โทรคมนาคมในประเทศไทย
การสื่อสารโทรคมนาคมในประเทศไทย เริ่มขึ้นครั้งแรกด้วยการให้บริการโทรเลขเมื่อปี พ.ศ. 2418 โดยมีกรมโทรเลขเป็นผู้ดูแลการให้บริการ ในอดีต การพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์ในประเทศไทย อยู่ในการให้บริการโดยหน่วยงานของภาครัฐเท่านั้น จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการโทรเลข โทรศัพท์ วิทยุ และโทรทัศน์ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการทหารที่ยังคงควบคุมคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์จำนวนมาก
ในช่วงปี พ.ศ. 2530 - 2540 เป็นช่วงการเปิดให้บริการโทรคมนาคมอย่างเสรีกับภาคประชาชน โดยมีหน่วยงานของรัฐ 3 หน่วยงานที่ดูแลกิจการโทรคมนาคมเป็นหลัก ได้แก่ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือทีโอที), การสื่อสารแห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือ กสท โทรคมนาคม) และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือ อสมท) และแปรสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจในรูปแบบบริษัทมหาชนจำกัดในปี พ.ศ. 2546-2547 โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้คลื่นความถี่ทั้งหมดเป็น "ทรัพยากรการสื่อสารของชาติเพื่อสวัสดิการสาธารณะ" โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระขึ้นซึ้งมีอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่, ตรวจสอบ และควมคุมการติดต่อสื่อสารในประเทศไทยได้แก่ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงแห่งชาติ (กสช.) ในปี พ.ศ. 2541 และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง กทช. ชุดแรกขึ้นในปี พ.ศ. 2547
การจัดตั้ง กทช. ทำให้มีการโอนหน้าที่และทรัพย์สินของกรมไปรษณีย์โทรเลข ในการกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม มาเป็นของคณะกรรมการ กทช. รวมถึงในส่วนของกองงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ ในการกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันในส่วนของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงแห่งชาติในขณะนั้นไม่ได้รับการยอมรับเนื่องจากมีการโต้แย้งรวมถึงข้อพิพาทต่างๆทั้งในการกระบวนการสรรหาและการเมืองภายในภาคสื่อเอง
ภายหลังจากเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ได้มีการตัดสินใจควบรวมกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม โดยได้ยุบหน่วยงานทั้ง กทช. และ กสท. เดิม และตราพระราชบัญญัติองค์การจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และบังคับใช้ในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งในพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้มีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุการจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการด้านโทรคมนาคม โดยกำหนดให้เป็นหน่วยงานอิสระของรัฐ
ภารกิจแรกของคณะกรรมการ กสทช. คือการจัดประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมประเภทบริการ 3 จี ในปี พ.ศ. 2555 ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 โดยมีการออกใบอนุญาตในช่วงคลื่นความถี่ 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ ทั้งหมด 3 ใบ ให้กับ เอไอเอส, ทรูมูฟ เอช และดีแทค
ในปี พ.ศ. 2556 คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) หน่วยงานย่อยของ กสทช. ได้เปิดให้มีการประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ดิจิทัลภาคพื้นดินแห่งชาติจำนวน 42 ใบ และเปิดให้บริการได้ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน
แม้จะเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 แต่ด้วยพระราชบัญญัติ กสทช. ยังมีผลบังคับใช้จึงทำให้คณะกรรมการยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนได้มีการออกพระราชบัญญัติฉบับใหม่ในปี พ.ศ. 2560 โดยได้ยุบหน่วยงานย่อยของกสทช. ทั้งหมดให้เหลือเพียงหน่วยงาน กสทช. เพียงหน่วยงานเดียว อีกทั้งยังต้องให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจประเด็นตามๆ จากเดิมที่ให้อำนาจกสทช. ตัดสินใจเอง
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 รัฐบาลทหารได้ออกคำสังให้สถานีวิทยุชุมชนทั้งหมดต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียง โดยจะมีการตรวจสอบก่อนได้รับใบอนุญาต โดยช่วงแรกได้ออกใบอนุญาตชั่วคราวให้ก่อนในช่วงเดือนกันยายนไปยังสถานีวิทยุที่ได้รับใบอนุญาตอยู่ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งต้องลงนามในบันทึกข้อตกลงหลักเกณฑ์ต่างๆ ก่อนสามารถเผยแพร่การออกอากาศได้ ในระหว่างที่รอการตรวจสอบเพื่อออกใบอนุญาตฉบับใหม่ต่อไป
ผู้ประกอบการโทรคมนาคมเริ่มได้รับสัมปทานกับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สำหรับให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งรัฐบาลได้แก้ไขให้ยกเลิกระบบสัมปทานคลื่นความถี่ด้านโทรคมนาคม และสิ้นสุดเมื่อปี พ.ศ. 2558
สำหรับบริการหรือข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัมปทานจะแตกต่างกันไปในช่วง 1-15 ปี โดยสัญญาสัมปทานเกือบทั้งหมดเป็นสัญญาที่เขียนขึ้นตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายหรือ BTO โดยนักลงทุนเอกชนต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายที่จำเป็นทั้งหมด และโอนทรัพย์สินที่สร้างขึ้นไปยังเจ้าของสัมปทานหรือหน่วยงานของรัฐก่อนที่จำสามารถดำเนินการหรือให้บริการแก่ประชาชนได้
ปัจจุบันตลาดเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่มีผู้ประกอบการหลัก 3 รายและมีอัตราการเติบโตสูงถึง 136% โดยปัจจุบันผู้ให้บริการเครือข่ายหลักๆ จะใช้เทคโนโลยีของกลุ่ม GSM และ 3GPP ได้แก่ GSM, EDGE, UTMS และ LTE ส่วนตลาดโทรทัศน์ในประเทศปัจจุบันแบ่งเป็นโทรทัศน์ระบบแอนะล็อกเดิม 6 ช่อง และโทรทัศน์ระบบดิจิทัลจำนวน 26 ช่อง
โทรศัพท์
ระบบโทรศัพท์พื้นฐาน
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานเพียงรายเดียวได้แก่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) โดยสถิติในไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ. 2557 มีผู้ใช้บริการจำนวน 5,687,038 เลขหมายลดลงจากปี พ.ศ. 2551
ผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2424 โดยกระทรวงกลาโหม ต่อมาได้มีการโอนกิจการให้แก่กรมไปรษณีย์โทรเลข องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2497
การให้บริการของโทรศัพท์พื้นฐานในอดีตนั้นค่อนข้างมีข้อจำกัดสูง อัตราการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานในปี พ.ศ. 2534 อยู่ที่ 3.3 เลขหมายต่อประชากร 100 คน ก่อนที่จะมีการเปิดให้บริษัทเอกชนรับสัมปทานเพื่อสร้างและใช้โทรศัพท์พื้นฐาน 2 รายได้แก่บริษัท เทเลคอมเอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบัน บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) สำหรับให้บริการในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล และบริษัท ไทย เทเลโฟน แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) สำหรับให้บริการในต่างจังหวัด
โทรศัพท์เคลื่อนที่
ในไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ. 2557 มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยที่ 97.6 ล้านเลขหมาย คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 146% แบ่งเป็นผู้ใช้บริการแบบเติมเงิน 84.8 ล้านเลขหมาย โดย 99% ของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้ผู้ให้บริการหลัก 3 ราย (รวมถึงผู้ให้บริการในเครือด้วย) ได้แก่ เอไอเอส มีสัดส่วนผู้ใช้บริการอยู่ที่ 46.52% รองลงมาได้แก่ ดีแทค 28.50% และทรูมูฟ เอช 24.26% ส่วนผู้ให้บริการรายอื่นรวมถึงรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ ทีโอที 0.57% และ กสท. โทรคมนาคม 0.15% รวมถึงผู้ประกอบการกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนโครงข่ายเสมือน (MVNO)
ในช่วงปี พ.ศ. 2520 - 2540 บริษัทเอกชนจะได้รับสัมปทานสำหรับให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดย ทีโอที และ กสท. ก่อนที่จะเปลี่ยนผ่านการอนุญาตให้บริการจากระบบสัมปทานเป็นขอใบอนุญาตในปี พ.ศ. 2545 - 2546 ตามพระราชบัญญัติองค์การจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมฉบับที่ 1 และจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นเพื่อกำกับดูแลคลื่นความถี่ของชาติ การจัดการที่สำเร็จครั้งแรกได้แก่การจัดประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติโดยคณะกรรมการ กสทช. ในปี พ.ศ. 2555 โดยจัดสรรคลื่นความถี่ช่วง 2100 ความกว้าง 15 เมกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 3 ใบอนุญาต โดยทั้งสามผู้ให้บริการรายใหญ่ได้ไปรายละ 1 ใบอนุญาต
ในปี พ.ศ. 2558 ที่ กสทช. ได้มีการจัดประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจำนวน 2 ย่านความถี่ได้แก่คลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ ความกว้าง 15 เมกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 2 ใบอนุญาต และ คลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ ความกว้าง 2x10 เมกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 2 ใบอนุญาต โดยในเดือนพฤศจิกายน การประมูลคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ใช้เวลากว่า 33 ชั่วโมงในการประมูล โดยผู้ชนะคือ เอไอเอส และทรูมูฟ เอช และคลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์ใช้เวลากว่า 4 วัน 4 คืน โดยผู้ชนะได้แก่ ทรูมูฟเอช และ แจส โมบาย (กลุ่มบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล) แต่กลุ่มจัสมิน ไม่สามารถนำเงินมาชำระค่าใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ได้ จึงถูกยึดเงินประกัน และปรับเป็นเงินกว่า 199 ล้านบาท โดยหลังจากทำการเปิดประมูลใหม่มีเพียง เอไอเอส ที่เข้ารับซองประมูล
ในปี พ.ศ. 2561 ได้มีการจัดประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจำนวน 2 ย่านความถี่ได้แก่คลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ ความกว้าง 2x5 เมกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 9 ใบอนุญาต และ คลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ ความกว้าง 2x5 เมกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 1 ใบอนุญาต โดยผลการเข้าประมูล เอไอเอส และ ดีแทค ที่ได้ใบอนุญาตคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ ไปเพียงรายละ 1 ใบอนุญาต และได้เปิดการประมูล คลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ อีกครั้งในเดือนตุลาคม โดยดีแทคได้ตอบรับ และเข้าประมูลเพียงรายเดียว
ในปี พ.ศ. 2562 ผู้ให้บริการหลักทั้ง 3 รายได้แก่ เอไอเอส, ทรูมูฟเอช และ ดีแทค ได้เข้ายื่นประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิร์ตซ์ ความกว้าง 2x10 Mhz ด้วยเงื่อนไขเรื่องการขอยืดการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ตซ์ ออกไปเป็นระยะเวลา 10 ปี
ในปี พ.ศ. 2563 กสทช. ได้ประกาศจัดประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิร์ตซ์ ความกว้าง 2x5 เมกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 3 ใบอนุญาต, คลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิร์ตซ์ ความกว้าง 2x5 เมกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 7 ใบอนุญาต, คลื่นความถี่ 2600 เมกะเฮิร์ตซ์ ความกว้าง 10 เมกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 19 ใบอนุญาต และใบอนุญาตคลื่นความถี่ 26 จิกะเฮิร์ตซ์ ความกว้าง 100 เมกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 27 ใบอนุญาต เพื่อรอบรับการขยายตัวทางโทรคมนาคมและ เตรียมความพร้อมให้กับเทคโนโลยี 5 จี โดยมีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมทั้ง 5 รายเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ และได้จัดให้มีการประมูลขึ้นในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 โดยผลการประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่มีดังต่อไปนี้
- ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิร์ตซ์ กสท โทรคมนาคม ผู้ให้บริการ My by CAT ชนะการประมูลจำนวน 2 ใบอนุญาต และ เอไอเอส ชนะการประมูล 1 ใบอนุญาต
- ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิร์ตซ์ ไม่มีผู้เข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้
- ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2600 เมกะเฮิร์ตซ์ เอไอเอส ชนะการประมูลจำนวน 10 ใบอนุญาต และ ทรูมูฟเอช ชนะการประมูลจำนวน 9 ใบอนุญาต
- ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 26 จิกะเฮิร์ตซ์ เอไอเอส ชนะการประมูลจำนวน 12 ใบอนุญาต, ทรูมูฟเอช จำนวน 8 ใบอนุญาต, ทีโอที จำนวน 4 ใบอนุญาต, ดีแทค จำนวน 2 ใบอนุญาต และเหลือว่างอีก 1 ใบอนุญาต
โดยเมื่อรวมเงินค่าประมูลใบอนุญาตทั้งหมดนั้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 100,193 ล้านบาท
ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบัน
ใบอนุญาต (เปิดให้บริการ) | |
ใบอนุญาต (ยังไม่เปิดให้บริการ) | |
เช่าคลื่นความถี่ |
ผู้ให้บริการ | คลื่นความถี่ที่ให้บริการ | เทคโนโลยี | ผู้ใช้งาน | การบริหารงาน/ผู้ถือหุ้น | ||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
700 MHz | 850 MHz | 900 MHz | 1800 MHz | 2100 MHz | 2300 MHz | 2600 MHz | 26 GHz | รวม | ||||
เอไอเอส | 30 MHz (2 x 15) | 20 MHz (2 x 10) | 40 MHz (2 x 20) | 30 MHz (2 x 15) | 100 MHz | 1,200 MHz | 1,450 MHz | GSM , GPRS , EDGE (900 MHz) UMTS , HSPA+ (2100 MHz) LTE , LTE-U (900/1800/2100 MHz) 5G NR (2600 MHz) | 42 ล้านเลขหมาย (ปี พ.ศ. 2562) |
| ||
30 MHz(1) (2 x 15) | ||||||||||||
ทรูมูฟ เอช | 20 MHz (2 x 10) | 30 MHz(2) (2 x 15) | 20 MHz (10 x 2) | 30 MHz(3) (2 x 15) | 30 MHz(3) (2 x 15) | 90 MHz | 800 MHz | 1,020 MHz | GSM , GPRS , EDGE (900 MHz) UMTS , HSPA+ , DC-HSPA+ (850/2100 MHz) LTE , LTE-A (900/1800/2100 MHz) 5G NR (2600 MHz) | 30.1 ล้านเลขหมาย (ไตรมาส 3/2562) |
| |
ดีแทค | 20 MHz (2 x 10) | 10 MHz (2 x 5) | 10 MHz (2 x 5) | 30 MHz (2 x 15) | 60 MHz(4) | 200 MHz | 330 MHz | GSM , GPRS , EDGE (1800 MHz) UMTS , HSPA+ (900/2100 MHz) LTE (1800/2100/2300 MHz) | 20.642 ล้านเลขหมาย (ไตรมาส 4/2562) |
| ||
My | 20 MHz (2 x 10) | 30 MHz(2) (2 x 15) | 30 MHz(3) (2 x 15) | 30 MHz(3) (2 x 15) | 110 MHz | UMTS , HSPA+ , DC-HSPA+ (850 MHz) LTE , LTE-A (1800/2100 MHz) | 2.1 ล้านเลขหมาย (ปี พ.ศ. 2561) |
| ||||
ทีโอที | 30 MHz(1) (2 x 15) | 60 MHz(4) | 400 MHz | 490 MHz | UMTS, HSPA, HSPA+, DC-HSPA+ (2100 MHz) LTE , LTE-U/LAA (2300 MHz) | 1.4 แสนเลขหมาย (ข้อมูลปี พ.ศ. 2561) |
- หมายเหตุ
- 1 AIS ได้เช่าคลื่น 2100 ของ TOT
- 2 TRUE ได้เช่าคลื่น 850 ของทาง My
- 3 MY ได้ใช้คลื่น 1800 / 2100 ของ TRUE
- 4 DTAC ชนะในการเสนอเช่าคลื่น 2300 ของ TOT
นอกจากผู้ให้บริการหลักทั้ง 5 รายแล้ว ยังมีผู้ให้บริการบนโครงข่ายเสมือน (MVNO) อาทิ ซิมเพนกวิน โดย บริษัท เดอะไวท์สเปซ จำกัด หรือ i-Kool 3G โดยล็อกซเล่ย์ เป็นต้น รวมถึงแบรนด์ย่อยของผู้ให้บริการที่มีโครงข่ายแล้วเช่น ฟินโมบาย (FINN MOBILE) โดยกลุ่มบริษัทดีแทค หรือ นิว โมบาย (NU Mobile) โดยกลุ่มบริษัทเอไอเอสเป็นต้น
ระบบหลัก
หมายเลขโทรศัพท์พื้นฐานจะมีเลขจำนวน 9 หลัก ส่วนหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีเลขจำนวน 10 หลัก โดยที่ทั้ง 2 ระบบขึ้นต้นด้วย "0"
วิทยุกระจายเสียง
- เอเอ็ม : 204
- เอฟเอ็ม : 334, คลื่นสั้น
ประเทศไทยมีวิทยุถูกใช้เป็นจำนวน 13.96 ล้านตัวในปี พ.ศ. 2540 จนปี พ.ศ. 2558 มีการคาดการณ์ว่ามีผู้ใช้งานวิทยุเป็นจำนวน 25 ล้านตัว
โทรทัศน์
ระบบโทรทัศน์ระดับชาติของประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ระบบแอนะล็อก
- สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 บริหารงานโดยกลุ่มบริษัท บีอีซีเวิลด์ ภายใต้สัมปทานของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
- สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก บริหารงานโดยกองทัพบก
- สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 บริหารงานโดยบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด ภายใต้สัมปทานของ กองทัพบก
- ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี บริหารงานโดยบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
- สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย บริหารงานโดย กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี
- สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส บริหารงานโดย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
ระบบดิจิทัล
การเปลี่ยนผ่านจากระบบ แอนะล็อกไปยังระบบดิจิทัล เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2557 โดย กสทช. การประมูลจัดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 และเริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557
อินเทอร์เน็ต
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ (มกราคม 2561) |
เคเบิลใต้น้ำ
ประเทศไทยมีสายเคเบิลใต้น้ำจำนวน 5 เส้น สำหรับเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตเข้า-ออกประเทศ มีจุดเชื่อมต่ออยู่ที่จังหวัดสตูล, เพชรบุรี และชลบุรี
- SEA-ME-WE-3, SEA-ME-WE-4 เชื่อมต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ตะวันออกกลางและยุโรปตะวันตก โดย SEA-ME-WE 4 เริ่มใช้งานในปี พ.ศ. 2549
- Thailand-Indonesia-Singapore (TIS) เริ่มใช้เดือนธันวาคม พ.ศ. 2546
- APCN เชื่อมโยงประเทศไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เริ่มใช้งานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539
- Thailand-Vietnam-Hong Kong (T-V-H) เริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539
- Flag Europe-Asia (FEA) เริ่มใช้งานในช่วงปี พ.ศ. 2530 - 2540
- Asia-America Gateway (AAG) เริ่มใช้งานในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552
- Asia Pacific Gateway (APG) เป็นสายเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่เริ่มใช้งานเมื่อต้นปี พ.ศ. 2560
ดาวเทียม
ไทยคมเป็นชื่อของดาวเทียมสื่อสารที่ดำเนินการออกจากประเทศไทย และยังเป็นชื่อของ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น บริษัท ที่เป็นเจ้าของและดำเนินการดาวเทียมไทยคมและธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมอื่น ๆ ในประเทศไทยและทั่วเอเชียแปซิฟิค
ชื่ออย่างเป็นทางการของโครงการดาวเทียมไทยคม ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ความเชื่อมโยงระหว่างไทยกับเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่
บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ปัจจุบัน บริษัท บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)) ได้ลงนามสัญญากับบริษัท ฮิวจ์สเปซคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ในปี พ.ศ. 2534 มูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินการปล่อยโครงการดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของประเทศไทย ดาวเทียมไทยคมดวงแรกเปิดตัวเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2536 มีตัวรับสัญญาณระบบ ซี-แบนด์ 12 ช่องครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ประเทศญี่ปุ่นถึงประเทศสิงคโปร์
สภาพแวดล้อมด้านกฎหมายโทรคมนาคมในประเทศไทย
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
พระราชบัญญัติองค์การจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 ในฐานะหน่วงงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและการกระจายเสียงแห่งเดียวในประเทศไทย
พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอุสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศไทยโดยกำหนดให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคม ต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แบ่งเป็นประเภทตามใบอนุญาตการสื่อสารโทรคมนาคมออกเป็นสามประเภทได้แก่
- ใบอนุญาตด้านโทรคมนาคมสำหรับผู้ให้บริการที่ไม่มีโครงข่ายโทรคมนาคม เป็นของตนเอง
- ใบอนุญาตด้านโทรคมนาคมสำหรับผู้ให้บริการที่มีหรือไม่มีโครงข่ายโทรคมนาคม เป็นของตนเอง ให้บริการแบบเฉพาะกลุ่มหรือแบบสาธารณะ
- ใบอนุญาตด้านโทรคมนาคมสำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป
พระราชบัญญัติได้รับการเปลี่ยนในปี พ.ศ. 2549 ภายใต้รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือหุ้นจำนวนมากในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยได้
เดิมทีในปี พ.ศ. 2544 ชาวต่างชาติไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นขอใบอนุญาตประเภทสองหรือสามประเภทภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบกิจการต่างประเทศ (FBA)
ผู้ที่ยื่นขอใบอนุญาตประเภทที่สองและสามจะต้องเป็นบริษัทที่มีกรรมการบริษัทผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นอย่างน้อย 3 ใน 4 ของคณะกรรมการบริษัท และไม่รวมกันไม่น้อยกว่า 75% อำนาจในการลงนามต่างๆหรือผู้ยื่นคำของต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น
แต่จากการเปลี่ยนพระราชบัญญัติ ในปี พ.ศ. 2549 ได้ยกเลิกข้อกำหนดเพิ่มเติมทั้งหมดของผู้ขอใบอนุญาตประเภทสองและประเภทสามโดยระบุว่าชาวต่างชาติสามารถถือครองได้ถึง 49% ในผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมประเภทที่สองหรือประเภทที่สาม ไม่มีข้อจำกัด เกี่ยวกับสัดส่วนหรือจำนวนผู้ถือหุ้นที่เป็นชาวต่างชาติ และผู้มีอำนาจลงนามสามารถเป็นชาวต่างชาติได้
ค่าธรรมเนียมในการออกใบอนุญาตด้านโทรคมนาคมประกอบด้วยค่าธรรมเนียมสามอย่างคือค่าอนุญาตให้มีใบอนุญาต ค่าต่ออายุและค่าธรรมเนียมรายปี
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 กสทช. ได้ออกใบอนุญาตด้านโทรคมนาคมจำนวน 186 ใบอนุญาตประกอบไปด้วย
- ประเภทที่ 1 จำนวน 144 ใบอนุญาต
- ประเภทที่ 2 สำหรับผู้ให้บริการที่ไม่มีโครงข่ายโทรคมนาคม เป็นของตนเอง จำนวน 7 ใบอนุญาต
- ประเภทที่ 2 สำหรับผู้ให้บริการที่มีโครงข่ายโทรคมนาคม เป็นของตนเอง จำนวน 10 ใบอนุญาต
- ประเภทที่ 3 จำนวน 25 ใบอนุญาต
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2559 กสทช. ได้รับการขออนุญาตประกอบการกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนโครงข่ายเสมือน (MVNO) จำนวน 43 ราย แต่เปิดให้บริการเพียง 9 รายเท่านั้น
อ้างอิง
- รายงานผลการปฏิบัติงาน กสทช. ประจำปี ๒๕๕๖ [Annual Report on the Operation of the NBTC 2013] (PDF). National Broadcasting and Telecommunications Commission. 2014. สืบค้นเมื่อ 2014-08-29.
- "From Past to Present" (PDF). TOT Public Company Limited. สืบค้นเมื่อ 2014-08-29.
- Hossain, Liaquat (1996). "Telecommunications Network Development: Organisational and Societal Challenges for Thailand" (PDF). International Journal of the Computer, the Internet and Management. 4 (1). สืบค้นเมื่อ 2014-08-29.
- "Unofficial translation: Act on Organization to Assign Radio Frequency and to Regulate the Broadcasting and Telecommunications Services B.E. 2553 (2010)" (PDF).
- "หรือจะต้องประมูลคลื่น 900 MHz กันอีกรอบ?". www.kao-it.com.
- "พิชญ์ โพธารามิก อธิบายเหตุผลที่ JAS ทิ้งคลื่น 900MHz เพราะธนาคารกรุงเทพเปลี่ยนเงื่อนไข". blognone.
- "JAS แจ้งต่อผู้ถือหุ้นและตลท. ระบุโดนปรับ 199.42 ล้านบาท จะจ่ายให้ตามกำหนด". blognone.
- "AIS คว้าใบอนุญาตคลื่น 900MHz รอบใหม่ไปเรียบร้อย เคาะครั้งเดียวที่มูลค่า 75,654 ล้านบาท".
- "จัดไปแบบเงียบๆ AIS, dtac ได้คลื่น 1800 ไปคนละชุดจาก 9 ชุด มูลค่ารวม 2.5 หมื่นล้านบาท".
- "ดีแทคคว้าคลื่น 900MHz แล้วด้วยมูลค่ากว่า 3.8 หมื่นล้านบาท".
- "3 ค่ายมือถือ เข้าขอรับใบอนุญาตจัดสรรคลื่น 700MHz แล้ว".
- "ประมูลคลื่น 5G มีบริษัทยื่นเอกสาร 5 ราย มาครบทั้ง AIS, dtac, TrueMove H, TOT และ CAT".
- "กสทช. สรุปผลการประมูล 5G AIS กวาดทุกความถี่ ส่วน dtac ได้คลื่นน้อยที่สุด".
- "AIS รายงานผลประกอบการปี 2562 ยังเป็นเบอร์ 1 รายได้โต 8% จำนวนผู้ใช้งานกว่า 42 ล้านเลขหมาย". blognone.
- "ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์". SET.
- "กลุ่ม True ไตรมาส 3/62 - ทรูมูฟเอชมีลูกค้าเกิน 30 ล้านเลขหมายแล้ว". blognone.
- "ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์". SET.
- "dtac ไตรมาส 4/62 จำนวนลูกค้ากลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง พร้อมการเติบโตของรายได้ที่สูงขึ้น". blognone.
- "ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์". SET.
- "my by CAT สรุปตัวเลขลูกค้า 2.1 ล้านราย โต 10%, รายได้ปี 2561 ที่ 1,800 ล้านบาท". blognone.
- "สิ้นสุดควบรวมมาราธอน 18 ปี "ทีโอที-แคท" บริษัท NT แห่งชาติ". Thairath.
- "TOTโชว์กำไรสิ้นปี 2,170 ล้านหวังพันธมิตรหนุนดันรายได้ปี 62 ทะลุ 5.6หมื่นล้านบาท". ประชาชาติธุรกิจออนไลน์.
- "AIS ร่วมกับ TOT ให้ลูกค้าใช้สัญญาณได้ทั้งสองเครือข่าย เปลี่ยนตัวอักษรเป็น AIS-T". blognone.
- "CAT Telecom's 4G service scheduled for My brand launch next month". THE NATION THAILAND.
- "เซ็นแล้ว TOT จับมือดีแทค ใช้คลื่น 2300 ให้บริการ 4G LTE-TDD". blognone.
- "กฎหมาย บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบไม่มีโครงข่าย(MVNO)".
- "Digital TV licences fetch B50bn". Bangkok Post. 2013-12-27. สืบค้นเมื่อ 2014-08-29.
- "National Broadcasting and Telecommunications Commission". www.nbtc.go.th.
- "Foreign Business Act of 1999". Thailand Board of Investment (BOI)
- "Thailand's MVNO market" Yozzo.com
- "[1]"Yozzo.com | And then there was 43 MVNO licenses in Thailand