fbpx
วิกิพีเดีย

โกนจุก

พิธีการไว้จุกและโกนจุก เป็นประเพณีโบราณที่ปรากฏในกัมพูชา ไทย ลาว และพม่า ที่เริ่มต้นจากการไว้จุกจนกระทั่งถึงพิธีโกนจุก มีทั้งพิธีหลวงซึ่งเรียกว่า พระราชพิธีโสกันต์ และพิธีราษฎร์ ซึ่งพิธีหลวงสิ้นสุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีโสกันต์พระองค์เจ้าอินทุรัตนาเมื่อ พ.ศ. 2474 นับเป็นองค์สุดท้ายของประเทศไทย ปัจจุบันมีประเพณีราษฎร์ในประเทศไทยที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพมหานคร อันเป็นพิธีหลังเสร็จพิธีตรียัมปวาย ยังมีพิธีโกนจุกเพื่อสิริมงคลเช่นที่วัดพิกุลทอง จังหวัดนนทบุรี พิธีกรรมโกนจุกเรียกเป็นภาษาเขมรว่า กอร์เซาะกำป็อด

เด็กจะไว้ผม โดยทรงที่นิยมคือ จุก แกละ เปีย และโก๊ะ จะมีพิธีโกนจุกเมื่ออายุประมาณ 13–15 ปี สำหรับเด็กชาย

โดยเมื่อเด็กอายุครบ 1 เดือนจะมี พิธีโกนผมไฟ ทำขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าทารกนั้นได้รอดพ้นจากอันตรายแล้วจึงรับเข้าเป็นสมาชิกในตระกูล ด้วยเหตุนี้จึงมี การทำขวัญเดือนและโกนผมไฟ โดยจะโกนผมเด็กทั้งศีรษะ และต่อไปเด็กก็จะไว้จุก และต้องคอยโกนส่วนอื่นของศีรษะให้เกลี้ยง ส่วนที่เป็นจุกอยู่กลางศีรษะก็จะเกล้าและปักปิ่นและถอนไรจุกโดยรอบ พิธีโกนจุกจะทำในวัยเด็กก่อนวัยรุ่น สืบเนื่องจากพระอิศวรโกนพระเกศาพระพิฆเนศวร พระโอรส เมื่อชันษา 11 ปี บนยอดเขาพนมไกรลาส ดังนั้นในพิธีหลวงจะมีปะรำพิธีที่ทำพิธีประพรมน้ำพระพุทธมนต์ สำหรับเจ้านายในพิธีโสกันต์จึงสร้างบนยอดเขาจำลอง สมมติว่าเป็นพนมไกรลาส

พิธี

พิธีโกนจุกของเด็กไทยในสมัยโบราณส่วนใหญ่นิยมไว้จุกกัน สำหรับเด็กผู้หญิงจะโกนจุกเมื่ออายุประมาณ 11 ปี เด็กผู้ชายเมื่ออายุประมาณ 13–15 ปี พิธีมงคลโกนจุกมักจัดกัน 2 วัน แล้วนิมนต์พระสงฆ์เพื่อมาสวดมนต์เย็นในวันสุกดิบและฉันเช้าในวันงาน อุปกรณ์ที่ใช้ได้แก่ โต๊ะหมู่บูชาพร้อมเครื่องสักการะ โต๊ะสำหรับวางพานมงคล พานใส่ใบบัว มีดโกนและกรรไกร พานล้างหน้าและพานรองเกี้ยว สายสิญจน์ ด้ายผูกข้อมือ แป้งเจิม แหวนนพเก้า ใบมะตูม ชุดถวายของพระ ไทยธรรม ภัตตาหาร เครื่องดื่มถวายพระและเลี้ยงแขกในงาน

เวลาเย็นในวันสุกดิบ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์โดยเจ้าภาพนำเด็กไปไว้ที่บ้านญาติ โกนผมรอบจุกของเด็กแล้วแห่มาจนถึงบ้านของตนเอง เข้ามานั่งสวดมนต์โดยสวมมงคลลงยังผมจุกของเด็กแล้วเอาสายสิญจน์ มาคล้องศีรษะเด็ก จากนั้นหมอทำขวัญทำพิธีสู่ขวัญเด็ก หลังเสร็จพิธีพิณพาทย์ประโคม ลั่นฆ้องและโห่ร้องเอาชัย จากนั้นให้เด็กเปลี่ยนชุดแต่งกายเป็นธรรมดา เป็นอันเสร็จพิธีวันแรก ในช่วงกลางคืนอาจมีมหรสพสมโภช และกินเลี้ยงฉลองกัน

เช้าวันที่สองมีการเลี้ยงพระ เด็กนุ่งขาวห่มขาว แบ่งผมจุกเด็กออกเป็น 3 ปอย นำสายสิญจน์ผูกปลายผมกับแหวนนพเก้าและใบมะตูมทั้งสามปอย ปอยละ 1 วง เอาใบเงินใบทองแซมไว้ที่ผม และเอาหญ้าแพรกขมวดเป็นแหวนหัวพิรอดสวมครอบจุกไว้ จากนั้นนำเด็กออกจากพิธี ชาวบ้านที่มาร่วมงานร่วมกันทำบุญตักบาตร นำอาหารถวายพระ เมื่อพระฉันเสร็จและได้เวลาฤกษ์ก็ลั่นฆ้องชัย เจ้าภาพของเด็กเชิญประธานมาตัดจุก พราหมณ์ส่งสังข์ให้รดน้ำศีรษะเด็กและส่งกรรไกรตัดผมออกจุกหนึ่ง แล้วเอา มีดเงิน ทอง นาก โกนเล่มละ 3 ที พอเป็นพิธี แล้วเชิญแขกตัดอีก 2 ปอย จากนั้นมอบให้ช่างโกนผมจนเสร็จ นำเด็กไปยังที่นั่งเบญจารดน้ำ แขกจะทะยอยมาให้พรเด็ก เสร็จแล้วทัดใบมะตูมที่หูขวา จากนั้นนำเด็กไปเปลี่ยนชุดให้ทันก่อนพระฉันเพลเสร็จ เด็กถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ เป็นอันจบพิธี ส่วนผมที่โกนจะนำไปใส่กระทงลอยน้ำอธิษฐานขอความก้าวหน้า

อ้างอิง

  1. "พิธีโสกันต์ เจ้าชายที่พนมเปญ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1901". ฐานข้อมูลหนังสือเก่า.
  2. "สถานภาพ บทบาทและการดำรงอยู่ ของประเพณี พิธีกรรมและความเชื่อของชาวไทยเขมร" (PDF).
  3. โชติกา นุ่นชู. "ย้อนรอยพระราชพิธีโสกันต์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้านายพระองค์ใดโสกันต์คนแรก-คนสุดท้าย?". ศิลปวัฒนธรรม.
  4. "ประเพณีการไว้จุกและการโกนจุกของเด็กไทย" (PDF). กรมศิลปากร.

โกนจ, การไว, กและ, เป, นประเพณ, โบราณท, ปรากฏในก, มพ, ชา, ไทย, ลาว, และพม, เร, มต, นจากการไว, กจนกระท, งถ, งพ, งพ, หลวงซ, งเร, ยกว, พระราชพ, โสก, นต, และพ, ราษฎร, งพ, หลวงส, นส, ดในสม, ยพระบาทสมเด, จพระปกเกล, าเจ, าอย, วในพระราชพ, โสก, นต, พระองค, เจ, าอ, นท, . phithikariwcukaelaokncuk epnpraephniobranthipraktinkmphucha ithy law aelaphma 1 thierimtncakkariwcukcnkrathngthungphithiokncuk mithngphithihlwngsungeriykwa phrarachphithiosknt aelaphithirasdr sungphithihlwngsinsudinsmyphrabathsmedcphrapkeklaecaxyuhwinphrarachphithioskntphraxngkhecaxinthurtnaemux ph s 2474 nbepnxngkhsudthaykhxngpraethsithy pccubnmipraephnirasdrinpraethsithythiethwsthanobsthphrahmn krungethphmhankhr xnepnphithihlngesrcphithitriympway yngmiphithiokncukephuxsirimngkhlechnthiwdphikulthxng cnghwdnnthburi phithikrrmokncukeriykepnphasaekhmrwa kxresaakapxd 2 edkcaiwphm odythrngthiniymkhux cuk aekla epiy aelaoka camiphithiokncukemuxxayupraman 13 15 pi sahrbedkchay odyemuxedkxayukhrb 1 eduxncami phithioknphmif thakhunephuxihekidkhwammnicwatharknnidrxdphncakxntrayaelwcungrbekhaepnsmachikintrakul dwyehtunicungmi karthakhwyeduxnaelaoknphmif odycaoknphmedkthngsirsa aelatxipedkkcaiwcuk aelatxngkhxyoknswnxunkhxngsirsaihekliyng swnthiepncukxyuklangsirsakcaeklaaelapkpinaelathxnircukodyrxb phithiokncukcathainwyedkkxnwyrun subenuxngcakphraxiswroknphraeksaphraphikhenswr phraoxrs emuxchnsa 11 pi bnyxdekhaphnmikrlas dngnninphithihlwngcamiparaphithithithaphithipraphrmnaphraphuththmnt sahrbecanayinphithioskntcungsrangbnyxdekhacalxng smmtiwaepnphnmikrlas 3 phithi aekikhphithiokncukkhxngedkithyinsmyobranswnihyniymiwcukkn sahrbedkphuhyingcaokncukemuxxayupraman 11 pi edkphuchayemuxxayupraman 13 15 pi phithimngkhlokncukmkcdkn 2 wn aelwnimntphrasngkhephuxmaswdmnteyninwnsukdibaelachnechainwnngan xupkrnthiichidaek otahmubuchaphrxmekhruxngskkara otasahrbwangphanmngkhl phanisibbw midoknaelakrrikr phanlanghnaaelaphanrxngekiyw saysiycn dayphukkhxmux aepngecim aehwnnpheka ibmatum chudthwaykhxngphra ithythrrm phttahar ekhruxngdumthwayphraaelaeliyngaekhkinnganewlaeyninwnsukdib phrasngkhecriyphraphuththmntodyecaphaphnaedkipiwthibanyati oknphmrxbcukkhxngedkaelwaehmacnthungbankhxngtnexng ekhamanngswdmntodyswmmngkhllngyngphmcukkhxngedkaelwexasaysiycn makhlxngsirsaedk caknnhmxthakhwythaphithisukhwyedk hlngesrcphithiphinphathypraokhm lnkhxngaelaohrxngexachy caknnihedkepliynchudaetngkayepnthrrmda epnxnesrcphithiwnaerk inchwngklangkhunxacmimhrsphsmophch aelakineliyngchlxngknechawnthisxngmikareliyngphra edknungkhawhmkhaw aebngphmcukedkxxkepn 3 pxy nasaysiycnphukplayphmkbaehwnnphekaaelaibmatumthngsampxy pxyla 1 wng exaibenginibthxngaesmiwthiphm aelaexahyaaephrkkhmwdepnaehwnhwphirxdswmkhrxbcukiw caknnnaedkxxkcakphithi chawbanthimarwmnganrwmknthabuytkbatr naxaharthwayphra emuxphrachnesrcaelaidewlavksklnkhxngchy ecaphaphkhxngedkechiyprathanmatdcuk phrahmnsngsngkhihrdnasirsaedkaelasngkrrikrtdphmxxkcukhnung aelwexa midengin thxng nak oknelmla 3 thi phxepnphithi aelwechiyaekhktdxik 2 pxy caknnmxbihchangoknphmcnesrc naedkipyngthinngebycardna aekhkcathayxymaihphredk esrcaelwthdibmatumthihukhwa caknnnaedkipepliynchudihthnkxnphrachnephlesrc edkthwayekhruxngithythrrmaedphrasngkh epnxncbphithi swnphmthiokncanaipiskrathnglxynaxthisthankhxkhwamkawhna 4 xangxing aekikh phithiosknt ecachaythiphnmepy emuxwnthi 16 phvsphakhm 1901 thankhxmulhnngsuxeka sthanphaph bthbathaelakardarngxyu khxngpraephni phithikrrmaelakhwamechuxkhxngchawithyekhmr PDF ochtika nunchu yxnrxyphrarachphithioskntaehngkrungrtnoksinthr ecanayphraxngkhidoskntkhnaerk khnsudthay silpwthnthrrm praephnikariwcukaelakarokncukkhxngedkithy PDF krmsilpakr ekhathungcak https th wikipedia org w index php title okncuk amp oldid 9795153, wikipedia, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด,

บทความ

, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม