่งกาย ประณีตบรรจงตามแบบช่างไทย มีรูปลักษณะสวยงาม ลักษณะคล้ายหน้ากาก แตกต่างตรงที่เป็นการสร้างจำลองรูปทรงใบหน้าและศีรษะทั้งหมด เจาะช่องเป็นรูกลมที่นัยน์ตาของหัวโขน ให้ตรงกับนัยน์ตาของผู้แสดงเพื่อการมองเห็น แบ่งเป็น 2 ประเภทคือหัวโขนสำหรับใช้ในการแสดง หมายความถึงหัวโขนที่สื่อถึงตัวละครนั้น ๆ เช่น พระ ยักษ์ เทวดา วานรและสัตว์ต่าง ๆ สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ ตามเอกลักษณ์ของหัวโขนที่ถูกต้องและสมบูรณ์แบบของศิลปะไทย และหัวโขนที่ใช้สำหรับเป็นของประดับตกแต่งหรือของที่ระลึก หมายความถึงหัวโขนที่ทำขึ้นโดยการหล่อ ปั้น ฉีดและขึ้นรูปด้วยพลาสติกหรือกรรมวิธีอื่น ๆ ลงรักปิดทอง ประดับกระจก

มงกุฏสามกลีบขององคต สีเขียว ปากหุบ ตาโพลง

ประเภทของหัวโขน

หัวโขนที่ใช้สำหรับแสดง แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะของตัวละครคือ หัวโขนพงศ์นารายณ์ ประกอบด้วยเผ่าพงศ์วงศ์กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา หัวโขนพรหมพงศ์และอสูรพงศ์ ประกอบด้วยพรหมผู้สร้างกรุงลงกาและอสูรพงศ์ในกรุงลงกา หัวโขนมเหศวรพงศ์ ประกอบด้วยพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหมและเทวดาต่าง ๆ หัวโขนฤๅษี ประกอบด้วยฤๅษีผู้สร้างกรุงอโยธยา ฤๅษีที่พระราม พระลักษมณ์และนางสีดาพบเมื่อคราวเดินดง หัวโขนวานรพงศ์ ประกอบด้วยพญาวานร วานรสิบแปดมงกุฎ เสนาวานร วานรเตียวเพชร วานรจังเกียงและพลลิงหรือเขนลิง

หัวโขนคนธรรพ์ ประกอบด้วยเทพคนธรรพ์และคนธรรพ์ หัวโขนพญาปักษา ประกอบด้วยพญาครุฑ พญาสัมพาที พญาสดายุ และหัวโขนแบบเบ็ดเตล็ด ประกอบด้วยหัวสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น และอาจแบ่งตามประเภทของหัวโขนที่ใช้สวมอย่างละ 2 ประเภทคือ ยักษ์ยอด ยักษ์โล้น ลิงยอดและลิงโล้น นอกจากนี้ยังแบ่งตามชนิดของมงกุฎ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป แบ่งเป็นฝ่ายลงกาคือ มงกุฎยอดกระหนก มงกุฎยอดจีบ มงกุฎยอดหางไก่ มงกุฎยอดน้ำเต้า มงกุฎยอดน้ำเต้ากลม มงกุฎยอดน้ำเต้าเฟื่อง มงกุฎยอดกาบไผ่ มงกุฎยอดสามกลีบ มงกุฎยอดหางไหล มงกุฎยอดนาคา มงกุฎตามหัวหรือหน้า พวกไม่มีมงกุฎ พวกหัวโล้น พวกหัวเขนยักษ์หรือพลทหารยักษ์และตัวตลกฝ่ายยักษ์

ถึงแม้มีการบัญญัติและประดิษฐ์หัวโขนให้มีลักษณะที่แตกต่างกัน ยังคงมีหัวโขนบางประเภทที่มีมงกุฎยอดเหมือนกัน จึงมีการทำหน้าโขนให้ปากและตาแตกต่างกันไป แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ ประเภทปากแสยะตาโพลง ประเภทปากแสยะตาจระเข้ ประเภทปากขบตาโพลง และประเภทปากขบตาจระเข้ เป็นต้น ฝ่ายพลับพลาคือ มงกุฎยอดบัด มงกุฎยอดชัยหรือยอดแหลม มงกุฎยอดสามกลีบ พวกไม่มีมงกุฎแต่เป็นลิงพญามีฤทธิ์เดช พวกไม่มีมงกุฎแต่เรียกมงกุฎ พวกเตียวเพชร จังเกียง หัวลิงเขนหรือพลทหารลิงและหัวตลกฝ่ายลิง สำหรับพวกพญาวานรที่ไม่มีมงกุฎและพวกสิบแปดมงกุฎ มักนิยมเรียกรวมกันว่าลิงโล้น

จำแนกตามใบหน้า

 
สีหน้าและมงกุฏยอดแบบต่าง ๆ ของหัวโขน

การจำแนกตามใบหน้าของโขน เป็นการจำแนกหน้าของหัวโขนจำนวนมากออกจากกัน แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่หน้ามนุษย์ หน้าเทวดาและหน้าอมนุษย์ ในส่วนของหน้ามนุษย์ฯ ช่างทำหัวโขนจะนิยมปั้นเค้าโครงหน้าให้มีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับมนุษย์ มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยตรงบริเวณหู ดวงตา จมูกและปาก ซึ่งจะปั้นออกมาเป็นลักษณะกลาง ๆ ไม่เหมือนกับรูปหน้าของหุ่นและมนุษย์จริงมากนัก ดังนั้นใบหน้าของหัวโขนประเภทหน้ามนุษย์ฯ จะมีเค้าโครงหน้าเหมือนกันทุกหัว นิยมเขียนระบายสีสันบนใบหน้าให้ยิ้มแย้มอยู่ในหน้าด้วยอารมณ์ร่าเริง วาดเส้นโค้งกลับขึ้นบริเวณส่วนปากกับไพรหนวด ดวงตาทั้งสองข้างโค้งงอนขึ้น สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในหน้าของฤๅษี

สำหรับหน้าอมนุษย์ ส่วนใหญ่จะเป็นหน้ายักษ์ ปั้นเค้าโครงจากใบหน้ามนุษย์ทั่ว ๆ ไปเช่นเดียวกับหน้ามนุษย์ฯ ในการปั้นหัวโขนหน้าอมนุษย์นั้น ช่างทำหัวโขนจะต้องมีความชำนาญ ศึกษาเรียนรู้ภูมิหลังและประวัติความเป็นมาของตัวละครยักษ์แต่ละตัวอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถปั้นหัวโขนให้มีลักษณะใกล้เคียงกับตัวละครมากที่สุดเช่น ทศกัณฐ์ซึ่งลักษณะนิสัยตามเนื้อเรื่องที่ดุร้าย โกรธง่าย มีสิบหน้าสิบมือและมีฤทธิ์มาก จึงเลือกเอาลักษณะความโหดร้าย หน้าตาถมึงทึงที่เป็นเอกลักษณ์มาใช้ นำมาเขียนสีและระบายสีสันเขียนลงบนใบหน้าของทศกัณฐ์ หรือพิเภกที่มีลักษณะนิสัยไม่ดุร้าย เป็นยักษ์ฝ่ายดี ไม่มีฤทธิ์เดชมาก การเขียนสีและระบายบนใบหน้าจึงแลดูไม่ดุร้ายมากนัก

จำแนกตามสีหน้า สีกาย มงกุฎและอาวุธ

การจำแนกหัวโขนตามสีของสีกายและใบหน้า เป็นการแก้ปัญหาของช่างทำหัวโขน เพื่อให้สามารถรู้ถึงชื่อ รูปแบบและเครื่องประดับของหัวโขนแต่ละตัวที่มีเป็นจำนวนมาก ด้วยการเขียนระบายสีพื้นลงบนส่วนใบหน้าของหัวโขนเพื่อให้แยกแยะได้ง่ายขึ้นเช่น พญาวานรที่สวมมงกุฎยอดเหมือนกัน แต่แตกต่างกันเพียงสีของใบหน้าเช่น พญาวานรที่สวมมงกุฏยอดบัด ถ้าใบหน้าสีเขียวสดคือพาลี แต่ถ้าเป็นสีขาบคือท้าวมหาชมพู หรือสีแดงชาดคือสุครีพ เป็นต้น สำหรับสีที่ใช้ระบายสีหน้าของหัวโขนเช่นสีดำ สีเหลือง สีขาว สีแดงและสีครามหรือเรียกว่าสีเบญจรงค์ ในการระบายสีนั้น เป็นทักษะความรู้และความสามารถเฉพาะตัวของช่างทำหัวโขนแต่ละคน ซึ่งมักหวงแหนวิชาความรู้และเก็บเป็นความลับ ไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้แก่ผู้อื่นนอกจากลูกศิษย์เท่านั้น ซึ่งสีต่าง ๆ ที่นิยมใช้ระบายลงบนพื้นใบหน้าของหัวโขนแต่ละตัว มีดังนี้

  • สีแดง ได้แก่สีแดง สีแดงชาด สีแดงเสน สีดินแดง สีลิ้นจี่ สีหงสบาท สีหงดิน สีหงชาด สีหงเสน
  • สีแสด ได้แก่สีดอกชบา สีฟ้าแลบ
  • สีเหลือง ได้แก่สีเหลืองรง สีเหลืองดิน สีเหลืองอ่อน สีเหลืองเทา สีเลื่อมเหลือง สีเลื่อมประภัสสร สีจันทร์
  • สีคราม ได้แก่สีคราม สีขาบ สีคราอ่อน สีดอกตะแบก สีมอคราม
  • สีน้ำตาล ได้แก่สีน้ำรัก สีผ่านแดง
  • สีม่วง ได้แก่สีม่วง สีบัวโรย สีม่วงแก่ สีม่วงอ่อน
  • สีเขียว ได้แก่สีเขียว สีก้ามปู สีน้ำไหล สีเขียวใบแค สีเขียวตังแช
  • สีดำ ได้แก่สีดำ สีดำหมึก สีผ่านหมึก สีมอหมึก
  • สีเทา ได้แก่สีเทา สีผ่านขาว สีเมฆ

นอกจากการจำแนกหัวโขนตามสีของใบหน้าแล้ว ช่างทำหัวโขนยังมีวิธีจำแนกหัวโขนตามแต่ประเภทของมงกุฏยอด ซึ่งมีจำนวนมากกว่าร้อยหัว ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะให้แตกต่างกันออกไปอีกด้วย ซึ่งแม้จะมีการแยกประเภทของมงกุฏยอดให้แตกต่างกันแล้ว ก็ยังมีบางพวกที่มีสีของกาย ใบหน้าและมงกุฎที่สีซ้ำกัน แต่แตกต่างเพียงอาวุธเช่น ยักษํกายสีม่วงแก่ สวมมงกุฎยอดกระหนก ถือหอกเป็นอาวุธคือพญาทูษณ์ แต่ถ้ากายสีม่วงแก่ สวมมงกุฎยอดกระหนกแต่ถือกระบองเป็นอาวุธคือขุนประหัสต์ วานรกายสีขาวปากอ้า ถือตรีคือหนุมาน แต่ถ้าปากหุบ ถือพระขรรค์คือสัตพลี วานรกายสีดำปากหุบคือพิมลพานร แต่ถ้าปากอ้าคือนิลพัท เป็นต้น ช่างทำหัวโขนจึงต้องกำหนดให้หัวโขน มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันออกไปตามรูปลักษณ์ของหัวโขน เช่น มงกุฏฝ่ายลงกา มีประเภทของสีกายและมงกุฏ ดังนี้

มงกุฎยอดกระหนก
  • ท้าวกุเรปัน กายสีม่วงอ่อน ถือกระบองเป็นอาวุธ
  • ตรีปักกัน กายสีเขียว ถือศรเป็นอาวุธ
  • พญาทูษณ์หรือทูต กายสีม่วงแก่ ขี่ม้าผ่านดำเป็นพาหนะ
  • ประหัสต์ กายสีม่วงแก่ ถือกระบองเป็นอาวุธ
  • มัยราพณ์ กายสีม่วงอ่อน ถือกล้องเป่ายาคล้ายพลองยาวเป็นอาวุธ
  • ท้าวไวยตาล กายสีครามอ่อน ถือกระบองตาลเป็นอาวุธ
  • แสงอาทิตย์ กายสีแดงชาด
  • พญาหิรันต์ยักษ์ กายสีทอง
  • อนุราช กายสีจันทร์อ่อน
มงกุฎยอดจีบ
  • กุมภัณฑ์นุราช กายสีแดงเสน ถือคทาเป็นอาวุธ มีนาคเป็นสังวาลคล้องคอ
  • พญาขร กายสีเขียว ถือศรจักรพาฬพัง
  • ปทูตันหรือปทูตทันต์ กายสีหงดิน
  • ท้าวสัตลุง กายสีหงชาด ขัดคทา ถือศรเป็นอาวุธ
  • ท้าวสัทธาสูร กายสีหงเสน ขัดคทา ถือศรเป็นอาวุธ
  • เหรันต์ทูต กายสีม่วงอ่อน
มงกุฎยอดหางไก่
  • จักรวรรดิ กายสีขาว มีสี่หน้า
  • บรรลัยจักร กายสีม่วงอ่อน ถือศรเหราพตเป็นอาวุธ
  • ท้าวมหายมยักษ์ กายสีแดงชาด
  • มารัน กายสีทองหรือสีเหลือง
  • วิรุญจำบัง กายสีมอหมึก
มงกุฏยอดน้ำเต้า
  • กุมภากาศ กายสีหงดิน
  • ชิวหา กายสีหงชาด
  • พิเภก กายสีเขียว
  • วายุภักษ์ กายสีเขียว ยอดมงกุฏมีกาบรับบัวแวง
มงกุฎยอดน้ำเต้ากลม
  • กุมพล กายสีเขียว
  • กุเวรนุราช กายสีขาว ขัดคทา ถือศรเป็นอาวุธ
  • ตรีปุรัม กายสีดำหมึก ถือกระบองเป็นอาวุธ
  • นนยุพักตร์ กายสีเขียว
  • เปาวนาสูร กายสีขาว
  • พัทกาวี กายสีเหลือง
  • ไพจิตราสูร กายสีขาวหรือสีเขียว
มงกุฏยอดน้ำเต้าเฟือง
  • บรรลัยกัลป์ กายสีแดงหรือสีเหลืองอ่อน ขัดคทา ถือศรเป็นอาวุธ
  • ท้าวลัสเตียน กายสีขาว มงกุฎของท้าวลัสเตียนเป็นน้ำเต้าเฟืองปลายสะบัด
  • ไวยวิกหรือวันยุวิก กายสีม่วงแก่
มงกุฎยอดกาบไผ่
  • ทศคีรีวัน กายสีเขียว
  • ทศคีรีธร กายสีหงดิน
  • ปโรต กายสีม่วงแก่
  • รามสูร กายสีเขียว
มงกุฏยอดสามกลีบ
  • ทัพนาสูร กายสีหงดิน ถือศรเป็นอาวุธ
  • สวาหุ กายสีเขียวหรือสีหงดิน ถือกระบองเป็นอาวุธ
  • มารีศ กายสีขาว ถือกระบองเป็นอาวุธ
มงกุฏประเภทเดียวกับอินทรชิต
  • อินทรชิต กายสีเขียว ถือศรเป็นอาวุธ
  • สุริยาภพ กายสีแดง ถือหอกเมฆพัทเป็นอาวุธ
  • ไพนาสุริยวงศ์หรือทศพิน กายสีเขียว ขี่ม้าผ่านแดงเป็นพาหนะ
  • วิรุณพัท กายสีเขียว

การทำหัวโขน

 
หัวโขนพรหมพงศ์และอสูรพงศ์ เอกลักษณ์เฉพาะของไทย

การทำหัวโขน เป็นการสร้างสรรค์ของช่างทำหัวโขนที่มีความชำนาญ การสืบทอดวิชาแบบครูสอนศิษย์ ที่มีเอกลักษณ์หรือรูปแบบเฉพาะตัวของช่างไทยแบบโบราณ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการค้นพบศีรษะของพระครูและศีรษะของทศกัณฐ์ในคลังหลวงของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่า การทำหัวโขนนั้นเริ่มต้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 และเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในด้านของวรรณกรรมและนาฏศิลป์ของไทย

การทำหัวโขนนั้น มีกระบวนการและขั้นตอนเป็นแบบแผนของช่างทำหัวโขนในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ที่มีการเตรียมหุ่นและแม่แบบเอง ในสมัยโบราณมักใช้ดินเหนียวสำหรับปั้นแบบขึ้นรูป ปั้นใบหน้าหุ่น ติดลวดลาย ปิดทอง ติดพลอยและกระจก เขียนสีและทำยอด ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติและคุณภาพใกล้เคียงดินเหนียวคือกระดาษสา กระดาษข่อย กระดาษฟางและไม้ไผ่สำหรับสานเป็นโครง โดยเลือกใช้กระดาษอย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้วัสดุและอุปกรณ์เช่นเดียวกับช่างทำหัวโขนในสมัยโบราณ มีขั้นตอนและกระบวนการทำหัวโขน ดังนี้

การเตรียมลาย

ขั้นตอนแรกในการทำหัวโขนคือการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อม เริ่มจากการเตรียมลวดลายต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับประดับตกแต่งหัวโขนในแต่ละแบบคือ รักตีลายที่ได้จากการนำรักน้ำ เกลี้ยงชัน มาผสมให้เข้ากันและนำไปตั้งไฟอ่อน ๆ เคี่ยวจนส่วนผสมทั้งสองงวดพอที่จะกดลงในแม่พิมพ์ทำเป็นลวดลายเช่น ลายกระจังเป็นต้น ซึ่งรักตีลายนั้น เมื่อแข็งตัวแล้วจะคงรูปเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากเคี่ยวได้ที่แล้ว จะนำมาปั้นเป็นแท่งกลมยาวประมาณหนึ่งคืบ ใช้ปูนแดงผสมน้ำทาหุ้มให้ทั่ว ห่อด้วยใบตองเก็บไว้ให้มิดเก็บสำหรับใช้สำรองต่อไป

การขึ้นโครงเตรียมหุ่น

หลังจากเตรียมลวดลายแล้ว ขั้นตอนต่อไปเป็นการเตรียมหุ่น ซึ่งหุ่นต้นแบบที่ใช้งานนั้น เป็นหุ่นที่ได้จากการนำกระดาษมาปิดทับให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทแล้วถอดออกมาเป็นหัวโขน วิธีทำแบบโบราณคือใช้ดินเหนียวปั้นเผาไฟให้สุก หรือใช้ไม้กลึงขึ้นรูปอย่างรูปโกลน ปัจจุบันวิธีการทำหุ่นต้นแบบใช้ปูนซิเมนต์หรือปูนปลาสเตอร์แทน จากนั้นใช้กระดาษปิดทับให้ทั่ว แล้วถอดออกเป็นหัวโขนที่ภายกลวง เพื่อใช้สำหรับสวมศีรษะผู้แสดง มีรอยตา จมูก ปาก เป็นต้น หุ่นหัวชฎาหรือมงกุฎมักนิยมทำเป็นรูปทรงกระบอก ด้านบนกลึงรัดเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป เป็นจอมสำหรับใช้เป็นที่สวมยอดมงกุฎแบบต่าง ๆ เช่น ยอดชัย ยอดบัด ยอดทรงน้ำเต้า เป็นต้น

การประดับตกแต่ง

ต่อจากนั้นช่างทำหัวโขนจะเริ่มปิดหุ่น ด้วยการปิดกระดาษทับลายหุ่นหรือเรียกอีกอย่างว่าการพอกหุ่น ปิดกระดาษทับหลาย ๆ ชั้นให้หนาพอเป็นรูปเป็นร่าง แล้วถอดศีรษะออกจากหุ่นโดยใช้มีดปลายแหลม กรีดเปิดหัวหุ่นที่ปิดทับด้วยกระดาษให้ขาด แล้วจึงถอดออกจากต้นแบบ จากนั้นใช้เข็มและด้ายเย็บประสานรอยกรีดให้แน่นสนิท แล้วปิดกระดาษทับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งหัวโขนที่เป็นกระดาษจะเรียกว่ากะโหลก แล้วจึงเริ่มปั้นเค้าโครงของใบหน้า ด้วยการใช้รักตีลายที่ทำสำรองเก็บไว้ นำมาปั้นเพิ่มเติมลงบนกะโหลกบริเวณส่วน คิ้ว ตา จมูก ปาก ฯลฯ ให้นูนขึ้นรูปแลดูชัดเจน รวมทั้งแสดงอารมณ์ของใบหน้าซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทใบหน้าของหุ่น จากนั้นเริ่มตกแต่งและประดับลวดลายบนตำแหน่งเครื่องศิราภรณ์เช่น ประดับส่วนเกี้ยวรักร้อย ฯลฯ ทำส่วนหูสำหรับตัวยักษ์ ตัวลิง ตัวพระนางที่ปิดหน้า

การลงรัก ปิดทอง ประดับกระจก

เมื่อได้หัวหุ่นที่ประดับลวดลายต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเป็นการการปั้นรักตีลาย โดยการใช้รักตีลายพิมพ์เป็นลวดลายละเอียด สำหรับประดับตามตำแหน่งบนกะโหลกที่ติดลวดลายประดับไว้แล้ว ใช้รักน้ำเกลี้ยงทาทับส่วนที่ทำเป็นลวดลายต่าง ๆ ที่ต้องการให้เป็นสีทองคำ ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทแล้วนำทองคำเปลวมาปิดทับให้ทั่ว ประดับกระจกหรือพลอยกระจกเพื่อให้เกิดประกายแวววาม กระจกที่ใช้เรียกว่ากระจกเกรียง ปัจจุบันหายากมาก ช่างทำหัวโขนจึงเลือกใช้พลอยกระจกประดับแทน จากนั้นเป็นการระบายสีและเขียนส่วนละเอียด ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำหัวโขน มักนิยมใช้สีฝุ่นผสมกาวกระถินหรือยางมะขวิด ที่มีคุณสมบัติสดใสและนุ่มนวล ในขั้นตอนของการการระบายสีและเขียนรูปลักษณ์บนใบหน้าของหัวโขน ช่างทำหัวโขนจะต้องลงสีตามแบบแผนอันเกี่ยวเนื่องกับชาติเชื้อเผ่าพงศ์ของหัวโขนนั้น ๆ ให้ถูกต้องอีกด้วย

การตั้งและการเก็บรักษา

 
ทวน สำหรับตั้งหัวโขนและครอบป้องกันด้วยลุ้ง

หัวโขนสำหรับใช้สวมใส่ศีรษะในการแสดงโขนนั้น เป็นการแสดงออกทางด้านความสำคัญของตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ มีความประณีตสวยงามตามแบบฉบับของช่างทำหัวโขน ที่สามารถสร้างสรรค์หัวโขนให้มีลักษณะและรูปลักษณ์ที่สื่อถึงเพศ เผ่าพงศ์วงศ์ชาติเชื้อ หรือแม้แต่การแสดงออกด้วยอารมณ์ทางสีหน้า บางหัวสร้างขึ้นเพื่อเป็นการชี้บ่งบุคลิกลักษณะเฉพาะของตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ บางหัวถูกสร้างขึ้นให้เปรียบเสมือนศีรษะของเทพผู้เป็นที่เคารพนับถือ กราบไหว้บูชาเช่น หัวโขนพระพรหม พระอิศวร พระนาราย์ พระพิฆเนศวร เป็นต้น ทำให้ได้รับการยกย่องเป็นของสูงและมงคลวัตถุ มีศักดิ์และความสำคัญเหนือกว่าหัวโขนปกติธรรมดาทั่วไป

หัวโขนเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางด้านศิลปะที่มีเอกลักษณ์และทรงคุณค่าของไทย เป็นสิ่งที่ต้องเก็บรักษาให้คงอยู่ในสภาพดีตลอดเวลา ทะนุถนอมไม่ให้ชำรุดทรุดโทรมเสียหายด้วยการเก็บรักษาไว้ในลุ้ง ซึ่งเป็นภาชนะสำหรับใช้เก็บรักษาหัวโขนโดยเฉพาะ ทั้งก่อนและหลังแสดง แต่เดิมทำด้วยเครื่องจักสาน ลงรัก น้ำหนักเบาเคลื่อยย้ายได้สะดวก ปัจจุบันเปลี่ยนมาทำด้วยสังกะสีแทน ลักษณะรูปทรงกระบอกสั้น ประกอบด้วยตัวลุ้งสำหรับใส่หัวโขนและฝาครอบ กึ่งกลางของลุ้งจะเป็นที่ตั้งทวนหรือหลักเตี้ย ลักษณะเป็นแป้นกลมใช้สำหรับรองรับหัวโขนหรือมงกุฎ ชฎา

ลุ้งแบ่งออกเป็นสองชนิดคือ ลุ้งสำหรับเก็บหัวโขนมีมงกุฎทรงยอดเช่น พญาทูษณ์ มัยราพณ์ พญาขร สัทธาสูร วิรุญจำบัง บรรลัยจักร พิเภก ชิวหา กุเวรนุราช เปาวนาสูร บรรลัยกัลป์ วันยุวิก รามสูร ทศคีรีวัน ทศคีรีธร ทัพนาสูร สวาหุ มารีศ ตรีเมฆ มังกรกัณฐ์ ทศกัณฐ์ ลักษณะของลุ้งชนิดนี้จะเป็นฝารูปกรวยกลมทรงสูงหรือเตี้ย ขึ้นอยู่กับความสูงของมงกุฎ เพื่อให้มีที่ว่างพอสำหรับความสูงของมงกุฎ ไม่ทำให้เกิดความเสียหายเมื่อปิดฝาลุ้ง และลุ้งสำหรับเก็บหัวโขนไม่มีมงกุฎหรือหัวโล้น ที่ฝาครอบมีลักษณะตัดตรงเช่น พาลี สุครีพ หนุมสน ชมพูพาน ชามพูวราช องคต นิลพัท นิลนนท์ เป็นต้น

การเก็บรักษาหัวโขนที่ใช้ในการแสดงนั้น ถ้าไม่เก็บไว้ในลุ้งเพื่อป้องกันความเสียหาย จะต้องนำหัวโขนหน้าต่าง ๆ มาวางไว้บนทวนที่ทำจากไม้ นำมากลึงขึ้นรูปเป็นหลักทวน ฐานมีลักษณะแป้นกลม ตรงปลายทวนมีแป้นสำหรับรองรับหัวโขน สูงประมาณหนึ่งฟุต และต้องตั้งให้อยู่สูงจากพื้นและทางเดิน ไม่นำไปวางไว้ในที่ต่ำที่สามารถเดินข้ามไปมาได้ ไม่ทำหัวโขนร่วงหล่นลงพื้น ไม่ปล่อยให้หัวโขนถูกแมลงสาบกัดแทะ หรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นการแสดงออกถึงความไม่เคารพในครูบาอาจารย์

เนื่องจากหัวโขนที่ใช้ในการแสดงนั้นถือเป็นของสูงและมีครู ที่ต้องให้ความเคารพบูชาทั้งในเวลาแสดงและเวลาปกติ มักนิยมจัดเก็บโดยการแบ่งออกเป็นพวก ๆ เป็นส่วนสัดเป็นส่วนเช่น ฝ่ายมนุษย์ ฝ่ายยักษ์และฝ่ายลิง โดยเฉพาะหัวโขนหน้ายักษ์และหน้าลิงต้องเก็บรักษาไว้คนละด้าน มีหัวพระฤๅษีภรตมุนีหรือหัวพ่อแก่วางคั่นกลาง ห้ามนำมาเก็บรวมกันโดยเด็ดขาด ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ รวมทั้งห้ามนำหัวโขนหรือเครื่องแต่งกายสำหรับแสดง มาเก็บรักษาไว้ที่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องนำไปฝากไว้ที่วัดเท่านั้นเพราะถือกันว่าเป็นของร้อน ถ้าผู้ใดเก็บรักษาไว้จะมีแต่เหตุเดือดร้อนวุ่นวายไม่สิ้นสุด หรือแม้กระทั่งห้ามนำรูปวาดของตัวละครใด ๆ ก็ตามในเรื่องรามเกียรติ์มาเก็บไว้เช่นกัน ปัจจุบันข้อห้ามดังกล่าวได้สูญหายไปตามกาลเวลา ทำให้มีผู้นิยมนำหัวโขนไปเป็นของประดับตกแต่งหรือของที่ระลึกแทน

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. การทำหัวโขน
  2. ประวัติหัวโขน
  3. นิยามของหัวโขน
  4. ประเภทของหัวโขนชนิดต่าง ๆ
  5. การจำแนกประเภทของหัวโขนตามฝ่ายเสนายักษ์และเสนาลิง
  6. หัวโขน, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 130, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
  7. การจำแนกหัวโขนตามใบหน้า ระหว่างหน้ามนุษย์และยักษ์
  8. การจำแนกหัวโขนตามสีที่ใช้สำหรับระบายบนพื้นใบหน้า
  9. ขั้นตอนการทำหัวโขน
  10. การประดิษฐ์หัวโขน
  11. การทำหัวโขนของ ม.ล. พันธ์สวัสดิ์ ศุขสวัสดิ
  12. หัวโขนจำลอง
  13. ความเชื่อและการเก็บรักษาหัวโขน

วโขน, เป, นงานศ, ลปะช, นส, ใช, สำหร, บสวมครอบศ, รษะ, ดบ, งส, วนหน, าของผ, แสดงโขนอย, างม, ดช, เป, นศ, ลปว, ตถ, ประเภทประณ, ตศ, ลป, และงานศ, ลปะท, ได, บการสร, างสรรค, นอย, างว, ตรตระการตาเช, นเด, ยวก, บเคร, องแต, งกาย, ประณ, ตบรรจงตามแบบช, างไทย, ปล, กษณะสวยงาม. hwokhn epnngansilpachnsung ichsahrbswmkhrxbsirsa pidbngswnhnakhxngphuaesdngokhnxyangmidchid epnsilpwtthupraephthpranitsilp aelangansilpathiidrbkarsrangsrrkhkhunxyangwicitrtrakartaechnediywkbekhruxngaetngkay pranitbrrcngtamaebbchangithy miruplksnaswyngam lksnakhlayhnakak aetktangtrngthiepnkarsrangcalxngrupthrngibhnaaelasirsathnghmd ecaachxngepnruklmthinyntakhxnghwokhn ihtrngkbnyntakhxngphuaesdngephuxkarmxngehn 1 aebngepn 2 praephthkhuxhwokhnsahrbichinkaraesdng hmaykhwamthunghwokhnthisuxthungtwlakhrnn echn phra yks ethwda wanraelastwtang srangkhundwykrrmwithiaebbobran tamexklksnkhxnghwokhnthithuktxngaelasmburnaebbkhxngsilpaithy 2 aelahwokhnthiichsahrbepnkhxngpradbtkaetnghruxkhxngthiraluk hmaykhwamthunghwokhnthithakhunodykarhlx pn chidaelakhunrupdwyphlastikhruxkrrmwithixun lngrkpidthxng pradbkrack 3 mngkutsamklibkhxngxngkht siekhiyw pakhub taophlng enuxha 1 praephthkhxnghwokhn 2 caaenktamibhna 3 caaenktamsihna sikay mngkudaelaxawuth 4 karthahwokhn 4 1 karetriymlay 4 2 karkhunokhrngetriymhun 4 3 karpradbtkaetng 4 4 karlngrk pidthxng pradbkrack 5 kartngaelakarekbrksa 6 duephim 7 xangxingpraephthkhxnghwokhn aekikhhwokhnthiichsahrbaesdng aebngepnpraephthtang tamlksnakhxngtwlakhrkhux hwokhnphngsnarayn prakxbdwyephaphngswngskstriyaehngkrungxoythya hwokhnphrhmphngsaelaxsurphngs prakxbdwyphrhmphusrangkrunglngkaaelaxsurphngsinkrunglngka hwokhnmehswrphngs prakxbdwyphraxiswr phranarayn phraphrhmaelaethwdatang hwokhnvisi prakxbdwyvisiphusrangkrungxoythya visithiphraram phralksmnaelanangsidaphbemuxkhrawedindng hwokhnwanrphngs prakxbdwyphyawanr wanrsibaepdmngkud esnawanr wanretiywephchr wanrcngekiyngaelaphllinghruxekhnlinghwokhnkhnthrrph prakxbdwyethphkhnthrrphaelakhnthrrph hwokhnphyapksa prakxbdwyphyakhruth phyasmphathi phyasdayu aelahwokhnaebbebdetld prakxbdwyhwstwtang epntn aelaxacaebngtampraephthkhxnghwokhnthiichswmxyangla 2 praephthkhux yksyxd yksoln lingyxdaelalingoln 4 nxkcakniyngaebngtamchnidkhxngmngkud sungmilksnaaetktangknip aebngepnfaylngkakhux mngkudyxdkrahnk mngkudyxdcib mngkudyxdhangik mngkudyxdnaeta mngkudyxdnaetaklm mngkudyxdnaetaefuxng mngkudyxdkabiph mngkudyxdsamklib mngkudyxdhangihl mngkudyxdnakha mngkudtamhwhruxhna phwkimmimngkud phwkhwoln phwkhwekhnykshruxphlthharyksaelatwtlkfayyksthungaemmikarbyytiaelapradisthhwokhnihmilksnathiaetktangkn yngkhngmihwokhnbangpraephththimimngkudyxdehmuxnkn cungmikarthahnaokhnihpakaelataaetktangknip aebngepn 4 praephthkhux praephthpakaesyataophlng praephthpakaesyatacraekh praephthpakkhbtaophlng aelapraephthpakkhbtacraekh epntn 5 fayphlbphlakhux mngkudyxdbd mngkudyxdchyhruxyxdaehlm mngkudyxdsamklib phwkimmimngkudaetepnlingphyamivththiedch phwkimmimngkudaeteriykmngkud phwketiywephchr cngekiyng hwlingekhnhruxphlthharlingaelahwtlkfayling sahrbphwkphyawanrthiimmimngkudaelaphwksibaepdmngkud mkniymeriykrwmknwalingoln 6 caaenktamibhna aekikh sihnaaelamngkutyxdaebbtang khxnghwokhn karcaaenktamibhnakhxngokhn epnkarcaaenkhnakhxnghwokhncanwnmakxxkcakkn aebngepn 2 praephthidaekhnamnusy hnaethwdaaelahnaxmnusy inswnkhxnghnamnusy changthahwokhncaniympnekhaokhrnghnaihmilksnalamaykhlaykhlungkbmnusy mikhwamaetktangephiyngelknxytrngbriewnhu dwngta cmukaelapak sungcapnxxkmaepnlksnaklang imehmuxnkbruphnakhxnghunaelamnusycringmaknk dngnnibhnakhxnghwokhnpraephthhnamnusy camiekhaokhrnghnaehmuxnknthukhw niymekhiynrabaysisnbnibhnaihyimaeymxyuinhnadwyxarmnraering wadesnokhngklbkhunbriewnswnpakkbiphrhnwd dwngtathngsxngkhangokhngngxnkhun samarthmxngehnidxyangchdecninhnakhxngvisisahrbhnaxmnusy swnihycaepnhnayks pnekhaokhrngcakibhnamnusythw ipechnediywkbhnamnusy inkarpnhwokhnhnaxmnusynn changthahwokhncatxngmikhwamchanay suksaeriynruphumihlngaelaprawtikhwamepnmakhxngtwlakhryksaetlatwxyanglaexiyd ephuxihsamarthpnhwokhnihmilksnaiklekhiyngkbtwlakhrmakthisudechn thsknthsunglksnanisytamenuxeruxngthiduray okrthngay misibhnasibmuxaelamivththimak cungeluxkexalksnakhwamohdray hnatathmungthungthiepnexklksnmaich namaekhiynsiaelarabaysisnekhiynlngbnibhnakhxngthsknth hruxphiephkthimilksnanisyimduray epnyksfaydi immivththiedchmak karekhiynsiaelarabaybnibhnacungaelduimduraymaknk 7 caaenktamsihna sikay mngkudaelaxawuth aekikhkarcaaenkhwokhntamsikhxngsikayaelaibhna epnkaraekpyhakhxngchangthahwokhn ephuxihsamarthruthungchux rupaebbaelaekhruxngpradbkhxnghwokhnaetlatwthimiepncanwnmak dwykarekhiynrabaysiphunlngbnswnibhnakhxnghwokhnephuxihaeykaeyaidngaykhunechn phyawanrthiswmmngkudyxdehmuxnkn aetaetktangknephiyngsikhxngibhnaechn phyawanrthiswmmngkutyxdbd thaibhnasiekhiywsdkhuxphali aetthaepnsikhabkhuxthawmhachmphu hruxsiaedngchadkhuxsukhriph epntn sahrbsithiichrabaysihnakhxnghwokhnechnsida siehluxng sikhaw siaedngaelasikhramhruxeriykwasiebycrngkh inkarrabaysinn epnthksakhwamruaelakhwamsamarthechphaatwkhxngchangthahwokhnaetlakhn sungmkhwngaehnwichakhwamruaelaekbepnkhwamlb imyxmthaythxdwichaihaekphuxunnxkcakluksisyethann sungsitang thiniymichrabaylngbnphunibhnakhxnghwokhnaetlatw midngni 8 siaedng idaeksiaedng siaedngchad siaedngesn sidinaedng silinci sihngsbath sihngdin sihngchad sihngesn siaesd idaeksidxkchba sifaaelb siehluxng idaeksiehluxngrng siehluxngdin siehluxngxxn siehluxngetha sieluxmehluxng sieluxmpraphssr sicnthr sikhram idaeksikhram sikhab sikhraxxn sidxktaaebk simxkhram sinatal idaeksinark siphanaedng simwng idaeksimwng sibwory simwngaek simwngxxn siekhiyw idaeksiekhiyw sikampu sinaihl siekhiywibaekh siekhiywtngaech sida idaeksida sidahmuk siphanhmuk simxhmuk sietha idaeksietha siphankhaw siemkhnxkcakkarcaaenkhwokhntamsikhxngibhnaaelw changthahwokhnyngmiwithicaaenkhwokhntamaetpraephthkhxngmngkutyxd sungmicanwnmakkwarxyhw thimiexklksnechphaaihaetktangknxxkipxikdwy sungaemcamikaraeykpraephthkhxngmngkutyxdihaetktangknaelw kyngmibangphwkthimisikhxngkay ibhnaaelamngkudthisisakn aetaetktangephiyngxawuthechn ykskaysimwngaek swmmngkudyxdkrahnk thuxhxkepnxawuthkhuxphyathusn aetthakaysimwngaek swmmngkudyxdkrahnkaetthuxkrabxngepnxawuthkhuxkhunprahst wanrkaysikhawpakxa thuxtrikhuxhnuman aetthapakhub thuxphrakhrrkhkhuxstphli wanrkaysidapakhubkhuxphimlphanr aetthapakxakhuxnilphth epntn changthahwokhncungtxngkahndihhwokhn milksnaechphaaaetktangknxxkiptamruplksnkhxnghwokhn echn mngkutfaylngka mipraephthkhxngsikayaelamngkut dngni mngkudyxdkrahnkthawkuerpn kaysimwngxxn thuxkrabxngepnxawuth tripkkn kaysiekhiyw thuxsrepnxawuth phyathusnhruxthut kaysimwngaek khimaphandaepnphahna prahst kaysimwngaek thuxkrabxngepnxawuth myraphn kaysimwngxxn thuxklxngepayakhlayphlxngyawepnxawuth thawiwytal kaysikhramxxn thuxkrabxngtalepnxawuth aesngxathity kaysiaedngchad phyahirntyks kaysithxng xnurach kaysicnthrxxn mngkudyxdcibkumphnthnurach kaysiaedngesn thuxkhthaepnxawuth minakhepnsngwalkhlxngkhx phyakhr kaysiekhiyw thuxsrckrphalphng pthutnhruxpthutthnt kaysihngdin thawstlung kaysihngchad khdkhtha thuxsrepnxawuth thawsththasur kaysihngesn khdkhtha thuxsrepnxawuth ehrntthut kaysimwngxxnmngkudyxdhangikckrwrrdi kaysikhaw misihna brrlyckr kaysimwngxxn thuxsrehraphtepnxawuth thawmhaymyks kaysiaedngchad marn kaysithxnghruxsiehluxng wiruycabng kaysimxhmuk mngkutyxdnaetakumphakas kaysihngdin chiwha kaysihngchad phiephk kaysiekhiyw wayuphks kaysiekhiyw yxdmngkutmikabrbbwaewngmngkudyxdnaetaklmkumphl kaysiekhiyw kuewrnurach kaysikhaw khdkhtha thuxsrepnxawuth tripurm kaysidahmuk thuxkrabxngepnxawuth nnyuphktr kaysiekhiyw epawnasur kaysikhaw phthkawi kaysiehluxng iphcitrasur kaysikhawhruxsiekhiyw mngkutyxdnaetaefuxngbrrlyklp kaysiaednghruxsiehluxngxxn khdkhtha thuxsrepnxawuth thawlsetiyn kaysikhaw mngkudkhxngthawlsetiynepnnaetaefuxngplaysabd iwywikhruxwnyuwik kaysimwngaekmngkudyxdkabiphthskhiriwn kaysiekhiyw thskhirithr kaysihngdin port kaysimwngaek ramsur kaysiekhiyw mngkutyxdsamklibthphnasur kaysihngdin thuxsrepnxawuth swahu kaysiekhiywhruxsihngdin thuxkrabxngepnxawuth maris kaysikhaw thuxkrabxngepnxawuthmngkutpraephthediywkbxinthrchitxinthrchit kaysiekhiyw thuxsrepnxawuth suriyaphph kaysiaedng thuxhxkemkhphthepnxawuth iphnasuriywngshruxthsphin kaysiekhiyw khimaphanaedngepnphahna wirunphth kaysiekhiywkarthahwokhn aekikh hwokhnphrhmphngsaelaxsurphngs exklksnechphaakhxngithy karthahwokhn epnkarsrangsrrkhkhxngchangthahwokhnthimikhwamchanay karsubthxdwichaaebbkhrusxnsisy thimiexklksnhruxrupaebbechphaatwkhxngchangithyaebbobran cakhlkthanthangprawtisastrinsmyrtnoksinthrtxntn mikarkhnphbsirsakhxngphrakhruaelasirsakhxngthsknthinkhlnghlwngkhxngsmedcecafakrmphrayanrisranuwtiwngs thaihsamarthsnnisthanidwa karthahwokhnnnerimtninsmykhxngphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach rchkalthi 1 aelaecriyrungeruxngepnxyangmakinsmykhxngphrabathsmedcphramngkuteklaecaxyuhw rchkalthi 6 sungepnyukhthiecriyrungeruxngthungkhidsudindankhxngwrrnkrrmaelanatsilpkhxngithykarthahwokhnnn mikrabwnkaraelakhntxnepnaebbaephnkhxngchangthahwokhninsmyobrancnthungpccubn thimikaretriymhunaelaaemaebbexng insmyobranmkichdinehniywsahrbpnaebbkhunrup pnibhnahun tidlwdlay pidthxng tidphlxyaelakrack ekhiynsiaelathayxd pccubnepliynmaichwsduthimikhunsmbtiaelakhunphaphiklekhiyngdinehniywkhuxkradassa kradaskhxy kradasfangaelaimiphsahrbsanepnokhrng odyeluxkichkradasxyangidxyanghnung ichwsduaelaxupkrnechnediywkbchangthahwokhninsmyobran mikhntxnaelakrabwnkarthahwokhn dngni 9 karetriymlay aekikh khntxnaerkinkarthahwokhnkhuxkaretriymwsduxupkrntang ihphrxm erimcakkaretriymlwdlaytang thiichsahrbpradbtkaetnghwokhninaetlaaebbkhux rktilaythiidcakkarnarkna ekliyngchn maphsmihekhaknaelanaiptngifxxn ekhiywcnswnphsmthngsxngngwdphxthicakdlnginaemphimphthaepnlwdlayechn laykracngepntn sungrktilaynn emuxaekhngtwaelwcakhngrupedimimepliynaeplng hlngcakekhiywidthiaelw canamapnepnaethngklmyawpramanhnungkhub ichpunaedngphsmnathahumihthw hxdwyibtxngekbiwihmidekbsahrbichsarxngtxip karkhunokhrngetriymhun aekikh hlngcaketriymlwdlayaelw khntxntxipepnkaretriymhun sunghuntnaebbthiichngannn epnhunthiidcakkarnakradasmapidthbihthw thingiwihaehngsnithaelwthxdxxkmaepnhwokhn withithaaebbobrankhuxichdinehniywpnephaifihsuk hruxichimklungkhunrupxyangrupokln pccubnwithikarthahuntnaebbichpunsiemnthruxpunplasetxraethn caknnichkradaspidthbihthw aelwthxdxxkepnhwokhnthiphayklwng ephuxichsahrbswmsirsaphuaesdng mirxyta cmuk pak epntn hunhwchdahruxmngkudmkniymthaepnrupthrngkrabxk danbnklungrdepnchn khunip epncxmsahrbichepnthiswmyxdmngkudaebbtang echn yxdchy yxdbd yxdthrngnaeta epntn 10 karpradbtkaetng aekikh txcaknnchangthahwokhncaerimpidhun dwykarpidkradasthblayhunhruxeriykxikxyangwakarphxkhun pidkradasthbhlay chnihhnaphxepnrupepnrang aelwthxdsirsaxxkcakhunodyichmidplayaehlm kridepidhwhunthipidthbdwykradasihkhad aelwcungthxdxxkcaktnaebb caknnichekhmaeladayeybprasanrxykridihaennsnith aelwpidkradasthbxikchnhnung sunghwokhnthiepnkradascaeriykwakaohlk aelwcungerimpnekhaokhrngkhxngibhna dwykarichrktilaythithasarxngekbiw namapnephimetimlngbnkaohlkbriewnswn khiw ta cmuk pak l ihnunkhunrupaelduchdecn rwmthngaesdngxarmnkhxngibhnasungkhunxyukbpraephthibhnakhxnghun caknnerimtkaetngaelapradblwdlaybntaaehnngekhruxngsiraphrnechn pradbswnekiywrkrxy l thaswnhusahrbtwyks twling twphranangthipidhna karlngrk pidthxng pradbkrack aekikh emuxidhwhunthipradblwdlaytang esrceriybrxyaelw caepnkarkarpnrktilay odykarichrktilayphimphepnlwdlaylaexiyd sahrbpradbtamtaaehnngbnkaohlkthitidlwdlaypradbiwaelw ichrknaekliyngthathbswnthithaepnlwdlaytang thitxngkarihepnsithxngkha thingiwihaehngsnithaelwnathxngkhaeplwmapidthbihthw pradbkrackhruxphlxykrackephuxihekidprakayaewwwam krackthiicheriykwakrackekriyng pccubnhayakmak changthahwokhncungeluxkichphlxykrackpradbaethn caknnepnkarrabaysiaelaekhiynswnlaexiyd sungepnkhntxnsudthaykhxngkarthahwokhn mkniymichsifunphsmkawkrathinhruxyangmakhwid thimikhunsmbtisdisaelanumnwl inkhntxnkhxngkarkarrabaysiaelaekhiynruplksnbnibhnakhxnghwokhn changthahwokhncatxnglngsitamaebbaephnxnekiywenuxngkbchatiechuxephaphngskhxnghwokhnnn ihthuktxngxikdwy 11 kartngaelakarekbrksa aekikh thwn sahrbtnghwokhnaelakhrxbpxngkndwylung hwokhnsahrbichswmissirsainkaraesdngokhnnn epnkaraesdngxxkthangdankhwamsakhykhxngtaaehnng ysthabrrdaskdi mikhwampranitswyngamtamaebbchbbkhxngchangthahwokhn thisamarthsrangsrrkhhwokhnihmilksnaaelaruplksnthisuxthungephs ephaphngswngschatiechux hruxaemaetkaraesdngxxkdwyxarmnthangsihna banghwsrangkhunephuxepnkarchibngbukhliklksnaechphaakhxngtwlakhrineruxngramekiyrti banghwthuksrangkhunihepriybesmuxnsirsakhxngethphphuepnthiekharphnbthux krabihwbuchaechn hwokhnphraphrhm phraxiswr phranaray phraphikhenswr epntn thaihidrbkarykyxngepnkhxngsungaelamngkhlwtthu miskdiaelakhwamsakhyehnuxkwahwokhnpktithrrmdathwiphwokhnepnsingpradisththangdansilpathimiexklksnaelathrngkhunkhakhxngithy epnsingthitxngekbrksaihkhngxyuinsphaphditlxdewla thanuthnxmimihcharudthrudothrmesiyhaydwykarekbrksaiwinlung sungepnphachnasahrbichekbrksahwokhnodyechphaa thngkxnaelahlngaesdng aetedimthadwyekhruxngcksan lngrk nahnkebaekhluxyyayidsadwk pccubnepliynmathadwysngkasiaethn lksnarupthrngkrabxksn prakxbdwytwlungsahrbishwokhnaelafakhrxb kungklangkhxnglungcaepnthitngthwnhruxhlketiy lksnaepnaepnklmichsahrbrxngrbhwokhnhruxmngkud chda 12 lungaebngxxkepnsxngchnidkhux lungsahrbekbhwokhnmimngkudthrngyxdechn phyathusn myraphn phyakhr sththasur wiruycabng brrlyckr phiephk chiwha kuewrnurach epawnasur brrlyklp wnyuwik ramsur thskhiriwn thskhirithr thphnasur swahu maris triemkh mngkrknth thsknth lksnakhxnglungchnidnicaepnfarupkrwyklmthrngsunghruxetiy khunxyukbkhwamsungkhxngmngkud ephuxihmithiwangphxsahrbkhwamsungkhxngmngkud imthaihekidkhwamesiyhayemuxpidfalung aelalungsahrbekbhwokhnimmimngkudhruxhwoln thifakhrxbmilksnatdtrngechn phali sukhriph hnumsn chmphuphan champhuwrach xngkht nilphth nilnnth epntnkarekbrksahwokhnthiichinkaraesdngnn thaimekbiwinlungephuxpxngknkhwamesiyhay catxngnahwokhnhnatang mawangiwbnthwnthithacakim namaklungkhunrupepnhlkthwn thanmilksnaaepnklm trngplaythwnmiaepnsahrbrxngrbhwokhn sungpramanhnungfut aelatxngtngihxyusungcakphunaelathangedin imnaipwangiwinthitathisamarthedinkhamipmaid imthahwokhnrwnghlnlngphun implxyihhwokhnthukaemlngsabkdaetha hruxkrathakarid thiepnkaraesdngxxkthungkhwamimekharphinkhrubaxacaryenuxngcakhwokhnthiichinkaraesdngnnthuxepnkhxngsungaelamikhru thitxngihkhwamekharphbuchathnginewlaaesdngaelaewlapkti mkniymcdekbodykaraebngxxkepnphwk epnswnsdepnswnechn faymnusy fayyksaelafayling odyechphaahwokhnhnayksaelahnalingtxngekbrksaiwkhnladan mihwphravisiphrtmunihruxhwphxaekwangkhnklang hamnamaekbrwmknodyeddkhad sungthuxepnthrrmeniymptibtisubtxknmaaetobran rwmthnghamnahwokhnhruxekhruxngaetngkaysahrbaesdng maekbrksaiwthibanodyeddkhad txngnaipfakiwthiwdethannephraathuxknwaepnkhxngrxn thaphuidekbrksaiwcamiaetehtueduxdrxnwunwayimsinsud hruxaemkrathnghamnarupwadkhxngtwlakhrid ktamineruxngramekiyrtimaekbiwechnkn pccubnkhxhamdngklawidsuyhayiptamkalewla thaihmiphuniymnahwokhnipepnkhxngpradbtkaetnghruxkhxngthiralukaethn 13 duephim aekikhokhnxangxing aekikh karthahwokhn prawtihwokhn niyamkhxnghwokhn praephthkhxnghwokhnchnidtang karcaaenkpraephthkhxnghwokhntamfayesnayksaelaesnaling hwokhn okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 130 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 karcaaenkhwokhntamibhna rahwanghnamnusyaelayks karcaaenkhwokhntamsithiichsahrbrabaybnphunibhna khntxnkarthahwokhn karpradisthhwokhn karthahwokhnkhxng m l phnthswsdi sukhswsdi hwokhncalxng khwamechuxaelakarekbrksahwokhnekhathungcak https th wikipedia org w index php title hwokhn amp oldid 9479930, wikipedia, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด,

บทความ

, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม