แซม วอลตัน
ซามูเอล มัวร์ วอลตัน (อังกฤษ: Samuel Moore Walton; 29 มีนาคม ค.ศ. 1918 – 5 เมษายน ค.ศ. 1992) เป็นนักธุรกิจและผู้ประกอบการชาวอเมริกันที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในการก่อตั้งร้านค้าปลีกวอลมาร์ต และแซมส์คลับ ซึ่งวอลมาร์ตสโตส์ อิงก์. เติบโตขึ้นจนกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยรายรับ ตลอดจนบริษัทว่าจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดในโลก และวอลตันเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
แซม วอลตัน | |
---|---|
เกิด | 29 มีนาคม ค.ศ. 1918 คิงฟิชเชอร์ รัฐโอคลาโฮมา สหรัฐ |
เสียชีวิต | 5 เมษายน ค.ศ. 1992 (74 ปี) ลิตเทิลร็อก รัฐอาร์คันซอ สหรัฐ |
สุสาน | สุสานเบนตันวิล |
สัญชาติ | อเมริกัน |
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยมิสซูรี ค.ศ. 1940 |
อาชีพ | ผู้ก่อตั้งวอลมาร์ต และแซมส์คลับ |
สินทรัพย์สุทธิ | 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ เวลาที่เสียชีวิต) |
คู่สมรส | เฮเลน ร็อบสัน (สมรส ค.ศ. 1943) |
บุตร |
|
ญาติ |
|
ชีวิตในวัยเด็ก
ซามูเอล มัวร์ วอลตัน เป็นลูกของทอมัส กิบสัน วอลตัน และแนนซี ลี โดยเกิดที่คิงฟิชเชอร์ รัฐโอคลาโฮมา เขาอาศัยอยู่ที่นั่นกับพ่อแม่ของเขาในฟาร์มจนถึง ค.ศ. 1923 อย่างไรก็ตาม การทำฟาร์มไม่ได้ให้เงินเพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว และทอมัส วอลตัน ก็ไปจำนองฟาร์ม เขาทำงานให้แก่วอลตันมอร์กิจคอมปานีของพี่ชาย ซึ่งเป็นตัวแทนของเมโทรโพลิทันไลฟ์อินชัวแรนซ์ ซึ่งเขายึดทรัพย์สินในฟาร์มในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
เขาและครอบครัว (ปัจจุบันมีลูกชายอีกคนคือเจมส์เกิดใน ค.ศ. 1921) ได้ย้ายจากรัฐโอคลาโฮมา พวกเขาย้ายจากเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งเป็นเวลาหลายปี โดยส่วนใหญ่อยู่ในรัฐมิสซูรี ขณะเรียนเกรดแปดในเชลไบนา รัฐมิสซูรี แซมกลายเป็นลูกเสืออินทรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ ซึ่งในวัยผู้ใหญ่ วอลตันได้รับรางวัลลูกเสืออินทรีดีเด่นจากลูกเสือแห่งอเมริกา
ในที่สุด ครอบครัวนี้ก็ย้ายไปโคลัมเบีย รัฐมิสซูรี เมื่อเติบโตขึ้นมาในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เขาทำงานบ้านเพื่อช่วยให้ครอบครัวของเขาได้รับผลตอบแทนทางการเงินเหมือนเช่นเคยในขณะนั้น เขารีดนมวัวของครอบครัว, บรรจุขวดส่วนเกิน และขับรถส่งให้ลูกค้า หลังจากนั้น เขาจะจัดส่งหนังสือพิมพ์โคลัมเบียเดลีทริบูนในงานประจำ นอกจากนี้ เขายังขายการสมัครสมาชิกนิตยสาร เมื่อสำเร็จการศึกษาจากเดวิด เอช. ฮิกแมน ไฮสกูล ในโคลัมเบีย เขาได้รับการโหวตให้เป็น "เด็กชายที่เก่งกาจที่สุด"
หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับไฮสกูล วอลตันตัดสินใจเข้าเรียนในวิทยาลัย โดยหวังว่าจะหาวิธีที่ดีกว่าในการช่วยเลี้ยงดูครอบครัวของเขา เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมิสซูรีในฐานะนักเรียนนายร้อยโครงการฝึกกำลังพลสำรอง ในช่วงเวลานี้ เขาทำงานแปลก ๆ หลายอย่าง รวมทั้งบริกรเพื่อแลกกับอาหาร นอกจากนี้ ในระหว่างที่เขาอยู่ในวิทยาลัย วอลตันได้เข้าร่วมคณะซีตาพีของสมาคมบีตาทีตาไพ นอกจากนี้ เขายังได้รับการคัดเลือกจากคิวอีบีเอช ซึ่งเป็นสมาคมลับที่มีชื่อเสียงในวิทยาเขตที่ให้เกียรตินักศึกษาชายชั้นปีสุดท้ายระดับสูง และสมาคมเกียรติยศทางทหารแห่งชาติอย่างสแคบเบิร์ดแอนด์เบลด นอกจากนี้ วอลตันยังดำรงตำแหน่งประธานบูรอลไบเบิลคลาส ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาจำนวนมากจากมหาวิทยาลัยมิสซูรีและวิทยาลัยสตีเฟนส์ เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ใน ค.ศ. 1940 เขาได้รับเลือกให้เป็น "ประธานถาวร" ของรุ่น
ยิ่งกว่านั้น เขายังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่าเขาเรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อยว่าการที่เด็ก ๆ จะช่วยจัดหาบ้านให้ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา โดยเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ วอลตันตระหนักดีขณะรับใช้ในกองทัพ ว่าเขาต้องการเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกและทำธุรกิจด้วยตัวเอง
วอลตันเข้าทำงานที่เจ. ซี. เพนนีย์ ในตำแหน่งผู้บริหารฝึกหัดที่ดิมอยน์ รัฐไอโอวา สามวันหลังจากสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัย โดยจ่ายเงินให้เขาในตำแหน่งนี้ 75 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งวอลตันใช้เวลาประมาณ 18 เดือนกับเจ. ซี. เพนนีย์ เขาลาออกใน ค.ศ. 1942 โดยความมุ่งหวังว่าจะได้รับเลือกให้เป็นทหารเพื่อรับราชการในสงครามโลกครั้งที่สอง ในระหว่างนี้ เขาได้ทำงานที่โรงงานอาวุธยุทโธปกรณ์ของดูปองท์ ใกล้ทัลซา รัฐโอคลาโฮมา หลังจากนั้นไม่นาน วอลตันได้เข้าร่วมกองทัพในเหล่าทหารการข่าวสหรัฐ โดยควบคุมดูแลความปลอดภัยที่โรงงานเครื่องบินและค่ายเชลยศึก ในตำแหน่งนี้เขาเข้าประจำการที่ฟอร์ตดักลาส ในซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ซึ่งในที่สุดเขาก็ไปถึงยศร้อยเอก
ร้านแรก
ใน ค.ศ. 1945 หลังจากออกจากกองทัพ วอลตันเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารร้านลักษณะหลากหลายร้านแรกของเขาเมื่ออายุ 26 ปี ด้วยความช่วยเหลือจากเงินกู้ยืมจำนวน 20,000 ดอลลาร์จากพ่อตาของเขา บวกกับเงินอีก 5,000 ดอลลาร์ที่เขาได้รับจากการทำงานในกองทัพ วอลตันได้ซื้อร้านเบน แฟรงกลิน ในนิวพอร์ต รัฐอาร์คันซอ ซึ่งร้านนี้เป็นแฟรนไชส์ของเครือบัตเลอร์บราเธอส์
วอลตันเป็นผู้บุกเบิกแนวความคิดจำนวนมากที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จของเขา ตามความเห็นของวอลตันคือ หากเขาเสนอราคาที่ดีหรือดีกว่าร้านค้าในเมืองที่อยู่ห่างออกไป 4 ชั่วโมงโดยรถยนต์ ผู้คนจะซื้อสินค้าแถวบ้าน วอลตันทำให้แน่ใจว่าชั้นวางมีสต็อกสินค้าจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ ห้างสรรพสินค้าแห่งที่สองของเขาคือห้างสรรพสินค้า "อีเกิล" เล็ก ๆ ซึ่งอยู่ถัดจากร้านเบน แฟรงกลิน ร้านแรกของเขา และอยู่ติดกับคู่แข่งหลักในนิวพอร์ต
ด้วยปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจาก 80,000 ดอลลาร์เป็น 225,000 ดอลลาร์ในสามปี วอลตันจึงได้รับความสนใจจากพี. เค. โฮมส์ ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งครอบครัวของเขามีประวัติด้านการค้าปลีก โดยการชื่นชมความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของแซม และปรารถนาที่จะเรียกคืนร้านค้า (รวมทั้งสิทธิ์แฟรนไชส์) สำหรับลูกชายของเขา ซึ่งเขาได้ปฏิเสธที่จะต่ออายุสัญญาเช่า การขาดตัวเลือกในการต่ออายุ ประกอบกับค่าเช่าที่สูงเกินควรถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย เป็นบทเรียนทางธุรกิจช่วงแรก ๆ ของวอลตัน และแม้จะบังคับให้วอลตันออกไป แต่โฮมส์ก็ซื้อสินค้าคงคลังและอุปกรณ์ตกแต่งของร้านนี้ในราคา 50,000 ดอลลาร์ ซึ่งวอลตันกล่าวว่าเป็น "ราคายุติธรรม"
อ้างอิง
- Thomas C. Hayes (April 6, 2002). "Sam Walton Is Dead At 74". The New York Times. สืบค้นเมื่อ May 25, 2016.
- . 7infi.com. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ August 10, 2017. สืบค้นเมื่อ August 10, 2017.
- Harris, Art (1985-11-17). "America's Richest Man Lives...Here?Sam Walton, Waiting in Line At the Wal-Mart With Everybody Else". Washington Post (ภาษาอังกฤษ). ISSN 0190-8286. สืบค้นเมื่อ 2021-03-22.
- Walton, Sam. Sam Walton: Made in America. Random House Publishing Group. p. 4. ISBN 978-0-345-53844-4.
- Lee, Sally (2007). Sam Walton: Business Genius of Wal-Mart. Enslow Publishers, Inc. p. 13. ISBN 978-0766026926. สืบค้นเมื่อ December 30, 2012.
- Landrum, Gene N. (2004). Entrepreneurial Genius: The Power of Passion. Brendan Kelly Publishing. p. 120. ISBN 1895997232. สืบค้นเมื่อ December 30, 2012.
- Townley, Alvin (December 26, 2006). Legacy of Honor: The Values and Influence of America's Eagle Scouts. Asia: St. Martin's Press. pp. 88–89. ISBN 0-312-36653-1. จากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2006. สืบค้นเมื่อ December 29, 2006.
- (PDF). Scouting.org. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ March 12, 2016. สืบค้นเมื่อ November 4, 2010.
- ↑ Gross, Daniel; Forbes Magazine Staff (August 1997). Greatest Business Stories of All Time (First ed.). New York: John Wiley & Sonsf. p. 269. ISBN 0-471-19653-3. จากแหล่งเดิมเมื่อ June 10, 2020. สืบค้นเมื่อ December 18, 2019.
- Walton, Sam. Sam Walton: Made in America. Random House Publishing Group. p. 15. ISBN 978-0-345-53844-4.
- ↑ "Sam Walton". Encyclopædia Britannica. Encyclopædia Britannica Inc. 2012. จากแหล่งเดิมเมื่อ October 21, 2013. สืบค้นเมื่อ March 30, 2012.
- Walton, Sam (1992). Sam Walton, Made in America: My Story. Doubleday. pp. 5, 15, and 20.
- Walton, Sam. Sam Walton: Made in America. Random House Publishing Group. p. 18. ISBN 978-0-345-53844-4.
- "Lessons from Sam Walton: How a social-local strategy brings the human touch back to business". Hearsay Systems (ภาษาอังกฤษ). 2012-06-04. สืบค้นเมื่อ 2020-12-05.
- Sandra S. Vance, Roy V. Scott (1994). Wal-Mart. New York: Twayne Publishers. p. 41. ISBN 0-8057-9833-1.
- "Sam Walton". Butler Center for Arkansas Studies. จากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2012. สืบค้นเมื่อ March 30, 2012.
- Walton & Huey, Made in America: My Story, p. 30.
แหล่งที่มา
- Trimble, Vance H. (1991). Sam Walton: the Inside Story of America's Richest Man. Penguin Books. ISBN 978-0-451-17161-0.
- Walton, Sam; John Huey (1992). Made in America: My Story. New York: Doubleday. ISBN 0-385-42616-X.
อ่านเพิ่ม
- Bianco, Anthony (2006). The Bully of Bentonville: how the high cost of Wal-Mart's everyday low prices is hurting America. New York: Currency/Doubleday. ISBN 0-385-51356-9.
- Scott, Roy Vernon; Vance, Sandra Stringer (1994). Wal-Mart: A History of Sam Walton's Retail Phenomenon. ISBN 0-8057-9833-1.
- Fishman, C. (2006). The Wal-Mart Effect: How the World's Most Powerful Company Really Works – and HowIt's Transforming the American Economy. Penguin.
- Marquard, W. H. (2007). Wal-Smart: What it really takes to profit in a Wal-Mart world. McGraw Hill Professional.
- Sam Walton, Bibliography.
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: แซม วอลตัน |
- . Time Magazine. December 7, 1998. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ October 18, 2000. สืบค้นเมื่อ March 31, 2012. at Wayback Machine
- Week Sam Walton: The King of the Discounters August 8, 2004
- Sam M. Walton College of Business, University of Arkansas
- แซม วอลตัน ที่ไฟน์อะเกรฟ
- Voices of Oklahoma interview, Chapters 12–16, with Frank Robson. First person interview conducted on November 2, 2009, with Frank Robson, brother-in-law of Sam Walton.