เบวาซิซูแมบ (อังกฤษ: Bevacizumab, /bɛvəˈsɪzjuːmæb/) ที่วางตลาดในชื่อการค้า Avastin เป็นยาที่ใช้รักษาโรคบางอย่างและโรคตาอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ สำหรับมะเร็ง ยาจะถูกปล่อยเข้า(เส้นเลือดดำ)อย่างช้า ๆ เพื่อรักษา(มะเร็งลำไส้ใหญ่), (มะเร็งปอด), มะเร็งสมอง (glioblastoma), และมะเร็งเซลล์ไต (renal cell carcinoma) สำหรับรักษา(จุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุ) (AMD) ใช้การฉีดเข้าในตา
(โมโนโคลนอล แอนติบอดี) | |
---|---|
(ประเภท) | Whole antibody |
(แหล่งที่มา) | (from (mouse)) |
เป้าหมาย | VEGF-A |
ข้อมูลทางคลินิก | |
การอ่านออกเสียง | /bɛvəˈsɪzjuːmæb/ |
ชื่อทางการค้า | Avastin, อื่น ๆ |
/ | Bevacizumab |
(ข้อมูลทะเบียนยา) |
|
(ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์) |
|
กฏหมาย | |
(สถานะตามกฏหมาย) |
|
ข้อมูล(เภสัชจลนศาสตร์) | |
(ชีวประสิทธิผล) | 100% (ในหลอดเลือดดำ) |
ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ | 20 วัน (ระหว่าง 11-50 วัน) |
ตัวบ่งชี้ | |
(เลขทะเบียน CAS) | |
DrugBank | |
ข้อมูลทางกายภาพและเคมี | |
สูตร | C6638H10160N1720O2108S44 |
149,196.82 (g)/(mol) g·mol−1 | |
7 (verify) | |
ผลข้างเคียงสามัญเมื่อใช้รักษามะเร็งรวมทั้งเลือดกำเดาไหล (ปวดหัว) ความดันโลหิตสูง และ(ผื่น) ผลข้างเคียงรุนแรงรวมทั้งทางเดินอาหารทะลุ (gastrointestinal perforation) เลือดออก แพ้ ลิ่มเลือด และความเสี่ยง(ติดเชื้อ)สูงขึ้น เมื่อใช้รักษาตา ผลข้างเคียงรวมทั้งการเสียการเห็นและ(จอตาลอก) เบวาซิซูแมบ อยู่ในหมู่(ยายับยั้งกำเนิดหลอดเลือด) (angiogenesis inhibitor) และ(สารภูมิต้านทานโมโนโคลน) (monoclonal antibody) มันทำงานโดยชะลอการเกิด/การเติบโตของเส้นเลือด
เบวาซิซูแมบ อนุมัติให้ใช้รักษาในสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2547 เป็นยาอย่างหนึ่งในรายการยาจำเป็นของ(องค์การอนามัยโลก) คือเป็นยาที่มีประสิทธิผลและปลอดภัยที่สุดและจำเป็นในระบบสาธารณสุข โดยติดรายการเพราะใช้รักษาโรคตา ใน(ประเทศกำลังพัฒนา) ราคาขายส่งของยาอยู่ที่ 638.54 (เหรียญสหรัฐ) (ประมาณ 20,741 บาท) ต่อขวดในปี พ.ศ. 2557 โดยขวดขนาดเดียวกัน ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติในสหราชอาณาจักร (NHS) ต้องจ่าย 242.66 (ปอนด์สเตอร์ลิง) (ประมาณ 12,700 บาท)
การแพทย์
มะเร็งลำไส้ใหญ่
(องค์การอาหารและยา)สหรัฐอนุมัติให้ใช้เป็นยารักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ที่กระจายแล้ว โดยใช้ร่วมกับเคมีบำบัดปกติ ซึ่งเป็นการรักษาลำดับแรก หรือโดยใช้กับยา 5-fluorouracil ซึ่งเป็นการรักษาลำดับสอง
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 องค์กรยายุโรป (EMA) จึงอนุมัติให้ใช้รักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ ยายังได้ตรวจสอบเพื่อใช้เสริมยาเคมีบำบัดอื่น ๆ ในคนไข้มะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ยังไม่แพร่กระจาย แต่งานศึกษาที่ทำแบบสุ่มสองงานแสดงว่า ไม่มีประโยชน์เพื่อป้องกันมะเร็งไม่ให้กลับมาและอาจมีโทษสำหรับคนไข้กรณีนี้
มะเร็งปอด
ในปี พ.ศ. 2549 องค์การอาหารและยาสหรัฐอนุมัติให้ใช้เป็นยารักษา(มะเร็งปอด)แบบ nonsquamous non-small-cell lung carcinoma เป็นลำดับแรกโดยใช้ร่วมกับ(เคมีบำบัด)ที่ใช้ยา carboplatin หรือ paclitaxel การอนุมัติอาศัยงานศึกษาสำคัญที่เรียกว่า E4599 (ซึ่งทำโดย Eastern Cooperative Oncology Group) ซึ่งแสดงการรอดชีวิตโดยรวม (overall survival) ได้นานขึ้นสองเดือนสำหรับคนไข้ที่รักษาด้วยยา การวิเคราะห์ทางวิทยาเนื้อเยื่อที่วางแผนล่วงหน้าใน E4599 แสดงการรอดชีวิตได้นานขึ้น 4 เดือนโดยมัธยฐาน สำหรับคนไข้(มะเร็งชนิดต่อม) ซึ่งเป็นในกรณีคนไข้ 85% ของมะเร็งปอดกลุ่ม non-squamous cell carcinoma
การทดลองทางคลินิกของยุโรป คือ AVAiL ต่อมารายงานในปี พ.ศ. 2552 ยืนยันช่วงการมีชีวิตที่โรคไม่ก้าวหน้านานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เหมือนที่พบใน E4599 แต่การรอดชีวิตโดยรวมไม่นานขึ้นเมื่อรักษาด้วยยา ซึ่งอาจเป็นเพราะการใช้ยาที่จำกัดกว่าในการรักษาแบบธำรงสภาพ (maintenance) ใน AVAiL เมื่อเทียบกับ E4599 ผลแตกต่างเช่นนี้ก็พบในคนไข้มะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย ในฐานเป็น(ยายับยั้งกำเนิดหลอดเลือด) ไม่มีเหตุผลเนื่องกับกลไกของยาเพื่อยุติการใช้ยาก่อนโรคจะแย่ลงอีก กล่าวอีกอย่างก็คือ ประโยชน์คือการรอดชีวิตที่ได้จากการใช้ยา จะหวังได้ก็ต่อเมื่อใช้ตามหลักฐานทางคลินิกคือ ให้ใช้ยาจนกระทั่งโรคแย่ลงหรือมีผลข้างเคียงที่ยอมรับไม่ได้
งานทดลองทางคลินิกของยุโรปในการใช้ยารักษามะเร็งปอด คือ AVAPERL ได้รายงานในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 คนไข้ได้รักษาด้วย เบวาซิซูแมบ ร่วมกับยา cisplatin/pemetrexed 4 รอบ แล้วจัดเข้ากลุ่มต่าง ๆ โดยสุ่มเพื่อรักษาแบบธำรงสภาพ (maintenance) ด้วยยา bevacizumab/pemetrexed หรือด้วย เบวาซิซูแมบ อย่างเดียวจนกระทั่งโรคแย่ลงอีก การรักษาธำรงสภาพด้วย bevacizumab/pemetrexed ลดความเสี่ยงโรคแย่ลงถึง 50% เทียบกับเมื่อใช้ เบวาซิซูแมบ อย่างเดียว (ค่ามัธยฐานของช่วงการมีชีวิตที่โรคคงสภาพ 10.2 เดือนเทียบกับ 6.6 เดือน) แต่ก็ไม่ได้เพิ่มการรอดชีวิตโดยรวมอย่างสำคัญเทียบกับเมื่อใช้ เบวาซิซูแมบ เดี่ยว ๆ เมื่อวิเคราะห์ติดตามผล
เครือข่ายศูนย์มะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (National Comprehensive Cancer Network) แนะนำให้ใช้ยา เบวาซิซูแมบ เป็นการรักษาลำดับแรกบวกกับเคมีบำบัดมาตรฐานอื่น ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วตามด้วยการรักษาธำรงสภาพด้วยยาจนกว่าอาการจะแย่ลง โดยให้ยาในขนาดสูงกว่าเมื่อใช้เคมีบำบัดที่อาศัยยา carboplatin เทียบกับเมื่อให้เคมีบำบัดที่อาศัยยา cisplatin
ในมะเร็งปอดระยะปลาย คนไข้น้อยกว่าครึ่งจะผ่านเกณฑ์เพื่อรักษา
มะเร็งเต้านม
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 องค์การอาหารและยาสหรัฐได้แจ้งความตั้งใจถอนข้อบ่งใช้ยาในการรักษา(มะเร็งเต้านม) (ซึ่งอนุมัติในปี พ.ศ. 2551) โดยอ้างว่า ไม่ปรากฏว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิผลสำหรับคนไข้ คือ ข้อมูลรวมกันจากการทดลองทางคลินิกต่าง ๆ กัน 4 งานแสดงว่า ยาไม่ได้ทำให้รอดชีวิตโดยรวมได้นานขึ้น และไม่ได้ชะลออาการพอเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่เกิดแก่คนไข้ การถอนอนุมัตินี้มีผลให้บริษัทไม่สามารถโฆษณาขายยาเพื่อรักษามะเร็งเต้านมเท่านั้น และแพทย์ก็ยังสามารถให้ยานอกเหนือจากข้อบ่งใช้ แต่บริษัทประกันสุขภาพก็มีโอกาสน้อยลงในการจ่ายค่ายาที่ใช้นอกข้อบ่งใช้
ต่อมาเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 คณะกรรมการขององค์กรก็ได้ปฏิเสธการอุทธรณ์ของบริษัทเจ้าของยาอย่างเป็นเอกฉันท์ คือ คณะผู้ชำนาญการในเรื่องมะเร็งได้ตัดสินเป็นครั้งที่สองว่า Avastin (เบวาซิซูแมบ) ซึ่งเป็นยารักษามะเร็งที่ขายดีเป็นอันดับสองของโลก ไม่ควรใช้ต่อไปในคนไข้มะเร็งเต้านม เป็นการกำจัดอุปสรรคให้รัฐบาลสหรัฐถอนอนุมัติของยา การประชุมนี้เป็นการพิจารณาอุทธรณ์ของบริษัทเป็นขั้นสุดท้าย คณะผู้ชำนาญการได้สรุปว่า งานทดลองทางคลินิกของมะเร็งเต้านมที่ให้ยา Avastin แก่คนไข้ไม่แสดงประโยชน์ในอัตราการรอดชีวิต ไม่ทำคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และเกิดผลข้างเคียงอย่างสำคัญ อย่างไรก็ดี กลุ่มสนับสนุนคนไข้ต่าง ๆ ก็รู้สึกผิดหวังในการตัดสินใจของคณะ
ต่อมาเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 องค์กรจึงได้ประกาศว่าได้ถอนการอนุมัติการบ่งใช้ในโรคมะเร็งเต้านมของยา โดยสรุปว่าไม่มีหลักฐานว่ายาปลอดภัยหรือมีประสิทธิผลเพื่อข้อบ่งใช้นี้
มะเร็งไต
ในมะเร็งไตบางอย่าง ยาช่วยทำให้มีช่วงชีวิตที่โรคคงสภาพนานขึ้น แต่ไม่ช่วยให้รอดชีวิตได้นานขึ้น ในปี พ.ศ. 2552 องค์กรอาหารและยาสหรัฐอนุมัติให้ใช้ยาเพื่อรักษามะเร็งเซลล์ไต (renal cell cancer) ที่แพร่กระจายแล้ว หลังจากได้รายงานที่แสดงว่ามีฤทธิ์สหภาพยุโรปก็ให้อนุมัติในปี พ.ศ. 2550
มะเร็งสมอง
ยาชะลอการเติบโตของเนื้องอกแต่ไม่มีผลให้รอดชีวิตได้นานขึ้นในคนไข้มะเร็งแบบ glioblastoma multiforme องค์การอาหารและยาสหรัฐได้ให้อนุมัติเพื่อรักษาโรคนี้แบบกลับเป็นซ้ำในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 แต่(งานปริทัศน์แบบคอเครน)ปี พ.ศ. 2557 ก็อ้างว่า ไม่มีหลักฐานพอเพื่อใช้รักษาการกลับเป็นซ้ำ
โรคตา
โรคตาหลายชนิด เช่น (จุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุ) (AMD) และ(โรคจอตาเหตุเบาหวาน) ทำ(จอตา)ให้เสียหายและเป็นเหตุให้ตาบอด เมื่อเส้นเลือดรอบ ๆ จอตางอกอย่างผิดปกติแล้วปล่อยให้น้ำซึมออก ทำให้(ชั้นต่าง ๆ ของจอตาแยกออกจากกัน) การงอกผิดปกติเช่นนี้มีเหตุจากแฟกเตอร์โปรโมตการเติบโตของเส้นเลือด คือ vascular endothelial growth factor (VEGF) และแพทย์ได้ใช้ เบวาซิซูแมบ เพื่อยับยั้ง VEGF และชะลอการงอกของเส้นเลือด
จักษุแพทย์ได้ใช้ยานี้แบบนอกข้อบ่งใช้ (off-label) โดยเป็นยาฉีดเข้าในวุ้นตาเพื่อรักษาโรคตาที่งอกเส้นเลือดใหม่ โดยเฉพาะที่เส้นเลือดงอกในชั้นคอรอยด์ของจอตา (CNV) ใน AMD แม้องค์กรอาหารและยาสหรัฐยังไม่ได้อนุมัติให้ใช้อย่างนี้ การฉีดยาประมาณ 1.25-2.5 มก. เข้าที่ช่องวุ้นตาก็ไม่ก่อพิษภายในตาอย่างสำคัญ แพทย์เฉพาะทางในเรื่องจอตาได้เห็นผลที่น่าทึ่งในการรักษา CNV, โรคจอตาเหตุเบาหวาน, ต้อหินแบบเส้นเลือดใหม่งอก (neovascular glaucoma), จุดภาพชัดบวมเหตุเบาหวาน (diabetic macular edema), โรคจอตาของทารกคลอดก่อนกำหนด (retinopathy of prematurity) และจุดภาพชัดบวม (macular edema) ซึ่งเป็นอาการทุติยภูมิของการอุดตันของเส้นเลือดดำในจอตา (retinal vein occlusion)
งานทบทวนบางงานได้สรุปว่า ผลที่ได้จากยา เบวาซิซูแมบ และ ranibizumab คล้ายกัน แต่งานอื่น ๆ ก็แสดงผลไม่พึงประสงค์ในอัตราที่สูงกว่า เช่น ภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือดเมื่อใช้ เบวาซิซูแมบ หรือไม่สามารถได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเนื่องจากมีข้อมูลจำกัด
ในเรื่องความปลอดภัยของยานี้ ประเด็นที่ควรคำนึงถึงเป็นพิเศษเมื่อใช้รักษาโรคจุดภาพชัดจอตา ก็คืออาจเกิดการปนเปื้อนหรือติดเชื้อเมื่อแบ่งบรรจุและเก็บยาก่อนที่จะนำไปฉีดให้ผู้ป่วย ผศ.นพ.ธนภัทร รัตนภากร จาก(โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ได้อธิบายในส่วนนี้ว่า “ต้องมีการแบ่งยา เบวาซิซูแมบ จากปริมาณบรรจุ 4 (ซีซี) เพื่อใช้ประมาณ 0.05 ซีซีต่อครั้ง ขั้นตอนหลังจากนั้นจะมีการเก็บยาไว้ เมื่อใดก็ตามที่ต้องมีหลายกระบวนการก่อนที่จะฉีดเข้าตา โอกาสปนเปื้อนในแต่ละจุดจึงเกิดได้ รวมทั้งการเก็บยาไว้นานเกินไป เก็บในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ล้วนแต่อาจจะมีข้อบกพร่องซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อ เมื่อเทียบกับยาที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการฉีดเข้าตาโดยไม่ต้องแบ่ง” ทั้งนี้ สำหรับยา ranibizumab เอง ก็ต้องดูดเข้าเข็มฉีดยาก่อนฉีดให้แก่คนไข้เหมือนกัน หากไม่มีระบบฆ่าเชื้อที่ดีก็อาจปนเปื้อนได้เช่นกัน แต่อาจเกิดน้อยกว่าเพราะไม่ต้องแบ่งยา
มะเร็งรังไข่
ในปี พ.ศ. 2561 (องค์การอาหารและยาสหรัฐ) (FDA) ให้การรับรอง เบวาซิซูแมบ ร่วมกับเคมีบำบัดสำหรับมะเร็งรังไข่ระยะที่สาม หรือสี่ หลังจากการผ่าตัดครั้งแรก ตามด้วยการให้ เบวาซิซูแมบ อย่างเดียว การอนุมัติมีพื้นฐานจากการศึกษาการเพิ่ม เบวาซิซูแมบ ในการให้ยา carboplatin และ paclitaxel การอยู่รอดแบบไม่มีการลุกลามของโรคเพิ่มขึ้นจาก 13 เดือนเป็น 18 เดือน
การให้ยา
เบวาซิซูแมบ ปกติจะให้ทาง(เส้นเลือดดำ)ทุก ๆ 14 วัน ในมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะให้ร่วมกับยาเคมีบำบัด คือ 5-FU (5-fluorouracil), leucovorin, และ oxaliplatin/irinotecan สำหรับโรคตา มันจะฉีดเข้าที่ช่องวุ้นตา (intravitreous)
ผลไม่พึงประสงค์
ยาระงับการงอกของเส้นเลือด ซึ่งเป็นการขัดขวางการบำรุงรักษาร่างกายอย่างหนึ่ง เพราะร่างกายงอกเส้นเลือดใหม่เพื่อสมานแผล และสร้างเส้นเลือดเบี่ยง (collateral circulation) รอบหลอดเลือดที่อุดตันหรือแข็ง ดังนั้น จึงสร้างความเป็นห่วงว่า ยาจะกวนกระบวนการธรรมชาติเช่นนี้ เป็นเหตุให้อาการต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (coronary artery disease) หรือโรคหลอดเลือดตีบนอกหัวใจและสมอง (peripheral artery disease) แย่ลง
ผลข้างเคียงหลัก ๆ ของยาก็คือ (ความดันโลหิตสูง)และความเสี่ยงตกเลือดที่สูงขึ้น มีรายงานเกี่ยวกับลำไส้ทะลุ (bowel perforation)(ความล้า)และ(การติดเชื้อ)ก็สามัญด้วย
(ผนังกั้นโพรงจมูก)ทะลุและหลอดเลือดฝอยมีลิ่มเลือด (thrombotic microangiopathy) ก็มีรายงาน ในเดือน 2010 องค์การอาหารและยาสหรัฐประกาศเตือนถึงความเสี่ยงการเกิดช่องทะลุในร่างกาย รวมทั้งจมูก (กระเพาะอาหาร) และ(ลำไส้)
ในปี พ.ศ. 2556 บริษัท Hoffmann-La Roche ประกาศว่า ยาสัมพันธ์กับกรณี necrotizing fasciitis (พังผืดอักเสบตายเฉพาะส่วน) 52 รายระหว่างปี พ.ศ. 2540-2555 โดยคนไข้ 17 คนได้เสียชีวิต โดย 2 ใน 3 เป็นคนไข้ที่มีมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือคนไข้ที่ทางเดินอาหารทะลุ (gastrointestinal perforation) หรือมีช่องทะลุ (fistula)
ผลเหล่านี้ไม่มีเมื่อใช้รักษาตา เนื่องจากยาฉีดเข้าในตาซึ่งทำให้เกิดผลต่อร่างกายส่วนอื่นน้อย
ผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ทางประสาทรวมทั้ง posterior reversible encephalopathy syndrome (PRES) ซึ่งมีอาการ(ปวดหัว), สับสน, (ชัก) และการเสียการเห็น โรคหลอดเลือดสมองแบบอุดตันหรือแบบตกเลือดก็เป็นไปได้เช่นกัน
กลไกการทำงาน
เบวาซิซูแมบ เป็น(สารภูมิต้านทานโมโนโคลน) ซึ่งห้ามการเกิดเส้นลือดโดยยับยั้งแฟกเตอร์คือ vascular endothelial growth factor A (VEGF-A) VEGF-A เป็น growth factor ที่กระตุ้นให้เกิดเส้นเลือดในโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ยาเป็นสารยับยั้งการเกิดเส้นเลือด (angiogenesis inhibitor) แรกในสหรัฐอเมริกา
เคมี
เบวาซิซูแมบ ดั้งเดิมได้มาจาก(สารภูมิต้านทานโมโนโคลน) (monoclonal antibody) ของหนูที่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อ 165-residue-form of recombinant human vascular endothelial growth factor (rhu VEGF165) แล้วจึงทำเป็นของมนุษย์โดยเก็บส่วน binding region ของสารภูมิต้านทานในขณะที่แทนส่วนที่เหลือด้วยส่วน light chain และ truncated IgG1 heavy chain ของมนุษย์ โดยยังมีการทดแทนด้วยส่วนอื่น ๆ ด้วย พลาสมิดที่เป็นผลผลิตจะใส่เข้าในเซลล์รังไข่ของ(แฮมสเตอร์จีน) (Chinese Hamster Ovary cell) ผ่านกระบวนการ transfection แล้วผลิตโดยใช้ระบบ(การหมักเชิงอุตสาหกรรม): 4
ประวัติ
ยาเป็น(สารภูมิต้านทานลูกผสมจากโคลนของเซลล์เดียว)ที่ในปี พ.ศ. 2547 ได้ใช้ระงับการเกิดเส้นเลือดเป็นยาแรก พัฒนาการของมันอาศัยการค้นพบแฟกเตอร์ คือ vascular endothelial growth factor (VEGF) ในมนุษย์ ซึ่งเป็นโปรตีนที่กระตุ้นการงอกของเส้นเลือด เป็นการค้นพบของแพทย์นักชีววิทยาของบริษัท Genentech คือ ศ. นพ. Napoleone Ferrara ซึ่งต่อมาเขาได้แสดงว่า สารภูมิต้านทานต่อต้าน VEGF จะระงับการเจริญเติบโตของเนื้องอกในหนู งานของเขายืนยัน(สมมติฐาน)ของแพทย์อีกคนหนึ่งที่เสนอในปี พ.ศ. 2514 ว่า การระงับกำเนิดเส้นเลือดอาจมีผลควบคุมการเจริญเติบโตของมะเร็ง
การอนุมัติ
ยาได้รับอนุมัติเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2547 ให้ใช้ร่วมกับเคมีบำบัดมาตรฐานเพื่อรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ที่กระจายตัวแล้ว ต่อจากนั้นก็ได้รับอนุมัติเพื่อรักษามะเร็งปอดบางชนิด มะเร็งไต มะเร็งรังไข่ และมะเร็งสมองประเภท glioblastoma multiforme
ในปี พ.ศ. 2551 องค์การอาหารและยาสหรัฐอนุมัติให้ใช้ยาเพื่อรักษามะเร็งเต้านม แต่ก็ได้ถอนการอนุมัติ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เพราะแม้จะมีหลักฐานว่า ยาชะลอการแย่ลงของมะเร็งเต้านมที่กระจายตัวแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่า ยาทำให้รอดชีวิตได้นานขึ้น หรือเพิ่มคุณภาพชีวิต แต่มีผลไม่พึงประสงค์รวมทั้งความดันโลหิตสูงและการตกเลือด
จากความจริงเช่นนั้น ในปี พ.ศ. 2551 องค์กรได้ให้การอนุมัติแบบมีข้อแม้ คือต้องมีการศึกษาเพิ่มขึ้น แม้จะเป็นการอนุมัติที่คณะผู้ชำนาญการแนะนำว่า ไม่ควรให้ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 หลังจากที่งานศึกษาไม่พบประโยชน์ที่สำคัญ คณะผู้ชำนาญการจึงแนะนำไม่ให้ใช้ยารักษามะเร็งเต้านมขั้นปลาย บริษัทจึงร้องให้มีการฟังคำชี้แจง ซึ่งได้เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 แล้วต่อมาเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2554 องค์กรจึงได้ถอนอนุมัติเพื่อให้รักษามะเร็งเต้านม เป็นการอนุมัติที่บริษัทต้องมีเพื่อจะวางตลาดขายยาสำหรับข้อบ่งชี้นั้น แม้แพทย์ก็ยังสามารถให้ยานี้สำหรับโรคนี้แก่คนไข้ แต่บริษัทประกันสุขภาพมีโอกาสคุ้มครองจ่ายค่ายาให้น้อยลง
ถึงกระนั้น ยาก็ยังได้อนุมัติให้ใช้ในข้อบ่งชี้นี้ในประเทศอื่น ๆ รวมทั้งออสเตรเลีย เป็นยาที่กองทุนยามะเร็ง (CDF) ในสหราชอาณาจักรจ่ายให้ แต่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2558 ก็มีการเสนอให้ลบออกจากรายการอนุมัติขององค์กร
สังคมและวัฒนธรรม
ราคา
ในประเทศที่มีประกันสุขภาพแห่งชาติ (เช่น ในสหราชอาณาจักรและแคนาดา) องค์กรมักจะจำกัดการใช้ยานี้ เนื่องกับการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร องค์กรของรัฐคือ National Institute for Health and Care Excellence มีจุดยืนว่า ยาไม่ควรจ่ายโดยประกันสุขภาพแห่งชาติ (NHS) เพราะมีค่าใช้จ่ายถึง £21,000 ต่อคนไข้ (ประมาณ 1.2 ล้านบาท) แต่มีประโยชน์เพียงแค่เล็กน้อยสำหรับมะเร็งแบบต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2549 องค์กรของรัฐ Scottish Medicines Consortium แนะนำไม่ให้ NHS จ่ายยาสำหรับรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรงโดยเป็นการรักษาอันดับแรก เพราะมีค่าใช้จ่ายประเมินระหว่าง £24,000-£93,000 (1.2-4.6 ล้านบาท) ต่อปีโดยปรับด้วยคุณภาพชีวิต (QALY)
การให้ยาเพิ่มบวกกับการรักษามาตรฐานสามารถทำให้คนไข้มะเร็งเต้านมและมะเร็งปอดมีชีวิตนานขึ้นหลายเดือน โดยมีค่าใช้จ่ายที่ 100,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.8 ล้านบาท) ต่อปีในสหรัฐอเมริกา สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่ งานศึกษาเบื้องต้นที่พิมพ์ใน(วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์)รายงานว่า เบวาซิซูแมบ ยืดอายุคนไข้ได้ 4.7 เดือน (คือ 20.3 เดือน เทียบกับ 15.6 เดือน) โดยมีค่าใช้จ่ายระหว่าง 42,800-55,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.8-2.2 ล้านบาท) แต่ค่าใช้จ่ายในประเทศอื่น ๆ ก็ต่างกันไป มีรายงานว่าในแคนาดา มันมีค่าใช้จ่าย 40,000 เหรียญแคนาดา (ประมาณ 1.2 ล้านบาท) ต่อปี
ยาพิเศษ (สหรัฐอเมริกา)
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557 บริษัท Genentech ได้เปลี่ยนหมวดยาที่อนุญาตตามกฎหมายให้เป็น ยาพิเศษ (specialty drug) ซึ่งขายเฉพาะในร้านเภสัชพิเศษ โดน "ยาพิเศษปกติจะอยู่ใต้การควบคุมของ FDA’s Risk Evaluation and Mitigation Strategy (REMS) program ซึ่งตั้งขึ้นสำหรับสารประกอบต่าง ๆ เช่น (เทสโทสเตอโรน) ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงพิเศษ หรือยาที่แพงเป็นพิเศษ" ซึ่งสร้างปัญหาแก่โรงพยาบาลเพราะราคายาเพิ่มขึ้น ตามบริษัท IMS Health ราคายาโดยเฉลี่ยที่โรงพยาบาลเรียกเก็บจากคนไข้ตกประมาณ 9,000 เหรียญสหรัฐ (308,000 บาท) เทียบกับ 2,300 เหรียญ (79,000 บาท) เมื่อทำในคลินิก โดยเป็นผลของการจัดจำหน่ายที่อนุญาตตามกฎหมายใหม่เช่นนี้ โรงพยาบาลจำนวนมากจึงไม่มีสิทธิ์ได้ส่วนลด 51% จากราคาขายส่งเฉลี่ยที่บังคับด้วยกฎหมาย Affordable Healthcare Act เมื่อจัดจำหน่ายแบบเดิม
จุดภาพชัดเสื่อม
เมื่อใช้ยา bevacizumab รักษา(จุดภาพชัดเสื่อมแบบเปียก) (wet age-related macular degeneration, wet AMD) ขนาดที่ให้จะน้อยและมีราคาไม่แพง เทียบกับขนาดที่ต้องใช้เพื่อมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งอื่น ๆ มีผู้ตรวจสอบหลายรายได้รายงานในปี พ.ศ. 2553 ว่า ยาที่ราคาราว ๆ 42 เหรียญสหรัฐ (ราว 1,300 บาท) มีประสิทธิผลเท่ากับยา ranibizumab ซึ่งมีราคา 1,593 เหรียญ (ราว 50,500 บาท) โดยในประเทศไทยมีราคาประมาณ 500-1,000 บาท และ 45,481-50,092 บาทในปี พ.ศ. 2560 ตามลำดับ
โดยเดือนเมษายน พ.ศ. 2558 มีการถกเถียงอย่างเข้มข้นในสหราชอาณาจักรและประเทศยุโรปอื่น ๆ เกี่ยวกับการเลือกให้ยา เบวาซิซูแมบ (Avastin) หรือ ranibizumab (Lucentis) เพื่อรักษา wet AMD ในสหราชอาณาจักร ปัญหาก็คือ ในฝ่ายหนึ่งคือ องค์กรยายุโรป (European Medicines Agency) และองค์กรควบคุมยาของสหราชอาณาจักร (Medicines and Healthcare Products Regulatory Agency) ได้อนุมัติให้ใช้ ranibizumab เพื่อรักษา wet AMD แต่ไม่ได้อนุมัติ เบวาซิซูแมบ และองค์กรต้องการให้แพทย์ไม่ใช้ยาที่ไม่ได้อนุมัติเมื่อมียาอื่นที่ได้รับอนุมัติ และในอีกฝ่ายหนึ่ง องค์กรของรัฐคือ National Institute for Health and Care Excellence (NICE) ซึ่งเป็นผู้กำหนดแนวทางการรักษา ยังไม่สามารถประเมิน เบวาซิซูแมบ เป็นการรักษาลำดับต้น เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายเพื่อควบคุมงบประมาณขององค์กรประกันสุขภาพของรัฐ คือ National Health Service ทั้งบริษัท Novartis และ Roche ซึ่งเป็นบริษัทวางตลาดและบริษัทเจ้าของสำหรับ Avastin ตามลำดับ ยังไม่ได้ทำการทดลองทางคลินิกเพื่อให้ได้อนุมัติใช้ยา Avastin เพื่อรักษา wet AMD และไม่มีแผนเพื่อทำเช่นนั้น อนึ่ง ทั้งสองบริษัทวิ่งเต้นไม่ให้ออกแนวทางการรักษาเพื่อใช้ Avastin เป็นการรักษาลำดับแรก และถ้ามีงานศึกษาโดยทุนจากรัฐบาลที่เปรียบเทียบยาทั้งสองตีพิมพ์รายงาน บริษัทก็จะออกเอกสารเน้นความเสี่ยงเมื่อใช้ Avastin เพื่อรักษา wet AMD
มะเร็งเต้านม
ในปี พ.ศ. 2554 องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้ถอน เบวาซิซูแมบ จากข้อบ่งใช้เพื่อรักษามะเร็งเต้านมที่กระจายแล้วหลังจากสรุปว่า ยาไม่ปรากฏกว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิผล ข้อบ่งใช้ที่ตอนแรกอนุมัติก็คือ การใช้ยาพร้อมกับ paclitaxel สำหรับรักษาคนไข้ที่ยังไม่ได้รับเคมีบำบัดและมีมะเร็งเต้ามนมแบบ HER2-negative ที่กระจายแล้ว
ก่อนการประกาศขององค์กรในปีเดียวกัน เครือข่ายศูนย์มะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (NCCN) ได้อัปเดตแนวทางการรักษาขององค์กร (NCCN Guidelines) สำหรับโรคมะเร็งเต้านม โดยยืนยันข้อแนะนำให้ใช้ยาเพื่อรักษามะเร็งเต้านมที่กระจายแล้ว คือในปี พ.ศ. 2551 FDA ได้อนุมัติให้ใช้ยารักษามะเร็งเต้านม แม้คณะผู้ชำนาญการนอกองค์กรจะลงคะแนน 5 ต่อ 4 เพื่อไม่ให้อนุมัติ แต่องค์กรได้ตัดสินฝืนคำแนะนำนี้ คณะผู้ชำนาญการได้แสดงความเห็นว่า ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกไม่ได้แสดงการเพิ่มคุณภาพชีวิตหรือการทำให้รอดชีวิตได้นานขึ้น ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำคัญสองอย่างสำหรับการรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้าย แม้หลักฐานจะแสดงว่า ยาลดขนาดเนื้องอกและเพิ่มช่วงมีชีวิตที่โรคคงสภาพ ซึ่งเป็นข้อมูลหลังที่องค์กรเลือกเมื่อตัดสินฝืนความเห็นของผู้ชำนาญการ เป็นการตัดสินใจที่สนับสนุนโดยกลุ่มป้องกันผลประโยชน์ของคนไข้และแพทย์วิทยาเนื้องอกบางส่วน แต่แพทย์วิทยาเนื้องอกอื่น ๆ ก็รู้สึกว่า การให้อนุมัติสำหรับการรักษามะเร็งระยะสุดท้าย ที่ไม่ยืดอายุหรือเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไข้ จะเป็นตัวอย่างให้บริษัทยาไม่ต้องสนใจเกณฑ์มาตรฐานเหล่านั้นเมื่อพัฒนาการรักษามะเร็งระยะสุดท้ายใหม่ ๆ
ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2550 คณะกรรมาธิการยุโรปได้อนุมัติให้ใช้ยาร่วมกับ paclitaxel เป็นการรักษาลำดับแรกสำหรับโรคมะเร็งเต้านมที่กระจายแล้ว
ยาปลอม
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 บริษัท Roche และหน่วยเทคโนโลยีชีวภาพสหรัฐของบริษัทคือ Genentech ประกาศว่า มียา Avastin ปลอมที่ได้กระจายขายในสหรัฐ แม้ยังสืบคดีอยู่ แต่การบรรจุยาที่ต่างกันทำให้การแยกแยะยาปลอมเป็นเรื่องง่าย Roche ได้วิเคราะห์ยาปลอม 3 ขวดแล้วพบว่า มี(เกลือ), (แป้ง), ไซเตรต, isopropanol, propanediol, t-butanol, benzoic acid, di-fluorinated benzene ring, (แอซีโทน), และ phthalate moiety แต่ไม่มียามะเร็ง ตามบริษัท องค์ประกอบทางเคมีของยาปลอมไม่แน่นอน จึงไม่สามารถกำหนดว่าสารเคมีเข้มข้นพอมีโทษหรือไม่ โดยสามารถสืบยาปลอมว่ามาจาก(อียิปต์) แล้วเข้าสู่(ห่วงโซ่อุปทาน)ผ่านยุโรป จนมาถึงสหรัฐ
ยาคล้ายกันทางชีวภาพ
ในเดือน พ.ศ. 2557 บริษัทที่ใช้(พันธุวิศวกรรม)เปลี่ยนยีนของพืชหรือสัตว์เพื่อผลิตยา (pharming) คือ PlantForm และ PharmaPraxis ประกาศแผนที่จะวางตลาดขายยาคล้ายกันที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิต (biosimilar) โดยผลิตจากการแสดงออกยีนในต้น(ยาสูบ)โดยร่วมมือกับศูนย์วิจัยทางจุลชีววิทยาคือ Fraunhofer Center for Molecular Biology ในสหรัฐอเมริกา ยาคล้ายกันทางชีวภาพเช่นนี้ ปกติจะวางตลาดขายได้เมื่อ(สิทธิบัตร)ของยาต้นตำรับหมดอายุแล้ว ต่อมาเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 องค์การอาหารและยาสหรัฐได้อนุมัติยาคล้ายกันทางชีวภาพของบริษัท Amgen โดยมีชื่อสามัญว่า bevacizumab-awwb และชื่อผลิตภัณฑ์ว่า Mvasi และมีข้อบ่งใช้เพื่อมะเร็ง 6 ชนิด
งานวิจัย
งานศึกษาตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 พบว่า ยาไม่มีประสิทธิผลเพื่อป้องกันการกลับมีอาการโรคอีกของมะเร็งลำไส้ที่ยังไม่กระจายหลังจากผ่าตัด
ยามีผลต่อโรค(มะเร็งรังไข่) และมะเร็งสมองแบบ glioblastoma multiforme เมื่อใช้เป็นยาเดี่ยว ๆ
งานทดลองทางคลินิกระยะ 3 สองงานในปี พ.ศ. 2553 แสดงว่า ยาเพิ่มช่วงมีชีวิตที่โรคคงสภาพสำหรับคนไข้มะเร็งรังไข่ 27% และ 54%
มีการตรวจสอบว่ายาสามารถรักษา(มะเร็งตับอ่อน)โดยเสริมเคมีบำบัดได้หรือไม่ แต่งานวิจัยแสดงว่า ไม่ทำให้รอดชีวิตดีขึ้น แต่กลับเพิ่มความดันโลหิต ทำให้เลือดออกในกระเพาะและลำไส้ และลำไส้ทะลุ
ยากำลังทดลองในเบื้องต้นโดยเสริมเคมีบำบัดปกติและการผ่าตัด เพื่อรักษามะเร็งกระดูกในเด็ก รวมทั้งมะเร็งแบบอื่น ๆ เช่น มะเร็ง(กล้ามเนื้อเรียบ) (leiomyosarcoma)
มีงานศึกษาการใช้ยาเพื่อรักษามะเร็งที่งอกจากส่วนประสาทที่เชื่อมหูกับสมอง (vestibular schwannoma)
โดยปี พ.ศ. 2555 มีการทดลองทางคลินิกเพื่อทดสอบการให้ยาในเส้นเลือดเพื่อรักษามะเร็งสมองโดยตรงคือไม่ผ่านส่วนกั้นระหว่างโลหิตกับสมอง
อ้างอิง
- "Bevacizumab Use During Pregnancy". Drugs.com. 30 July 2019. สืบค้นเมื่อ 18 March 2020.
- "Bevacizumab - Drugs.com". www.drugs.com. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-12-28. สืบค้นเมื่อ 2016-12-28.
- "Bevacizumab Injection: MedlinePlus Drug Information". NLM.nih.gov. 2014-02-28. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-25.
- "Bevacizumab". The American Society of Health-System Pharmacists. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-12-20. สืบค้นเมื่อ 2016-12-08.
- "WHO Model List of Essential Medicines (19th List)" (PDF). World Health Organization. April 2015. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-12-13. สืบค้นเมื่อ 2016-12-08.
- "WHO Model List of EssentialMedicines" (PDF). World Health Organization. October 2013. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-23. สืบค้นเมื่อ 2014-04-22.
- "Bevacizumab". International Drug Price Indicator Guide. สืบค้นเมื่อ 2016-12-08.
- British national formulary : BNF 69 (69 ed.). British Medical Association. 2015. p. 597. (ISBN) .
- (PDF). European Medicines Agency. 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม ((PDF))เมื่อ 2015-09-24.
- "Lessons From the Adjuvant Bevacizumab Trial on Colon Cancer: What Next?". Jco.ascopubs.org. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-05. สืบค้นเมื่อ 2012-08-05.
- Sandler A.; Gray R.; Perry MC.; และคณะ (14 December 2006). "Paclitaxel-carboplatin alone or with bevacizumab for non-small-cell lung cancer". New England Journal of Medicine. 355 (24): 2542–2550. doi:10.1056/NEJMoa061884. (PMID) 17167137.
- Sandler A.; Yi J.; Dahlberg S.; และคณะ (September 2010). "Treatment outcomes by tumor histology in Eastern Cooperative Group Study E4599 of bevacizumab with paclitaxel/carboplatin for advanced non-small cell lung cancer". Journal of Thoracic Oncology. 5 (9): 1416–1423. doi:10.1097/JTO.0b013e3181da36f4. (PMID) 20686429.
- Reck M.; von Pawel J.; Zatloukal P.; Ramlau R.; Gorbounova V.; Hirsh V.; Leighl N.; Mezger J.; Archer V.; Moore N.; Manegold C.; BO17704 Study Group (September 2010). "Overall survival with cisplatin-gemcitabine and bevacizumab or placebo as first-line therapy for nonsquamous non-small-cell lung cancer: results from a randomised phase III trial (AVAiL)". Annals of Oncology. 21 (9): 1804–1809. doi:10.1093/annonc/mdq020. (PMID) 20150572.
- Preeta Tyagi; Axel Grothey (November 2006). "Commentary on a phase III trial of bevacizumab plus XELOX or FOLFOX4 for first-line treatment of metastatic colorectal cancer: the NO16966 trial". Clinical Colorectal Cancer. 6 (4): 261–264. doi:10.3816/CCC.2006.n.044. (PMID) 17241510.
- F. Barlesi; J. de Castro; V. Dvornichenko; และคณะ (September 2011). "AVAPERL (MO22089): Final Efficacy Outcomes for Patients (pts) With Advanced Non-squamous Non-small Cell Lung Cancer (nsNSCLC) Randomised to Continuation Maintenance (mtc) with Bevacizumab (bev) or Bev + Pemetrexed (pern) After First-line (1L) Bev-cisplatin (cis)-pem Treatment (Tx)". European Journal of Cancer. 47 (Supplement 2): 16. doi:10.1016/S0959-8049(11)70133-2.
- F. Barlesi; A. Scherpereel; V. Gorbunova; และคณะ (May 2014). "Maintenance bevacizumab–pemetrexed after first-line cisplatin–pemetrexed–bevacizumab for advanced nonsquamous nonsmall-cell lung cancer: updated survival analysis of the AVAPERL (MO22089) randomized phase III trial". Annals of Oncology. 25 (5): 1044–1052. doi:10.1093/annonc/mdu098.
- Velcheti, V.; Viswanathan, A.; Govindan, R. (June 2006). "The proportion of patients with metastatic non-small cell lung cancer potentially eligible for treatment with bevacizumab: a single institutional survey". Journal of Thoracic Oncology. 1 (5): 501. doi:10.1097/01243894-200606000-00023. (PMID) 17409907.
- Vaughn, C.; Zhang, L.; Schiff, D. (January 2008). "Reversible posterior leukoencephalopathy syndrome in cancer". Current Oncology Reports. 10 (1): 86–91. doi:10.1007/s11912-008-0013-z. (PMID) 18366965.
- "FDA begins process to remove breast cancer indication from Avastin label" (Press release). FDA. 2010-12-16. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-16. สืบค้นเมื่อ 2010-12-17.
- "F.D.A. Rejects Use of Drug in Cases of Breast Cancer". NY Times. 2010-12-16. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-11. สืบค้นเมื่อ 2010-12-16.
- Couzin-Frankel, J.; Ogale, Y. (July 2011). "FDA. Once on 'fast track,' avastin now derailed". Science. 333 (6039): 143–144. doi:10.1126/science.333.6039.143. (PMID) 21737712.
- . San Francisco Chronicle. 2009-08-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-30.
- . GENNewsHighlights. Genetic Engineering & Biotechnology News. 2009-08-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-05-11. สืบค้นเมื่อ 2012-08-13.
- Rini, BI (February 2007). "Vascular endothelial growth factor-targeted therapy in renal cell carcinoma: current status and future directions". Clinical Cancer Research. 13 (4): 1098–1106. doi:10.1158/1078-0432.CCR-06-1989. (PMID) 17317817.
- European Medicines Agency (January 2008). "Avastin-H-C-582-II-0015 : EPAR - Assessment Report - Variation" (PDF). (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-30.
{{}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
() - Khasraw, M.; Ameratunga, MS.; Grant, R.; Wheeler, H.; Pavlakis, N. (September 2014). "Antiangiogenic therapy for high-grade glioma". The Cochrane Database of Systematic Reviews (9): CD008218. doi:10.1002/14651858.CD008218.pub3. (PMID) 25242542.
- Pazdur, Richard (M.D.) (May 2009). "FDA Approval for Bevacizumab". National Cancer Institute. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-01-10. สืบค้นเมื่อ 2010-05-11.
- Arevalo, JF.; Fromow-Guerra, J.; Sanchez, JG.; และคณะ (2008). "Primary intravitreal bevacizumab for subfoveal choroidal neovascularization in age-related macular degeneration: results of the Pan-American Collaborative Retina Study Group at 12 months follow-up". Retina. 28 (10): 1387–1394. doi:10.1097/IAE.0b013e3181884ff4. (PMID) 18827735.
- Azad, R.; Chandra, P. (2007). "Intravitreal bevacizumab in aggressive posterior retinopathy of prematurity". Indian Journal of Ophthalmology. 55 (4): 319 (author reply 320). doi:10.4103/0301-4738.33057. (PMID) 17595491.
- Moja, L.; Lucenteforte, E.; Kwag, KH.; และคณะ (September 2014). "Systemic safety of bevacizumab versus ranibizumab for neovascular age-related macular degeneration". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 9 (9): CD011230. doi:10.1002/14651858.CD011230.pub2. (PMC) 4262120. (PMID) 25220133.
- Scott, LJ.; Chakravarthy, U.; Reeves, BC.; Rogers, CA. (March 2015). "Systemic safety of anti-VEGF drugs: a commentary". Expert Opinion on Drug Safety. 14 (3): 379–388. doi:10.1517/14740338.2015.991712. (PMID) 25489638.
- Chen, G.; Li, W.; Tzekov, R.; Jiang, F.; Mao, S.; Tong, Y. (February 2015). "Bevacizumab versus ranibizumab for neovascular age-related macular degeneration: a meta-analysis of randomized controlled trials". Retina. 35 (2): 187–193. doi:10.1097/IAE.0000000000000301. (PMID) 25105318.
- Kodjikian, L.; Decullier, E.; Souied, EH.; และคณะ (October 2014). "Bevacizumab and ranibizumab for neovascular age-related macular degeneration: an updated meta-analysis of randomised clinical trials". Graefe's Archive for Clinical and Experimental Ophthalmology = Albrecht Von Graefes Archiv Fur Klinische Und Experimentelle Ophthalmologie. 252 (10): 1529–1537. doi:10.1007/s00417-014-2764-6. (PMC) 4180904. (PMID) 25142373.
- Thulliez M.; Angoulvant D.; Le Lez ML.; และคณะ (November 2014). "Cardiovascular events and bleeding risk associated with intravitreal antivascular endothelial growth factor monoclonal antibodies: systematic review and meta-analysis". JAMA Ophthalmology. 132 (11): 1317–1326. doi:10.1001/jamaophthalmol.2014.2333. (PMID) 25058694.
- Wang, W.; Zhang, X. (2014). "Systemic adverse events after intravitreal bevacizumab versus ranibizumab for age-related macular degeneration: a meta-analysis". PLOS One. 9 (10): e109744. doi:10.1371/journal.pone.0109744. (PMC) 4199620. (PMID) 25330364.
- อโนมา สอนบาลี (2014). "โอกาสและทางเลือก สำหรับผู้ป่วยโรคจุดภาพชัดจอตา" (PDF). จุลสารโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ปีที่ 5 ฉบับที่ 17 กรกฎาคม-กันยายน 2555. โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (กรมอนามัย) กระทรวงสาธารณสุข. ผลการศึกษาจากนักวิชาการไทย, หน้า 9-10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม ((PDF))เมื่อ 2018-07-18. สืบค้นเมื่อ 2018-05-28.
{{}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง () - "FDA approves bevacizumab in combination with chemotherapy for ovarian cancer". U.S. Food and Drug Administration (FDA). 2018-06-13. สืบค้นเมื่อ 2018-08-04. บทความนี้รวมเอาเนื้อความจากแหล่งอ้างอิงนี้ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ
- Hyuk-Chan Kwon; Sung Yong Oh; Suee Lee; และคณะ (14 December 2007). "Bevacizumab plus infusional 5-fluorouracil, leucovorin and irinotecan for advanced colorectal cancer that progressed after oxaliplatin and irinotecan chemotherapy: A pilot study". World Journal of Gastroenterology. 13 (46): 6231–6235. doi:10.3748/wjg.v13.i46.6231. (PMC) 4171235. (PMID) 18069765.
- Semenza, GL. (May 2008). "A new weapon for attacking tumor blood vessels". The New England Journal of Medicine. 358 (19): 2066–2067. doi:10.1056/NEJMcibr0800272. (PMID) 18463385.
- Sliesoraitis, S.; Tawfik, B. (July 2011). "Bevacizumab-induced bowel perforation". The Journal of the American Osteopathic Association. 111 (7): 437–441. (PMID) 21803880.
- "Avastin prescribing" (PDF). (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-29. สืบค้นเมื่อ 2016-06-02.
- Eremina, V.; Jefferson, JA.; Kowalewska, J.; และคณะ (March 2008). "VEGF inhibition and renal thrombotic microangiopathy". The New England Journal of Medicine. 358 (11): 1129–1136. doi:10.1056/NEJMoa0707330. (PMC) 3030578. (PMID) 18337603.
- "Cancer drug Avastin tied to 2 cases of flesh-eating disease in Canada". CBC News. 2013-05-02. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-02. สืบค้นเมื่อ 2013-05-02.
- Mehrdad Afarid; Ali Sadegi Sarvestani; Feisal Rahat; Ali Azimi (2018). "Intravitreal Injection of Bevacizumab: Review of our previous Experience". Iranian Journal of Pharmaceutical Research. 17 (3): 1093–1098. (PMC) 6094424. (PMID) 30127831.
- Godfrey, SE. (May 1989). "Estrogen receptors". American Journal of Clinical Pathology. 91 (5): 629–630. doi:10.1215/15228517-2008-118. (PMC) 2718965.
- Los, M.; Roodhart, JM.; Voest, EE. (April 2007). "Target practice: lessons from phase III trials with bevacizumab and vatalanib in the treatment of advanced colorectal cancer". The Oncologist. 12 (4): 443–450. doi:10.1634/theoncologist.12-4-443. (PMID) 17470687.
- Shih, T.; Lindley, C. (November 2006). "Bevacizumab: an angiogenesis inhibitor for the treatment of solid malignancies". Clinical Therapeutics. 28 (11): 1779–1802. doi:10.1016/j.clinthera.2006.11.015. (PMID) 17212999.
- . New York Times. 2004-02-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-24.
- Palmer, AM.; Stephenson, FA.; Williams, RJ. (April 2007). "Society for Medicines Research: 40th anniversary symposium". Drug News & Perspectives. 20 (3): 191–196. (PMID) 17520096.
- Ferrara, N. (2009). "Anti-angiogenic drugs to treat human disease: an interview with Napoleone Ferrara by Kristin H. Kain". Disease Models & Mechanisms. 2 (7–8): 324–325. doi:10.1242/dmm.002972. (PMID) 19553691.
- Ribatti, D. (2008). "Napoleone Ferrara and the saga of vascular endothelial growth factor". Endothelium. 15 (1): 1–8. doi:10.1080/10623320802092377. (PMID) 18568940.
- Ferrara, N. (2011). "From the discovery of vascular endothelial growth factor to the introduction of avastin in clinical trials - an interview with Napoleone Ferrara by Domenico Ribatti". The International Journal of Developmental Biology. 55 (4–5): 383–388. doi:10.1387/ijdb.103216dr. (PMID) 21858763.
- "Avastin full Prescribing Information - Genentech" ((PDF)). Gene.com. 2011. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-14.
- "Press Announcements - FDA Commissioner announces Avastin decision". U.S. Food and Drug Administration. 2011-11-18. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-15. สืบค้นเมื่อ 2014-10-31.
- Pollack, Andrew (2011-11-18). "F.D.A. Revokes Approval of Avastin for Breast Cancer". New York Times. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-21.
- "Cancer drug Avastin loses US approval". BBC. 2011-11-18. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-19.
- "F.D.A. Approves Drug's Use for Breast Cancer". The New York Times. 2008-02-22. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-02.
- "Breast cancer drug 'still safe' for Aussie women". Australian Broadcasting Corporation. 2010-07-22. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-23.
- "David Cameron's flagship Cancer Drugs Fund 'is a waste of NHS cash'". Guardian. 2015-01-10. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-15. สืบค้นเมื่อ 2015-01-11.
- Briggs, Helen (BBC News Health Reporter) (2010-08-24). "Critics condemn bowel cancer drug rejection". จากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-08-24.
- "Re-Submission bevacizumab" (PDF). Scottish Medicines. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-24. สืบค้นเมื่อ 2012-07-18.
- Berenson, Alex (2006-02-15). "A Cancer Drug Shows Promise, at a Price That Many Can't Pay". New York Times. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-11-18.
- Mayer, RJ. (June 2004). "Two steps forward in the treatment of colorectal cancer". The New England Journal of Medicine. 350 (23): 2406–2408. doi:10.1056/NEJMe048098. (PMID) 15175443.
- "P.E.I. sole holdout on cancer drug". CBC News. 2009-11-26. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-16.
- Saporito, Bill (2014-10-27). "Hospitals Furious at Cancer-Drug Price Hikes". Time. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-20. สืบค้นเมื่อ 2015-10-26.
- "Innovation in Cancer Care and Implications for Health Systems: Global Oncology Trend Report | Reports". จากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-13.
- Mundy, Alicia (2010-06-17). . Wall Street Journal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-23. สืบค้นเมื่อ 2018-05-27.
- Tufail, A.; Patel, PJ.; Egan, C.; Hykin, P.; da Cruz, L.; Gregor, Z.; Dowler, J.; Majid, MA.; Bailey, C.; Mohamed, Q.; Johnston, R.; Bunce, C.; Xing, W. (June 2010). "Bevacizumab for neovascular age related macular degeneration (ABC Trial) : multicentre randomised double masked study". BMJ. 340: c2459. doi:10.1136/bmj.c2459. (PMID) 20538634.
- . สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวสร.). 2017-05-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-05-28. สืบค้นเมื่อ 2018-05-27.
- "โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม (Macula disease)". รพ. เมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง). 2017-04-30. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-29. สืบค้นเมื่อ 2018-05-28.
- "Why have UK doctors been deterred from prescribing Avastin?". The British Medical Journal. 2015-04-01. สืบค้นเมื่อ 2015-04-02.
- "NCCN Guidelines for Breast Cancer Updated; Bevacizumab Recommendation Affirmed". National Comprehensive Cancer Network. 18 October 2010. สืบค้นเมื่อ 2020-05-10.
- "Avastin approved for metastatic breast cancer in EU". Pharma Times. 29 March 2007. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-05-11.
- "Counterfeits of cancer drug Avastin found in U.S". Reuters. 2012-02-15. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-24.
- Berkrot, Bill (2012-02-27). "Fake Avastin had salt, starch, chemicals:Roche". Reuters. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-03. สืบค้นเมื่อ 2012-02-28.
- Staton, Tracy (2012-02-28). "Phony Avastin vials contained chemicals, but no drugs". FiercePharma.com. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-01. สืบค้นเมื่อ 2012-02-28.
- . BioPharma-Reporter. 2014-07-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-10.
- Nick, C (2012). "The US Biosimilars Act: Challenges Facing Regulatory Approval". Pharm Med. 26 (3): 145–152. doi:10.1007/bf03262388.
- . September 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-16.
- Reed, Katie (2009-04-22). "Roche drug Avastin fails cancer study, shares fall". Reuters. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-08-12. สืบค้นเมื่อ 2009-04-22.
- JA. Konner; K. Fallon; S. Pezzuli; และคณะ (20 June 2007). "A phase II study of intravenous (IV) and intraperitoneal (IP) paclitaxel (Tax), IP cisplatin (Cis), and IV bevacizumab (Bev) as first-line chemotherapy for optimal stage II or III ovarian, primary peritoneal, and fallopian tube cancer". Proceeding of ASCO. Journal of Clinical Oncology. 25 (18_suppl): 5523.
- RA. Burger; MF. Brady; MA. Bookman; และคณะ (June 2010). "Phase III trial of bevacizumab (BEV) in the primary treatment of advanced epithelial ovarian cancer (EOC), primary peritoneal cancer (PPC), or fallopian tube cancer (FTC) : A Gynecologic Oncology Group study". Journal of Clinical Oncology. 28 (7). จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-11.
- Cloughesy, T. F.; Prados, M. D.; Wen, P. Y.; และคณะ (2008). "A phase II, randomized, non-comparative clinical trial of the effect of bevacizumab (BV) alone or in combination with irinotecan (CPT) on 6-month progression free survival (PFS6) in recurrent, treatment-refractory glioblastoma (GBM)". Journal of Clinical Oncology. 26 (15S): 2010b.
- "Roche Claims Phase III Data Supports Use of Avastin in Ovarian Cancer". 2010-10-12. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-10-18.
- Saif, MW. (July 2008). "New developments in the treatment of pancreatic cancer. Highlights from the "44th ASCO Annual Meeting". Chicago, IL, USA. May 30 - June 3, 2008". Journal of the pancreas. 9 (4): 391–397. (PMID) 18648128. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-31.
- Rocha-Lima, CM. (June 2008). "New directions in the management of advanced pancreatic cancer: a review". Anti-Cancer Drugs. 19 (5): 435–446. doi:10.1097/CAD.0b013e3282fc9d11. (PMID) 18418211.
- Riess, Hanno (2008). "Antiangiogenic Strategies in Pancreatic Cancer". Pancreatic Cancer. Recent Results in Cancer Research. Vol. 177. pp. 123–129. doi:10.1007/978-3-540-71279-4_14. (ISBN) .
- "Md. Girl,11, First To Try New Cancer Treatment". จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-13.
- "A Phase II Study of Neoadjuvant Bevacizumab and Radiation Therapy for Resectable Soft Tissue Sarcomas". จากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-22.
- Plotkin, SR.; Merker, VL.; Halpin, C.; และคณะ (August 2012). "Bevacizumab for progressive vestibular schwannoma in neurofibromatosis type 2: a retrospective review of 31 patients". Otology & Neurotology. 33 (6): 1046–1052. doi:10.1097/MAO.0b013e31825e73f5. (PMID) 22805104.
- Burkhardt, JK.; Riina, H.; Shin, BJ.; และคณะ (January 2012). "Intra-arterial delivery of bevacizumab after blood-brain barrier disruption for the treatment of recurrent glioblastoma: progression-free survival and overall survival". World Neurosurgery. 77 (1): 130–134. doi:10.1016/j.wneu.2011.05.056. (PMC) 3743246. (PMID) 22405392.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Avastin.com
- Berenson, Alex (2006-02-15). "A Cancer Drug Shows Promise, at a Price That Many Can't Pay". New York Times.
- NCI Drug Information Summary on Bevacizumab for Patients
- NCI Drug Dictionary Definition for Bevacizumab
- Sachdev, JC.; Jahanzeb, M. (October 2008). "Evolution of bevacizumab-based therapy in the management of breast cancer". Clinical Breast Cancer. 8 (5): 402–410. doi:10.3816/CBC.2008.n.048. (PMID) 18952553.
- U.S. National Library of Medicine: Drug Information Portal—Bevacizumab
- NCCN Guidelines For Breast Cancer Updated; Bevacizumab Recommendation Affirmed 2011-08-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Avastin Adverse Events Reported to the FDA Adverse Event Reporting System (AERS)
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์