คริปโทเคอร์เรนซีและความปลอดภัย
คริปโทเคอร์เรนซีและความปลอดภัย (อังกฤษ: Cryptocurrency and security) เป็นบทความที่กล่าวถึงการพยายามขโมยเงินดิจิทัลผ่านวิธีการต่าง ๆ รวมทั้งฟิชชิง การหลอก หรือการแฮ็ก และถึงวิธีการป้องกันธุรกรรมทางคริปโทเคอร์เรนซีที่ไม่ได้อนุญาต และเทคโนโลยีเพื่อเก็บคริปโทเคอร์เรนซี
เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย
มีคริปโทเคอร์เรนซีวอลเลตที่รักษาความปลอดภัยในชั้นโพรโทคอลต่าง ๆ หลายรูปแบบรวมทั้งอุปกรณ์ ซอฟต์แวร์สำหรับระบบปฏิบัติการหรือเว็บเบราว์เซอร์ต่าง ๆ และวอลเลตแบบออฟไลน์
โจรกรรมที่เด่น ๆ
ในตลาด
การแฮ็กตลาดที่เด่น ๆ แล้วมีผลเป็นโจรกรรมของคริปโทเคอร์เรนซีรวมทั้ง
- Bitstamp - ในปี 2015 บิตคอยน์มูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 171 ล้านบาท) ถูกขโมย
- Mt. Gox - ระหว่างปี 2011-2014 บิตคอยน์มูลค่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 11,369 ล้านบาท) ถูกขโมย
- Bitfinex - ในปี 2016 บิตคอยน์มูลค่า 72 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,541 ล้านบาท) ถูกขโมยจากวอลเลตของตลาด ต่อมาผู้ใช้บริการได้เงินคืน
- NiceHash - ในปี 2017 คริปโทเคอร์เรนซีกว่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,036 ล้านบาท) ถูกขโมย
- Coincheck - โทเค็น NEM มูลค่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 12,606 ล้านบาท) ถูกขโมยในปี 2018
เงินสกุลต่าง ๆ
ในเหตุการณ์ปี 2016 ที่เรียกว่า DAO event การถือเอาประโยชน์ของสัญญาสมารต์ในเงินสกุล Ethereum มีผลเป็นการลักเงินมูลค่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,765 ล้านบาท) ต่อมาเงินสกุลนี่จึงแยกแบบ hard fork ออกเป็นเงินสกุล Ethereum Classic และ Ethereum และเงินสกุลหลังดำเนินการโดยไม่รวมธุรกรรมที่เป็นโจรกรรมเข้าในบล็อกเชน
ในปี 2017 บริษัทพึ่งก่อตั้ง Tether ซึ่งทำงานร่วมกับตลาดแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ ประกาศว่าบริษัทถูกแฮ็ก และได้เสียเงินมีมูลค่า 31 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,052 ล้านบาท) จากวอลเลตหลักของบริษัท แต่บริษัทก็ได้ติดป้ายเงินที่ถูกขโมยไป โดยหวังว่า จะทำให้ขโมยไม่สามารถใช้เงินได้
บิตคอยน์
มีการขโมยบิตคอยน์หลายเหตุการณ์มาก วิธีหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อมีบุคคลที่สามสามารถเข้าถึงกุญแจส่วนตัวสำหรับที่อยู่บิตคอยน์ของเหยื่อ หรือเกิดจากการใช้วอลเลตออน์ไลน์ เพราะถ้ากุญแจส่วนตัวถูกขโมย บิตคอยน์ของที่อยู่ซึ่งคู่กันก็สามารถโอนไปที่อยู่อื่นได้ ในกรณีนี้ เครือข่ายจะไม่สามารถระบุว่าใครเป็นขโมย ระงับธุรกรรมเนื่องกับบิตคอยน์ที่ถูกขโมย หรือว่าคืนเงินให้กับเจ้าของโดยชอบธรรม
การขโมยยังเกิดขึ้นในเว็บไซต์ที่ใช้ซื้อของผิดกฎหมาย ในเดือนพฤศจิกายน 2013 บิตคอยน์มูลค่าประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,072 ล้านบาท) อ้างว่า ถูกขโมยไปจากตลาดขายของผิดกฎหมายออนไลน์ คือ Sheep Marketplace ซึ่งผู้ดำเนินการได้ปิดตลาดโดยทันที ผู้ใช้ได้พยายามติดตามเหรียญเหล่านั้นเมื่อมีการทำธุรกรรมหรือเปลี่ยนเป็นเงินสด แต่ก็ไม่สามารถได้เงินคืน และไม่พบผู้เป็นขโมย ตลาดมืดอีกแห่งคือ Silk Road 2 ได้อ้างว่า เมื่อถูกแฮ็กในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 บัญชีกลางที่เก็บเงินไว้เพื่อจ่ายให้ผู้ขายเมื่อผู้ซื้อได้รับสินค้าได้ถูกขโมยบิตคอยน์มีมูลค่า 2.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 88 ล้านบาท)
เว็บไซต์ที่ผู้ใช้แลกเปลี่ยนบิตคอยน์เพื่อเงินสด หรือเก็บกุญแจไว้ในวอลเลตของเว็บไซต์ ก็เป็นเหยื่อของขโมยด้วย เช่น
- บริการวอลเลตในออสเตรเลีย Inputs.io ถูกแฮ็กสองครั้งในเดือนตุลาคม 2013 และได้สูญบิตคอยน์มูลค่ากว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 31 ล้านบาท)
- ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ตลาดแลกเปลี่ยนเงินเสมือนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกในเมืองโตเกียวคือ Mt. Gox ได้ถึงการล้มละลายและรายงานว่า ได้สูญบิตคอยน์มูลค่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 11,369 ล้านบาท) โดยในที่สุดประธานบริหารก็ถูกจับในข้อหายักยอกทรัพย์
- ในเดือนมีนาคม 2014 บริษัทในแคนาดา Flexcoin ซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวกับการเก็บบิตคอย์ ได้ปิดบริษัทหลังจากพบการขโมยบิตคอยน์มูลค่ากว่า 650,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 21 ล้านบาท)
- ตลาดค้าเงินดิจิทัล Poloniex ได้รายงานในเดือนเดียวกันว่า ได้สูญบิตคอยน์มูลค่าราว ๆ 50,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.6 ล้านบาท)
- ในเดือนมกราคม 2015 ตลาดแลกเปลี่ยนบิตคอยน์อังกฤษที่ใหญ่เป็นอันดับสามในโลกคือ bitstamp ถูกแฮ็กและสูญบิตคอยน์มูลค่ากว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ (171 ล้านบาท)
- ในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 ตลาดจีน BTER สูญบิตคอยน์มูลค่ากว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 69 ล้านบาท) เพราะนักเลงคอมพิวเตอร์
ตลาดแลกเปลี่ยนหลักแห่งหนึ่งคือ Bitfinex ถูกแฮ็กและสูญบิตคอยน์กว่า 120,000 เหรียญมูลค่าราว 60 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,118 ล้านบาท) ทำให้บริษัทต้องหยุดพักตลาดชั่วคราว เป็นการขโมยบิตคอยน์จำนวนมากเป็นอันดับสองของโลก โดยน้อยกว่าการขโมยตลาด Mt. Gox ในปี 2014 เท่านั้น ต่อมาบริษัทจึงได้ค่อย ๆ ใช้เงินคืนให้กับลูกค้าทั้งหมด
โจรกรรมได้สร้างความเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัย ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ที่เปรียบเทียบเงินดิจิทัลสกุลต่าง ๆ ได้กล่าวไว้ว่า "มันเป็นเครื่องเตือนใจถึงความบอบบางของโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่พึ่งเริ่มใหม่เช่นนี้" ตามการให้การต่อหน้าคณะกรรมการธุรกิจย่อยของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในเดือนเมษายน 2014 "พ่อค้าเหล่านี้ไร้การควบคุมดูแลโดยกฎหมาย ไม่มีมาตรฐานเงินทุน และไม่ป้องกันผู้บริโภคต่อการสูญเสียหรือการขโมย"
คริปโทเคอร์เรนซีวอลเลต
ในปี 2017 ความบกพร่องในคริปโทเคอร์เรนซีวอลเลตแบบต้องลงนามหลายคนและทำให้เกิดผลด้วยสัญญาสมาร์ต คือ Parity Wallet ทำให้ผู้บริโภคเสียคริปโทเคอร์เรนซีมูลค่าราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,018 ล้านบาท)
การฉ้อฉล
ในปี 2014 ผู้จัดตั้งบริษัท GAW Miners และ ZenMiner ได้ให้การตามข้อตกลงว่า บริษัทของเขาเป็นส่วนของธุรกิจแบบพีระมิด และให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดในข้อหาการฉ้อฉลผ่านระบบโทรคมนาคมในปี 2015 ต่อมา องค์กรควบคุมตลาดหลักทรัพย์ คือ SEC ได้ฟ้องคดีแพ่งต่อเจ้าของ ซึ่งศาลตัดสินให้จ่ายค่าเสียหาย/ค่าปรับ 9.1 ล้านเหรียญสหรัฐ บวกดอกเบี้ยอีก 7 แสนเหรียญ (รวมราวมูลค่า 333 ล้านบาท) คำฟ้องคดีของ SEC อ้างว่า เจ้าของได้ทำความผิดผ่านบริษัทของเขา โดยฉ้อฉลขาย "สัญญาการลงทุนเป็นแชร์ในกำไรที่พวกเขาว่าจะสร้างขึ้น" จากการขุดหาเหรียญ
หลังจากปิดการทำการของแพล็ตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซี คือ BitConnect รัฐบาลสหรัฐได้ฟ้องคดีในนามกลุ่มบุคคลเรียกร้องค่าเสียหาย 771,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 24 ล้านบาท) ก่อนหน้านั้น คำเตือนการฉ้อฉลเกี่ยวกับ BitConnect และคำสั่งทางราชการของรัฐเท็กซัสให้งดเว้นการกระทำ ได้กล่าวถึงคำสัญญาเพื่อให้กำไรมหาศาลของแพล็ตฟอร์ม
มัลแวร์
สำนักข่าว Ars Technica ได้รายงานในเดือนมกราคม 2018 ว่า โฆษณาของยูทูบที่ติดโปรแกรมจาวาสคริปต์ ได้ใช้เพื่อขุดหาเหรียญคริปโทสกุล Monero
บิตคอยน์
โจรกรรมโดยมัลแวร์
มัลแวร์บางอย่างสามารถขโมยกุญแจส่วนตัวในวอลเลตบิตคอยน์ ซึ่งก็ทำให้สามารถขโมยบิตคอยน์เองได้ แบบที่สามัญสุดจะค้นหาคริปโทเคอร์เรนซีวอลเลตในคอมพ์ แล้วอั๊ปโหลดวอลเลตไปยังคอมพิวเตอร์อื่นเพื่อเจาะหารหัสและขโมยบิตคอยน์ต่อไป แบบจำนวนมากจะบันทึกการพิมพ์ที่แป้นพิมพ์เพื่อเก็บรหัสผ่าน ทำให้ไม่จำเป็นต้องเจาะหารหัส บางอย่างจะตรวจดูที่อยู่บิตคอยน์ซึ่งก๊อปปี้ไปยังคลิปบอร์ด แล้วเปลี่ยนให้เป็นที่อยู่อื่น ทำให้ส่งบิตคอยน์ไปยังที่อยู่ผิด ๆ วิธีเหล่านี้ได้ผลเพราะธุรกรรมของบิตคอยน์ย้อนคืนไม่ได้
มีไวรัสคอมพิวเตอร์หนึ่งที่กระจายผ่าน Pony botnet ซึ่งรายงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ว่าขโมยคริปโทเคอร์เรนซีมีมูลค่าถึง 220,000 เหรียญสหรัฐ (7.1 ล้านบาท) รวมทั้งบิตคอยน์จากวอลเลต 85 ใบ บริษัทรักษาความปลอดภัยข้อมูล คือ Trustwave ซึ่งติดตามมัลแวร์นี้ ได้รายงานว่ารุ่นล่าสุดของมันสามารถขโมยเงินดิจิทัลกว่า 30 สกุล
มัลแวร์ของแม็คที่ออกอาละวาดในเดือนสิงหาคม 2013 คือ Bitvanity ทำตัวเหมือนกับตัวสร้างที่อยู่บิตคอยน์แบบเลขสวย แต่กลับขโมยที่อยู่และกุญแจส่วนตัวจากซอฟท์แวร์ที่ใช้บริการบิตคอยน์อื่น ๆ ส่วนโปรแกรมม้าโทรจันอีกโปรแกรมหนึ่งสำหรับแมคโอเอสซึ่งเรียกว่า CoinThief รายงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ว่าทำโจรกรรมบิตคอยน์หลายกรณี โดยซ่อนอยู่กับแอ๊ปคริปโทเคอร์เรนซีบางรุ่นที่โหลดมาจาก Download.com และ MacUpdate
โปรแกรมเรียกค่าไถ่ (ransomware)
โปรแกรมเรียกค่าไถ่หลายชนิดเรียกให้จ่ายเป็นเป็นบิตคอยน์ โปรแกรมหนึ่งเรียกว่า CryptoLocker ซึ่งปกติจะกระจายเป็นไฟล์แนบติดอีเมลล์ จะเข้ารหัสลับข้อมูลฮาร์ดดิสก์ของคอมพ์ที่ติดเชื้อ แล้วแสดงนาฬิกานับถอยหลัง และเรียกร้องค่าไถ่เป็นบิตคอยน์เพื่อให้ถอดรหัสข้อมูลให้ แม้แต่ตำรวจรัฐแมสซาชูเซตส์ก็ยังต้องจ่ายค่าไถ่เป็นบิตคอยน์สองเหรียญในเดือนพฤศจิกายน 2013 ซึ่งมีมูลค่า 1,300 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4 หมื่นบาท) เพื่อถอดรหัสข้อมูลฮาร์ดดิสก์ของตำรวจ
บิตคอยน์ยังใช้เป็นสื่อในโปรแกรมเรียกค่าไถ่ WannaCry อีกด้วย โปรแกรมเรียกค่าไถ่หนึ่งทำให้ต่อเน็ตไม่ได้ และเรียกร้องข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อแก้คืน ในขณะที่ขุดหาเหรียญบิตคอยน์อย่างลับ ๆ
การขุดหาเหรียญโดยไม่ได้อนุญาต
ในเดือนมิถุนายน 2011 บริษัท Symantec เตือนว่า คอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้อเป็นส่วนของบ็อตเน็ต สามารถใช้ขุดหาเหรียญบิตคอยน์ได้อย่างลับ ๆ มัลแวร์นี้ใช้สมรรถภาพการประมวลผลแบบขนานของหน่วยประมวลผลกราฟิกส์ที่มีในการ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ ๆ แม้คอมพิวเตอร์ธรรมดา ๆ ที่ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิกส์แบบรวม (integrated graphics processor) แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรในการขุดหาเหรียญ แต่คอมพิวเตอร์เป็นหมื่น ๆ ที่มีมัลแวร์ขุดหาเหรียญอาจให้ผลอะไรได้บ้าง
ในกลางเดือนสิงหาคม 2011 มีการตรวจเจอบ็อตเน็ตที่ใช้ขุดหาเหรียญบิตคอยน์ และหลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือน ก็ได้พบโปรแกรมม้าโทรจันเพื่อขุดหาเหรียญบิตคอยน์ในแมคโอเอส
ในเดือนเมษายน 2013 องค์กรกีฬาอิเล็กทรอนิก E-Sports Entertainment ถูกกล่าวหาว่าจี้เอาคอมพิวเตอร์ 14,000 เครื่องเพื่อขุดหาบิตคอยน์ ต่อมาบริษัทจึงยอมความระงับคดีกับรัฐนิวเจอร์ซีย์
ในเดือนธันวาคม 2013 ตำรวจเยอรมันได้จับผู้ต้องหา 2 คนเนื่องกับการปรับซอฟท์แวร์บ็อตเน็ตที่มีอยู่เพื่อใช้ขุดหาเหรียญบิตคอยน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ได้ใช้ขุดหาเหรียญมีมูลค่าอย่างน้อย 950,000 เหรียญสหรัฐแล้ว (ประมาณ 29 ล้านบาท)
ในช่วงระยะ 4 วันระหว่างเดือนธันวาคม 2013 และมกราคม 2014 บริษัทยาฮู!ยุโรปแสดงโฆษณาที่มีมัลแวร์ขุดหาเหรียญบิตคอยน์ โดยได้ติดคอมพิวเตอร์ประมาณ 2 ล้านเครื่อง ซอฟต์แวร์นี้ คือ Sefnit ได้ตรวจพบเป็นครั้งแรกกลางปี 2013 และรวมจำหน่ายกับซอฟต์แวร์ต่าง ๆ หลายอย่างมาก ไมโครซอฟท์ได้กำจัดมัลแวร์นี้ผ่านไมโครซอฟท์ ซีเคียวริตี้ เอสเซนเชียลและซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัยอื่น ๆ
มีรายงานว่า พนักงานหรือนักศึกษาได้ใช้คอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยหรือคอมพิวเตอร์สำหรับงานวิจัย เพื่อขุดหาบิตคอยน์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ตามอีเมลภายในของสถาบัน สมาชิกคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดถูกยุติไม่ให้เข้าถึงสาธารณูปการะคอมพิวเตอร์งานวิจัยของมหาวิทยาลัย หลังจากตั้งระบบขุดหาโดชคอยน์โดยใช้เครือข่ายของมหาวิทยาลัย
ฟิชชิง
เว็บไซต์หนึ่งที่ปฏิบัติการแบบฟิชชิงได้หลอกว่า จะช่วยสร้างวลีรหัสผ่านสำหรับคริปโทเคอร์เรนซีวอลเลต IOTA แต่กลับรวบรวมรหัสลับในวอลเลต โดยประมาณว่าได้หลอกขโมยโทเค็น MIOTA มูลค่ากว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 126 ล้านบาท) เว็บไซต์ที่ทำการไม่ชอบนี้ ได้ทำการเป็นระยะเวลาที่กำหนดไม่ได้ แต่พึ่งจับได้เมื่อเดือนมกราคม 2018
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถ
- ↑
บ็อตเน็ต (botnet) เป็นอุปกรณ์ต่ออินเทอร์เน็ต แต่ละเครื่องดำเนินงานบ็อตหนึ่งบ็อตหรือมากกว่านั้น รวม ๆ กันสามารถใช้ทำการโจมตีโดยปฏิเสธการให้บริการแบบกระจาย ใช้ขโมยข้อมูล ใช้ส่งสแปม และปล่อยให้ผู้ทำการโจมตีเข้าถึงอุปกรณ์และการเชื่อมต่อกับเน็ตของอุปกรณ์นั้นได้ ผู้โจมตีสามารถควบคุมด้วยซอฟท์แวร์ command and control คำว่าบ็อตเน็ต มาจากการรวมคำ robot และ network ซึ่งมักใช้ในความหมายเชิงลบ
อ้างอิง
- ↑ "Coincheck Hacked: "The Biggest Theft in the History of the World"". cryptonews. 2018-01-26.
- . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2017-12-12. Unknown parameter
|dead-url=
ignored (help) - "Coincheck Says It Lost Crypto Coins Valued at About $400 Million". Bloomberg. 2018-01-26.
- Russell, Jon. . TechCrunch (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2017-11-21. สืบค้นเมื่อ 2017-11-22. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - "Bitcoin: Bitcoin under pressure". The Economist. 2013-11-30. สืบค้นเมื่อ 2013-11-30.
- Jeffries, Adrianne (2013-12-19). "How to steal Bitcoin in three easy steps". The Verge. สืบค้นเมื่อ 2014-01-17.
- Everett, David (2012-04). . Smartcard & Identity News. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2016-10-18. สืบค้นเมื่อ 2014-01-17. Check date values in:
|date=
(help) - Grocer, Stephen (2013-07-02). "Beware the Risks of the Bitcoin: Winklevii Outline the Downside". Moneybeat. The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 2013-10-21.
- ↑ Hern, Alex (2013-12-09). "Recovering stolen bitcoin: a digital wild goose chase". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2014-03-06.
- "Silk Road 2 loses $2.7m in bitcoins in alleged hack". BBC News. 2014-02-14. สืบค้นเมื่อ 2014-02-15.
- Hern, Alex (2013-11-08). "Bitcoin site Inputs.io loses £1m after hackers strike twice". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2015-09-18.
- "MtGox bitcoin exchange files for bankruptcy". bbc.com. BBC. 2014-02-28. สืบค้นเมื่อ 2014-04-18.
- "Ex-boss of MtGox bitcoin exchange arrested in Japan over lost $390m". The Guardian. 2015-08-01.
- Ligaya, Armina (2014-03-05). "After Alberta's Flexcoin, Mt. Gox hacked, Bitcoin businesses face sting of free-wheeling ways". Financial Post. สืบค้นเมื่อ 2014-03-07.
- Truong, Alice (2014-03-06). "Another Bitcoin exchange, another heist". Fast Company. สืบค้นเมื่อ 2014-03-07.
- Zack Whittaker (2015-01-05). "Bitstamp exchange hacked, $5M worth of bitcoin stolen". Zdnet. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ 2015-01-06.
- Millward, Steven (2015-02-16). "Nearly $2M in bitcoins feared lost after Chinese cryptocurrency exchange hack". techinasia.com. Tech In Asia. สืบค้นเมื่อ 2015-02-18.
- Coppola, Frances (2016-08-06). "Theft And Mayhem In The Bitcoin World". Forbes. สืบค้นเมื่อ 2016-08-15.
- "Bitfinex Reimburses First Bitcoin Exchange Hack Victims". สืบค้นเมื่อ 2016-10-26.
- "Bitcoin Price Back Above $600 for First Time since Bitfinex Hack". สืบค้นเมื่อ 2016-10-26.
- "Bitfinex". bitfinex. สืบค้นเมื่อ 2017-04-03.
- Heller, Matthew (2016-08-04). "Bitfinex Hack Fuels Bitcoin Security Concerns -". CFO (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2017-01-11.
- (PDF). U.S. House of Representatives Committee on Small Business Hearing. 2014-04-02. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2017-01-07. สืบค้นเมื่อ 2017-01-10.
- . Ars Technica. 2017-10-05. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2017-12-29.
- "Class Action Lawsuit Filed Against BitConnect". 2018-01-26.
- "5 reasons to tread carefully in cryptocurrencies". CBS. 2018-01-05.
- "Now even YouTube serves ads with CPU-draining cryptocurrency miners". ArsTechnica. 2018-01-26.
- ↑ Hajdarbegovic, Nermin (2014-02-27). "Nearly 150 strains of malware are after your bitcoins". CoinDesk. สืบค้นเมื่อ 2014-03-07.
- Gregg Keizer (2014-02-28). "Bitcoin malware count soars as cryptocurrency value climbs". Computerworld. สืบค้นเมื่อ 2015-01-08.
- Barski, Conrad; Wilmer, Chris (2014-11-14). Bitcoin for the Befuddled. No Starch Press. p. 57. ISBN 978-1-59327-573-0.
- "Thingbots: The Future of Botnets in the Internet of Things". Security Intelligence. 2016-02-20.
- "botnet". techopedia. สืบค้นเมื่อ 2016-06-09.
- "Bitcoins, other digital currencies stolen in massive 'Pony' botnet attack". 2014-02-24. สืบค้นเมื่อ 2015-01-08.
- Finkle, Jim (2014-02-24). . Reuters. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2015-11-13. สืบค้นเมื่อ 2014-03-07.
- ↑ "Watch out! Mac malware spread disguised as cracked versions of Angry Birds, Pixelmator and other top apps". ESET. 2014-02-26. สืบค้นเมื่อ 2015-11-20.
- "You're infected—if you want to see your data again, pay us $300 in Bitcoins". Ars Technica. สืบค้นเมื่อ 2013-10-23.
- "Criminals continue to defraud and extort funds from victims using cryptowall ransomware schemes". FBI. สืบค้นเมื่อ 2017-11-13.
- ↑ "How Ransomware turns your computer into a bitcoin miner". The Guardian. 2014-02-10. สืบค้นเมื่อ 2014-03-07.
- Gibbs, Samuel (2013-11-21). "US police force pay bitcoin ransom in Cryptolocker malware scam". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2014-03-07.
- Usborne, Simon (2017-05-15). "Digital gold: why hackers love Bitcoin" – โดยทาง The Guardian.
- "Bitcoin Botnet Mining". Symantec.com. 2011-06-17. สืบค้นเมื่อ 2012-01-24.
- Goodin, Dan (2011-08-16). "Malware mints virtual currency using victim's GPU". The Register. สืบค้นเมื่อ 2014-10-31.
- Ryder, Greg (2013-06-09). "All About Bitcoin Mining: Road To Riches Or Fool's Gold?". Tom's hardware. สืบค้นเมื่อ 2015-09-18.
- "Infosecurity - Researcher discovers distributed bitcoin cracking trojan malware". Infosecurity-magazine.com. 2011-08-19. สืบค้นเมื่อ 2012-01-24.
- "Mac OS X Trojan steals processing power to produce Bitcoins: Security researchers warn that DevilRobber malware could slow down infected Mac computers". TechWorld. IDG communications. 2011-11-01. สืบค้นเมื่อ 2012-01-24.
- "E-Sports Entertainment settles Bitcoin botnet allegations". BBC News. 2013-11-20. สืบค้นเมื่อ 2013-11-24.
- Mohit Kumar (2013-12-09). "The Hacker News The Hacker News +1,440,833 ThAlleged Skynet Botnet creator arrested in Germany". สืบค้นเมื่อ 2015-01-08.
- McGlaun, Shane (2014-01-09). "Yahoo malware turned Euro PCs into bitcoin miners". SlashGear. สืบค้นเมื่อ 2015-01-08.
- Liat Clark (2014-01-20). "Microsoft stopped Tor running automatically on botnet-infected systems". สืบค้นเมื่อ 2015-01-08.
- Hornyack, Tim (2014-06-06). "US researcher banned for mining Bitcoin using university supercomputers". PC world.com. IDG Consumer & SMB. สืบค้นเมื่อ 2014-06-13.
- "Harvard Research Computing Resources Misused for 'Dogecoin' Mining Operation". The Harvard Crimson. 2014-02-20.
- "IOTA Founder On Stolen Funds: Lots of People Will "Screw You Over"". Finance Magnates. 2018-01-25.