ยูเทรกต์
ยูเทรกต์ หรือ อือเตร็คต์ (ดัตช์: Utrecht, ออกเสียง: [ˈytrɛxt] ( ฟังเสียง)) เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่สี่ของประเทศเนเธอร์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงของจังหวัดยูเทรกต์ บริเวณใจกลางของประเทศ มีประชากร 357,179 คนในปี ค.ศ. 2019
ยูเทรกต์ Utrecht | |
---|---|
เมือง | |
หอมหาวิหารแห่งยูเทรกต์ | |
พิกัดภูมิศาสตร์: 52°05′36″N 5°7′10″E / 52.09333°N 5.11944°E | |
ประเทศ | เนเธอร์แลนด์ |
จังหวัด | ยูเทรกต์ |
การปกครอง | |
• นายกเทศมนตรี | ยัน ฟันซาเนิน |
พื้นที่(2006) | |
• ทั้งหมด | 99.32 ตร.กม. (38.35 ตร.ไมล์) |
• พื้นดิน | 95.67 ตร.กม. (36.94 ตร.ไมล์) |
• พื้นน้ำ | 3.64 ตร.กม. (1.41 ตร.ไมล์) |
ประชากร | |
• ทั้งหมด | 300,030 คน |
• ความหนาแน่น | 3,068 คน/ตร.กม. (7,950 คน/ตร.ไมล์) |
Source: Gemeente Utrecht | |
เขตเวลา | UTC+1 (CET) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+2 (CEST) |
ยูเทรกต์เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีอาคารเก่าแก่สมัยกลางตั้งอยู่เรียงราย เป็นศูนย์กลางทางศาสนาของเนเธอร์แลนด์มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 แม้จะเคยสูญเสียสถานะเจ้าชายมุขนายก ยูเทรกต์เคยเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของเนเธอร์แลนด์จนก่อนถึงช่วงยุคทองของเนเธอร์แลนด์ที่อัมสเตอร์ดัมเติบโตและทวีความสำคัญมากกว่า รวมถึงมีประชากรมากกว่า
ยูเทรกต์เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยยูเทรกต์อันเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางถนนและทางรถไฟของประเทศเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางประเทศพอดี มีสถานีรถไฟที่มีผู้โดยสารมากที่สุดในประเทศตั้งอยู่กลางเมือง และเป็นเมืองที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมบ่อยที่สุดเป็นอันดับสองของเนเธอร์แลนด์รองจากอัมสเตอร์ดัม
ประวัติศาสตร์
สมัยโรมัน
ประวัติที่ชัดเจนของยูเทรกต์ เริ่มต้นในสมัยโรมัน เมื่อจักรพรรดิเกลาดิอุส นำกองทัพเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปมาจนถึงดินแดนเนเธอร์แลนด์ จักรพรรดิตัดสินใจว่าจะไม่รุกรานขึ้นเหนือไปอีก จึงเริ่มวางแนวเขตแดนเลียบแม่น้ำไรน์และสร้างป้อมปราการและสร้างป้อมปราการแบบหลวมๆขึ้นเมื่อราว ค.ศ. 50 มีกองกำลังประจำได้ราว 500 คน ในครั้งนั้น ป้อมปราการยูเทรกต์เป็นเพียงแนวไม้ที่เรียกว่า เตร็คตุม (Traiectum) ในภาษาโรมันซึ่งหมายถึงบริเวณที่จะข้ามแม่น้ำไรน์ได้ คำนี้ออกเสียงในภาษาดัตช์ว่า เตร็คต์ (Trecht) และได้มีการเติมคำว่า อือ (U) ที่มาจากภาษาดัตช์โบราณคำว่า อืต (uut) หมายถึง เก่าแก่ เพื่อให้ไม่ให้สับสนกับเมืองมาสทริชท์ จุดข้ามแม่น้ำเมิซที่ตกเป็นของโรมันเช่นกันทางตอนใต้
ชุมชนรอบแนวป้อมปราการได้เติบโตขึ้น มีช่างฝีมือ พ่อค้า ทหารและครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่ ต่อมาราว ค.ศ. 200 มีการเสริมความแข็งแรงของป้อมปราการด้วยการเปลี่ยนจากวัสดุไม้เป็นหินจากภูเขาไฟ (ยังคงหลงเหลือแถวดอมสแควร์ในทุกวันนี้)
หลังจากนั้น ชาวเยอรมันได้รุกรานดินแดนของอาณาจักรโรมันและยูเทรกต์ก็ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมตั้งแต่ ค.ศ. 275 กลายเป็นดินแดนของชาวแฟรงก์ ที่เรืองอำนาจหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตก และในช่วงนี้ไม่ค่อยมีบันทึกเกี่ยวกับยูเทรกต์เท่าใดนัก
ศูนย์กลางทางคริสต์ศาสนาของเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 650 ถึง 1579)
เมื่อปี ค.ศ. 695 สมเด็จพระสันตะปาปาเซอร์จิอุสที่ 1 แต่งตั้งนักบุญวิลลิบรอร์ดขึ้นเป็นบาทหลวงแห่งดินแดนฟรีเชีย จึงได้มีการสถาปนามุขมณฑลยูเทรกต์ (Bishopric of Utrecht) ขึ้น ต่อมาใน ค.ศ. 723 ชาร์ล มาร์แตล ผู้ปกครองราชอาณาจักรแฟรงก์ยกป้อมปราการและดินแดนโดยรอบให้มุขมณฑล ยูเทรกต์จึงค่อยๆกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของคริสตจักรโรมันคาทอลิกในเนเธอร์แลนด์นับตั้งแต่นั้น ยูเทรกต์แข่งขันเรื่องอำนาจกับเมืองโดเรอสตัด ศูนย์กลางการค้าในสมัยนั้น แต่พอโดเรอสตัดเสื่อมลงในปี ค.ศ. 850 ยูเทรกต์กลายเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในเนเธอร์แลนด์ บาทหลวงประจำถิ่นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชาย มุขมณฑลจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นมุขนายก (Prince-Bishopric) ใน ค.ศ. 1024
เมื่อ ค.ศ. 1527 พระสังฆราชได้ขายที่ดินให้กับจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ยูเทรกต์จึงสิ้นอำนาจทางสงฆ์และสถานะเจ้าชายมุขนายก ตกเป็นพื้นที่ขุนนางทางโลกภายใต้การบริหารของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คซึ่งในขณะนั้นได้ปกครองดินแดนเนเธอร์แลนด์ส่วนอื่นด้วย คณะสงฆ์ได้ส่งมอบอำนาจการเลือกสังฆราชให้กับจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 โดยได้รับความยินยอมจากสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 อย่างไรก็ตาม อำนาจทางสงฆ์ของยูเทรกต์ยังไม่เสื่อมไป ยังคงเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาอยู่เรื่อยมา
สาธารณรัฐดัตช์ (ค.ศ. 1579 ถึง 1806)
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คปกครองยูเทรกต์ได้เพียงไม่นาน ยูเทรกต์ได้เข้าร่วมกับจังหวัดอื่นๆในเนเธอร์แลนด์ทำการปฏิวัติต่อการปกครองของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐดัตช์เมื่อปี ค.ศ. 1579 ในปีต่อมา มีการล้มเลิกมุขมณฑลและอัครมุขมณฑล และให้ยูเทรกต์ขึ้นตรงต่อการปกครองของสาธารณรัฐโดยตรง ซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ฮอลแลนด์ ความรุ่งเรืองของยูเทรกต์จึงเริ่มซบเซาลง ประชาชนผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกลดลงเหลือแค่ 40 เปอร์เซ็นต์เมื่อกลางศตวรรษที่ 17
ต่อมา เนเธอร์แลนด์เกิดสงครามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1672 อันเป็นปีหายนะสิ้นสุดยุคทองของเนเธอร์แลนด์ แม้จะไม่เสียเอกราชแต่ฝรั่งเศสเคยยึดครองพื้นที่ได้ถึงทางตะวันตกของยูเทรกต์ อีกสองปีต่อมาเกิดพายุทอร์นาโดพัดถล่มใจกลางยูเทรกต์ บ้านเมืองได้รับความเสียหายอย่างหนักรวมถึงมหาวิหารสำคัญของเมือง จึงได้มีการสร้างหอคอยที่ดอมสแควร์ขึ้นมาแทน
ยูเทรกต์เป็นสถานที่ลงนามในสนธิสัญญายูเทรกต์ อันเป็นการตกลงระหว่างรัฐต่าง ๆ ในยุโรปและช่วยในการยุติสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน เมื่อ ค.ศ. 1713 ต่อมาเนเธอร์แลนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1806 ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินโปเลียน จนสิ้นสุดสงครามนโปเลียน เนเธอร์แลนด์ได้จัดตั้งสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ โดยรวมประเทศเบลเยียมเข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วย ในปี ค.ศ. 1815
สมัยใหม่ (ค.ศ. 1815 ถึงปัจจุบัน)
ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยูเทรกต์หมดความสำคัญในฐานะเมืองป้อมปราการ จึงมีการวางผังเมืองใหม่ เริ่มจากการทำลายกำแพงเมืองเพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง ทางรถไฟระหว่างยูเทรกต์กับอัมสเตอร์ดัมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1843 หลังจากนั้นยูเทรกต์จึงค่อยๆกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของเครือข่ายรถไฟเนเธอร์แลนด์ การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์เติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับยูเทรกต์ที่ขยายตัวออกไปเกินขอบเขตในสมัยกลาง เมื่อปี ค.ศ. 1853 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์อนุญาตให้อำนาจของมุขมณฑลสงฆ์ของยูเทรกต์กลับมาอีกครั้ง ยูเทรกต์จึงกลายเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาในเนเธอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเทรกต์ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของนาซีเยอรมนี เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนอื่นของเนเธอร์แลนด์ จนกระทั่งได้เยอรมนียอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สองมีการพัฒนาเมืองออกสู่รอบนอก ส่วนพื้นที่ใจกลางเมืองถูกพัฒนาให้ทันสมัย เกิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มากมาย
อ้างอิง
- "Bericht".
- https://opendata.cbs.nl/statline/#/CBS/nl/dataset/37230ned/table?ts=1578685738191
- Gemeente Utrecht. "Utrecht Monitor 2007" (PDF) (ภาษาDutch). สืบค้นเมื่อ 6 January 2008.CS1 maint: unrecognized language (link)
- de Bruin, R.E.; Hoekstra, T.J.; Pietersma, A. (1999). Twintig eeuwen Utrecht, korte geschiedenis van de stad (ภาษาDutch). Utrecht: SPOU & Het Utrechts Archief. ISBN 90-5479-040-7.CS1 maint: unrecognized language (link)
- Het Utrechts Archief. "Het ontstaan van de stad Utrecht (tot 100)" (ภาษาDutch).CS1 maint: unrecognized language (link)
- Nicoline van der Sijs (2001). Chronologisch woordenboek. De ouderdom en herkomst van onze woorden en betekenissen (ภาษาDutch). Amsterdam/Antwerpen. p. 100. ISBN 90-204-2045-3.CS1 maint: unrecognized language (link)
- R.P.J. Kloosterman (2010). Lichte Gaard 9. Archeologisch onderzoek naar het castellum en het bisschoppelijk paleis. Basisrapportage archeologie 41 (PDF). StadsOntwikkeling gemeente Utrecht. ISBN 978-90-73448-39-1.
- van der Tuuk, Luit (2005). "Denen in Dorestad". ใน Ria van der Eerden; และคณะ (บ.ก.). Jaarboek Oud Utrecht 2005. Jaarboek Oud Utrecht (ภาษาDutch). Utrecht: SPOU. pp. 5–40. ISBN 90-71108-24-4.CS1 maint: unrecognized language (link)
- Wayne Franits (2004). Dutch Seventeenth-Century Genre Painting. Yale University Press. p. 65. ISBN 0-300-10237-2.
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ยูเทรกต์
- Official website of the city
- Official website of the city (in English)
- Mobile website of the city
- CU 2030, redevelopment of the Utrecht Central railroad station area (Dutch only)
- Maps
- City map
- Map of the whole province, about equal detail as the map above