มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์
มักซีมีเลียง ฟร็องซัว มารี อีซีดอร์ เดอ รอแบ็สปีแยร์ (ฝรั่งเศส: Maximilien François Marie Isidore de Robespierre) เป็นนักกฎหมาย นักการเมือง รวมทั้งเป็นหนึ่งในบุคคลผู้มีบทบาทที่สุดในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นทั้งสมาชิกรัฐสภาและสมาชิกสโมสรฌากอแบ็ง เขาเป็นกระบอกเสียงให้แก่คนยากจนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และยังเป็นผู้ผลักดันการควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขั้นพื้นฐานตลอดจนการล้มล้างระบบทาสในอาณานิคมของฝรั่งเศส เขายังเป็นแกนนำผู้คัดค้านโทษประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากุมอำนาจประเทศ เขากลับกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ปราณีจนนำไปสู่สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ขุนนาง และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามจำนวนมาก ล้วนถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีนไปในช่วงเวลานี้
มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ Maximilien Robespierre | |
---|---|
ภาพวาดรอแบ็สปีแยร์ราวปี ค.ศ. 1790 ที่พิพิธภัณฑ์การ์นาวาแล กรุงปารีส | |
กรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวม | |
ดำรงตำแหน่ง 27 กรกฎาคม 1793 – 28 กรกฎาคม 1794 | |
ประธานสภากงว็องซียงแห่งชาติ | |
ดำรงตำแหน่ง 4 มิถุนายน ค.ศ. 1794 – 17 มิถุนายน ค.ศ. 1794 | |
ก่อนหน้า | Prieur-Duvernois |
ถัดไป | Élie Lacoste |
ดำรงตำแหน่ง 22 สิงหาคม ค.ศ. 1793 – 5 กันยายน ค.ศ. 1793 | |
ก่อนหน้า | Marie-Jean Hérault de Séchelles |
ถัดไป | Jacques-Nicolas Billaud-Varenne |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1758 อารัส ประเทศฝรั่งเศส |
เสียชีวิต | 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1794 (36 ปี) ปารีส ประเทศฝรั่งเศส (ถูกจับตัวไปประหาร) |
สัญชาติ | ฝรั่งเศส |
พรรคการเมือง | ฌากอแบ็ง |
ศิษย์เก่า | ลีเซหลุยส์-เลอ-กร็อง |
วิชาชีพ | ทนายความและนักการเมือง |
ศาสนา | เทวัสนิยม |
ลายมือชื่อ |
ประวัติ
มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1758 ที่เมืองอารัส แคว้นนอร์-ปาดกาแล ประเทศฝรั่งเศส เป็นบุตรคนโตของนายพร็องซัว มักซีมีเลียง บาร์เตเลมี เดอ รอแบ็สปีแยร์ (François Maximilien Barthélémy de Robespierre) ทนายความ กับนางแฌกลีน มาร์เกอร์รีต แกร์โร (Jacqueline Marguerite Carrault) บุตรสาวเจ้าของโรงเหล้า เมื่อมีอายุแปดปี มักซีมีเลียงเข้าศึกษาระดับประถมที่วิทยาลัยอารัส
ต่อมาในปี 1769 มุขนายกแห่งอารัสช่วยเหลือให้เขาได้รับทุนการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนหลุยส์-เลอ-กร็อง สถานศึกษาเลื่องชื่อแห่งกรุงปารีส และได้เป็นเพื่อนกับกามีย์ เดมูแล็ง และสแตนนีสลัส เฟร์รง ระหว่างเรียนที่นี่ เขาได้เรียนและเริ่มสนใจสังคมอุดมคติแบบสาธารณรัฐโรมัน ตลอดจนวาทกรรมของกิแกโร, คาโต และบรูตุส นอกจากนี้ เขายังชอบอ่านหนังสือ สัญญาประชาคม ของปราชญ์อย่างฌ็อง-ฌัก รูโซ และคล้อยตามความคิดหลายๆอย่าง มักซีมีเลียงมองว่า "เจตน์จำนงร่วม" (volonté générale) ของประชาชนเป็นพื้นฐานของสิทธิธรรมทางการเมือง
รอแบ็สปีแยร์เข้าศึกษาสาขากฎหมายที่มหาวิทยาลัยปารีส และจบการศึกษาในปีค.ศ. 1780 และในปีถัดมาก็สำเร็จเป็นเนติบัณฑิต มุขมายกแห่งอาร์รัสแต่งตั้งเขาเป็นหนึ่งในห้าผู้พิพากษาศาลอาญาเมืองอารัสในปีค.ศ. 1782 มักซีมีเลียงในช่วงนี้ต่อต้านโทษประหารชีวิต เขาอึดอัดใจที่แต่ละสัปดาห์มีคดีโทษประหารเข้าสู่ศาลจำนวนมาก นั่นทำให้เขาเป็นผู้พิพากษาได้เพียงไม่นานก็ลาออก หลังลาออกจากผู้พิพากษาได้ไม่นาน เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกบัณฑิตยสภาแห่งอารัสในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1783 เขาเขียนบทความเรื่อง "ญาติของอาชญากรผู้เสื่อมเสียสมควรถูกประนามด้วยหรือไม่?" ในปีค.ศ. 1784 และได้รับรางวัลจากบัณฑิตยสภาแห่งแม็ส และได้รับยกย่องเป็น "วรรณบุรุษ"
การปฏิวัติฝรั่งเศส
เข้าสู่การเมือง
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1788 เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงตรากฤษฎีกาจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาฐานันดรเพื่อแก้ไขปัญหาการคลังและระบบภาษีของประเทศ รอแบ็สปีแยร์เข้าร่วมการอภิปรายหารือถึงวิธีการเลือกตั้งรัฐบาลส่วนภูมิภาคของฝรั่งเศส เขาระบุว่าหากยังใช้วิธีการเลือกตั้งแบบเดิมกับเมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว สภาฐานันดรในคราวนี้จะไม่ได้ผู้แทนส่วนภูมิภาคที่เป็นปากเป็นเสียงของประชาชนฝรั่งเศสเลย
รอแบ็สปีแยร์ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตของตนเองและหาเสียงโดยกล่าวโจมตีการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่น ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับความนิยมจากชาวชนบทจำนวนมาก และชนะเลือกตั้งเป็นหนึ่งในผู้แทนฐานันดรที่สามจำนวนสิบหกคนจากจังหวัดปาดกาแลในเดือนเมษายน ค.ศ. 1789 เหล่าผู้แทนเดินทางไปถึงพระราชวังแวร์ซายและรับฟังสุนทรพจน์ยาวสามชั่วโมงของฌัก แนแกร์ และยังได้รับแจ้งว่าการออกเสียงในสภาให้เป็นไปตาม "รายฐานันดร" ไม่ใช่ "รายหัว" รอแบ็สปีแยร์มองว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นปากเป็นเสียงได้จริงในสภาที่ใช้ระบบแบบนี้ ผู้แทนฐานันดรที่สามไม่มีวันโหวตชนะ รอแบ็สปีแยร์จึงร่วมกับผู้แทนฐานันดรที่สามซึ่งเป็นผู้แทนคน 96% ของประเทศ จัดตั้งสมัชชาแห่งชาติ (Assemblée nationale) เป็นสภาใหม่ที่แยกจากสภาฐานันดร ซึ่งในที่สุด พระเจ้าหลุยส์ก็ทรงยอมรับสภาใหม่นี้
รอแบ็สปีแยร์มีความเกี่ยวข้องกับสมาคมเพื่อนรัฐธรรมนูญหรือเรียกอีกชื่อว่าสโมสรฌากอแบ็ง (Jacobins) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกราว 1,200 คนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงในฝรั่งเศส หลักสำคัญของอุดมการณ์ฌากอแบ็งคือ "ความเสมอภาค" ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1790 รอแบ็สปีแยร์ขึ้นกล่าวในสภาหลายครั้งในประเด็นสิทธิพลเมืองที่เท่าเทียมโดยไม่เกี่ยงว่าจะจ่ายภาษีมากน้อยรวมถึงสิทธิในการเลือกตั้ง เขากล่าวอย่างโผงผางว่าชาวฝรั่งเศสต้องสามารถเป็นข้าราชการทุกตำแหน่งโดยเอาความสามารถและคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เอาฐานะเป็นที่ตั้ง และนั่นทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจนได้รับเลือกเป็นประธานสภากงว็องซียงแห่งชาติในเดือนมีนาคมของปีนั้น ในวันที่ 28 เมษายน รอแบ็สปีแยร์เสนอญัตติให้ตุลาการศาลทหารประกอบด้วยนายทหารและพลทหารอย่างละครึ่ง
การประหารพระเจ้าหลุยส์
ภายหลังพระเจ้าหลุยส์ถูกถอดจากบัลลังก์และถูกนำตัวสอบสวนโดยสภา อดีตกษัตริย์หลุยส์ยกกฎหมายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชขึ้นมาต่อสู้ว่า "กษัตริย์และการกระทำของพระองค์จะถูกละเมิดมิได้" สโมสรฌากอแบ็งจึงแตกเป็นสองขั้ว ขั้วลามงตาญต้องการให้ประหารอดีตกษัตริย์ ขั้วฌีรงแด็งต้องการให้ดำเนินการอย่างรอมชอมโดยไม่ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง บ้างก็เสนอให้กักขังหรือเนรเทศอดีตกษัตริย์ ในห้วงเวลานี้ รอแบ็สปีแยร์ปราศรัยในสภาว่าอดีตกษัตริย์หลุยส์ละเมิดกฎหมายเอง ดังนั้นจึงไม่อาจยกความละเมิดมิได้มาเป็นข้อต่อสู้
อย่างไรก็ตาม การค้นพบเอกสารลับ 726 ฉบับในห้องบรรทมที่พระราชวังตุยเลอรีในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1792 ซึ่งเป็นจดหมายที่อดีตพระเจ้าหลุยส์เขียนตอบโต้กับบรรดานายธนาคารและรัฐมนตรี ทำให้ปฏิกิริยาของฝูงชนหันมาต่อต้านองค์กษัตริย์ในทันที แม้อดีตกษัตริย์จะโต้แย้งว่าไม่รู้เรื่องจดหมายเหล่านี้ และจดหมายเหล่านี้ก็ไม่ได้มีลายเซนต์ของพระองค์อยู่ แม้มีหลักกฎหมายให้สันนิษฐานว่าจำเลยบริสุทธิ์ไว้ก่อน แต่รอแบ็สปีแยร์ได้กล่าวในสภาว่า "...เขาย่อมถูกสันนิษฐานอย่างนั้นจนกว่าจะตัดสิน แต่ถ้าหลุยส์ได้ยกฟ้องโดยสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ แล้วฝ่ายปฏิวัติจะเป็นยังไงกัน? ถ้าหลุยส์บริสุทธิ์ล่ะก็ เท่ากับว่าผู้พิทักษ์เสรีภาพทั้งหมดใส่ร้ายเขางั้นสิ..." รอแบ็สปีแยร์เสนอให้ประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ ทั้งที่ตัวเขาคัดค้านโทษประหารชีวิตมาตลอด ด้วยคำกล่าวที่ว่า "แน่นอน โดยทั่วไป โทษประหารคืออาชญากรรม หลักธรรมชาติอันยืนยงมิอาจยอมรับมันได้ แต่ยกเว้นกรณีเพื่อปกป้องความปลอดภัยของบุคคลหรือสังคม..." ท้ายที่สุด ในวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1793 สภามีมติตัดสินว่าอดีตกษัตริย์หลุยส์มีความผิดจริงฐานสมคบประทุษร้ายต่อเสรีภาพปวงชนและความมั่นคงแห่งรัฐ
กลุ่มฌีรงแด็งสิ้นอำนาจ
ภายหลังการประหารพระเจ้าหลุยส์ อิทธิพลของรอแบ็สปีแยร์และฌอร์ฌ ด็องตง เพิ่มขึ้นท่ามกลางบ้านเมืองที่อยู่ในสภาพกลียุค แต่สภากงว็องซียงแห่งชาติและอำนาจบริหารก็ยังถูกครอบงำโดยนักการเมืองฝ่ายฌีรงแด็งอยู่ ผู้ชุมนุมประท้วงต่างโกรธแค้นที่ฝ่ายฌีรงแด็งจุดชนวนสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน ในวันที่ 6 เมษายน มีการแต่งตั้งผู้แทนเข้าไปในกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวมเพิ่มเติม สมาชิกทั้งหมดมาจากฝ่ายลาแปลนและด็องตง แต่ไม่มีฝ่ายฌีรงแด็งหรือรอแบ็สปีแยร์เลย รอแบ็สปีแยร์ไม่พอใจที่ไม่ได้รับเลือกและบอกสโมสรฌากอแบ็งว่าจำเป็นต้องจัดตั้งกองทัพของพวกซ็อง-กูว์ล็อตเพื่อป้องกันคอมมูนปารีสและจับกุมเหล่าผู้แทนนอกรีต ซึ่งเขาได้เอ่ยชื่อ ดยุกแห่งออร์เลอ็อง, บรีโซ, แวร์ญีว, กัวแด และฌ็องเซินเน ถึงตอนนี้ รอแบ็สปีแยร์มองว่าบ้านเมืองมีแค่สองฝ่าย คือฝ่ายประชาชน และศัตรูของประชาชน
ในวันที่ 15 เมษายน กองทัพประชาชนจากทั่วสารทิศเข้ารายล้อมสภาและต้องการให้ถอดถอนสมาชิกฝ่ายฌีรงแด็งทั้งหมด สภายังคงเดินหน้าพิจารณาวาระกฎหมายต่างๆต่อไปอีกนับสัปดาห์ ในช่วงนี้ รอแบ็สปีแยร์ได้เสนอกฎหมายกรรมสิทธิ์สี่มาตราและยังผลักดันการเก็บภาษีแบบก้าวหน้า
26 พฤษภาคม หลังผ่านหลายสับดาห์แห่งความเงียบสงบ รอแบ็สปีแยร์อภิปรายอย่างอาจหาญว่าสโมสรฌากอแบ็ง "ต้องร่วมลุกฮือเพื่อต่อต้านพวกผู้แทนทุจริต" แต่ประธานสภาอีสนาร์ดตอบโต้ว่าสภาจะไม่คล้อยตามความรุนแรงใดๆ และนครบาลจะเคารพผู้แทนจากทุกที่ในฝรั่งเศส และไม่อนุญาตให้รอแบ็สปีแยร์พูดอภิปรายต่อ ในวันที่ 28 พฤษภาคม คอมมูนปารีสยินยอมให้มีการจัดตั้งกองทัพซ็อง-กูว์ล็อตเพื่อพิทักษ์การปฏิวัติและกฎหมายสาธารณรัฐ
เช้า 31 พฤษภาคม ฟร็องซัว อารีโอ ผู้บัญชาการกองอารักษ์ชาติ (Garde Nationale) สั่งให้ยิงปืนใหญ่ที่ปงเนิฟเพื่อเป็นสัญญาณเตือน ผู้แทนแวร์ญิวเสนอให้จับกุมอารีโอ รอแบ็สปีแยร์อภิปรายว่าแวร์ญีวและฝ่ายฌีรงแด็งเป็นพวกนิยมเจ้า และเรียกร้องให้จับกุมฝ่ายฌีรงแด็งทั้งหมด ในเช้าวันต่อมา 1 มิถุนายน กองทัพประชาชนติดอาวุธ 12,000 คนรายล้อมสภาเพื่อสนับสนุนการจับกุมฝ่ายฌีรงแด็ง ในช่วงบ่ายก็เรียกร้องให้มีการจัดตั้งกองทัพปฏิวัติของชนชั้นซ็อง-กูว์ล็อตในทุกเมืองของฝรั่งเศส ในที่สุดก็มีการจับกุมมาดามรอล็องและคลาวีแยในวันนั้น แต่อารีโอยังไม่พอใจและกดดันให้จับกุมผู้นำฌีรงแด็ง 26 คนที่เหลือ ในช่วงค่ำของวันที่นั้น จำนวนประชาชนที่ล้อมสภาเพิ่มขึ้นถึง 40,000 คน
2 มิถุนายน อารีโอ สั่งให้กองอารักษ์ชาติเดินขบวนจากศาลาว่าการกรุงปารีสไปยังพระราชวังตุยเลอรี กองทัพประชาชนซึ่งมีจำนวนกว่า 80,000 ถึง 100,000 คน นำปืนใหญ่เข้าล้อมที่ประชุมสภา ฝ่ายณีรงแด็งเชื่อว่าเอกสิทธิ์ยังปกป้องพวกเขาอยู่ แต่ประชาชนนอกหน้าต่างกำลังเรียกร้องให้จับกุมพวกเขา พวกเขาพยายามออกจากพระราชวังแต่ถูกล้อมไว้ทุกทาง ในที่สุดก็ต้องเดินกลับห้องประชุมและลาออกจากตำแหน่ง พวกเขาแต่ละคนถูกจับกุมทันทีหลังกล่าวลาออก
รอแบ็สปีแยร์เรืองอำนาจ
หลังกลุ่มณีรงแด็งสิ้นอำนาจ รัฐบาลฝรั่งเศสเผชิญความท้าทายภายในประเทศมากมาย รอแบ็สปีแยร์ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวมในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1793 เขาจึงได้กลายเป็นจอมเผด็จการอย่างแท้จริง ในเวลาปีเดียว เขาจับกุมและประหารผู้คนนับพันตั้งแต่ความผิดเล็กน้อยจนถึงความผิดอุกฉกรรจ์ หรือแม้แต่การใส่ร้ายใส่ความโดยรอแบ็สปีแยร์ ต้องถูกประหารโดยเครื่องประหารกิโยตีน เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แต่คนอื่น ๆ เรียกช่วงเวลาที่รอแบ็สปีแยร์อยู่ในตำแหน่งว่า "สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว" (la Terreur) ศัตรูจึงขนานนามเขาว่า "เผด็จการกระหายเลือด"
ในปีค.ศ. 1794 รอแบ็สปีแยร์บ้าเลือดถึงขนาดประกาศกลางสภาว่า เขาจะกำจัดศัตรูของชาติซึ่งเป็นนักการเมืองทรงอิทธิพล แต่ไม่ได้ระบุว่านักการเมืองทรงอิทธิพลผู้นั้นเป็นใคร ทำให้บรรดาสมาชิกสภาเกิดความระแวงว่าตัวเองจะตกเป็นเป้าหมาย บรรดาสมาชิกสภาจึงวางแผนโค่นล้มรอแบ็สปีแยร์อย่างลับๆในคืนนั้น เช้าวันถัดมา สมาชิกสภารุมอภิปรายโจมตีรอแบ็สปีแยร์อย่งารุนแรงโดยแทบไม่เปิดโอกาสให้ได้แก้ต่าง เขาและพวกถูกถอดถอนและจับกุมตัวกลางสภา รอแบ็สปีแยร์พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ
รอแบ็สปีแยร์ถูกประหารด้วยเครื่องกิโยตีนท่ามกลางผู้คนมากมายที่รุมล้อมในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1794 ณ ปลัสเดอลาเรวอลูว์ซียง กลางกรุงปารีส
อ้างอิง
- Scurr 2006.
- The Enlightenment that Failed: Ideas, Revolution, and Democratic Defeat ... By Jonathan I. Israel, p. 465-467
- Riskin, Jessica (1999). "The Lawyer and the Lightning Rod" (PDF). Science in Context. Cambridge University Press (CUP). 12 (1): 61–99. doi:10.1017/s0269889700003318. ISSN 0269-8897.
- Drival, Eugène Van (1872). Histoire de l'Académie d'Arras depuis sa fondation: en 1737, jusqu'à nos jours. Typ. de A. Courtin. p. 58.
- Leuwers, Hervé. Robespierre (Paris, Fayard, 2014; rééd. Pluriel, 2016) — extraits. p. 9 – โดยทาง www.academia.edu.
- Andress, David (22 January 2015). The Oxford Handbook of the French Revolution. OUP Oxford. ISBN 9780191009921 – โดยทาง Google Books.
- Liste des noms et qualités de messieurs les députés et suppléants à l'Assemblée nationale. In: Archives Parlementaires de 1787 à 1860 — Première série (1787–1799) sous la direction de Jérôme Mavidal et Emile Laurent. Tome VIII du 5 mai 1789 au 15 septembre 1789. Paris : Librairie Administrative P. Dupont, 1875. p. VII. [1]
- Hibbert, C. (1980)
- P. McPhee (2013) "My Strength and My Health Are not Great Enough": Political Crises and Medical Crises in the Life of Maximilien Robespierre, 1790-1794
- Aulard, François-Alphonse (1897). La société des Jacobins: Mars à novembre 1794. Recueil de documents pour l'histoire du club des Jacobins de Paris (ภาษาฝรั่งเศส). 6. Librairie Jouaust. pp. 714, 717. OCLC 763671875.
- Walter, G. (1961) Robespierre à la tribune, p. 206. In: Robespierre, vol. II. L’œuvre, part IV. Gallimard.
- Kennedy 1988, pp. 308–10.
- Hardman, John (2016) The life of Louis XVI, p. ?
- Robespierre 1958, pp. 121–22, in Tome IX, Discours
- Robespierre 1958, pp. 129–30, in Tome IX, Discours.
- L. Moore, p. 172
- I. Davidson, p. 157
- Hampson 1974, pp. 144-146.
- ↑ Schama 1989, p. 722.
- Ternaux, Mortimer (1869). Histoire de la terreur, 1792-1794. Vol 7. Michel Lévy frères. p. 276.
- Robespierre 1958, p. 543, in Tome IX, Discours.
- Le Républicain français, 14 septembre 1793, p. 2
- Israel 2014, p. 447.