มะดาอินศอเลียะห์
มะดาอินศอเลียะห์ (อาหรับ: مَدَائِن صَالِح, อักษรโรมัน: madāʼin Ṣāliḥ, lit. 'เมืองของศอเลียะห์') หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อัลฮิจญร์ (อาหรับ: ٱلْحِجْر) เป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่ในบริเวณอัลอูลาของแคว้นมะดีนะฮ์ ฮิญาซ ซาอุดีอาระเบีย ซากส่วนใหญ่มาจากสมัยราชอาณาจักรแนบาเทีย (คริสต์ศตวรรษที่ 1) และมีบางส่วนมาจากยุคของลิฮยานและจักรวรรดิโรมัน อีกด้วย
มะดาอินศอเลียะห์ | |
ชื่ออื่น | อัลฮิจญร์ ٱلْحِجْر มะดาอินศอเลียะห์ |
---|---|
ที่ตั้ง | อัลมะดินะฮ์, ฮิญาซ, ซาอุดิอาระเบีย |
พิกัด | 26°47′30″N 37°57′10″E / 26.79167°N 37.95278°Eพิกัดภูมิศาสตร์: 26°47′30″N 37°57′10″E / 26.79167°N 37.95278°E |
ประเภท | นิคม |
ชื่อที่ขึ้นทะเบียน | Al-Hijr Archaeological Site (Madâ’in Sâlih) |
ประเภท | วัฒนธรรม |
เกณฑ์ | ii, iii |
ขึ้นเมื่อ | 2008 (32nd session) |
เลขอ้างอิง | 1293 |
ภูมิภาค | รัฐอาหรับ |
ในอัลกุรอาน ได้กล่าวว่าบริเวณนี้เคยเป็นของเผ่าษะมูดในสมัยของนบีศอเลียะห์ โดยเผ่านี้ถูกอัลลอฮ์ (พระเจ้า) ลงโทษโดยให้เกิดแผ่นดินไหวและฟ้าผ่าในบริเวณนี้ เพราะเผ่านี้หลงไปสักการะรูปปั้น (ซึ่งผิดหลักศาสนาอิสลาม) จึงทำให้บริเวณนี้เป็นพื้นที่ต้องคำสาป
ใน ค.ศ. 2008 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนมะดาอินศอเลียะห์เป็นแหล่งมรดกโลกแห่งแรกของซาอุดีอาระเบีย
ชื่อ
ชื่อของสถานที่นี้มีอยู่หลายชื่อ โดยที่สตราโบและนักเขียนแถบเมดิเตอเรเนียนได้ใช้ชื่อว่าเฮกรา ส่วนชื่อปัจจุบันตั้งตามชื่อของนบี (ศาสดา) ศอเลียะห์ และชื่อ อัลฮิจญร์ ("แดนหิน" หรือ "บริเวณที่มีหิน") ถูกใช้สำหรับภูมิประเทศของที่นี่
ประวัติ
ในอัลกุรอาน
ในช่วงประมาณสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของชาวษะมูด โดยเป็นเผ่าที่สลักหินเป็นที่อยู่อาศัย และเผ่านี้เป็นเผ่าที่ชอบสักการะรูปปั้น และชอบกดขี่ นบีศอเลียะห์ (ซึ่งกลายเป็นชื่อของสถานที่นี้ในปัจจุบัน) ได้เรียกให้เผ่าษะมูดขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ แต่พวกเขาปฏิเสธ แล้วท้าให้ศอเลียะห์นำอูฐเพศเมียที่ตั้งท้องออกมาจากภูเขาลูกหนึ่ง และแล้ว อูฐตัวนั้นก็ออกมาตามพระบัญชาของอัลลอฮ์ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ของศอเลียะห์ แต่อย่างไรก็ตาม มีคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่เชื่อ ส่วนคนที่ไม่เชื่อได้ลงมือฆ่าอูฐศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งผิดสัญญาตามที่พวกเขาบอกว่าจะรักษาอูฐอย่างดี) และลูกของมันก็วิ่งกลับไปที่ช่องเขาเดิมที่มันมา ชาวษะมูดถูกเตือนให้เตรียมการลงโทษในเวลา 3 วัน และเนื่องจากว่าพวกเขาไม่เชื่อเรื่องการลงโทษ ศอเลียะห์กับผู้ศรัทธาก็ออกจากเมืองนี้ไป ส่วนพวกที่ไม่ออกก็ถูกลงโทษโดยอัลลอฮ์—วิญญาณของพวกเขาออกจากร่างในช่วงที่มีแผ่นดินไหวและฟ้าร้องกัมปนาท
สมัยโรมัน
ในปี ค.ศ.106 อาณาจักรนาบาเทียนถูกครอบครองโดยจักรวรรดิโรมัน และทำให้แคว้นฮิญาซกลายเป็นจังหวัดอาระเบีย
ประวัติของบริเวณนี้ตั้งแต่จักรวรรดิโรมันล่มสลายจนถึงการมาของศาสนาอิสลาม ยังไม่ทราบแน่ชัด โดยมีบันทึกจากนักเดินทางและผู้แสวงบุญที่เดินทางไปมักกะฮ์เท่านั้น อัลฮิจญร์กลายเป็นสถานีที่ให้สิ่งของและน้ำแก่ผู้ทำฮัจญ์ และมีรายงานจากอิบน์ บะฏูเฏาะฮ์ในศตวรรษที่ 14 ว่า บริเวณนี้มีแต่บ้านที่ถูกสลักเป็นที่อยู่อาศัย และไม่มีกิจกรรมของมนุษย์อยู่ตรงนี้
ดูเพิ่ม
- อิรอมแห่งเสาเข็ม
- ลิฮยาน
- ราชอาณาจักรแนบาเทีย
- เมืองโบราณในซาอุดีอาระเบีย
อ้างอิง
- Marjory Woodfield (21 April 2017). "Saudi Arabia's silent desert city". BBC News.
- ↑ อัลกุรอาน 7 :73–79
- ↑ อัลกุรอาน 11 :61–69
- ↑ อัลกุรอาน 15 :80–84
- ↑ อัลกุรอาน 26 :141–158
- ↑ อัลกุรอาน 54 :23–31
- ↑ อัลกุรอาน 89 :6–13
- ↑ อัลกุรอาน 91 :11–15
- Centre, UNESCO World Heritage. "Al-Hijr Archaeological Site (Madâin Sâlih)". whc.unesco.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-11-23.
- Harrison, Timothy P.. "Ḥijr." Encyclopaedia of the Qurʾān. General Editor: Jane Dammen McAuliffe, Georgetown University, Washington DC. Brill Online, 2016.
- ↑ "ICOMOS Evaluation of Al-Hijr Archaeological Site (Madâin Sâlih) World Heritage Nomination" (PDF). World Heritage Center. สืบค้นเมื่อ 2009-09-16.
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อcreation
- ↑ "HISTORY: Explanation of the Verses". Historical Madain Saleh. สืบค้นเมื่อ 2014-04-07.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อmadain
- "Madain Saleh – Cities inhabited by the People of Thamud". สืบค้นเมื่อ 2009-09-17.
- The New Encyclopædia Britannica: Micropædia Volume 8. USA: Encyclopædia Britannica, Inc. 1995. p. 473. ISBN 0-85229-605-3.
- ↑ "HISTORY: Fall of Al-Hijr". Historical Madain Saleh. สืบค้นเมื่อ 2014-04-07.
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "digging" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "britannica-5-809" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "britannica-13-818" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "britannica-13-820" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "britannica-13-840" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "unesco" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "info" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "romans2" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "baker" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
<ref>
ชื่อ "arabnews" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้าสารานุกรม
- Abdul Rahman Ansary; Ḥusayn Abu Al-Ḥassān (2001). The civilization of two cities: Al-ʻUlā & Madāʼin Sāliḥ. Riyadh: Dar Al-Qawafil. ISBN 9960-9301-0-6. ISBN 978-9960-9301-0-7
- Mohammed Babelli (2003). Mada’in Saleh. Riyadh: Desert Publisher. ISBN 978-603-00-2777-4. (I./2003, II./2005, III./2006, IV./2009.)
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: มะดาอินศอเลียะห์ |
- World Heritage listing submission
- Photo gallery at nabataea.net
- Personal website on Hegra (Madain Saleh) (picture, text, map, video and sound) at hegra.fr
- from Mauritian photographer
- Historical Wonder by Mohammad Nowfal
- Saudi Arabia's Hidden City from France24
วิดีโอ
- The Road to Madain Salah
- Round in Madain Salah : Part1 – Part2 – Part3 – Part4