เบเรงเกลาแห่งกัสติยา
เบเรงเกลา (สเปน: Berenguela) หรือ มหาราชินี (la Grande) เสด็จพระราชสมภพ ค.ศ. 1179 หรือไม่ก็ ค.ศ. 1180 สิ้นพระชนม์ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1246 เป็นพระราชินีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งกัสติยา ในปี ค.ศ. 1217 และพระราชินีคู่สมรสแห่งเลออนตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1197 ถึงปี ค.ศ. 1204 ในฐานะพระโอรสธิดาคนโตและทายาทโดยสันนิษฐานของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา พระองค์เป็นเจ้าสาวผู้เป็นที่หมายตา และถูกหมั้นหมายกับค็อนราท พระโอรสของจักรพรรดิฟรีดริชที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หลังค็อนราทสิ้นพระชนม์ พระองค์อภิเษกสมรสกับลูกพี่ลูกน้อง พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 แห่งเลออน เพื่อรักษาสันติภาพระหว่างกษัตริย์แห่งเลออนกับพระบิดา ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันห้าคนก่อนการแต่งงานจะถูกพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ทรงประกาศให้เป็นโมฆะ
เบเรงเกลา | |
---|---|
รูปปั้นและสลักในมาดริด | |
พระอิสริยยศ | พระราชินีแห่งกัสติยาและโตเลโด พระราชินีแห่งเลออน |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์บูร์กอญของกัสติยา |
ครองราชย์ | 6 มิถุนายน – 31 สิงหาคม ค.ศ. 1217 (กัสติยา) ค.ศ. 1197–1204 (เลออน) |
ข้อมูลส่วนพระองค์ | |
พระราชสมภพ | ค.ศ. 1179 หรือ 1180 บูร์โกส |
สิ้นพระชนม์ | 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1246 (66 พรรษา) ลัสอูเอลกัส ใกล้กับบูร์โกส |
ฝังพระศพ | ลัสอูเอลกัส ใกล้กับบูร์โกส |
พระบิดา | พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา |
พระมารดา | เอเลนอร์แห่งอังกฤษ พระราชินีแห่งกัสติยา |
พระสวามี | ค็อนราทที่ 2 ดยุคแห่งสวาเบีย พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 แห่งเลออน |
พระบุตร | พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา อัลฟอนโซ ลอร์ดแห่งโมลินา เบเรงเกลาแห่งเลออน |
เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ พระองค์ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้พระเจ้าเอนริเกที่ 1 ในกัสติยา (พระอนุชา) จนกระทั่งได้สืบทอดตำแหน่งต่อเมื่อพระเจ้าเอนริเกสิ้นพระชนม์ หลายเดือนต่อมาพระองค์ยกกัสติยาให้พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 พระโอรส ด้วยความเป็นกังวลว่าความเป็นสตรีจะทำให้พระองค์ไม่สามารถเป็นผู้นำกองทหารของกัสติยาได้ ทว่ายังทรงเป็นที่ปรึกษาคนใกล้ชิดที่สุดที่คอยชี้นำทางการเมือง เจรจาต่อรอง และปกครองในนามพระโอรสตลอดพระชนม์ชีพที่เหลือ พระองค์มีส่วนสำคัญในการรวมกัสติยากับเลออนเข้าด้วยกันอีกครั้งภายใต้อำนาจของพระโอรส และสนับสนุนความพยายามในการทำเรกองกิสตาของพระโอรส ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์สถาบันศาสนาและสนับสนุนการเขียนประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ
ต้นชีวิต
เบเรงเกลาเสด็จพระราชสมภพไม่ในปี ค.ศ. 1179 ก็ในปี ค.ศ. 1180 ในบูร์โกส เป็นพระธิดาคนโตของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 กับเอเลนอร์แห่งอังกฤษ
ในฐานะพระโอรสธิดาคนโตของพระเจ้าอัลฟอนโซกับเอเลนอร์ พระองค์เป็นทายาทหญิงโดยสันนิษฐานของบัลลังก์กัสติยาอยู่หลายปี เหตุเพราะพระอนุชาหลายคนที่ประสูติหลังพระองค์สิ้นพระชนม์หลังการคลอดหรือไม่ก็อยู่ไม่พ้นวัยทารก เบเรงเกลาจึงกลายเป็นคู่ครองผู้เป็นที่หมายตามากที่สุดในยุโรป
การหมั้นหมายครั้งแรกของเบเรงเกลาบรรลุข้อตกลงในปี ค.ศ. 1187 เมื่อค็อนราท ดยุคแห่งโรเทินบวร์คและพระบุตรคนที่ห้าของจักรพรรดิฟรีดริชที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ต้องการแต่งงานกับพระองค์ ปีต่อมาสัญญาว่าด้วยการแต่งงานได้รับการลงนามในเซลิงเกินชตัท หนึ่งในนั้นคือสินสอดจำนวน 42,000 เหรียญมาราเบดี จากนั้นค็อนราทก็เดินทัพมากัสติยาที่มีการฉลองการหมั้นหมายกันในการ์ริยอนและค็อนราทได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวิน สถานะของเบเรงเกลาในฐานะทายาทแห่งกัสติยาเมื่อพระองค์ได้สืบทอดบัลลังก์เป็นส่วนหนึ่งในสนธิสัญญาและสัญญาว่าด้วยการแต่งงาน ที่ระบุว่าพระองค์จะสืบทอดอาณาจักรต่อจากพระบิดาหรือพระอนุชาคนใด ๆ ก็ตามที่ไร้ทายาท ค็อนราทจะได้เป็นเพียงผู้ปกครองร่วมในฐานะคู่สมรสของพระองค์ และกัสติยาจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ
การแต่งงานไม่ได้ถูกทำให้สมบูรณ์เนื่องจากเบเรงเกลายังเด็ก พระองค์มีพระชนมายุไม่ถึง 10 พรรษา ค็อนราทกับเบเรงเกลาไม่ได้พบเจอกันอีก ในปี ค.ศ. 1191 เบเรงเกลาขอร้องให้พระสันตะปาปาทรงประกาศให้การหมั้นหมายเป็นโมฆะ ภายใต้อิทธิพลของบุคคลที่สามอย่างพระอัยกี อาลีเยนอร์แห่งอากีแตน ที่ไม่สนใจจะผูกมิตรกับราชวงศ์โฮเอินชเตาเฟินที่เป็นเพื่อนบ้านของที่ดินศักดินาในฝรั่งเศส เรื่องราวจบลงเมื่อดยุคถูกลอบสังหารในปี ค.ศ. 1196
พระราชินีคู่สมรสแห่งเลออน
เพื่อรักษาสันติภาพระหว่างกัสติยากับเลออน เบเรงเกลาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 แห่งเลออน ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่หนึ่งที่อยู่ห่างกันหนึ่งขั้น ในบายาโดลิดในปี ค.ศ. 1197 ตามธรรมเนียมปฏิบัติแบบสเปนในเวลานั้น พระองค์ได้ควบคุมปราสาทและที่ดินจำนวนหนึ่งในเลออนโดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วตั้งอยู่ตามแนวชายแดนที่ติดกันกัสติยา
ในปี ค.ศ. 1198 พระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 เริ่มไม่ยอมรับการแต่งงานด้วยเหตุผลว่าเป็นการร่วมประเวณีกับระหว่างญาติใกล้ชืด สองสามีภรรยาอยู่ด้วยกันจนถึงปี ค.ศ. 1204 แล้วจึงขวนขวายขอการผ่อนผันเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน หนึ่งในนั้นการเสนอเงินก้อนโตให้ ทว่าพระสันตะปาปาปฏิเสธคำร้องขอนั้น แม้ทั้งคู่จะทำให้พระโอรสธิดาที่มีด้วยกันได้รับการยอมรับว่าเป็นพระโอรสธิดาตามกฎหมายได้ แต่การแต่งงานก็จบลง เบเรงเกลากลับกัสติยาไปหาพระบิดามารดาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1204 และทรงอุทิศตนให้กับการดูแลพระโอรสธิดา
ช่วงที่เป็นพระราชินี
แม้จะทรงหมดบทบาทหน้าที่ในการเป็นพระราชินีแห่งเลออน แต่พระองค์ยังคงมีสิทธิ์ในการเรียกเก็บภาษีในที่ดินมากมายที่พระองค์ได้รับมา หนึ่งในนั้นคือซาลามังกาและกัสโตรเบร์เด ที่ทรงยกให้เฟร์นันโด พระโอรส ในปี ค.ศ. 1206 ขุนนางจำนวนหนึ่งที่รับใช้พระองค์เมื่อครั้งเป็นพระราชินีติดตามพระองค์กลับไปที่ราชสำนักในกัสติยา สันติสุขที่เกิดขึ้นในช่วงที่พระองค์แต่งงานสูญสิ้นไป และเกิดสงครามขึ้นระหว่างเลออนกับกัสติยาเหนือที่ดินที่อยู่ในการควบคุมของพระองค์ในเลออน ในปี ค.ศ. 1205, 1207 และ 1209 มีการทำสนธิสัญญากันระหว่างอาณาจักรทั้งสอง แต่ละฉบับล้วนขยายอำนาจการควบคุมของพระองค์ ในสนธิสัญญาของปี ค.ศ. 1207 และ 1209 เบเรงเกลากับพระโอรสได้รับทรัพย์สินที่ดินที่มีความสำคัญตามแนวชายแดน หนึ่งในนั้นคือปราสาทสำคัญ ๆ อย่างบิยัลปันโด สนธิสัญญาในปี ค.ศ. 1207 เป็นเอกสารเปิดเผยที่เขียนด้วยภาษากัสติยาฉบับเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่
ในปี ค.ศ. 1214 เมื่อพระบิดา พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา สิ้นพระชนม์ ราชบัลลังก์ตกเป็นของพระเจ้าเอนริเกที่ 1 พระโอรสคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่และพระอนุชาวัย 10 พรรษาของเบเรงเกลา เอเลนอร์ พระมารดาของทั้งคู่กลายเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่สิ้นพระชนม์ในอีก 24 วันหลังการสิ้นพระชนม์ของพระสวามี เบเรงเกลาจึงกลายเป็นทายาทโดยสันนิษฐานอีกครั้งและกลายเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคนใหม่ ในตอนนี้เองที่การทะเลาะเบาะแว้งภายในเริ่มต้นขึ้น จุดชนวนโดยกลุ่มขุนนาง กลุ่มแรกสุดคือตระกูลลารา ที่บีบให้เบเรงเกลายกตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและผู้พิทักษ์ของพระอนุชาให้เคานต์อัลบาโร นุญเญซ เด ลารา
ในปี ค.ศ. 1216 มีการจัดการประชุมสภาในบายาโดลิด โดยมีบุคคลสำคัญของกัสติยาอย่างโลเป ดิอัซที่ 2 เด อาโร, กอนซาโล โรดริเกซ ฆิรอน, อัลบาโร ดิอัซ เด กาเมโรส, อัลฟอนโซ เตเยซ เด เมเนเซส และคนอื่น ๆ ที่ตกลงกันว่าจะสนับสนุนเบเรงเกลา โดยมีจุดร่วมเดียวกันคือเพื่อต่อกรกับอัลบาโร นุญเญซ เด ลารา ปลายเดือนพฤษภาคม สถานการณ์ในกัสติยาเป็นอันตรายต่อเบเรงเกลามากขึ้น พระองค์จึงตัดสินใจลี้ภัยไปอยู่ที่ปราสาทเอาติโยเดกัมโปสที่เป็นของกอนซาโล โรดริเกซ ฆิรอน หนึ่งในพันธมิตรของพระองค์ และส่งพระโอรสเฟร์นันโดไปที่ราชสำนักของอดีตพระสวามี ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1216 บุคคลสำคัญของกัสติยารวมตัวกันเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง แต่ความเห็นที่ไม่ลงรอยกันทำให้ตระกูลฆิรอน, เตเยซ เด เมเนเซส และอาโรแตกหักกับอัลบาโร เด ลารา
พระราชินีแห่งกัสติยา
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปทันทีเมื่อพระเจ้าเอนริเกสิ้นพระชนม์ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1217 หลังได้รับบาดแผลที่ศีรษะจากกระเบื้องที่ร่วงตกลงมาขณะกำลังเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ที่พระราชวังของบิชอปแห่งปาเลนเซีย ผู้พิทักษ์ของพระองค์ เคานต์อัลบาโร นุญเญซ เด ลารา พยายามปกปิดความจริง เขานำศพของกษัตริย์ไปที่ปราสาทตาริเอโก
ข่าวของพระมหากษัตริย์เตือนให้เห็นถึงอันตรายจากอดีตพระสวามีที่จะเกิดขึ้นต่อการครองราชย์ของพระองค์ เนื่องจากกษัตริย์แห่งเลออนคือผู้ร่วมบรรพบุรุษเดียวกันที่ใกล้ชิดที่สุดของพระอนุชา จึงน่ากลัวว่ากษัตริย์แห่งเลออนอาจอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์กัสติยาเสียเอง เบเรงเกลาจึงเก็บเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระอนุชาไว้และขึ้นครองบัลลังก์อย่างลับ ๆ โดยไม่ให้อัลฟอนโซรู้ ทรงเขียนจดหมายถึงอัลฟอนโซขอให้เฟร์นันโดมาเยี่ยมพระองค์ และสละราชสมบัติเพื่อหลีกทางให้พระโอรสในวันที่ 31 สิงหาคม ที่ทรงสละราชสมบัติอาจจะเพราะไม่สามารถเป็นผู้นำทางทหารให้กัสติยาที่ในตอนนั้นกษัตริย์ต้องเป็นผู้นำทางทหาร
ที่ปรึกษาของกษัตริย์
แม้จะครองราชย์ไม่นาน แต่เบเรงเกลาก็เป็นที่ปรึกษาคนใกล้ชิดที่สุดของพระโอรสต่อไป ทรงก้าวก่ายในการเมืองของรัฐ แม้จะเป็นการกระทำในทางอ้อม ในรัชสมัยของพระโอรส นักเขียนในยุคนั้นเขียนว่าพระองค์ยังคงมีอำนาจเหนือพระโอรส อาทิ ทรงจัดแจงให้พระโอรสอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลีซาเบ็ท (หรือ เบอาตริซ ในภาษากัสติยา) แห่งโฮเอินชเตาเฟิน บุตรสาวของดยุคฟิลลิพแห่งสเวเบีย และพระนัดดาของจักรพรรดิสองพระองค์ คือ จักรพรรดิฟรีดริช บาร์บาร็อสซา และจักรพรรดิไอแซกที่ 2 อันเจลอสแห่งไบเซนไทน์ พิธีแต่งงานเกิดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1219 ที่บูร์โกส อีกเหตุการณ์หนึ่งคือการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยของเบเรงเกลาที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1218 เมื่อตระกูลลาราเจ้าแผนการที่หัวหน้าตระกูลยังคงเป็นอัลบาโร นุญเญซ เด ลารา อดีตผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน วางแผนสมคบคิดจะให้พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 กษัตริย์แห่งเลออนและพระบิดาของพระเจ้าเฟร์นันโด บุกกัสติยาเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ของพระโอรส ทว่าการจับกุมตัวเคานต์ลาราทำได้ง่ายขึ้นเมื่อเบเรงเกลายื่นมือเข้ามาแทรกแซง พระองค์ทำให้อดีตพระสวามีกับพระโอรสลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกชั่วคราวโตโรได้ในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1218 ยุติการเผชิญหน้ากันระหว่างกัสติยากับเลออน
ในปี ค.ศ. 1222 เบเรงเกลายื่นมือเข้ามาก้าวก่ายเพื่อพระโอรสอีกครั้ง ทรงประสบความสำเร็จในการทำสัตยาบันในการประชุมที่ซาฟรา ซึ่งบรรลุข้อตกลงในการสงบศึกกับพวกลาราด้วยการให้มาฟัลดา บุตรสาวและทายาทของลอร์ดแห่งโมลินา กอนซาโล เปเรซ เด ลารา แต่งงานกับอัลฟอนโซ พระโอรสของพระองค์และพระอนุชาของพระเจ้าเฟร์นันโด ในปี ค.ศ. 1224 พระองค์ให้พระธิดา เบเรงเกลา แต่งงานกับจอห์นแห่งบรีแยน กลยุทธ์ที่ทำให้พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 เข้าใกล้บัลลังก์เลออนมากขึ้น เนื่องจากจอห์นเป็นตัวเลือกในใจที่พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 อยากให้แต่งงานกับพระธิดาคนโต ซันชา เบเรงเกลาจึงขัดขวางไม่ให้พระธิดาของอดีตพระสวามีแต่งงานกับชายที่สามารถอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์เลออนได้
การก้าวก่ายเพื่อพระโอรสครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1230 เมื่ออัลฟอนโซสิ้นพระชนม์โดยประกาศชื่อให้พระธิดา ซันชาและดุลเซ พระธิดาจากการแต่งงานครั้งแรกกับตึเรซาแห่งโปรตุเกสเป็นทายาท แทนที่จะยกสิทธิ์ให้กับพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 เบเรงเกลาไปพบกับมารดาของเจ้าหญิงทั้งสองและประสบความสำเร็จในการทำสนธิสัญญาลัสเตร์เซริอัส ที่สองพี่น้องจะสละบัลลังก์ให้พระอนุชาต่างมารดาแลกกับเงินและผลประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้บัลลังก์แห่งกัสติยาและเลออนที่เคยถูกแบ่งออกจากกันในปี ค.ศ. 1157 โดยพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 กลับมารวมกับเป็นหนึ่งอีกครั้งในมือของพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 เบเรงเกลาเข้าแทรกแซงอีกครั้งด้วยการจัดแจงให้เฟร์นันโดแต่งงานครั้งที่สองหลังการสิ้นพระชนม์ของเอลีซาเบ็ทแห่งโฮเอินชเตาเฟิน แม้พระองค์จะมีพระโอรสธิดามากมายอยู่แล้ว แต่เบเรงเกลาเป็นกังวลว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายจะทำให้คุณสมบัติในการเป็นกษัตริย์ลดลง ครั้งนี้พระองค์เลือกฌานแห่งดามาร์แต็ง ธิดาขุนนางชาวฝรั่งเศส ตัวเลือกที่พระมาตุจฉาของกษัตริย์และพระขนิษฐาของเบเรงเกลา บลังกา พระมเหสีม่ายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศสหามาให้ เบเรงเกลาทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอีกครั้ง ทรงปกครองในขณะที่พระโอรส เฟร์นันโด ลงใต้ไปทำการสู้รบเรกองกิสตาอันยาวนาน ทรงบริหารราชการกัสติยาและเลออนด้วยทักษะความสามารถที่พระองค์มี ทำให้พระโอรสไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอาณาจักร
การสิ้นพระชนม์
เบเรงเกลาได้พบพระโอรสเป็นครั้งสุดท้ายที่โปซูเอโลเดกาลาตราบาในปี ค.ศ. 1245 หลังจากนั้นก็กลับไปโตเลโด สิ้นพระชนม์ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1246 ร่างของพระองค์ถูกฝังที่ลัสอูเอลกัส ใกล้กับบูร์โกส
ทายาท
เบเรงเกลากับอัลฟอนโซมีพระโอรสธิดาด้วยกันห้าคน คือ
- เลโอนอร์ (ค.ศ. 1198/1199–1202)
- กอนส์ตันซา (ค.ศ. 1200–1242) แม่ชีที่วิหารลัสอูเอลกัส
- พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 (ค.ศ. 1201–1252) กษัตริย์แห่งกัสติยาและเลออน
- อัลฟอนโซ (ค.ศ. 1203–1272) ลอร์ดแห่งโมลินาและเมซา แต่งงานครั้งแรกกับมาฟัลดา เด ลารา ทายาทแห่งโมลินาและเมซา แต่งงานครั้งที่สองกับเตเรซา นุญเญซ และครั้งที่สามกับมายอร์ เตเยซ เด เมเนเซส เลดีแห่งมอนเตอาเลเกรและติเอดรา หนึ่งในบุตรธิดาของทั้งคู่คือมาริอาแห่งโมลินา พระมเหสีของพระเจ้าซันโชที่ 4 แห่งเลออนและกัสติยา
- เบเรงเกลา (ค.ศ. 1204–1237) แต่งงานกับจอห์นแห่งบรีแยน กษัตริย์แห่งเยรูซาเลม
อ้างอิง
- The full title was Regina Castelle et Toleti (Queen of Castille and Toledo).
- de la Cruz 2006, p. 9.
- ↑ Martínez Diez 2007, p. 46.
- Martínez Diez 2007, p. 46.
- ↑ Shadis 2010, p. 33.
- ↑ Shadis 2010, pp. 55–56.
- Flórez 1761, p. 340.
- ↑ Shadis 2010, p. 2.
- Osma 1997, p. 76.
- Shadis 2010, p. 54.
- ↑ Shadis 2010, pp. 58–59.
- ↑ Shadis 2010, pp. 61–66.
- Reilly 1993, p. 133.
- Howden 1964, p. 79, vol. 4.
- ↑ Shadis 2010, p. 70.
- Shadis 2010, pp. 78–80.
- Shadis 2010, pp. 80,83–84.
- Shadis 2010, p. 80.
- Shadis 2010, pp. 83–84.
- Shadis 2010, pp. 78–84.
- Túy 2003, p. 324, 4.84.
- Wright 2000.
- ↑ de la Cruz 2006, p. 112.
- ↑ Shadis 2010, pp. 86–91.
- ↑ Shadis 2010, pp. 93–95.
- ↑ Burke 1895, p. 236.
- Shadis 2010, pp. 11,15.
- ↑ Shadis 2010, pp. 15–19.
- ↑ Burke 1895, p. 237.
- Shadis 2010, p. 109.
- ↑ Shadis 2010, pp. 111–112.
- Shadis 1999, p. 348.
- ↑ Burke 1895, p. 238.
- ↑ Shadis 2010, p. 108.
- Shadis 2010, p. 165.
- Burke 1895, p. 239.
- Shadis 2010, p. 164.
บรรณานุกรม
- Burke, Ulick Ralph (1895). A History of Spain from the Earliest Times to the Death of Ferdinand the Catholic. Vol. 1. London: Longmans, Green, and Co.CS1 maint: ref=harv (link)
- de la Cruz, Valentín (2006). Berenguela la Grande, Enrique I el Chico (1179–1246). Gijón: Ediciones Trea. ISBN 978-84-9704-208-6.CS1 maint: ref=harv (link)
- Flórez, Enrique (1761). Memorias de las reynas catholicas, historia genealogica de la casa real de Castilla, y de Leon... Vol. 1. Madrid: Marin.CS1 maint: ref=harv (link)
- González, Julio (1960). El reino de Castilla en la época de Alfonso VIII. 3 vol. Madrid: CSIC.CS1 maint: ref=harv (link)
- Howden, Roger (1964). Stubbs, William (บ.ก.). Chronica Magistri Rogeri de Houedene. Wiesbaden: Kraus Reprint.CS1 maint: ref=harv (link)
- Martínez Diez, Gonzalo (2007). Alfonso VIII, rey de Castilla y Toledo (1158-1214). Gijón: Ediciones Trea. ISBN 978-84-9704-327-4.CS1 maint: ref=harv (link)
- Osma, Juan (1997). "Chronica latina regum Castellae". ใน Brea, Luis Charlo (บ.ก.). Chronica Hispana Saeculi XIII. Turnhout: Brepols.CS1 maint: ref=harv (link)
- Reilly, Bernard F. (1993). The Medieval Spains. Cambridge University Press.CS1 maint: ref=harv (link)
- Shadis, Miriam (1999), "Berenguela of Castile's Political Motherhood", ใน Parsons, John Carmi; Wheeler, Bonnie (บ.ก.), Medieval Mothering, New York: Taylor & Francis, ISBN 978-0-8153-3665-5CS1 maint: ref=harv (link)
- Shadis, Miriam (2010). Berenguela of Castile (1180–1246) and Political Women in the High Middle Ages. Palgrave Macmillan. ISBN 978-0-312-23473-7.CS1 maint: ref=harv (link)
- Túy, Lucas (2003). Rey, Emma Falque (บ.ก.). Chronicon mundi. Turnhout: Brepols.CS1 maint: ref=harv (link)
- Wright, Roger (2000). El tratado de Cabreros (1206): estudio sociofilológico de una reforma ortográfica. London: Queen Mary and Westfield College.CS1 maint: ref=harv (link)