สมเด็จพระราชินีนาถโจวันนาที่ 1 แห่งเนเปิลส์
สมเด็จพระราชินีนาถโจวันนาที่ 1 แห่งเนเปิลส์ หรือ โจแอนนาที่ 1 (๋Joanna I) หรือทรงเป็นที่รู้จักในพระนาม โจฮันนาที่ 1 (Johanna I) (อิตาลี: Giovanna I; ค.ศ. 1326/1327 - 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1382) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งราชอาณาจักรเนเปิลส์ เคานท์เตสแห่งพรอว็องส์และฟอร์คาลกีเยร์ ในช่วงปีค.ศ. 1343 ถึง 1382 พระนางยังทรงเป็นเจ้าหญิงแห่งอาเชีย (Princess of Achaea) ระหว่างปีค.ศ. 1373 ถึง 1381 สมเด็จพระราชินีนาถโจวันนาทรงเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่ในชาลส์ ดยุกแห่งคาลาเบรียกับมารีแห่งวาลัวส์ ที่ทรงดำรงพระชนม์จวบจนเจริญพระชันษา พระราชบิดาของพระนางเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าโรแบร์โต ผู้ชาญฉลาด กษัตริย์แห่งเนเปิลส์ แต่พระราชบิดาของพระนางสิ้นพระชนม์ก่อนหน้าพระอัยกาในปีค.ศ. 1328 สามปีต่อมา กษัตริย์โรแบร์โตทรงแต่งตั้งเจ้าหญิงโจวันนาเป็นองค์รัชทายาทและทรงมีพระราชบัญชาให้เหล่าขุนนางถวายความจงรักภักดีต่อพระนาง ดังนั้นเพื่อทำให้สถานะของเจ้าหญิงโจวันนาแน่ชัดขึ้น กษัตริย์โรแบร์โตจึงทรงทำข้อตกลงกับพระนัดดาของพระองค์ คือ พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งฮังการี เกี่ยวกับการเสกสมรสระหว่างเจ้าหญิงโจวันนากับเจ้าชายแอนดรูว์แห่งฮังการี พระราชโอรสองค์รองของกษัตริย์ฮังการี กษัตริย์ชาร์ลที่ 1 มีพระราชประสงค์ที่จะครอบครองมรดกของพระปิตุลาให้ตกเป็นของเจ้าชายแอนดรูว์ แต่กษัตริย์โรแบร์โตกลับสถาปนาเจ้าหญิงโจวันนาให้เป็นรัชทายาทแต่เพียงผู้เดียวในวันที่สวรรคต ปีค.ศ. 1343 พระองค์ยังทรงประกาศแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปกครองราชอาณาจักรจนกว่าสมเด็จพระราชินีนาถโจวันนาจะมีพระชนมายุครบ 21 พรรษา แต่ในความเป็นจริงแล้วคณะผู้สำเร็จราชการไม่สามารถบริหารราชอาณาจักรได้หลังกษัตริย์สวรรคต
โจวันนาที่ 1 แห่งเนเปิลส์ | |||||
---|---|---|---|---|---|
พระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระราชินีนาถโจวันนาที่ 1 จากภาพศิลปะเฟรสโกโดย นิกโคโล ดี ตอมมาโซ ราวปีค.ศ. 1360 | |||||
สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเปิลส์ | |||||
ครองราชย์ | 20 มกราคม ค.ศ. 1343 - 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1382 (39 ปี 112 วัน) | ||||
พระราชพิธีราชาภิเษก 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1344 (เพียงพระองค์เดียว) 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1352 (ร่วมกับกษัตริย์หลุยส์ที่ 1) | |||||
ก่อนหน้า | พระเจ้าโรแบร์โต | ||||
ถัดไป | พระเจ้าคาร์โลที่ 3 | ||||
ผู้สำเร็จราชการ สมเด็จพระพันปีหลวงซานเชีย ฟิลิปป์ เดอ คาบาสโซเลส ฟิลิโป ดิ ซานกิเน็ตโต กิฟเฟรโด ดิ มาร์ซาโน | |||||
ชายา | ใน เจ้าชายแอนดรูว์แห่งฮังการี แต่งค.ศ. 1333 - เป็นม่ายค.ศ. 1345 ใน หลุยส์ เจ้าชายแห่งตารันโต แต่งค.ศ. 1347 - เป็นม่ายค.ศ. 1362 ใน เจมส์ที่ 4 ผู้อ้างสิทธิในกษัตริย์มาจอร์กา แต่งค.ศ. 1363 - เป็นม่ายค.ศ. 1375 ใน ออตโต ดยุกแห่งเบราน์ชไวค์-กรูเบนฮาเกน แต่งค.ศ. 1376 - พระนางสวรรคต | ||||
พระราชบุตร | ชาลส์ มาร์แตล ดยุกแห่งคาลาเบรีย แคทเทอรีนแห่งตารันโต ฟรังซัวส์แห่งตารันโต | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์กาเปเตียง-อ็องชู | ||||
พระราชบิดา | ชาร์ล ดยุกแห่งคาลาเบรีย | ||||
พระราชมารดา | มารีแห่งวาลัวส์ | ||||
ประสูติ | ค.ศ. 1326/1327 เนเปิลส์ | ||||
สวรรคต | 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1382 (56 ปี) ซานเฟเล | ||||
ฝังพระศพ | ซานตาชีอารา, เนเปิลส์ | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก |
พระญาติของพระนางโจวันนาคือ ชาร์ล ดยุกแห่งดูราซโซ เสกสมรสกับพระขนิษฐาของพระนางคือ มาเรียแห่งคาลาเบรีย โดยไม่ได้ขอพระบรมราชานุญาตจากพระนาง
ช่วงต้นพระชนม์ชีพ
เจ้าหญิงโจวันนาเป็นพระราชบุตรองค์ที่สองในชาลส์ ดยุกแห่งคาลาเบรีย (ซึ่งเป็นพระราชโอรสที่รอดพระชนม์เพียงพระองค์เดียวของพระเจ้าโรแบร์โต ผู้ชาญฉลาด กษัตริย์แห่งเนเปิลส์) กับมารีแห่งวาลัวส์ (พระขนิษฐาในพระเจ้าฟีลิปที่ 6 แห่งฝรั่งเศส ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดถึงวันที่ประสูติ แต่คาดว่าพระนางอาจประสูติในปี 1326 หรือ 1327 โดนาโต อัคชิเอียโอลี นักประวัติศาสตร์ยุคเรอแนซ็องส์ อ้างว่า พระนางประสูติในฟลอเรนซ์ แต่ตามข้อคิดเห็นของแนนซี โกลด์สโตน นักวิชาการระบุว่า จริงๆแล้วพระนางอาจประสูติในระหว่างที่พระราชบิดาและพระราชมารดาเสด็จประพาสระหว่างเมืองต่างๆ เจ้าหญิงเอลอยซา หรือ หลุยส์ พระเชษฐภคินีของพระนางสิ้นพระชนม์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1326 และเจ้าชายชาร์ล มาร์แตล พระอนุชาเพียงองค์เดียวของพระนางสิ้นพระชนม์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1327 หลังจากประสูติมาได้เพียง 8 วัน
เจ้าชายชาลส์แห่งคาลาเบรียสิ้นพระชนม์โดยไม่มีใครคาดคิดในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1328 การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ทำให้กษัตริย์โรแบร์โตต้องเผชิญกับปัญหาการสืบราชบัลลังก์ เนื่องจากพระราชบุตรที่ประสูติหลังจากเจ้าชายชาร์ลสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ยังเป็นพระราชธิดา พระนามว่า เจ้าหญิงมาเรีย แม้ว่ากฎมณเฑียรบาลของเนเปิลส์จะไม่ได้ห้ามสตรีครองบัลลังก์ แต่การมีสมเด็จพระราชินีนาถปกครองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ มีการทำข้อตกลงระหว่างสันตะสำนักและกษัตริย์โรแบร์โต ผู้ชาญฉลาด พระอัยกาของพระนาง ว่า มีการยอมรับเชื้อสายที่เป็นสตรีของพระเจ้าการ์โลที่ 1 แห่งเนเปิลส์ให้สามารถสืบราชบัลลังก์ได้ แต่มีข้อแม้ว่าสมเด็จพระราชินีนาถจะต้องอภิเษกสมรสและอนุญาตให้พระสวามีร่วมปกครองอาณาจักรด้วย นอกเหนือจากนี้ราชวงศ์เนเปิลส์นั้นเป็นราชนิกุลสาขาของราชวงศ์กาแปแห่งฝรั่งเศสและกฎหมายของฝรั่งเศสเองได้ตัดสิทธิครองราชย์ของสตรี เรียกว่า กฎหมายแซลิก พระนัดดาของกษัตริย์โรแบร์โตคือ พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งฮังการี ได้ถูกกษัตริย์โรแบร์โตตัดสิทธิ์จากพระราชมรดกในปี 1296 แต่พระองค์ก็ไม่ได้ละทิ้งสิทธิที่พระองค์มีต่อ "Regno" (หรือ ราชอาณาจักรเนเปิลส์) สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 22 ปฏิเสธข้อเรียกร้องของกษัตริย์ชาร์ลแห่งฮังการีมาเป็นเวลานานหลายปี แต่ด้วยกษัตริย์โรแบร์โตแห่งเนเปิลส์ทรงสนับสนุนคณะฟรันซิสกัน (ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาทรงมองว่าเป็นพวกนอกรีต) และการที่กษัตริย์เนเปิลส์ทรงละเลยในการจ่ายเงินสนับสนุนประจำปีให้สันตะสำนักก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างพระสันตะปาปาและเนเปิลส์ พระอนุชาสองพระองค์ของกษัตริย์โรแบร์โต ได้แก่ ฟิลิปที่ 1 เจ้าชายแห่งตารันโต และเจ้าชายจอห์น ดยุกแห่งดูราซโซ สามารถที่จะอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ต่อต้านสมเด็จพระราชินีนาถได้
กษัตริย์โรแบร์โตทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะปกป้องสิทธิในบัลลังก์ให้ตกอยู่แก่เชื้อสายของพระองค์ พระองค์จึงสถาปนาเจ้าหญิงโจวันนาและเจ้าหญิงมาเรียเป็นรัชทายาทของพระองค์ในพระราชพิธีที่ปราสาทนูโอโวในเนเปิลส์ วันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1330 เจ้าชายจอห์น ดยุกแห่งดูราซโซและอักเนสแห่งเปรีกอร์ พระชายา ทรงยอมรับการตัดสินพระทัยของกษัตริย์โรแบร์โต (ด้วยทรงหวังว่าหนึ่งในพระโอรสทั้งสามจะเสกสมรสกับเจ้าหญิงโจวันนา) แต่ฟิลิปที่ 1 เจ้าชายแห่งตารันโตและแคทเทอรีนแห่งวาลัวส์ พระชายา ตัดสินพระทัยที่จะไม่เคารพพระราชโองการ เมื่อเจ้าหญิงโจวันนาทรงได้รับพระราชทานสิทธิในการสืบบัลลังก์ต่อจากพระอัยกาในวันที่ 30 พฤศจิกายน เจ้าชายจอห์นและอักเนสทรงอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางเนเปิลส์ในการถวายความจงรักภักดีต่อรัชทายาทหญิง แต่เจ้าชายฟิลิปและแคทเทอรีนปฏิเสธไม่เข้าร่วมพระราชพิธี แม้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาจะสามารถเกลี้ยกล่อมเจ้าชายฟิลิปให้ได้เพียงส่งตัวแทนไปยังเนเปิลส์เพื่อถวายความจงรักภักดีต่อเจ้าหญิงโจวันนาแทนพระองค์เองในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1331
กษัตริย์ชาลส์ที่ 1 แห่งฮังการีทรงทูลขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเกลี้ยกล่อมกษัตริย์โรแบร์โตให้ฟื้นฟูดินแดนศักดินาทั้งสองแห่งของเจ้าชายชาลส์ มาร์เตล พระราชบิดาของพระองค์ในดินแดน "เร็กโน" (Regno) หรือ ราชรัฐซาแลร์โน และมองเตแห่งซันตันเจโล ให้คืนแก่พระองค์และพระราชโอรส พระองค์ยังทรงผลักดันการเป็นพันธมิตรผ่านการอภิเษกสมรสโดยทรงสู่ขอเจ้าหญิงโจวันนาให้เป็นคู่ครองของหนึ่งในพระราชโอรสของพระองค์ สมเด็จพระสันตะปาปาทรงสนับสนุนแผนการนี้และทรงเร่งเร้าให้กษัตริย์โรแบร์โตยอมรับข้อตกลงนี้ แคทเทอรีนแห่งวาลัวส์ ผู้ซึ่งเป็นม่ายไม่นานทรงทราบแผนการ พระนางจึงรีบเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าฟีลิปที่ 6 แห่งฝรั่งเศส พระเชษฐาต่างมารดาของพระนาง เพื่อให้ทรงเข้าแทรกแซงและขัดขวางแผนการอภิเษกสมรสนี้ พระนางทรงเสนอให้พระโอรสของพระนางทั้งสองคือ โรเบิร์ต เจ้าชายแห่งตารันโตและเจ้าชายหลุยส์ เป็นคู่อภิเษกสมรสของเจ้าหญิงโจวันนาและเจ้าหญิงมาเรีย สมเด็จพระสันตะปาปาทรงแน่วแน่ในแผนการเดิมโดยมีโองการของพระสันตะปาปาในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1331 มีพระบัญชาให้เจ้าหญิงโจวันนาและพระขนิษฐาต้องอภิเษกสมรสกับพระราชโอรสของกษัตริย์ชาลส์ที่ 1 แห่งฮังการี ในช่วงแรก พระราชโอรสองค์โตของกษัตริย์ชาลส์คือ เจ้าชายหลุยส์แห่งฮังการี ทรงได้รับการเลือกให้เป็นพระสวามีในอนาคตของเจ้าหญิงโจวันนา เจ้าชายแอนดรูว์แห่งฮังการี พระอนุชาองค์รองของเจ้าชายหลุยส์ เป็นเพียงตัวเลือกสำรอง และจะขึ้นมาเป็นลำดับหนึ่งก็ต่อเมื่อพระเชษฐาสิ้นพระชนม์ก่อนกำหนด แต่เมื่อมีการตกลงเจรจากัน กษัตริย์ชาลส์ทรงตัดสินพระทัยเปลี่ยนให้เจ้าชายแอนดรูว์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงโจวันนาแทน
หลังจากพระราชชนนีของเจ้าหญิงโจวันนาสิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1332 พระมเหสีองค์ที่สองในกษัตริย์โรแบร์โต (พระอัยยิกาเลี้ยงของเจ้าหญิงโจวันนา) คือ ซานเชียแห่งมาจอร์กา ทรงเข้ามารับผิดชอบต่อการศึกษาของเจ้าหญิงโจวันนาแทน สมเด็จพระราชินีซานเชียทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ที่มีศรัทธาแรงกล้าต่อคณะฟรันซิสกัน และทรงดำรงพระชนม์ชีพเหมือแม่ชีคณะกลาริส แต่สมเด็จพระสันตะปาปาปฏิเสธที่จะให้การเสกสมรสของพระนางกับกษัตริย์โรแบร์โตเป็นโมฆะ พยาบาลประจำองค์พระราชินีซานเชีย คือ ฟิลิปปาแห่งคาทาเนีย เป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในการอบรมศึกษาเจ้าหญิงโจวันนา สมเด็จพระราชินีซานเชียและฟิลิปปาเป็นสองสตรีผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนักกษัตริย์โรแบร์โต กษัตริย์ไม่ทรงสามารถตัดสินพระทัยได้ถ้าไม่ได้ตรัสถามพระราชินีและพยาบาลของพระนาง ทั้งนี้เป็นคำกล่าวของโจวันนี บอกกัชโช นักเขียนคนสำคัญของอิตาลีในสมัยนั้น
กษัตริย์ชาลส์ที่ 1 แห่งฮังการีเสด็จมาเนเปิลส์เป็นการส่วนพระองค์เพื่อทำการเจรจากับพระปิตุลาของพระองค์ในเรื่องการเสกสมรสระหว่างเจ้าหญิงโจวันนากับเจ้าชายแอนดรูว์ในฤดูร้อนปีค.ศ. 1333 พระองค์ไม่ทรงใช้พระราชทรัพย์ในการเดินทางเลย เพื่อเป็นการแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่งของพระองค์ กษัตริย์ทั้งสองจึงเข้าเจรจากัน เจ้าชายแอนดรูว์และเจ้าหญิงโจวันนาจะต้องหมั้นกันตามข้อตกลง แต่กษัตริย์โรแบร์โตและกษัตริย์ชาร์ลที่ 1 ยังทรงกำหนดอีกว่า ถ้าเจ้าชายแอนดรูว์มีพระชนมายุยืนยาวกว่าเจ้าหญิงโจวันนา ก็ให้เสกสมรสกับเจ้าหญิงมาเรีย ผู้เป็นพระขนิษฐาต่อ และพระโอรสองค์ที่เหลือของกษัตริย์ชาร์ลที่ 1 คือเจ้าชายหลุยส์ หรือ เจ้าชายสตีเฟนแห่งอ็องชู จะได้เสกสมรสกับเจ้าหญิงโจวันนา เมื่อยามเจ้าชายแอนดรูว์สิ้นพระชนม์ก่อน สัญญาการอภิเษกสมรสได้มีการลงนามอย่างพิธีการในวันที่ 26 กันยายน วันถัดมากษัตริย์โรแบร์โตสถาปนาเจ้าหญิงโจวันนาและเจ้าชายแอนดรูว์ให้ครองศักดินาดัชชีคาลาเบรียและราชรัฐซาแลร์โน สมเด็จพระสันตะปาปาทรงได้รับการแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์สำหรับการอภิเษกสมรสในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1333 แต่การอภิเษกสมรสก็ไม่ได้เสร็จสมบูรณ์พร้อมเป็นเวลาหลายปี เนื่องมาจากเจ้าชายแอนดรูว์ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ แต่มันก็ทำให้เกิดความขัดแย้งในกลุ่มตระกูลสาขาของราชวงศ์อ็องชู
เจ้าชายแอนดรูว์เจริญพระชันษาในเนเปิลส์ แต่พระองค์และผู้ติดตามชาวฮังการียังคงถูกมองว่าเป็นพวกต่างชาติ เหล่าญาติวงศ์เนเปิลส์ (โอรสของฟิลิปแห่งตารันโต และจอห์นแห่งดูราซโซ) หรือแม้กระทั่งเจ้าหญิงโจวันนาเองต่างเย้ยหยันเจ้าชายแอนดรูว์ ทั้งนักเขียนร่วมสมัยและนักเขียนในยุคหลังมองตรงกันว่า ในช่วงแรกกษัตริย์โรแบร์โตทรงตั้งพระทัยที่จะให้เจ้าชายแอนดรูว์เป็นรัชทายาท ยกตัวอย่างเช่น ตามงานเขียนของโจวันนี วีลานี ระบุว่า กษัตริย์ "มีพระราชประสงค์ให้พระราชนัดดา ผู้เป็นโอรสกษัตริย์ฮังการีขึ้นสืบราชบัลลังก์หลังจากพระองค์สวรรคต" แต่มีภาพเขียนในAnjou Bibleได้วาดภาพที่เห็นได้ชัดว่า มีเพียงโจวันนาเท่านั้นที่ได้สวมมงกุฎช่วงปลายทศวรรษ 1330 เป็นการระบุว่า กษัตริย์อาจจะไม่สนพระทัยในเรื่องสิทธิ์ราชบัลลังก์ของเจ้าชายแอนดรูว์ ตามพระราชพินัยกรรมของพระองค์ พระองค์ระบุให้ โจวันนาเป็นรัชทายาทหนึ่งเดียวแห่งเนเปิลส์, พรอว็องซ์, ฟอร์คัลกีแยร์และปีดมอนต์ และรวมถึงสิทธิในราชบัลลังก์เยรูซาเลมให้ตกแก่พระนาง พระองค์ยังระบุให้เจ้าหญิงมาเรียครองบัลลังก์ต่อถ้าหากพระนางโจวันนาสวรรคตโดยไร้ทายาท กษัตริย์โรแบร์โตไม่ทรงมีพระราชบัญชาให้จัดพิธีครองราชย์ให้แอนดรูว์ ดังนั้นจึงเป็นการกีดกันพระองค์ออกจากกิจการของเนเปิลส์ กษัตริย์ผู้ใกล้สวรรคตยังทรงตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อันประกอบด้วยที่ปรึกษาที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย คือ รองเสนาบดี ฟิลิปป์ เดอ คาบาสโซเลส บิชอปแห่งคาวาอิลลง, ฟิลิโป ดิ ซานกิเน็ตโต ที่ปรึกษาใหญ่แห่งพรอว็องซ์ และนายพลเรือกิฟเฟรโด ดิ มาร์ซาโน โดยให้หัวหน้าคณะผู้สำเร็จราชการคือ สมเด็จพระราชินีซานเชีย พระองค์กำหนดให้โจวันนาสามารถปกครองได้ด้วยตนเองเมื่อผ่านวันคล้ายวันพระราชสมภพ 21 พรรษา โดยปฏิเสธที่จะใช้กฎตามธรรมเนียมทั่วไปที่บรรลุนิติภาวะด้วยอายุ 18 ปี
รัชกาล
สืบราชบัลลังก์
เชิงอรรถ
- ↑ Goldstone 2009, p. 15.
- ↑ Casteen 2015, p. 3.
- Goldstone 2009, pp. 17–18.
- ↑ Casteen 2015, pp. 2–3.
- Casteen 2015, p. 9.
- Duran 2010, p. 76.
- ↑ Monter 2012, p. 61.
- Goldstone 2009, pp. 38–39.
- ↑ Goldstone 2009, pp. 40–41.
- ↑ Lucherini 2013, p. 343.
- ↑ Casteen 2015, pp. 9–10.
- ↑ Goldstone 2009, p. 40.
- Goldstone 2009, p. 41.
- ↑ Lucherini 2013, p. 344.
- Goldstone 2009, pp. 31–33.
- Goldstone 2009, p. 33.
- Lucherini 2013, pp. 347–348.
- Goldstone 2009, p. 42.
- ↑ Lucherini 2013, p. 350.
- Lucherini 2013, pp. 348–349.
- Goldstone 2009, p. 45.
- Goldstone 2009, pp. 63–64.
- Abulafia 2000, p. 508.
- Casteen 2015, pp. 32–33.
- Casteen 2015, p. 33.
- Lucherini 2013, pp. 350–351.
- ↑ Duran 2010, p. 79.
- ↑ Goldstone 2009, p. 65.
- ↑ Casteen 2015, p. 34.
- Léonard 1932, p. 335, vol.1.
อ้างอิง
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: สมเด็จพระราชินีนาถโจวันนาที่ 1 แห่งเนเปิลส์ |
- Abulafia, David (2000). "The Italian south". ใน Johns, Michael (บ.ก.). The New Cambridge Medieval History: Volume 6, C.1300-c.1415. pp. 488–514. ISBN 0-521-36290-3.
- Boccaccio, Giovanni (1970). Zaccaria, Vittorio (บ.ก.). De mulieribus claris. I classici Mondadori (ภาษาอิตาลี). Volume 10 of Tutte le opere di Giovanni Boccaccio (2nd ed.). Milan: Mondadori. Biography # 106. OCLC 797065138.
- Boccaccio, Giovanni (2003). Famous women. Brown, Virginia, trans. Cambridge, MA, USA: Harvard University Press. ISBN 9780674003477. OCLC 606534850 and 45418951.
- Boccaccio, Giovanni (2011). On famous women. Guarino, Guido A., trans. (2nd ed.). New York: Italica Press. ISBN 9781599102658. OCLC 781678421.
- Busquet, Raoul (1978). Laffont, Robert (บ.ก.). Histoire de Marseille. Paris.
- Busquet, Raoul (30 November 1954). Histoire de Provence (1997 ed.). Imprimerie nationale de Monaco.
- Casteen, Elizabeth (2015). From She-Wolf to Martyr: The Reign and Disputed Reputation of Johanna I of Naples. Cornell University Press. ISBN 978-0-8014-5386-1.
- Casteen, Elizabeth (3 June 2011). "Sex and Politics in Naples: The Regnant Queenship of Johanna I". Journal of The Historical Society. Malden, MA, USA: Blackwell Publishing. 11 (2): 183–210. doi:10.1111/j.1540-5923.2011.00329.x. ISSN 1529-921X. OCLC 729296907. สืบค้นเมื่อ 1 June 2013. (ต้องสมัครสมาชิก)
- Cox, Eugene L. (1967). The Green Count of Savoy. Princeton, New Jersey: Princeton University Press. LCCN 67-11030.
- Duran, Michelle M. (2010). "The Politics of Art: Imaging Sovereignty in the Anjou Bible at Leuven". ใน Watteeuw, Lieve; Van der Stock, Jan (บ.ก.). The Anjou Bible. a Royal Manuscript Revealed: Naples 1340. Peeter. pp. 73–94. ISBN 978-9-0429-2445-1.
- Engel, Pál (2001). The Realm of St Stephen: A History of Medieval Hungary, 895–1526. I.B. Tauris Publishers. ISBN 1-86064-061-3.CS1 maint: ref=harv (link)
- Goldstone, Nancy (2009). The Lady Queen: The Notorious Reign of Joanna I, Queen of Naples, Jerusalem, and Sicily. Walker&Company. ISBN 978-0-8027-7770-6.
- Léonard, Émile-G. (1932). "Histoire de Jeanne Ire, reine de Naples, comtesse de Provence (1343-1382) : La jeunesse de la reine Jeanne". ใน Picard, Auguste (บ.ก.). Mémoires et documents historiques. Paris et Monaco.
- Léonard, Émile-G (1954). Les Angevins de Naples. Paris: Presses universitaires de France.
- Lucherini, Vinni (2013). "The Journey of Charles I, King of Hungary, from Visegrád to Naples (1333): Its Political Implications and Artistic Consequences". Hungarian Historical Review. 2 (2): 341–362.
- Monter, William (2012). The Rise of Female Kings in Europe, 1300-1800. Yale University Press. ISBN 978-0-300-17327-7.
- Musto, Ronald G. (2013). Medieval Naples: A Documentary History 400-1400. New York: Italica Press. pp. 234–302. ISBN 9781599102474. OCLC 810773043.
- Paladilhe, Dominique (1997). La reine Jeanne : comtesse de Provence. Librairie Académique Perrin. ISBN 2-262-00699-7.
- Rollo-Koster, Joëlle (2015). Avignon and Its Papacy, 1309–1417: Popes, Institutions, and Society. Rowman & Littlefield. ISBN 978-1-4422-1532-0.
- Wolf, Armin (1993). "Reigning Queens in Medieval Europe: When, Where, and Why". ใน Parsons, John Carmi (บ.ก.). Medieval Queenship. Sutton Publishing. pp. 169–188. ISBN 0-7509-1831-4.