ประเทศเซาท์ซูดาน
พิกัดภูมิศาสตร์: 8°N 30°E / 8°N 30°E
เซาท์ซูดาน (อังกฤษ: South Sudan) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐเซาท์ซูดาน (อังกฤษ: Republic of South Sudan) เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันออก เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า จูบา ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐอิเควทอเรียลกลางที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เซาท์ซูดานเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทางตะวันออกมีอาณาเขตติดต่อกับเอธิโอเปีย ทางใต้ติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ทางตะวันตกติดต่อกับสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และทางเหนือติดต่อกับซูดาน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นบึงตมซึ่งเกิดขึ้นจากแม่น้ำไนล์ขาว
สาธารณรัฐเซาท์ซูดาน Republic of South Sudan (อังกฤษ) | |
---|---|
คำขวัญ: "ความยุติธรรม เสรีภาพ ความมั่งคั่ง" | |
เพลงชาติ: South Sudan Oyee! | |
เมืองหลวง และ ใหญ่สุด | จูบา 04°51′N 31°36′E / 4.850°N 31.600°E |
ภาษาราชการ | ภาษาอังกฤษ |
การปกครอง | สหพันธ์ ระบบประธานาธิบดี สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ |
• ประธานาธิบดี | ซัลวา กีร์ มายาร์ดิต |
• รองประธานาธิบดี | James Wani Igga |
• รองประธานาธิบดี 1 | Taban Deng Gai |
ได้รับเอกราช จากซูดาน | |
• ความตกลงสันติภาพเบ็ดเสร็จ | 6 มกราคม 2548 |
• อัตตาณัติ | 9 กรกฎาคม 2548 |
• เอกราช | 9 กรกฎาคม 2554 |
พื้นที่ | |
• รวม | 619,745 ตารางกิโลเมตร (239,285 ตารางไมล์) (41) |
ประชากร | |
• 2558 ประมาณ | 12,340,000 |
• สำมะโนประชากร 2551 | 8,260,490 (พิพาท) |
13.33 ต่อตารางกิโลเมตร (34.5 ต่อตารางไมล์) (214) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2560 (ประมาณ) |
• รวม | $ 19.750 พันล้าน |
• ต่อหัว | $ 1,503 |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2560 (ประมาณ) |
• รวม | $ 2.915 พันล้าน |
• ต่อหัว | $ 221 |
จีนี (2009) | 45.5 ปานกลาง |
HDI (2019) | 0.433 ต่ำ · 185 |
สกุลเงิน | ปอนด์เซาท์ซูดาน (SSP) |
เขตเวลา | UTC+3 (เวลาแอฟริกาตะวันออก) |
• ฤดูร้อน (DST) | UTC+0 |
รหัสโทรศัพท์ | +211 |
โดเมนบนสุด | .ss |
หลังจากซูดานได้รับเอกราชเมื่อปี พ.ศ. 2499 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายครั้ง ซึ่งมีบางช่วงที่เซาท์ซูดานได้รับสิทธิ์ในการปกครองตนเอง เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554 ได้มีการจัดการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากประเทศซูดานขึ้น ผลปรากฏว่า ชาวเซาท์ซูดานเสียงข้างมากเกือบ 99% เห็นควรแยกตัวเป็นเอกราช และเมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 9 กรกฎาคม เซาท์ซูดานก็กลายเป็นประเทศเอกราชโดยแยกตัวออกจากประเทศซูดาน
เซาท์ซูดานได้สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือจักรภพแห่งชาติ และยังได้รับการประกาศว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมจะสมัครเป็นสมาชิกในสันนิบาตอาหรับได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังได้แสดงความสนใจจะเข้าร่วมประชาคมแอฟริกาตะวันออก ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ได้รับการสนับสนุนในหลักการโดยรัฐสมาชิก เคนยาและรวันดา คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวางแผนจะประชุมกันในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เพื่ออภิปรายถึงสมาชิกภาพและการรับรองสาธารณรัฐเซาท์ซูดานอย่างเป็นทางการ ซึ่งในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติรับรองชาติเกิดใหม่นี้เป็นรัฐสมาชิกลำดับที่ 193 ของสหประชาชาติแล้ว
ประวัติศาสตร์
ภูมิภาคนี้ได้รับผลกระทบในแง่ลบจากสงครามกลางเมืองสองครั้งนับแต่ซูดานได้รับเอกราช รัฐบาลซูดานสู้รบกับกบฏตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 ถึง 2515 ในสงครามกลางเมืองซูดานครั้งที่หนึ่ง และกองทัพปลดปล่อยประชาชนซูดาน (SPLA/M) ในสงครามกลางเมืองครั้งที่สองเป็นเวลาอีกเกือบยี่สิบเอ็ดปีนับตั้งแต่ก่อตั้ง SPLA/M ในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งส่งผลให้เกิดการปล่อยปละละเลย การขาดการพัฒนาสาธารณูปโภค ตลอดจนการทำลายล้างและการย้ายประชากรอย่างมโหฬาร มีผู้ถูกสังหารมากกว่า 2.5 ล้านคน และมีอีกมากกว่า 5 ล้านคนถูกขับออกจากถิ่นที่อยู่ กลายเป็นผู้ลี้ภัยจากผลของสงครามกลางเมืองและที่เกี่ยวข้องกับสงคราม
มีการประเมินว่าภูมิภาคเซาท์ซูดานมีประชากร 8 ล้านคน แต่เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีการทำสำมะโนประชากรมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ตัวเลขประมาณนี้จึงอาจคาดเคลื่อนอย่างรุนแรง เศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นแบบชนบทและพึ่งพาเกษตรกรรมเพื่อยังชีพเป็นหลัก ในกลางคริสต์ทศวรรษ 2000 เศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนจากที่ชนบทเด่นกว่ามาเป็นเขตเมือง โดยสังเกตได้ว่าเซาท์ซูดานมีการพัฒนาอย่างกว้างขวาง
เอกราช
มีการจัดการลงประชามติแยกเซาท์ซูดานเป็นเอกราชระหว่างวันที่ 9 ถึง 15 มกราคม พ.ศ. 2554 โดยประชากรที่ออกเสียงกว่า 98.83% โดยผลการลงประชามติเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 ชาวซูดานที่อาศัยอยู่ทางเหนือและที่อยู่โพ้นทะเลก็มาใช้สิทธิ์ด้วยเช่นกัน ผลการลงประชามตินำไปสู่การได้รับเอกราชอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ถึงแม้ว่าข้อพิพาทบางประการจะยังคงดำเนินต่อไป อย่างเช่น ส่วนแบ่งรายได้จากการค้าน้ำมัน ซึ่งมีการประเมินว่า 80% ของน้ำมันในซูดานอยู่ในเซาท์ซูดาน นับเป็นศักยภาพทางเศรษฐกิจอันน่าทึ่งสำหรับพื้นที่เสื่อมโทรมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภูมิภาค Abyei ยังคงอยู่ในระหว่างพิพาทและจะมีการจัดการลงประชามติแยกต่างหากใน Abyei ว่าชาวเมืองต้องการจะเข้าร่วมกับซูดานเหนือหรือซูดานใต้ ความขัดแย้งคูร์ดูฟันใต้ปะทุขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 ระหว่างกองทัพเซาท์ซูดานกับ SPLA เหนือเทือกเขานูบา
เซาท์ซูดานกำลังทำสงครามกับกลุ่มติดอาวุธอย่างน้อยเจ็ดกลุ่ม โดยมีประชากรถูกบังคับให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่แล้วหลายหมื่นคน
สงครามกลางเมือง (2556–ปัจจุบัน)
ในเดือนธันวาคม 2556 เกิดการแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองระหว่างประธานาธิบดีกีร์และอดีตผู้ช่วยของเขา รีค มาชาร์ (Riek Machar) เมื่อประธานาธิบดีกล่าวหามาชาร์และผู้อื่นอีกสิบคนว่าพยายามรัฐประหาร แม้ทั้งสองมีผู้สนับสนุนจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทั่วเซาท์ซูดาน แต่การสู้รบต่อมาเป็นชุมชน โดยกบฏมุ่งเป้าสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ดิงกาของกีร์และทหารรัฐบาลโจมตีนูเออร์ ทหารยูกันดายังสู้รบร่วมกับกำลังรัฐบาลเซาท์ซูดานต่อกบฏ
มีประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 100,000 คนในความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ดิงกา-นูเออร์ ข้าราชการห้าคน รวมมาชาร์ ถูกพิจารณาฐานกบฏ ซึ่งทั้งหมดปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยสิ้นเชิง ซึ่งผู้สังเกตการณ์เกรงว่าจะคุกคามการหยุดยิงล่าสุด มีผู้พลัดถิ่นกว่า 1,000,000 คนในเซาท์ซูดาน และกว่า 400,000 คนหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเคนยา ซูดานและยูกันดาอันเนื่องมาจากความขัดแย้ง
เมื่อปลายเดือนกันยายน 2557 ทั้งกลุ่มแยก SPLM รวมทั้ง SPLM-IO ตกลงข้อเสนอทำให้เป็นสหพันธรัฐ (federalisation) ที่ขอมานานของฝ่ายค้านและตัวแสดงที่เป็นกลางกว่า
ภูมิศาสตร์
เซาท์ซูดานตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 3 และ 13 องศาเหนือ และลองติจูด 24 และ 36 องศาตะวันออก ปกคลุมไปด้วยป่าเขตร้อน บึงและทุ่งหญ้า มีแม่น้ำไนล์ขาวไหล่ผ่านประเทศ ผ่านเมืองหลวง จูบา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การเมือง
สภานิติบัญญัติของสาธารณรัฐเซาท์ซูดานอนุมัติรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองรัฐ โดยยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อปี พ.ศ. 2548 รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจัดตั้งระบบการปกครองแบบระบบประธานาธิบดี ซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ ประมุขแห่งรัฐบาล และผู้บัญชาการทหารสูงสุด จอห์น กาแรง ผู้ก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชนซูดาน (SPLA/M) เป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัฐบาลปกครองตนเองจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ซัลวา กีร์ มายาร์ดิต มือขวาของเขา สาบานตนเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีคนแรกของซูดานและประธานาธิบดีรัฐบาลเซาท์ซูดานเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2548 อำนาจนิติบัญญัติตกเป็นของรัฐบาลและสภานิติบัญญัติเซาท์ซูดานที่เป็นแบบสภาเดียว รัฐธรรมนูญยังได้กำหนดให้ฝ่ายตุลาการทำหน้าที่เป็นอิสระ โดยมีองค์กรสูงสุดคือศาลสูงสุด
เอกสารกลาโหมว่าด้วยกระบวนการป้องกันริเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2550 โดยรัฐมนตรีว่าการกิจการ SPLA โดมีนีก ดิม เดง และมีการจัดทำร่างขึ้นในปี พ.ศ. 2551 เอกสารดังกล่าวประกาศว่าซุดานใต้จะดำรงไว้ซึ่งกองทัพบก กองทัพอากาศและกองทัพแม่น้ำ (riverine forces)
การแบ่งเขตการปกครอง
เซาท์ซูดานแบ่งเขตการปกครองออกเป็นสิบรัฐตามภูมิภาคทางประวัติศาสตร์สามภูมิภาคของซูดาน ได้แก่ บาหร์ อัล กาซัล, เอควาทอเรียและเกรตเตอร์อัปเปอร์ไนล์ และแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น 86 เขต
- บาหร์ อัล กาซัล
- บาหร์ อัล กาซัลเหนือ
- บาหร์ อัล กาซัลตะวันตก
- ลาเคส
- วารับ
- เอควาทอเรีย
- เอควาทอเรียตะวันตก
- เอควิทอเรียกลาง (เป็นที่ตั้งของเมืองหลวง จูบา)
- เอควาทอเรียตะวันออก
- เกรตเตอร์อัปเปอร์ไนล์
- จุนกาลี
- ยูนิตี
- อัปเปอร์ไนล์
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เมื่อเซาท์ซูดานแยกตัวออกจากซูดานโดยผลการลงประชามติ การลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชในบางภูมิภาคที่ติดต่อกับเซาท์ซูดานเองก็มีการตกลงในหลักการหรือกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา รวมทั้งรัฐคูร์ดูฟันใต้และบลูไนล์
นับตั้งแต่วันที่ประกาศอิสรภาพ ความสัมพันธ์กับซูดานยังคงอยู่ในระหว่างการเจรจา ประธานาธิบดีซูดาน อูมัร ฮะซัน อะห์มัด อัลบะชีร์ แต่แรกเคยประกาศเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 ว่าอนุญาตให้พลเมืองถือสองสัญชาติในซูดานเหนือและใต้ได้ แต่หลังจากการประกาศอิสรภาพของเซาท์ซูดาน เขาได้ถอนข้อเสนอดังกล่าว เขายังได้เสนอแนะสมาพันธรัฐแบบสหภาพยุโรป
เซาท์ซูดานเป็นรัฐสมาชิกสหประชาชาติ แม้จะยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตอาหรับ แต่ก็คาดว่าจะได้รับสมาชิกภาพเร็ว ๆ นี้ เซาท์ซูดานยังมีแผนจะเข้าร่วมเครือจักรภพแห่งชาติ ประชาคมแอฟริกาตะวันออก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลก
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจเซาท์ซูดานเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอและด้อยพัฒนาที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยมีสาธารณูปโภคน้อยมากและมีอัตราการเสียชีวิตของมารดาและอัตราไม่รู้หนังสือในผู้หญิงสูงที่สุดในโลกในปี พ.ศ. 2554 เซาท์ซูดานส่งออกไม้ไปยังตลาดระหว่างประเทศ ภูมิภาคนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก อย่างเช่น ปิโตรเลียม แร่เหล็ก ทองแดง แร่โครเมียม สังกะสี ทังสเตน ไมกา เงิน ทองคำ และพลังงานน้ำ เศรษฐกิจของประเทศ เหมือนกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นอีกมาก พึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก
น้ำมัน
บ่อน้ำมันในเซาท์ซูดานทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคยังคงอยู่รอดได้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเซาท์ซูดานได้รับเอกราชจากซูดานในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 นักเจรจาฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือยังไม่สามารถบรรลุความตกลงว่าด้วยรายได้จากบ่อน้ำมันในเซาท์ซูดาน ระหว่างสมัยปกครองตนเองครั้งที่สองระหว่าง พ.ศ. 2548 ถึง 2554 รัฐบาลซูดานเรียกร้องรายได้ 50% จากการส่งออกน้ำมันของเซาท์ซูดาน และเซาท์ซูดานถูกบีบให้ต้องพึ่งพาท่อส่งและโรงกลั่นน้ำมันทางเหนือ เช่นเดียวกับเมืองท่าทะเลแดงที่พอร์ตซูดาน คาดว่าข้อตกลงหลังเซาท์ซูดานได้รับเอกราชจะคล้ายเดิม โดยนักเจรจาฝ่ายเหนือมีรายงานว่ากดดันให้ยังคงรักษาส่วนแบ่งรายได้น้ำมัน 50-50 และนักเจรจาเซาท์ซูดานก็ยืนกรานให้มีข้อเสนอที่ดีกว่า
การคมนาคม
เซาท์ซูดานมีรางรถไฟแคบ 1,067 มิลลิเมตร ทางเดี่ยวยาว 248 กิโลเมตรจากพรมแดนซูดานถึงปลายทางเวา ท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมากที่สุดและพัฒนามากที่สุดในเซาท์ซูดาน คือ ท่าอากาศยานจูบา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ลักษณะประชากร
เซาท์ซูดานมีประชากรราว 6 ล้านคนและเศรษฐกิจสำคัญเป็นแบบพึ่งพาตนเองในชนบท ภูมิภาคนี้ได้รับผลกระทบเชิงลบจากสงครามเป็นเวลาหลายสิบปี ชาวเซาท์ซูดานส่วนใหญ่นับถือความเชื่อชนพื้นเมืองโบราณ ถึงแม้ว่าบางส่วนจะนับถือศาสนาคริสต์ อันเป็นผลมาจากการเผยแผ่ศาสนาของมิชชันนารี
ภาษา
ภาษาราชการของเซาท์ซูดาน คือ ภาษาอังกฤษ ขณะที่ภาษาพูดอารบิกมีพูดกันอย่างแพร่หลาย และภาษาอารบิกจูบา อันเป็นภาษาผสม ใช้พูดกันในพื้นที่รอบเมืองหลวง
ประชากรเซาท์ซูดานประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 200 กลุ่ม และเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความหลากหลายมากที่สุดในทวีปแอฟริกา อย่างไรก็ตาม มีภาษาจำนวนมากที่มีผู้พูดเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น ภาษาที่มีผู้พูดเป็นภาษาแม่มากที่สุด คือ ภาษาดิงคา ซึ่งมีผู้พูดราว 2-3 ล้านคน
กลุ่มผู้ลี้ภัยชาวเซาท์ซูดานผู้ซึ่งเติบโตขึ้นในคิวบาระหว่างสงครามซูดาน ซึ่งมีจำนวนราว 600 คน ยังสามารถพูดภาษาสเปนได้อย่างคล่องแคล่วด้วย และส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในจูบาในช่วงที่ประเทศได้รับเอกราช
ศาสนา
ศาสนาที่ชาวเซาท์ซูดานนับถือกันนั้นประกอบด้วยศาสนาชนพื้นเมืองดั้งเดิม ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม แหล่งข้อมูลวิชาการและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริการะบุว่า ชาวเซาท์ซูดานส่วนใหญ่ยังคงนับถือความเชื่อชนพื้นเมืองแต่เดิม (บางครั้งใช้คำว่า วิญญาณนิยม) โดยมีผู้นับถือศาสนาคริสต์รองลงมา ตามข้อมูลของหอสมุดรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1990 อาจมีประชากรเซาท์ซูดานไม่เกิน 10% ที่เป็นคริสเตียน อย่างไรก็ตาม บางรายงานข่าวและองค์กรคริสเตียนระบุว่า ประชากรเซาท์ซูดานส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ คริสเตียนส่วนใหญ่เป็นนิกายคาทอลิกและแองกลิคัน และความเชื่อถือผีนั้นมักจะผสมเข้ากับความเชื่อคริสเตียน
ประธานาธิบดีเซาท์ซูดาน คีร์ มายาร์ดิต ว่า เซาท์ซูดานจะเป็นชาติที่เคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา
สถานการณ์ด้านมนุษยธรรม
เซาท์ซูดานเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีตัวชี้วัดสุขภาพบางด้านเลวร้ายที่สุดในโลก อัตราการเสียชีวิตของเด็กอายุไม่ถึงห้าปีอยู่ที่ 112 คน ต่อ 1,000 คน ขณะที่มีอัตราการเสียชีวิตของมารดาขณะคลอดบุตรสูงที่สุดในโลกที่ 2,053.9 คน ต่อ 100,000 คน ในปี พ.ศ. 2547 มีศัลยแพทย์เพียงสามคนเท่านั้นที่อยู่ในเซาท์ซูดาน โดยมีโรงพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานเพียงสามแห่ง และในบางพื้นที่มีแพทย์เพียงหนึ่งคนต่อประชากรถึง 500,000 คน
วิทยาการระบาดของเอชไอวี/เอดส์ในเซาท์ซูดานมีบันทึกไว้อย่างเลว แต่คาดว่ามีความชุกของโรคอยู่ที่ประมาณ 3.1%
ในห้วงความตกลงสันติภาพเบ็ดเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2548 ความต้องการด้านมนุษยธรรมในเซาท์ซูดานมีสูงมาก อย่างไรก็ตาม องค์การด้านมนุษยธรรมภายใต้การนำของสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) จัดการเพื่อรับรองว่ามีการระดมทุนเพียงพอที่จะนำความช่วยเหลือมายังประชากรท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูและการช่วยเหลือพัฒนา โครงการมนุษยธรรมถูกบรรจุเข้าไปในแผนการทำงานปี พ.ศ. 2550 ของสหประชาชาติและองค์กรสนับสนุน ประชากรเซาท์ซูดานมากกว่า 90% ดำรงชีวิตอยู่ด้วยเงินน้อยกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน แม้ว่าจีดีพีต่อหัวของซูดานทั้งประเทศจะอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (3.29 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน) หลังจากปี พ.ศ. 2550 OCHA เริ่มลดบทบาทในเซาท์ซูดานลง เนื่องจากความต้องการด้านมนุษนธรรมค่อย ๆ ลดลงเป็นลำดับ แต่ได้ส่งมอบการควบคุมกิจกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาให้แก่องค์กรสาธารณประโยชน์และองค์กรที่ตั้งขึ้นในท้องถิ่น
อ้างอิง
- "S. Sudanese government agrees to federal system with rebels – Sudan Tribune: Plural news and views on Sudan". Sudan Tribune (ภาษาอังกฤษ). Addis Ababa. 27 September 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 October 2017. สืบค้นเมื่อ 19 November 2017.
- "Discontent over Sudan census". News24.com. AFP. 21 May 2009. สืบค้นเมื่อ 2011-07-14.[ลิงก์เสีย]
- "Gini Index". World Bank. จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2014. สืบค้นเมื่อ 2 March 2011.
- Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
- ".ss Domain Delegation Data". Internet Assigned Numbers Authority. ICANN. สืบค้นเมื่อ 2011-09-01.
- ชื่อเรียกในภาษาไทยของ The Republic of South Sudan, กองแอฟริกา กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา
- "South Sudan becomes world's newest nation". Forbes.com. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-12. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011.
- Martell, Peter (2011 [last update]). "BBC News - South Sudan becomes an independent nation". BBC. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011. Check date values in:
|year=
(help) - "Sudan deal to end Abyei clashes" BBC News 14 January 2011 Retrieved 26 January 2011
- . Talk of Sudan. 8 July 2011. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2011-07-12. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011..
- "South Sudan "entitled to join Arab League"". Sudan Tribune. 12 June 2011. สืบค้นเมื่อ 8 July 2011.
- "South Sudan: Big trading potential for EAC". IGIHE. 8 July 2011. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011.
- Government of Southern Sudan (GOSS). "Washington Celebrates the Birth of a New Nation". Press Release dated 9 July 2011. 5 July 2011. http://www.gossmission.org/goss/index.php?option=com_content&task=view&id=1218&Itemid=136 2011-07-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Retrieved 9 July 2011. Reilly, William. "South Sudan in Fast Lane to UN". http://english.cri.cn/6966/2011/07/09/2021s647393.htm Retrieved 9 July 2011.
- ↑ "Background Note: Sudan" U.S. Department of State 9 November 2010 Retrieved 8 December 2010
- "Over 99 pct in Southern Sudan vote for secession". USA Today. 30 January 2011. สืบค้นเมื่อ 30 January 2011.
- Karimi, Faith (22 January 2011). "Report: Vote for Southern Sudan independence nearly unanimous". CNN. สืบค้นเมื่อ 2 April 2011.
- News, BBC (30 January 2011). "99.57% of Southern Sudanese vote yes to independence". สืบค้นเมื่อ 30 January 2011.
- "South Sudan army kills fighters in clashes". Al Jazeera English. 24 April 2011. สืบค้นเมื่อ 26 April 2011.
- Kulish, Nicholas (9 January 2014). "New Estimate Sharply Raises Death Toll in South Sudan". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2 February 2014.
- ↑ "South Sudan 'coup leaders' face treason trial". BBC News. 29 January 2014.
- "Yoweri Museveni: Uganda troops fighting South Sudan rebels". BBC News. 16 January 2014.
- "South Sudan: Massacres, Unlawful Killings, Pillage". Human Rights Watch. 8 August 2014.
- "UN: Over one million displaced by South Sudan conflict". BBC News. 29 March 2014.
- ↑ Will Ross (9 January 2011). "Southern Sudan votes on independence". BBC. สืบค้นเมื่อ 2 April 2011.
- South Sudan passes interim constitution amid concerns over presidential powers. Sudan Tribune, 8 July 2011.
- . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2011-07-20. สืบค้นเมื่อ 2011-07-10.
- Juba parliament authorises establishment of South Sudan air force, 25 June 2008
- . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2011-02-12. สืบค้นเมื่อ 9 January 2011.
- The Abyei Referendum 2011-01-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. 4 January 2011. The Carnegie guide to the future of Sudan. Carnegie Endowment for International Peace (online).
- "South Sudan becomes an independent nation". BBC News. 9 July 2011. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011.
- . au.int. 9 February 2011. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2012-03-01. สืบค้นเมื่อ 2 April 2011.
- . African Union. 13 July 2011. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2012-05-04. สืบค้นเมื่อ 15 July 2011.
- . Talk of Sudan. 8 July 2011. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2011-07-12. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011.
- "South Sudan: Big trading potential for EAC". IGIHE. 8 July 2011. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011.
- "Welcome South Sudan to EAC!". East African Business Week. 10 July 2011. สืบค้นเมื่อ 10 July 2011.
- "IMF Receives Membership Application from South Sudan, Seeks Contributions to Technical Assistance Trust Fund to Help New Country". International Monetary Fund. 20 April 2011. สืบค้นเมื่อ 10 July 2011.
- . The Financial. 9 July 2011. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2011-07-11. สืบค้นเมื่อ 10 July 2011.
- Elbagir, Nima; Karimi, Faith (9 July 2011). "South Sudanese celebrate the birth of their nation". CNN. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011.
- "After Years of Struggle, South Sudan Becomes a New Nation". New York Times. 9 July 2011.
- Trivett, Vincent (8 July 2011). "Oil-Rich South Sudan Has Hours To Choose Between North Sudan, China And The U.S." Business Insider. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011.
- Radio France International, "Los cubanos, la élite de Sudán del Sur". Retrieved 11 July 2011
- "South Sudan profile". BBC News. 8 July 2011. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011.
- Kaufmann, E.P. Rethinking ethnicity: majority groups and dominant minorities. Routledge, 2004, p. 45.
- Minahan, J. Encyclopedia of the Stateless Nations: S-Z. Greenwood Press, 2002, p. 1786.
- Arnold, G. Book Review: Douglas H. Johnson, The Root Causes of Sudan's Civil Wars. African Journal of Political Science Vol.8 No. 1, 2003, p. 147.
- Sudan: A Country Study Federal Research Division, Library of Congress – Chapter 2, Ethnicity, Regionalism and Ethnicity
- "More than 100 dead in south Sudan attack-officials" SABC News 21 September 2009 Retrieved 5 April 2011
- Hurd, Emma "Southern Sudan Votes To Split From North" Sky News 8 February 2011 Retrieved 5 April 2011
- Christianity, in A Country Study: Sudan, U.S. Library of Congress.
- "South Sudan To Respect Freedom Of Religion Says GOSS President | Sudan Radio Service". Sudanradio.org. 21 February 2011. สืบค้นเมื่อ 9 July 2011.
- ↑ Ross, Emma (28 January 2004). Southern Sudan as unique combination of worst diseases in the world. Sudan Tribune.
- Moszynski, Peter (23 July 2005). Conference plans rebuilding of South Sudan's health service. BMJ.
- ↑ South Sudan Household Survey(December 2007). [1]. [South Sudan Medical Journal].
- Hakim, James (August 2009). HIV/AIDS: an update on Epidemiology, Prevention and Treatment. [South Sudan Medical Journal.
- Support freedom for Southern Sudan and fight for workers' unity against imperialism. Sean Ambler. League for the Fifth International. 10 January 2011.
- SUDAN: Peace bolsters food security in the south. IRIN. 18 April 2007.
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- Biel, Melha Rout (2007). South Sudan after the Comprehensive Peace Agreement. Jena: Netzbandt Verlag. ISBN 9783937884011.
- Tvedt, Terje (2004). South Sudan. An Annotated Bibliography. (2 vols) (2nd ed.). London/New York: IB Tauris. ISBN 1-860-64987-4.
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: ประเทศเซาท์ซูดาน |
- Government of South Sudan
- Government of South Sudan – USA and UN Mission
- Government of South Sudan – UK Mission
- Southern Sudan Legislative Assembly
- South Sudan entry at The World Factbook