จือนฺหวี่
จือนฺหวี่ (จีนตัวย่อ: 织女; จีนตัวเต็ม: 織女; พินอิน: Zhīnǚ) เป็นธิดาลำดับที่ 7 ของซีหวังหมู่กับเง็กเซียนฮ่องเต้
เรื่องราวในตำนานสร้างโลกของจีน
เมื่อครั้งสร้างโลก ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียว เง็กเซียนฮ่องเต้รู้สึกว่าท้องฟ้าขาดสีสัน จึงสั่งให้เทพธิดาทั้งเจ็ดทอผ้าและตัดเสื้อให้ท้องฟ้าใส่ แต่ผ้าที่ธิดาทั้งเจ็ดทอออกมานั้นมีแต่สีเทาและสีขาวเท่านั้น ธิดาองค์เล็กเป็นคนฉลาด นางได้พบดอกไม้เจ็ดสีในสวน จึงเด็ดไปทำเป็นสีย้อมผ้า ทำให้ผ้าที่ทอออกมามีสีสันสวยงาม เหล่าพี่น้องทั้ง 6 คนต่างดีใจกันอย่างยิ่ง และตกลงกันว่า วันธรรมดาจะให้ท้องฟ้าสวมเสื้อสีขาว ถ้าฝนตกก็จะเปลี่ยนเป็นเสื้อสีเทา ยามเช้าและยามเย็นจะสวมเสื้อเจ็ดสี เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงทราบแล้วรู้สึกดีพระทัยมาก และประทานนามธิดาองค์สุดท้องว่า”จือนฺหวี่”แปลว่า สาวทอผ้า
องค์ที่ 1
สมัยก่อนมีขุนนางตงฉินและกังฉินซึ่งทั้งสองบ้านอยู่ใกล้กัน ขุนนางตงฉินนั้นมีภรรยาและลูกสาวลูกชายอย่างละ 1 คน และมักโดนขุนนางกังฉินใส่ความอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งลูกชายของขุนนางตงฉินเล่นว่าวอยู่ในสวนบ้านตัวเอง พร้อมๆกับบ่าวของขุนนางกังฉินที่เล่นว่าวบนดาดฟ้าของบ้านนั้น ด้านบ่าวของขุนนางกังฉินพลาดท่าตกลงมาตายเอง แต่ขุนนางกังฉินก็ใส่ความว่าลูกของขุนนางตงฉินนั้นเป็นเหตุพร้อมทั้งให้ลงโทษด้วยการฝังทั้งเป็นพร้อมกับบ่าวของเค้า (คือสมัยนั้นขุนนางกังฉินเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มาก เลยมีอำนาจสูง) ฝ่ายลูกชายก็ถูกจับนอนในโลงศพ และมีขบวนคนนำไปฝัง แต่สวรรค์คุ้มครอง เกิดเป็นลมพายุพัดทั้งขบวนตกลงไปในเหวตายหมดยกเว้นลูกชายขุนนางตงฉินที่รอดมาได้ ฝ่ายลูกชายพอรอดมาก็กลัวที่จะกลับไปอีกจึงสร้างกระท่อมอาศัยในป่าลึกแทน แต่ทุกครั้งที่คิดถึงครอบครัวก็จะสวดภาวนาคำที่แม่เคยสอนไว้ว่า “นะโมพุทธะ” ต่อหน้ารูปวาดพ่อแม่ตัวเองที่วาดเองบนผนังถ้ำ และประทังชีวิตด้วยการเก็บพืชสมุนไพรไปขอแลกอาหารจากนายพราน
ฝ่ายพ่อพอคิดว่าลูกชายของตนเองนั้นตาย ก็ลาออกและเดินทางกลับบ้านเกิด ระหว่างทางก็ยังไม่วายโดนปลอมแปลงราชการให้เนรเทศสองผัวเมียไปอยู่ที่ชายแดน ทิ้งให้ลูกสาวที่เหลืออยู่คนเดียวรับชะตากรรม ฝ่ายลูกสาว (ตอนนั้นก็อายุประมาณ 12-13 ปี) ก็โดนโบยจนเกือบพิการ และถูกหลอกขายให้ไปเป็นคนรับใช้ของหลานชายขุนนางกังฉินอีก ชีวิตของนางตอนนั้นน่าสงสารมากๆ ตอนแรกขุนนางกังฉินนั้นไม่มีลูก เลยคิดจะให้หลานคนนี้สืบสกุลแทน หลานก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะรับมรดกจากอา แต่...ขุนนางกังฉินดันมามีลูกสืบสกุลเองตอนแก่ หลานชายผิดหวังมากจึงวางแผนกับภรรยาว่า พอถึงวันไหว้พระจันทร์ตอนที่คนกำลังสนุกสนานจะขโมยลูกทารกของอาไปทิ้งที่ไกลๆ แต่แผนนี้ดันถูกสาวใช้ (ลูกสาวขุนนางตงฉิน) รู้เข้า และนางก็เกิดมีความเมตตาจึงตามไปเก็บทารกและหนีเข้าไปในป่าลึก ฝ่ายขุนนางกังฉินรู้เรื่องก็ให้คนออกตามหาลูกตัวเอง ฝ่ายภรรยาของหลานก็กลัวว่าจะถูกจับได้จึงโยนความผิดให้สาวใช้ (ลูกสาวขุนนางตงฉิน) ที่ไม่ได้อยู่ที่บ้านในตอนนั้นพอดี (คือฝ่ายภรรยากลัวว่าสาวใช้แอบรู้แผนตัวเอง เลยกะว่าจะป้ายความผิดเพื่อปิดปาก)
ฝ่ายสาวใช้เมื่อหนีเข้าป่าลึกก็หานมสุนักป่าและน้ำจากน้ำพุมาเลี้ยงทารกน้อย ทหารและคนรับใช้ของขุนนางกังฉินจึงหาตัวไม่เจอ และประทังชีวิตด้วยการเก็บผลไม้ป่ากินเอง วันนึงระหว่างที่ฝ่ายลูกชายเก็บสมุนไพรอยู่นั้นก็เห็นหญิงสาวอุ้มทารกจึงเข้าไปสอบถามและได้รู้ความจริงว่าเป็นน้องสาวของตน จึงพาไปสร้างกระท่อมอยู่ใกล้ๆกัน เรื่องนี้แพร่สะพัดจากหมู่นายพรานที่เห็นถึงความผิดปกติ ไปถึงหูของขุนนางกังฉิน ขุนนางกังฉินจึงส่งคนมาจับและลงโทษด้วยการแขวนคอ สองพี่น้องก็นึกถึงคำสอนของแม่ว่า “ไม่โกรธแค้น หรือแก่งแย่งกับใคร” จึงไม่มีความหวาดกลัวและท่องนะโมพุทธะตลอดในตอนที่ถูกแขวนคอ ทันใดนั้นก็เกิดพายุพัดกระหน่ำทำให้เชือกขาดและทั้งคู่ก็บรรลุเป็นเซียน
องค์ที่ 2
มีครอบครัวที่ร่ำรวยครอบครัวนึง ครอบครัวนี้มีลูกสาว และลูกสาวคนนี้ชอบห้อยกวนอิมหยกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษตลอดเวลา วันนึงเกิดสงครามกลางเมือง ฝ่ายแม่ได้เสียชีวิตลงตอนชุลมุน ฝ่ายพ่อจึงพาลูกสาวหนีไปที่อื่นและเสียชีวิตกลางทางอีกคน ลูกสาววัย 8 ในตอนนั้นก็ได้เดินเร่ขายตัวเองเพื่อที่จะเอาเงินมาทำศพพ่อ แต่ก็ไม่มีใครซื้อเพราะยังอยู่ในภาวะสงคราม เด็กน้อยเลยไปขายตัวเองให้หอนางโลมโดยมีสัญญาการทำงานอยู่ห้าปี เธอเป็นเด็กที่ฉลาดและเรียนรู้เร็ว ทำให้ฝีมือการร้องรำทำเพลงพัฒนาขึ้นรวดเร็วทำให้ได้เงินรางวัลมาเยอะมากๆ เธอชอบนำเงินที่ได้เหล่านั้นไปช่วยเหลือคนยากไร้เพื่อสร้างกุศล
ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกครอบครัวนึง มีพี่น้องสองคน (ผู้ชายทั้งสอง) คนน้องนั้นเป็นลูกติดมาจากแม่เลี้ยง เป็นคนโหดร้ายและชอบหาเรื่องรังแกคนพี่ มีครั้งนึงก็ใส่ร้ายพี่และโบยจนคนพี่มือขวาพิการทำให้ไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้อีกและต้องมาคอยรับใช้คนน้อง วันนึงคนน้องนั้นเดินทางเข้าไปสอบจอหงวนในเมืองหลวงพร้อมด้วยคนรับใช้ที่เป็นพี่ตัวเอง แต่...คนน้องไม่สนใจอะไรเลย เอาแต่เที่ยวหอนางโลม (ที่เด็กสาวตอนต้นเรื่องทำงาน) นางเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่คนพี่ไม่ได้เรียนและคนน้องก็ใช้เงินแบบล้างผลาญ จึงแอบเอาเงินตัวเองให้คนพี่ไปเรียนพร้อมอ้างว่าทางครอบครัวนั้นส่งเงินมาให้เรียน คนพี่ก็ได้เรียนและพัฒนาคนเอง ส่วนคนน้องก็เที่ยวเตร่และตกต่ำลงเรื่อยๆ พอครบกำหนดห้าปีเด็กสาวคนนั้นก็ได้ออกจากหอนางโลมและไปอาศัยอยู่ที่วัด แม่ชีเห็นว่าเธอนั้นขยันและฉลาดจึงตั้งให้เธอเป็นผู้ดูแลวัด และแล้วเด็กพิการที่ได้โอกาสเรียนก็สอบชิงตำแหน่งจอหงวนได้ พอหญิงสาวรู้เรื่องก็กลัวว่าจอหงวนคนนี้สักวันต้องรู้เรื่องทุกอย่างและต้องตามมาตอบแทนเธอที่วัดแน่ๆ จึงออกจากวัดไปบำเพ็ญเพียรตามป่าเขาแทน
ฝ่ายจอหงวนพิการก็กลับบ้านไปขอบคุณแม่เลี้ยงที่อุตสาห์ส่งเสียจนตนเองได้เป็นจอหงวน แม่เลี้ยงนั้นรู้สึกละอายใจมากจึงหนีออกจากบ้านไป นางมีสีหน้าเศร้าหมองมากและคิดจะฆ่าตัวตาย ระหว่างทางในป่าก็ได้พบกับหญิงสาวที่ออกจากวัดมาบำเพ็ญเพียร พอได้คุยกันก็ได้ทราบเรื่องกันทั้งหมด หญิงสาวก็ปลอบให้กำลังแม่เลี้ยงคนนั้นจนนางดีขึ้น และได้มอบกวนอิมหยกที่ห้อยคอให้กับแม่เลี้ยง ด้วยน้ำใจอันดีงามของเธอเจ้าแม่กวนอิมก็ปรากฏตัวขึ้นและพาเธอขึ้นสวรรค์ทันที
องค์ที่ 3
มีครอบครัวนึงฝ่ายสามีเป็นคนเชือดหมูขาย ฝ่ายภรรยาเป็นคนใจดีถือศีลกินเจไหว้พระไหว้เจ้า ครอบครัวนี้มีลูกสาวด้วยหนึ่งคน ภรรยาเคยเตือนสามีเสมอให้เปลี่ยนอาชีพแต่สามีไม่เคยทำตามเลย พอภรรยาเสียชีวิตลงลูกสาวที่ตอนนั้นอายุสามขวบยังไม่รู้เรื่องอะไรก็ได้แต่ถามพ่อตัวเองว่า “แม่อยู่ไหนๆ?” พ่อก็ได้แต่ปลอบว่า แม่ไปเยี่ยมญาติยังไม่กลับ แต่ในใจก็นึกถึงคำขอร้องให้เปลี่ยนอาชีพของภรรยาตัวเองตลอด เค้าจึงเปลี่ยนอาชีพ แต่...ก็หางานที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ได้ ฐานะความเป็นอยู่ก็แย่ลงเรื่อยๆ จนตรอมใจและป่วยหนัก ลูกสาวที่ไม่รู้อะไรเลยก็ได้แต่นั่งนั่งร้องไห้ใต้ต้นองุ่นเพื่อให้สวรรค์มอบองุ่นให้พ่อตนเองกินบ้าง แต่ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวหิมะตกหนามาก ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่องุ่นจะออกลูก แต่สวรรค์ก็ประทานองุ่นให้ตกลงตรงหน้าเด็กหญิงคนนั้น เด็กหญิงเลยเก็บองุ่นไปให้พ่อตัวเองกิน พ่อตัวเองก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง แต่ในใจก็ยังคงคิดถึงแม่ตัวเองอยู่
วันนึงเด็กหญิงได้ออกไปเดินเล่นข้างนอก เห็นชายชรานอนป่วยร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ข้างถนน (เป็นเทพแปลงร่างลงมา) เด็กหญิงจึงกลับไปนั่งภาวนาใต้ต้นองุ่น และก็มีองุ่นตกลงมาอีก เด็กหญิงดีใจรีบเอาองุ่นไปให้ชายชรากิน ชายชราเห็นว่าเด็กคนนี้เป็นคนดีจึงสอนบำเพ็ญเพียร และพาเธอไปบำเพ็ญเพียรบนเขาจนบรรลุมรรคผลขึ้นสวรรค์ไป เหลือแต่เพียงแขนที่มีไฝสามเม็ดไว้ พอพ่อตัวเองมาตามก็เห็นเพียงแค่นั้นก็รู้ว่าลูกตนเองได้สำเร็จเป็นเซียนไปแล้ว หลังจากขึ้นสวรรค์นางก็มาช่วยพ่อและแม่นางขึ้นไปสวรรค์เช่นกัน นอกจากนี้นางยังลงมาช่วยรักษาโรคให้คนบนโลกมนุษย์ด้วย
องค์ที่ 4
มีครอบครัวนึงได้ให้กำเนิดลูกสาว ตอนเกิดนั้นมีกลิ่นหอมตลบอบอวนทั่วห้องไปหมด (อันนี้เป็นสัญญาณว่ามีนางฟ้ามาเกิด) เด็กคนนี้ได้ชื่อว่าเซียนเอ๋อ พออายุได้ 2 ขวบ ร่างกายของนางก็อ่อนแอ แม้ว่าพ่อแม่จะหาหมอมารักษาจากทั่วสารทิศก็ไม่หาย พอโตขึ้นมาเธอชอบกินแต่อาหารเจ ไม่กินเนื้อสัตว์อะไรเลย ถ้าอาหารปนถูกเนื้อเพียงเล็กน้อย เธอก็จะอาเจียนออกมา
วันนึงเกิดน้ำท่วม ครอบครัวเธอถูกน้ำพัดพาไปคนละทิศคนละทาง แต่เธอได้ถูกชายชราชาวประมงช่วยไว้และรับเธอเป็นลูกบุญธรรม ทุกๆครั้งเวลาที่จับปลามาได้ก็พบว่าหายไปจำนวนมาก จึงได้ถามลูกสาวบุญธรรมตัวเอง เซียนเอ๋อก็ร้องไห้ยอมรับว่าเอาไปปล่อย และยังขอร้องว่าพ่ออายุแก่มากแล้วให้เลิกทำอาชีพนี้ แล้วตนจะหาเลี้ยงพ่อบุญธรรมเอง วันนึงพ่อบุญธรรมเป็นแผลมีหนองที่หลัง แต่ด้วยความที่ยากจนเลยไม่มีเงินไปหาหมอ เซียนเอ๋อจึงใช้วิธีที่แม่ตัวเองเคยทำให้ตอนเด็กๆคือใช้ปากดูดหนองออกจนหมด มาช่วยพ่อบุญธรรมจนหายเป็นปกติ แต่พ่อบุญธรรมก็อายุมากแล้วร่างกายไม่แข็งแรงได้แต่นอนบนเตียง
เซียนเอ๋อมักไปที่วัดไหว้ขอพรให้พ่อและคอยดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเดินขึ้นไปตรงหัวเรือและจุดธูปบนบานเบื้อบนและภาวนาถึงพระโพธิสัตว์กวนอิม ทันใดนั้นท่านก็มาปรากฏตัวให้เห็น เซียนเอ๋อรีบวิ่งไปที่หัวเรือเพื่อกราบไหว้ แต่ก้าวเท้าพลาดตกลงไปตายในทะเล กายทิพย์ของเธอนั้นได้กลายเป็นเซียนขึ้นสวรรค์ ศพของเธอถูกงมขึ้นมาและนำไปฝังที่เชิงเขา และก็เกิดเรื่องแปลกขึ้นคือ รอบๆหลุมฝังศพของเธอนั้นมีดอกไม้สวยงามมีกลิ่นหอมขึ้นอยู่รอบๆ ทุกคนเรียกว่าดอกนางฟ้า และพ่อบุญธรรมของเธอก็ได้เอาดอกนางฟ้าไปขายประทังชีวิตจนสิ้นอายุไข
องค์ที่ 5
เธอเป็นลูกคนเดียวของขุนนางใหญ่ในราชสำนักและกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พออายุได้ 7 ขวบพ่อก็มีภรรยาใหม่ และคาดหวังว่าภรรยาใหม่จะดูแลลูกสาวตัวเองอย่างดี ตนเองจะได้ไปทำงานได้อย่างเต็มที่และหายห่วงลูกสาวที่อยู่คนเดียว แต่...ตอนที่พ่อเธอไม่อยู่ แม่ใหม่นั้นก็แอบคบชู้กับคนรับใช้ชายและเป็นอย่างนั้นเรื่อยมาจนวันนึง เธอแอบเห็นแม่เลี้ยงคบชู้กับคนรับใช้ ฝ่ายแม่เลี้ยงกลัวว่าเรื่องจะถูกเปิดเผยจึงจับเด็กหญิงตัดลิ้นออก นำผ้าผูกตาเธอและนำไปปล่อยทิ้งไว้บนภูเขาสูงไกลจากบ้าน พอพ่อเธอกลับมาก็ถามหาจากใคร คนในบ้านก็บอกไม่รู้ รวมทั้งภรรยาใหม่ด้วย
ฝ่ายเด็กหญิงหลังจากถูกปล่อยบนภูเขาสูงแล้วนั้น ก็ประทังชีวิตด้วยผลไม้และน้ำจากน้ำพุหน้าปากถ้ำ วันนึงเธอได้ยินเสียงระฆังดังมาจากที่ไกลๆ จึงเดินไปตามเสียงจนพบวัดและคนหลายคนนั่งสวดมนต์อยู่หน้าขันน้ำใบใหญ่ แต่เธอก็ไม่สามารถนั่งสวดตามได้ จึงกลับมานั่งสวดมนต์ด้านหน้าของน้ำพุและออกเสียงเลียนแบบแพะ เธอทำแบบนั้นอย่างต่อเนื่องจนน้ำพุด้านหน้ากลายเป็นน้ำวิเศษรักษาโรคได้ เมื่อไหร่ที่เธิรู้สึกเหนื่อยหรือไม่สบาย เธอแค่กินน้ำจากบ่อนั้นก็จะหายทันที
วันนึงเธอได้พบกับพ่อของตัวเองที่เดินทางมาไกลเพื่อไหว้พระที่วัด เธอจึงแอบเดินตามกลับบ้านในตอนดึก และแอบเห็นพ่อเธอกำลังป่วยอยู่เนื่องจากตรอมใจที่เธอได้หายตัวไป ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ยังแอบเห็นแม่เลี้ยงตัวเองวางห่อยาพิษไว้ข้างๆถ้วยยาของพ่อ เธอจึงสลับยาพิษถ้วยนั้นกับน้ำจากน้ำพุหน้าถ้ำของเธอเอง ทำให้พ่อของเธอหายดี พอแม่เลี้ยงมาเจอเข้าก็นึกว่าคนใช้หญิงเป็นคนพาลูกเลี้ยงตัวเองกลับมา จึงจับมัดมือและเฆี่ยนตีเพื่อบังคับให้ยอมรับผิด เด็กหญิงเห็นแบบนั้นก็เข้ามาช่วยและขอตายเพียงคนเดียว ฝ่ายพ่อพอได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็ลุกจากเตียงมาดู ได้เจอลูกสาวตัวเองและได้รู้ความจริงจากปากของสาวใช้ จึงจับชายรับใช้กับภรรยาใหม่ใส่กรงหมูแล้วลากลงไปในสระเพื่อให้จมน้ำตาย เด็กหญิงคนนั้นเห็นก็อยากช่วยทั้งสองคน พอกระโดดลงน้ำปุ๊บ เธอก็เสียชีวิตกายทิพย์ก็ขึ้นสวรรค์ทันที (ตอนนั้นเธอมีอายุแค่ 11 ปี)
องค์ที่ 6
ในครอบครัวคนตัดฟืนที่มีลูกสาวคนเดียว ตอนลูกสาวอายุได้ 6 ขวบ บ้านเมืองก็เกิดจลาจล ทำให้ครอบครัวพลัดหลงแตกแยก ลูกสาวนั้นหลงเข้าไปอยู่ในป่าจึงอ้อนวอนต่อฟ้าว่าจะถือศีลกินเจแต่ขอให้หาครอบครัวของเธอเจอ พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงโปรยน้ำทิพย์ลงบนใบไม้ใบหญ้าทั่วบริเวณนั้นเพื่อให้เธอได้เก็บกิน
ฝ่ายแม่ หลังจากลูกและสามีหายไป ก็เข้าป่าผ่าฟืนมาขายยังชีพ แต่ด้วยเป็นผู้หญิงก็ไม่ค่อยมีแรงจึงเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าซะเลยและทุกๆวันนางก็จะอธิษฐานขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองลูกและสามีตัวเอง ฝ่ายพ่อได้ถูกกลุ่มนักเลงในหมู่บ้านกล่าวหาว่าเป็นคนขโมยหมูไปหลังจากเหตุจลาจล พวกนักเลงจึงจับพ่อของเธอมาผ่าท้องแล้วโยนลงเหว หลังจากตกเหวลงไปก็ยังมีลมหายใจอยู่และก็ได้มีเสือเทพลงคาบขึ้นไปบนดอยและหายามาให้กิน ซึ่งทั้งหมดนี่อยู่ในความดูแลของพระโพธิสัตว์ หลังจากฝ่ายพ่อหายดีแล้ว
เสือเทพก็นำทางพาทั้งสามมาพบกัน ทั้งสามจึงกลับบ้านพร้อมกัน และแม่ก็หันมาทำอาชีพทอผ้าเลี้ยงครอบครัว ฝ่ายพระโพธิสัตว์อยากลองใจลูกสาว จึงแปลงร่างเป็นเด็กผู้หญิงชวนลูกสาวออกไปวิ่งเล่นและ...ชักชวนให้เธอกินเนื้อสัตว์เพื่อบำรุงร่างกาที่ซูบผอมจากการที่เข้าไปอาศัยในป่า เธอตอบกลับไปว่านอกจากเนื้อสัตว์แล้ว แม้แต่ข้าวเธอจะไม่กินก็ได้ เพราะตอนอยู่ในป่าเธอก็ไม่ได้กินข้าว ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร พระโพธิสัตว์เห็นว่าเธอมีใจที่มั่นคง จึงพาเธอขึ้นเขาสอนวิธีบำเพ็ญจนเธอสำเร็จบรรลุมรรคผล
องค์ที่ 7
องค์นี้ก็คือสาวทอผ้าตามตำนานสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงโคนั่นแหละ เธอเป็นลูกคนเดียวของครอบครัวหนึ่ง ตอนนั้นบ้านเมืองเกิดกลียุค พ่อเธอได้พลัดหลงหายไป แม่เธอเลยพาเธอตามหาพ่อ ข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า พอตกค่ำก็เอาหญ้ามาทำเพิงนอนพัก พอหิวก็กินผลไม้ป่าเอา มีอยู่วันนึงแม่เธอล้มป่วย เธอเลยนึกไปถึงตอนเล็กๆว่าเห็นแม่เธอเก็บหญ้ามาต้มให้กินก็หายดี เธอเลยไปเก็บหญ้ามาต้มให้แม่เธอกินบ้าง โดยที่เธอไม่รู้เลยว่ามันเป็นพืชธรรมดาๆ ไม่ใช่สมุนไพร แต่ด้วยความกตัญญูทำให้เบื้องบนเห็นและแม่เธอก็หายป่วย หลังจากนั้นทุกๆวันเธอก็จะเก็บกิ่งไม้แห้งไปขาย เอาเงินไปซื้อฝ้ายมาให้แม่เธอปั่นเป็นด้าย และนำด้ายกลับไปขายต่ออีกที ทำให้ทั้งสองมีเงินไม่ต้องไปเก็บผลไม้ป่ากินอีก แต่แล้ววันนึง แม่เธอโดนกิ่งไม้แทงหลังบาดเจ็บสาหัส เธอจึงออกไปเก็บหญ้าหวังจะมาต้มให้แม่กินอีก แต่...มีชายคนนึงออกมาบอกว่าต้องใช้หญ้าพิเศษ เธอจึงออกตามหาหญ้าพิเศษทุกวันแต่ก็ไม่เคยหาเจอเลย อีกด้านหนึ่ง มีลูกชายขุนนางที่กตัญญู ชอบเล่นตลกสร้างเสียงหัวเราให้พ่อแม่ วันนึงเค้ากำลังเล่นปีนต้นไม้ อยู่ๆก็มีทหารมาจับคนในบ้านไปหมดและปิดผนึกบ้านของเค้า เค้าก็ได้แต่ดูอย่างเงียบๆเพราะรู้ว่าเกิดเหตุร้ายแน่นอน
จริงๆแล้วคือ ขุนนางกังฉินใส่ความพ่อของเค้าและจับคนทั้งบ้านไปประหารหมด เค้าจึงต้องกลายเป็นเด็กขอทานเร่รอน วันนึงเด็กชายคนนี้ก็เดินผ่านไปบ้านเศรษฐีที่กำลังจัดงานใหญ่และให้ทานขอทานที่ผ่านไปมา แต่เด็กคนนี้พอได้รับของแจกแล้วก็ไม่ยอมกลับ คนใช้หญิงชื่อหยินเหอก็ไปบอกนายหญิง นายหญิงมาเจอเด็กชายคนนี้ก็ถูกชะตาจึงรับอุปการะไว้ให้ทำหน้าที่ต้อนวัวไปกินหญ้า
ครั้งนึง เด็กหนุ่มคนนี้ได้ไปช่วยชายชราที่ล้มและเป็นแผลที่ขาไว้ ชายชราบอกเด็กคนนี้ว่าเค้ามีหญ้าวิเศษให้เอาหญ้าของเค้าทาที่ขาให้หน่อย พอเด็กหนุ่มทำตาม แผลที่ขาชายชราก็หายดี ชายชราจึงให้หญ้าวิเศษที่เหลือแก่เด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มคนนี้ก็ใช้หญ้าวิเศษช่วยรักษาคนเจ็บไปทั่ว จนได้ไปรักษาแม่ของเด็กผู้หญิงในตอนต้น แม่ของเด็กผู้หญิงเห็นชายเลี้ยงวัวเป็นคนมีน้ำใจก็ชอบมากจึงให้แต่งงานกับลูกสาวตัวเอง หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีโจรขึ้นบ้านเศรษฐีและฆ่าเศรษฐีตาย แต่ด้วยความที่เจ้าหน้าที่ทำงานแบบขอไปที จึงป้ายความผิดไปให้เด็กชายเลี้ยงวัว เพราะคืนนั้นเค้าพาวัวออกไปกินหญ้าไกลไม่ได้กลับบ้าน แต่เค้าก็ยังอายุน้อยจึงถูกลงโทษเพียงแค่เนรเทศ ฝ่ายหญิงทอผ้าเมื่อรู้เรื่องก็ออกเดินทางข้ามวันข้ามคืนไปหาเด็กชายเลี้ยงวัว ทั้งสองได้พบกันแต่ก็ถูกแม่น้ำกั้นไว้ ทันใดนั้นได้มีนกนางแอ่นฝูงหนึ่งบินลงมาเป็นสะพานให้ทั้งคู่เดินมาหากันได้ พอได้พบกันอีกครั้ง ทั้งคู่ก็สำเร็จมรรคผล ได้ขึ้นสวรรค์
ดูเพิ่ม
- เทศกาลซีซี
- เทศกาลทานาบาตะ
แหล่งข้อมูลอื่น
- ตำนานเทศกาลชีซี