เฟซบุ๊ก
เฟซบุ๊ก (อังกฤษ: Facebook) เป็นบริการเครือข่ายสังคมสัญชาติอเมริกัน สำนักงานใหญ่อยู่ที่ เมนโลพาร์ก รัฐแคลิฟอร์เนีย เฟซบุ๊กก่อตั้งเมื่อวันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก และเพื่อนร่วมห้องภายในมหาวิทยาลัย และเหล่าเพื่อนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พร้อมโดยสมาชิกเพื่อนผู้ก่อตั้ง Eduardo Saverin, Andrew McCollum, Dustin Moskovitz และ Chris Hughes ในท้ายที่สุดเว็บไซต์มีการเข้าชมอย่างจำกัด ทำให้เหล่านักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ภายหลังได้ขยายเพิ่มจำนวนในมหาวิทยาลัย ในพื้นที่บอสตัน ไอวีลีก และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และค่อยๆรับรองมหาวิทยาลัยอื่นต่างๆ และต่อมาก็รับรองโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยเฟซบุ๊กให้การอนุญาตให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 13 ปีทั่วโลกสามารถสมัครสมาชิกได้ภายในเว็บไซต์ โดยไม่ต้องอ้างอิงหลักฐานใด ๆ
ประเภท | บริการเครือข่ายสังคม |
---|---|
ภาษาที่ใช้ได้ | 70 ภาษา |
เจ้าของ | Facebook, Inc. |
สร้างโดย | มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เอดูอาโด ซาเวอริน แอนดรูว์ แม็คคอลลัม ดัสติน มอสโควิส คริส ฮิวจ์ |
รายได้ | $5.1 พันล้าน (ค.ศ. 2012) |
ยูอาร์แอล | www |
เชิงพาณิชย์ | ใช่ |
ลงทะเบียน | จำเป็น |
ผู้ใช้ | 2.45 พันล้านผู้ใช้ที่มีความเคลื่อนไหวต่อเดือน (ข้อมูลเมื่อ กันยายน 2019[update] |
จากการศึกษาของเว็บ คอมพีต.คอม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กถือเป็นบริการเครือข่ายสังคมที่มีคนใช้มากที่สุด เมื่อดูจากผู้ใช้ประจำรายเดือน รองลงมาคือ มายสเปซ เอ็นเตอร์เทนเมนต์วีกลี ให้อยู่ในรายชื่อ สิ่งที่ดีที่สุดในสิ้นทศวรรษ และควอนต์แคสต์ ประเมินว่า เฟซบุ๊ก มีผู้ใช้ต่อเดือนราว 135.1 ล้านคน นับเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554 จากเฟซบุ๊กมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 584,628,480 สมาชิกทั่วโลก โดยเป็นสมาชิกจากประเทศไทย รวม 6,914,800 สมาชิก
ประวัติ
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้เริ่มเขียนเว็บไซต์ เฟซแมช ขึ้นมาก่อนที่จะเป็นเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2003 ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด โดยเป็นเว็บไซต์ที่เปรียบเสมือนเว็บ ฮอตออร์น็อต ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และจากข้อมูลของหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ชื่อ The Harvard Crimson เฟซแมชใช้ภาพที่ได้จาก เฟซบุ๊ก หนังสือแจกสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีรูปนักศึกษา จากบ้าน 9 หลัง โดยจะมีรูป 2 รูปให้คนเลือกว่า ใครร้อนแรงกว่ากัน
เพื่อทำให้ได้สำเร็จ ซักเคอร์เบิร์กได้แฮกเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของฮาวาร์ดในพื้นที่ป้องกัน และได้คัดลอกภาพส่วนตัวประจำหอพัก ซึ่งในขณะนั้นฮาวาร์ดยังไม่มีสารบัญรูปภาพและข้อมูลพื้นฐานของนักศึกษา และเฟซแมชได้ทำให้มีผู้เข้าเยี่ยมชม 450 คน และดูรูปภาพ 22,000 ครั้งใน 4 ชั่วโมงแรกที่ออนไลน์ และเว็บไซต์นี้ได้จำลองสังคมกายภาพของคน ด้วยอัตลักษณ์จริง เป็นตัวแทนของกุญแจสำคัญด้านมุมมอง ที่ต่อมาได้กลายมาเป็น เฟซบุ๊ก
เว็บไซต์ได้ก้าวไกลไปในหลายเซิร์ฟเวอร์ของกลุ่มในมหาวิทยาลัย แต่ก็ปิดตัวไปในอีกไม่กี่วันโดยคณะบริหารฮาวาร์ด ซักเคอร์เบิร์กถูกกล่าวโทษว่าทำผิดต่อระบบรักษาความปลอดภัย การละเมิดลิขสิทธิ์ และการละเมิดความเป็นส่วนตัว และยังถูกไล่ออก แต่ท้ายที่สุดแล้วข้อกล่าวหาก็ยกเลิกไป ต่อมาซักเคอร์เบิร์กได้ขยับขยายโครงการในเทอมนั้นเอง โดยได้คิดค้นเครื่องมือการศึกษาทางสังคมที่ก้าวหน้า ของการสอบวิชาประวัติศาสตร์ โดยการอัปโหลดรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โรม 500 รูป โดยมี 1 รูปกับอีก 1 ส่วนที่ให้แสดงความเห็น เขาเปิดกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา และคนเริ่มที่จะแบ่งปันข้อความกัน
ในเทอมต่อมาซักเคอร์เบิร์กเริ่มเขียนโค้ดในเว็บไซต์ใหม่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2004 เขาได้รับแรงกระตุ้นให้ทำ เขาพูดไว้ใน The Harvard Crimson เกี่ยวกับเรื่อง เฟซแมช และเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 ซักเกอร์เบิร์กได้เปิดตัวเว็บไซต์ "เดอะเฟซบุก" ในยูอาร์แอล thefacebook.com
6 วันหลังจากเปิดเว็บไซต์ รุ่นพี่ 3 คน คือ แคเมรอน วิงก์เลวอส, ไทเลอร์ วิงก์เลวอส และดิฟยา นาเรนดรา ได้ฟ้องร้องซักเกอร์เบิร์กที่หลอกลวงพวกเขาให้เชื่อว่า เขาได้ช่วยที่จะช่วยสร้างเครือข่ายสังคมที่ชื่อว่า HarvardConnection.com ขณะที่เขาใช้แนวคิดพวกเขาในการสร้างเว็บไซต์เพื่อแข่งขัน ทั้ง 3 คนได้บ่นในหนังสือพิมพ์ Harvard Crimson โดยทางหนังสือพิมพ์เริ่มทำการสอบสวน ต่อมาทั้ง 3 คนได้ยื่นฟ้องทางกฎหมายต่อซักเกอร์เบิร์กในภายหลัง
แต่เดิม สมาชิกจะจำกัดเฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และภายในเดือนแรก มากกว่าครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ได้ลงทะเบียนใช้บริการ เอ็ดวาร์โด ซาเวริน (ดูแลเรื่องธุรกิจ), ดิสติน มอสโควิตซ์ (โปรแกรเมอร์), แอนดรูว์ แม็กคอลลัม (กราฟิก) และคริส ฮิวส์ ที่ต่อมาได้ร่วมกับซักเกอร์เบิร์กเพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ขยับขยายสู่มหาวิทยาลัยอื่นอย่าง สแตนฟอร์ด, โคลัมเบีย, และเยล และยังคงขยับขยายต่อสู่กลุ่มไอวีลีกทั้งหมด และมหาวิทยาลัยบอสตัน, มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, เอ็มไอที และสู่มหาวิทยาลัยอื่นในแคนาดาและสหรัฐอเมริกาไปทีละน้อย
เฟซบุ๊กได้เป็นบริษัทในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2004 และได้นักธุรกิจ ฌอน พาร์กเกอร์ ที่ได้เคยแนะนำซักเกอร์เบิร์กอย่างเป็นกันเอง ก็ได้ก้าวมาเป็นประธานของบริษัท. ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ย้ายฐานปฏิบัติงานมาอยู่ที่ แพโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย และได้รับเงินทุนในเดือนนั้นจากผู้ร่วมก่อตั้ง เพย์พาล ที่ชื่อ ปีเตอร์ ธีล บริษัทได้เปลี่ยนชื่อ โดยลดคำว่า เดอะ ออกไป และซื้อโดเมนเนมใหม่ในชื่อ เฟซบุ๊ก.คอม ในปี ค.ศ. 2005 ด้วยเงิน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ
เฟซบุ๊กได้เปิดตัวในรูปแบบของโรงเรียนไฮสคูล ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 ที่ซักเกอร์เบิร์กเรียกว่า ก้าวต่อไปที่มีเหตุผล ณ เวลานั้นในเครือข่ายไฮสคูล ต้องการการรับเชิญเท่านั้นเพื่อร่วมเว็บไซต์ ต่อมาเฟซบุ๊กได้ขยับขยายให้กับลูกจ้างบริษัทที่คัดสรรอย่าง แอปเปิล และ ไมโครซอฟท์ เฟซบุ๊กได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2006 ให้ทุกคนได้ใช้กัน โดยต้องมีอายุมากกว่า 13 ปี และมีอีเมลที่แท้จริง
ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2007 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าได้ซื้อหุ้นของเฟซบุ๊กเป็นจำนวน 1.6% ด้วยเงิน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เฟซบุกมีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้ไมโครซอฟท์มีสิทธิ์ที่จะแขวนป้ายโฆษณาบนเฟซบุ๊กได้ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 เฟซบุกประกาศว่าจะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับนานาชาติในดับลิน ประเทศไอร์แลนด์
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กได้กล่าวว่า สถานะการเงินเริ่มเป็นตัวเลขบวกเป็นครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 จากข้อมูลของ เซคันด์มาร์เก็ต ระบุว่าเฟซบุกมีมูลค่า 41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (แซงหน้าอีเบย์ไปเล็กน้อย) และถือเป็นบริษัทเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 3 รองจากกูเกิลและแอมะซอน สถิติผู้เข้าชมในเฟซบุ๊กหลังปี ค.ศ. 2009 ผู้ชมเฟซบุ๊กมากกว่ากูเกิลในปลายสัปดาห์ของสัปดาห์ 13 มีนาคม ค.ศ. 2010
ข้อพิพาทและการวิจารณ์
เฟซบุ๊กประสบกับข้อพิพาทหลายเรื่อง เฟซบุ๊กถูกปิดกั้นการเข้าถึงเป็นช่วง ๆ ในหลายประเทศ อย่างเช่นใน ประเทศจีน, เวียดนาม อิหร่าน อุซเบกิสถาน ปากีสถาน ซีเรีย ลาว กัมพูชา พม่า บรูไน และบังคลาเทศ ในเหตุผลที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เนื้อหาการต่อต้านอิสลามและการแบ่งแยกทางศาสนาในเฟซบุ๊ก และยังถูกห้ามใช้จากหลายประเทศ และยังถูกห้ามใช้ในสถานที่ทำงานหลายที่เพื่อป้องกันพนักงานเสียเวลาในการทำงาน และนโยบายความเป็นส่วนตัวก็เป็นประเด็น และความปลอดภัยของบัญชีผู้ใช้ก็มีการไกล่เกลี่ยกันหลายต่อหลายครั้ง เฟซบุ๊กได้ลงมือแก้ปัญหาคดีความที่เกี่ยวกับซอร์ซโคดและทรัพย์สินทางปัญญา
เคมบริดจ์แอนะลิติกา
ในเดือนมีนาคม 2561 ผู้เป่านกหวีดเปิดเผยว่า มีการขายสารสนเทศส่วนบุคคลของผู้ใช้เฟซบุ๊กกว่า 50 ล้านคนให้เคมบริดจ์แอนะลิติกา บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการเมืองซึ่งทำงานให้การรณรงค์ทางการเมืองของดอนัลด์ ทรัมป์ แอพที่การวิจัยวิทยาศาสตร์ทั่วโลก (Global Science Research) สร้างรวบรวมข้อมูลดังกล่าว แม้ว่ามีผู้อาสาใช้แอพนี้ประมาณ 270,000 คน แต่เอพีไอของเฟซบุ๊กยังอนุญาตให้เก็บรวบรวมข้อมูลจากเพื่อนของผู้ใช้แอพดังกล่าว เมื่อมีการรายงานสารสนเทศดังกล่าวต่อเฟซบุ๊กครั้งแรก เฟซบุ๊กพยายามลดความสำคัญของการละเมิดดังกล่าวและพยายามเสนอว่าเคมบริดจ์แอนะลิติกาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกขโมยไปแล้ว ทว่า เมื่อมีการตรวจสอบละเอียดเพิ่มขึ้นแล้ว เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์แสดงความตื่นตระหนกและระงับเคมบริดจ์แอนะลิติกา ขณะที่การทบทวนเอกสารและการสัมภาษณ์กับอดีตลูกจ้างของเฟซบุ๊กเสนอว่าเคมบริดจ์แอนะลิติกายังครอบครองข้อมูลนั้น เป็นการละเมิดกฤษฎีกาความยินยอมที่มีผลตามกฎหมายโดยเฟซบุ๊กกับคณะกรรมการการค้ากลาง (Federal Trade Commission) และการละเมิดกฤษฎีกาความยินยอมอาจมีโทษปรับถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อการละเมิดหนึ่งครั้ง หมายความว่า หากพิสูจน์ได้ว่ามีการแบ่งปันข้อมูลของผู้ใช้ 50 ล้านคนจริง บริษัทอาจเสียค่าปรับหลักล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตามข้อมูลของผู้สื่อข่าว เดอะการ์เดียน คาโรล คัดวอลลัดเดอร์ (Carole Cadwalladr) ซึ่งเปิดเผยเรื่องนี้ ทั้งเฟซบุ๊กและเคมบริดจ์แอนะลิติกาขู่ฟ้องหนังสือพิมพ์หากพิมพ์เรื่องนี้และพยายามยับยั้งการพิมพ์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีการพิมพ์เรื่องนี้ เฟซบุ๊กอ้างว่าถูก "โกหก" คัดวอลลัดเดอร์กล่าวว่าเฟซบุ๊กพยายามผลักการกล่าวโทษสู่บุคคลภายนอก นิก ทอมสันแห่งไวอัด และ ซีบีเอสนิวส์ ชี้ว่าเคมบริดจ์แอนะลิติกาได้ข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้อง "ละเมิด" เฟซบุ๊ก และ "มันไม่ได้ผลเพราะบางคนแฮ็กเข้าไปพังสิ่งต่าง ๆ แต่มันได้ผลเพราะเฟซบุ๊กได้สร้างแบบจำลองโฆษณาที่รุกล้ำมากที่สุดบ้าที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และบางคนใช้ประโยชน์จากมัน" วันที่ 23 มีนาคม 2561 ศาลสูงบริติชอนุมัติหมายค้นตามคำขอของสำนักงานกรรมาธิการสารสนเทศเพื่อค้นสำนักงานกรุงลอนดอนของเคมบริดจ์แอนะลิติกา
วันที่ 25 มีนาคม ซักเกอร์เบิร์กลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์สหราชอาณาจักรและสหรัฐขออภัยเรื่อง "การละเมิดความเชื่อมั่น" ซึ่งมีทั้งซันเดย์เทเลกราฟ, ซันเดย์ไทมส์, เมลออนซันเดย์, ดิออฟเซิร์ฟเวอร์, ซันเดย์มิเรอร์และซันเดย์เอ็กซ์เพรส
บริษัท
รายได้ส่วนมากของเฟซบุ๊กมาจากการโฆษณา โดยไมโครซอฟท์เป็นผู้ร่วมหุ้นพิเศษในด้านการบริการแบนเนอร์โฆษณา และเฟซบุ๊กให้มีการโฆษณาเฉพาะที่อยู่ในรายการลูกค้าของไมโครซอฟท์ และจากข้อมูลของคอมสกอร์ บริษัทสำรวจการตลาดทางอินเทอร์เน็ต ระบุว่า เฟซบุ๊กได้รวบรวมข้อมูลเข้าเว็บไซต์มากกว่า กูเกิลและไมโครซอฟท์ แต่น้อยกว่า ยาฮู! ในปี ค.ศ. 2010 ทีมระบบความปลอดภัยได้เพิ่มประโยชน์จากการต่อต้านภัยคุกคามและก่อการร้ายจากผู้ใช้ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เฟซบุ๊กได้เปิดตัว เฟซบุ๊กบีคอน เป็นการพยายามในการโฆษณาให้เหล่าเพื่อน โดยใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เพื่อนซื้อ แต่เฟซบุ๊กบีคอนก็เกิดความล้มเหลว
โดยปกติแล้ว เฟซบุ๊กจะมีอัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณา (clickthrough rate) ต่ำกว่าเว็บไซต์ใหญ่ ๆ อื่น ที่ในแบนเนอร์โฆษณา เฟซบุ๊กจะมีอัตราการคลิก 1 ต่อ 5 เทียบกับเว็บไซต์อื่น นั่นหมายถึงว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะกดคลิกโฆษณา ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้กูเกิลคลิกโฆษณาแรกในการค้นหาเฉลี่ย 8% (80,000 คลิกในทุก 1 ล้านการค้นหา) แต่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะคลิกโฆษณาในอัตรา 0.04% (400 คลิกในทุก 1 ล้านหน้า)
แซราห์ สมิท ผู้จัดการบริการงานขายออนไลน์ของเฟซบุ๊ก ยืนยันว่า การรณรงค์โฆษณาประสบความสำเร็จ สามารถมีอัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณา (CTR) ต่ำอยู่ราว 0.05% ถึง 0.04% แต่อัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณาสำหรับโฆษณามีแนวโน้มจะตกลงภายใน 2 อาทิตย์ เมื่อเปรียบเทียบ CTR กับมายสเปซแล้ว มียอดประมาณ 0.1% ซึ่งเป็น 2.5 เท่าของเฟซบุ๊ก และต่ำกว่านี้เมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่น คำอธิบายเรื่อง CTR สำหรับโฆษณาที่ต่ำในเฟซบุ๊กเนื่องจาก ข้อเท็จจริงที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นผู้รอบรู้ทางเทคโนโลยีและใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันและซ้อนโฆษณา ผู้ใช้มักเป็นคนหนุ่มสาวกว่าและชอบที่จะหลีกเลี่ยงข้อความโฆษณา ที่ในมายสเปซแล้วผู้ใช้จะเข้าถึงเนื้อหามากกว่า ในขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะใช้เวลาในการสื่อสารกับเพื่อน เป็นเหตุให้พวกเขาไปสนใจโฆษณา
ในหน้าของตราสินค้าและผลิตภัณฑ์ ในบางบริษัทมีรายงานว่า มี CTR สูงถึง 6.49% ในหน้าวอล อินโวลเวอร์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการตลาดสังคม ประกาศว่า ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2009 ว่าสามารถบรรลุเป้า CTR ที่ 0.7% ในเฟซบุ๊ก (เป็น 10 เท่าของ CTR การโฆษณาในเฟซบุ๊ก) กับลูกค้าคือ เซเรนาซอฟต์แวร์ ถือเป็นลูกค้ารายแรกของอินโวเวอร์ ที่สามารถมีผู้ชม 1.1 ล้านครั้งจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ 8,000 คน จากการศึกษาพบว่า วิดีโอโฆษณาในเฟซบุ๊กนั้น ผู้ใช้ 40% ดูวิดีโอทั้งหมดของวิดีโอ ขณะที่ค่าเฉลี่ยมาตรฐานอยู่ที่ 25% ของโฆษณาแบบแบนเนอร์ในวิดีโอ
เฟซบุ๊กมีลูกจ้างมากกว่า 1,700 คน และมีสำนักงานใน 12 ประเทศ โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กถือหุ้นของบริษัท 24% แอ็กเซล พาร์ตเนอร์ถือหุ้น 10% ดิจิตอลสกายเทคโนโลยีส์ถือหุ้น 10% ดัสติน มอสโควิตซ์ถือหุ้น 6% เอ็ดวาร์โด ซาเวรินถือหุ้น 5% ฌอน พาร์กเกอร์ถือหุ้น 4% ปีเตอร์ ธีลถือหุ้น 3% เกรย์ล็อกพาร์ตเนอร์สและเมริเทคแคพิทอลพาร์ตเนอร์ส ถือหุ้นระหว่าง 1 ถึง 2% แต่ละบริษัท ไมโครซอฟท์ถือหุ้น 1.3% ลิ คา-ชิงถือหุ้น 0.75% อินเตอร์พับลิกกรุปถือหุ้นน้อยกว่า 0.5% นอกจากนั้นยังมีลูกจ้างปัจจุบันและอดีตลูกจ้างรวมถึงผู้มีชื่อเสียงอื่นถือหุ้นอีกน้อยกว่า 1% เช่น แมต โคห์เลอร์, เจฟฟ์ รอทส์ไชลด์, วุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย บาร์บารา บอกเซอร์, คริส ฮิวส์ และโอเวน แวน แนตตา ขณะที่รีด ฮอฟแมนและมาร์ก พินคัสเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท และที่เหลืออีก 30% ถือหุ้นโดยลูกจ้าง ผู้มีชื่อเสียงไม่เปิดเผยชื่ออีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักลงทุนอื่น แอดัม ดี'แองเจโล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและเพื่อนของซักเคอร์เบิร์กได้ลาออกไปในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 มีรายงานอ้างว่าเขาและซักเคอร์เบิร์กเริ่มไม่ลงรอยกัน และเป็นเหตุให้เขาไม่มีความสนใจในการเป็นหุ้นส่วนของบริษัท
การตอบรับ
ข้อมูลเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ประเทศที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากที่สุด คือ
- สหรัฐอเมริกา 168.7 ล้านคน
- ประเทศเม็กซิโก 40.2 ล้านคน
- ประเทศบราซิล 64.6 ล้านคน
- ประเทศอินเดีย 62.6 ล้านคน
- ประเทศอินโดนีเซีย 51.4 ล้านคน
หกประเทศข้างต้นมีสมาชิกทั้งสิ้น 309 ล้านคน หรือราวร้อยละ 38.6 ของสมาชิก 1 พันล้านคนทั่วโลกของเฟซบุ๊ก
หมายเหตุ
อ้างอิง
- "Facebook Current Report, Form 8-K, Filing Date July 26, 2012" (PDF). SECDatabase.com. สืบค้นเมื่อ July 26, 2012.
- "Facebook Reports Third Quarter 2019 Results". investor.fb.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2019-11-16.
- Gavin, Clarke (2010). "Facebook re-write takes PHP to an enterprise past Remember C++? They do". เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-30. สืบค้นเมื่อ 2 February 2010. Unknown parameter
|month=
ignored (help) - "facebook.com Competitive Analysis, Marketing Mix and Traffic". Alexa Internet. สืบค้นเมื่อ 2019-12-09.
- Tabak, Alan J. (February 9, 2004). "Hundreds Register for New Facebook Website". Harvard Crimson. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ Locke, Laura. "The Future of Facebook", Time Magazine, July 17, 2007. Retrieved November 13, 2009.
- ↑ McGirt, Ellen. "Facebook's Mark Zuckerberg: Hacker. Dropout. CEO. ", Fast Company, May 1, 2007. Retrieved November 5, 2009.
- Kaplan, Katherine (2003-11-19). "Facemash Creator Survives Ad Board". The Harvard Crimson. สืบค้นเมื่อ 2009-02-05.
- Hoffman, Claire (2008-06-28). "The Battle for Facebook". Rolling Stone. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-03. สืบค้นเมื่อ 2009-02-05. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - Seward, Zachary M. (2007-07-25). "Judge Expresses Skepticism About Facebook Lawsuit". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 2008-04-30.
- Carlson, Nicolas (2010-03-05). "In 2004, Mark Zuckerberg Broke Into A Facebook User's Private Email Account". Business Insider. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.
- Brad Stone (2008-06-28). "Judge Ends Facebook's Feud With ConnectU". The New York Times.
- Phillips, Sarah (2007-07-25). "A brief history of Facebook". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 2008-03-07.
- ↑ "Press Room". Facebook. 2007-01-01. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
- Rosmarin, Rachel (2006-09-11). "Open Facebook". Forbes. สืบค้นเมื่อ 2008-06-13.
- "Online network created by Harvard students flourishes". The Tufts Daily. สืบค้นเมื่อ 2009-08-21.
- Rosen, Ellen (2005-05-26). "Student's Start-Up Draws Attention and $13 Million". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2009-05-18.
- "Why you should beware of Facebook". The Age. Melbourne. 2008-01-20. สืบค้นเมื่อ 2008-04-30.
- Williams, Chris (2007-10-01). "Facebook wins Manx battle for face-book.com". The Register. สืบค้นเมื่อ 2008-06-13.|
- Dempsey, Laura (2006-08-03). "Facebook is the go-to Web site for students looking to hook up". Dayton Daily News.
- Lerer, Lisa (2007-01-25). "Why MySpace Doesn't Card". Forbes. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-02. สืบค้นเมื่อ 2008-06-13.
- Lacy, Sarah (2006-09-12). "Facebook: Opening the Doors Wider". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 2008-03-09.
- Abram, Carolyn (2006-09-26). "Welcome to Facebook, everyone". Facebook. สืบค้นเมื่อ 2008-03-08.
- "Terms of Use". Facebook. 2007-11-15. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
- "Facebook and Microsoft Expand Strategic Alliance". Microsoft. 2007-10-24. สืบค้นเมื่อ 2007-11-08.
- "Facebook Stock For Sale". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 2008-08-06.
- "Press Releases". Facebook. 2008-11-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-30.
- "Facebook 'cash flow positive,' signs 300M users". Cbc.ca. 2009-09-16. สืบค้นเมื่อ 2010-03-23.
- Facebook Becomes Third Biggest US Web Company
- "Facebook Reaches Top Ranking in US".
- "Uzbek authorities have blocked access to Facebook". สืบค้นเมื่อ 21 October 2010. "China's Facebook Status: Blocked". ABC News. July 8, 2009. สืบค้นเมื่อ 13 July 2009.
- Ben Stocking (2009-11-17). . The San Francisco Chronicle. Associated Press. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2010-05-21. สืบค้นเมื่อ 2009-11-17.
- Shahi, Afshin. (July 27, 2008). "Iran's Digital War". Daily News Egypt. สืบค้นเมื่อ August 16, 2008.
- (รัสเซีย)
- Cooper, Charles (2010-05-19). "Pakistan Bans Facebook Over Muhammad Caricature Row – Tech Talk". CBS News. สืบค้นเมื่อ 2010-06-26.
- "Red lines that cannot be crossed". The Economist. July 24, 2008. สืบค้นเมื่อ August 17, 2008.
- "Red lines that cannot be crossed". The Economist. July 24, 2008. สืบค้นเมื่อ August 17, 2008.
- "Red lines that cannot be crossed". The Economist. July 24, 2008. สืบค้นเมื่อ August 17, 2008.
- Cooper, Charles (2010-05-19). "Pakistan Bans Facebook Over Muhammad Caricature Row – Tech Talk". CBS News. สืบค้นเมื่อ 2010-06-26.
- Cooper, Charles (2010-05-19). "Pakistan Bans Facebook Over Muhammad Caricature Row – Tech Talk". CBS News. สืบค้นเมื่อ 2010-06-26.
- Ben Escurado (2010-11-14). "Saudi Arabia blocks Facebook". TechViewz.Org. สืบค้นเมื่อ 2010-11-16.
- Benzie, Robert (May 3, 2007). "Facebook banned for Ontario staffers". Toronto: TheStar.com. สืบค้นเมื่อ August 16, 2008.
- Stone, Brad (April 7, 2008). "Facebook to Settle Thorny Lawsuit Over Its Origins". The New York Times (blog). สืบค้นเมื่อ November 5, 2009.
- Lewis, Paul; Wong, Julia Carrie (2018-03-18). "Facebook employs psychologist whose firm sold data to Cambridge Analytica". the Guardian. สืบค้นเมื่อ 2018-03-20.
- Franceschi-Bicchierai, Lorenzo (2018-03-19). "Why We're Not Calling the Cambridge Analytica Story a 'Data Breach'". Motherboard. สืบค้นเมื่อ 2018-03-20.
- Rosenberg, Matthew; Confessore, Nicholas; Cadwalladr, Carole (March 17, 2018). "How Trump Consultants Exploited the Facebook Data of Millions" – โดยทาง NYTimes.com.
- Timberg, Craig; Romm, Tony (2018-03-18). "Facebook may have violated FTC privacy deal, say former federal officials, triggering risk of massive fines". Washington Post (ภาษาอังกฤษ). ISSN 0190-8286. สืบค้นเมื่อ 2018-03-25.
- "Facebook knew of illicit user profile harvesting for 2 years, never acted".
- CNBC (2018-03-23). "UK High Court grants Cambridge Analytica search warrant to ICO". CNBC. สืบค้นเมื่อ 2018-03-23.
- "Facebook boss apologises in newspaper ads". BBC News (ภาษาอังกฤษ). 2018-03-25. สืบค้นเมื่อ 2018-03-25.
- . Facebook. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2008-02-28. สืบค้นเมื่อ 2008-03-10.
- Story, Louise (2008-03-10). "To Aim Ads, Web Is Keeping Closer Eye on You". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2008-03-09.
- Cluley, Graham (February 1, 2010). "Revealed: Which social networks pose the biggest risk?". Sophos. สืบค้นเมื่อ July 12, 2010.
- "Facebook May Revamp Beacon". BusinessWeek. 2007-11-28. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- "Google AdWords Click Through Rates Per Position". AccuraCast. 2009-10-09. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2013-06-26. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- Denton, Nick (2007-03-07). "Facebook 'consistently the worst performing site'". Gawker. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- "Facebook Says Click Through Rates Do Not Match Those At Google". TechPulse 360. 2009-08-12. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- Leggatt, Helen (2007-07-16). "Advertisers disappointed with Facebook's CTR". BizReport. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- Klaassen, Abbey (2009-08-13). "Facebook's Click-Through Rates Flourish ... for Wall Posts". AdAge. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- "Involver Delivers Over 10x the Typical Click-Through Rate for Facebook Ad Campaigns". Press release. 2008-07-31. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- Walsh, Mark (2010-06-15). "Study: Video Ads On Facebook More Engaging Than Outside Sites". MediaPost. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- "Facebook Factsheet". สืบค้นเมื่อ November 21, 2010.
- "Facebook's friend in Russia". CNN. 2010-10-04. สืบค้นเมื่อ December 18, 2010.
- David Kirkpatrick. The Facebook Effect. p. 322. ISBN 1439102112.
- McCarthy, Caroline (May 11, 2008). "As Facebook goes corporate, Mark Zuckerberg loses an early player". CNET.com. สืบค้นเมื่อ July 12, 2010.
- "Facebook Statistics by country". March 3, 2012.
- "43.1 Million Members of Facebook in Indonesia". February 2, 2012.
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: เฟซบุ๊ก |
- เว็บไซต์เฟซบุ๊ก
- สถิติสำคัญเกี่ยวกับเฟซบุ๊ก
- เฟซบุ๊กโดยรวมโดยยอดการถูกใจ
- เฟซบุ๊กโดยรวมโดยยอดการถูกใจ 2
- เฟซบุ๊กในไทยโดยยอดการถูกใจ