เซกา
เซก้า (อังกฤษ: Sega ; ญี่ปุ่น: セガ) เป็นบริษัทผลิตวิดีโอเกมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สัญชาติญี่ปุ่น เดิมทีเซก้าทำธุรกิจทั้งเกมคอนโซลและเกมอาเขต แต่หลังจาก ค.ศ. 2001 บริษัทได้หันมามุ่งผลิตซอฟต์แวร์เกมเพียงอย่างเดียว
ประเภท | บริษัทลูก ของ เซก้า แซมมี โฮลดิ้งส์ |
---|---|
อุตสาหกรรม | Video games former video game console manufacturer |
ก่อตั้ง | Standard Games (1940); Service Games (May 1952) |
สำนักงานใหญ่ | โอตะ, โตเกียว สำนักงานสาขาต่างประเทศ: ซานฟรานซิสโก, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา Chiswick, London, UK Sydney, New South Wales, Australia |
บุคลากรหลัก | Hajime Satomi, CEO of Sega Corp. Hisao Oguchi, President of Sega Corp. Naoya Tsurumi, Head of Sega's Entertainment Business Mike Hayes, President and CEO of Sega West Yu Suzuki |
ผลิตภัณฑ์ | Hedgehog Engine Sonic the Hedgehog series Total War series Virtua Fighter series Shenmue series The House of the Dead series Phantasy Star series Panzer Dragoon series Ryu Ga Gotoku series (See complete software listing.) SG-1000 Master System Mega Drive/Genesis(32x,CD) Game Gear Nomad Pico Saturn Dreamcast |
รายได้ | US$1.64 billion |
พนักงาน | 3,127 (2009) |
เว็บไซต์ | Sega Corporation (Japan) Sega of America Sega Europe PlaySega |
สำนักงานใหญ่ของเซก้าอยู่ที่เมืองโอตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ส่วนสำนักงานใหญ่ของเซก้าอเมริกาอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เซก้ายุโรปมีสำนักงานใหญ่ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
ประวัติ
บริษัทเซก้าก่อตั้งในปี ค.ศ. 1940 โดยในตอนแรกใช้ชื่อบริษัทว่า แสตนดาร์ดเกมส์(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เซอร์วิสเกมส์) ก่อตั้งในเกาะฮาวายประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายในการผลิตเครื่องเล่นแบบหยอดเหรียญสำหรับผ่อนคลายขายให้กองทัพนำไปตั้งตามฐานทัพเพื่อให้ทหารได้หย่อนใจ ต่อมาบริษัทได้ย้ายที่ตั้งบริษัทไปตั้งที่ญี่ปุ่นในปี 1951 และจดทะเบียนในชื่อ "SErvice GAmes of Japan" ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "เซก้า"
ในปี 1954 นักธุรกิจชาวอเมริกันผู้หนึ่งได้ก่อตั้งบริษัท "รอซเซน เอนเตอไพรซ์" ขึ้นในญี่ปุ่น โดยเป็นบริษัทส่งออกสินค้าทางศิลปะ ต่อมาทางบริษัทได้นำเข้าตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติแบบหยอดเหรียญเข้ามาในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความนิยมอย่างคาดไม่ถึง ตู้ถ่ายรูปแบบยอดเหรียญกลายเป็นกระแสที่นิยมอย่าสูงในญี่ปุ่น บริษัทรอซเซนจึงตัดสินใจขยายกิจการโดยเริ่มนำเข้าตู้เกมแบบหยอดเหรียญเข้ามาทำตลาดด้วย
ในปี 1965 บริษัทเซอร์วิสเกมและบริษัทรอซเซนเอนเตอไพรซ์ก็ได้ควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน กลายเป็นบริษัทใหม่ที่ชื่อ "เซก้า" ภายในปีเดียวกัน เซก้าได้นำเกมจำลองการขับเรือดำน้ำออกขาย ซึ่งกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก
ในปี 1969 บริษัท กัลฟ์+เวสต์เทิร์น ได้เข้าซื้อบริษัทเซก้าได้สำเร็จ แต่ได้อนุญาตให้นายรอซเซนCEOคนเก่าของเซก้ายังคงตำแหน่งCEOของเซก้าต่อไป ภายใต้การบริหารของนายรอซเซน เซก้ากลายเป็นผู้ผลิตเกมรายใหญ่ ผลิตเกมที่ได้รับความนิยมมากมาย
ในปี 1983 ตลาดวิดีโอเกมซบเซาอย่างหนัก หรือที่เรียกกันว่า "ยุคล่มสลายของวิดีโอเกม" เซก้าได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนในที่สุดบริษัทกัลฟ์+เวสต์เทิร์นจึงได้ขายทรัพย์สินของเซก้าที่ตนถือครองอยู่ให้กับบริษัท"บอลลี"ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเกมพินบอลชั้นนำ ส่วนทรัพย์สินของเซก้าในญี่ปุ่น นายรอซเซนอดีตCEOได้ร่วมทุนกับนายฮายาโอะ นาคายาม่า เข้าซื้อทรัพย์สินของเซก้าในญี่ปุ่น นายนาคายาม่าได้เป็นCEOคนใหม่ของเซก้า ส่วนนายรอซเซนได้เป็นหัวหน้าสาขาของเซก้าในอเมริกา
ในปี 1984 กลุ่มบริษัท CSK ได้เข้าซื้อบริษัทเซก้า และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท "เซก้า เอนเตอไพรซ์ จำกัด" โดยมีสำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่น มีนายอิซาโอะ โอคาวะเป็นประธานบริษัท และมีการนำหุ้นของบริษัทเซก้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 1986
ในปี 1986 ตลาดวิดีโอเกมในอเมริกาได้เริ่มฟื้นตัวขึ้น เซก้าจึงฉวยจังหวะนี้ก่อตั้งบริษัท "เซก้า ออฟ อเมริกา" ขึ้นมา และได้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลเครื่องแรกของเซก้าที่ชื่อ"มาสเตอร์ซิสเต็ม"ขึ้นมาแข่งกับแฟมิคอมของบริษัทนินเทนโด ถึงแม้เซก้าจะแพ้ให้กับนินเทนโดในการขายมาสเตอร์ซิสเต็มในอเมริกาเหนือ แต่เซก้าสามารถครอบครองตลาดยุโรปและบราซิลได้สำเร็จ
เมกาไดรฟ์
เซก้าผลิตเครื่องเกม 16 บิทที่ชื่อ"เมกาไดรฟ์"(ในอเมริกาใช้ชื่อว่า"เจเนซิส")ออกวางจำหน่ายในปี 1988 เครื่องเมกาไดรฟ์นั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องแฟมิคอมหลายเท่า เซก้าจึงหวังจะใช้เมกาไดรฟ์ในการตีตลาดวิดีโอเกมที่นินเทนโดครอบครองอยู่ โดยใช้สโลแกนว่า "เจเนซิสทำ ในสิ่งที่นินเทนโดทำไม่ได้"(Genesis does what Nintendon't) ซึ่งต่อมาในปี 1991 เมื่อนินเทนโดนำเครื่องเกมรุ่นใหม่ที่ชื่อ"ซูเปอร์แฟมิคอมออกจำหน่าย จึงเกิดการแข่งขันอย่างดุเดือดระหว่างสองบริษัท จนเรียกขานกันภายหลังว่าเป็นสงครามเกมคอนโซลที่ดุเดือดที่สุด เพื่อแข่งกับเกมชื่อดังของนินเทนโดอย่างมาริโอ เซก้าพัฒนาเกมใหม่ที่มีชื่อว่า"Sonic the Hedgehog" โดยมีจุดมุ่งหมายเอาใจตลาดกลุ่มวัยรุ่นในยุคนั้น ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเท่ห์กว่าและการดำเนินเกมที่เร็วกว่าเกมมาริโอ ต่อมาเมื่อสื่อบันทึกรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า CD-ROM เริ่มเป็นที่นิยม เซก้าได้พัฒนาอุปกรณ์เสริมที่ชื่อ "เซก้า-CD" ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่ทำให้เครื่องเมกาไดรฟ์สามารถเล่นเกมจากแผ่นCDได้ ต่อมาในปี 1994 เครื่องเกมแบบ 16 บิทเริ่มจะล้าสมัย เซก้าได้พยายามยืดอายุของเครื่องเมกาไดรฟ์โดยออกอุปกรณ์ที่ชื่อ"เซก้า-32X"ออกวางจำหน่าย โดยเซก้า-32Xจะช่วยอัพเกรดให้เครื่องเมกาไดรฟ์มีประสิทธิภาพใกล้เคียงเครื่องเกม32บิท แต่ก็ต้องหลีกทางให้เครื่องเกมรุ่นใหม่อย่างเพลย์สเตชันและแซทเทิร์นในที่สุด
ความสำเร็จในอุตสหกรรมเกมอาเขต
ในปี 1993 เซก้าได้นำเกมต่อสู้ 3มิติ "Virtua Fighter"ออกจำหน่ายในรูปแบบของเกมตู้อาเขต ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเซก้า ด้วยตู้เกมส์อาเขตแบบใหม่ที่เซก้าพัฒนาขึ้น เวอร์ช่วลไฟต์เตอร์เป็นผลงานที่ล้ำหน้าในยุคนั้นในด้านกราฟิกแบบ 3มิติ ซึ่งเกมนี้เป็นจุดกำเนิดของเกมต่อสู้แบบ 3มิติ
ต่อมาในปี 1994 เซก้าก็ได้นำเกมแข่งรถที่ชื่อ"เดโทน่าUSA"ออกวางตลาด ซึ่งกลายเป็นเกมแข่งรถแบบอาเขตที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เป็นเกมแข่งรถที่ทำเงินได้มากที่สุดในยุคนั้น ในปีเดียวกันเซก้าก็ได้นำเกม"เวอร์ชวล คอป"และ"สตาร์ วอวร์"ออกวางตลาด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน
ในปี 1994 เซก้าได้เข้าซื้อบริษัทผลิตเกมพินบอล และเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดเกมพินบอลในอเมริกา ซึ่งต่อมาเซก้ากลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเกมพินบอลรายใหญ่ที่สุดในโลก
แซทเทิร์น
เซก้านำเครื่องเกมรุ่นใหม่ที่ใช้CD-ROMที่ชื่อ"แซทเทิร์น"ออกวางจำหน่ายในปี 1994 โดยแข่งขันกับคู่แข่งอย่างเครื่องเพลย์สเตชันของโซนี่และนินเทนโด 64ของนินเทนโด แต่เครื่องแซทเทิร์นกลับขายไม่ค่อยดีนักในตลาดฝั่งตะวันตก เครื่องแซทเทิร์นจึงถูกเซก้าทอดทิ้งในเวลาไม่นาน แต่ในญี่ปุ่น เครื่องแซทเทิร์นประสบความสำเร็จพอสมควร จึงมีเกมที่ออกวางขายเฉพาะในญี่ปุ่นออกให้กับเครื่องแซทเทิร์นจำนวนมากมาย ปี 1997 เซก้าได้ควบรวมกิจการกับบันได (บริษัทญี่ปุ่น)ชั่วคราว แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็แยกตัวออกมา เนื่องจาก"วัฒนธรรมในการทำงานแตกต่างกัน"
ดรีมแคสต์
ในวันที่ 9 เดือน 9 ปี ค.ศ. 1999 เซก้าได้เปิดตัวเครื่องเกมรุ่นใหม่ นั่นคือ "ดรีมแคสต์" ดรีมแคสต์นั้นมีราคาไม่แพงนัก ทั้งยังมีเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถเล่นเกมที่มีคุณภาพสูงกว่าเกมของนินเทนโด64หรือเพลย์สเตชัน พร้อมด้วยแถมโมเด็มขนาด 56K มาพร้อมกับเครื่อง ทำให้สามารถเล่นเกมดรีมแคสต์ออนไลน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย พร้อมกันนี้ เซก้าได้พัฒนาเกมที่สามารถใช้กับระบบออนไลน์นี้ เช่น เกม"แฟนตาซี สตาร์ ออนไลน์" ซึ่งเป็นเกมออนไลน์บนคอนโซลเกมแรกของวงการ
แต่อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวของดรีมแคสต์ในญี่ปุ่นไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากมีจำนวนเกมให้เลือกเล่นน้อย และบรรดานักเล่นเกมต่างกำลังรอคอยเครื่องเพลย์สเตชัน 2ที่กำลังจะออกใหม่ ทำให้เครื่องดรีมแคสต์ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ส่วนในตลาดฝั่งตะวันตกนั้นประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ จนได้รับการเรียกขานว่า"การเปิดตัวอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์" ในอเมริกาขายได้ถึง 5แสนเครื่องภายในอาทิตย์แรก เซก้าสามารถครอบครองส่วนแบ่งการตลาดนี้ไว้ได้ในระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเครื่อง"เพลย์สเตชัน"ของโซนี่เปิดตัวในอเมริกา ซึ่งทำให้ความนิยมของดรีมแคสต์ตกต่ำลง จนสูญเสียตลาดให้กับโซนี่ในที่สุด
เครื่องดรีมแคสต์ได้สร้างนวัตถกรรมใหม่ๆหลายอย่างให้กับวงการเกม เช่น การใช้กราฟิกแบบ"เซล-เชด" ระบบที่ทำให้ติดต่อกับเกมผ่านทางไมโครโฟนได้ และเกมชื่อดังอย่างเกม"เชนมู"ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี เกมของเซก้านั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากบรรดานักเล่นเกมส่วนมาก เนื่องจากบรรดานักเล่นเกมมัวแต่หันไปสนใจกับเครื่องเพลย์สเตชัน 2
เซก้าต้องประสบกับปัญหาหนี้สิน และการเข้ามาของเพลย์สเตชัน 2 ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก เซก้าจึงตัดสินใจยุติการผลิตเครื่องดรีมแคสต์ และถอนตัวจากอุตสาหรกรรมเครื่องเกมคอนโซล เครื่องดรีมแควต์จึงเป็นเครื่องเกมคอนโซลเครื่องสุดท้ายของเซก้า
เครื่องเล่นเกมคอนโซล
ผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นเกมคอนโซลของเซก้า ได้แก่ SG-1000, SG-1000 Mark II, SC-3000, Sega Master System, SG-1000 Mark III, เมก้าไดรว์ (ในอเมริกาใช้ชื่อว่า Genesis) , Sega Saturn และ Sega Dreamcast
เครื่องเล่นเกมพกพา
ผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นเกมพกพาของเซก้า ได้แก่ เกมเกียร์ และ Sega Nomad
ซอฟต์แวร์
เซก้ามีซีรีส์เกมที่มีชื่อเสียงหลายเกม เช่น Sonic the Hedgehog และ Virtua Fighter
อ้างอิง
- http://www.referenceforbusiness.com/history/Ro-Sh/SEGA-Corporation.html
- Kent, Steven. "The Seeds of Competition". The Ultimate History of Video Games: From Pong to Pokémon and Beyond- The Story That Touched Our Lives and Changed the World (First ed.). Roseville, California: Prima Publishing. p. 305. ISBN 0-7615-3643-4.
Service Games began in 1952
- . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2007-10-05. สืบค้นเมื่อ 2009-02-25.
- http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9A05E4DF1E39F934A1575BC0A962958260
- http://www.gamespot.com/news/2466444.html
- http://www.vidgame.net/SEGA/DC.html
แหล่งข้อมูลอื่น
- [1]
- [2] 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน