ตำบลยม
ตำบลยม เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของตัวอำเภอ
ตำบลยม | |
---|---|
คำขวัญ: สร้างท้องถิ่นให้ก้าวหน้า พัฒนาคนให้ก้าวไกล ความสุขของประชาชนยิ่งใหญ่ คือหัวใจของ ... อบต. ยม | |
อักษรไทย | ตำบลยม |
อักษรโรมัน | Tambon Yom |
จังหวัด | น่าน |
อำเภอ | ท่าวังผา |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 32.48 ตร.กม. (12.54 ตร.ไมล์) |
ประชากร (2561) | |
• ทั้งหมด | 4,592 คน คน |
• ความหนาแน่น | 147 คน/ตร.กม. (380 คน/ตร.ไมล์) |
รหัสไปรษณีย์ | 55140 |
รหัสภูมิศาสตร์ | 550604 |
ประวัติการก่อตั้งเมือง
ตำบลยมก็คือเมืองยม ในสมัยพญาภูคาคือพื้นที่เมืองย่างหรือเมืองล่าง (เมืองย่างมีพื้นที่ครอบคลุมตำบลศิลาเพชร ตำบลยม ตำบลจอมพระ ตำบลอวน ในปัจจุบัน) บริเวณชุมชนโบราณเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำย่างและลำน้ำบั่ว
ตามประวัติการก่อตั้งกล่าวว่าเมื่อปี พ.ศ. 1820 พญาภูคาพร้อมด้วยราชเทวีคือนางจำปาหรือนางแก้วฟ้าและราษฎรประมาณ 220 คน ได้เดินทางมาจากเมืองเงินยาง มาพักอยู่ที่บริเวณบ้านเฮี้ย (ตำบลศิลาแลง) จากนั้นได้ออกสำรวจหาพื้นที่สำหรับตั้งเมือง และได้พบเมืองร้างบริเวณลุ่มแม่น้ำย่าง ซึ่งมีเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ ชื่อว่าบ้านกำปุงหรือบ่อตอง (ปัจจุบันคือบ้านป่าตอง) ราษฎรเป็นชาวลัวะ บริเวณชุมชนมีวัดร้างอยู่วัดหนึ่งชื่อ "วัดมณี" อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของบ้านกำปุง
พญาภูคาเห็นว่าบริเวณที่ได้สำรวจนี้เหมาะสมที่จะตั้งเมือง จึงได้พาราษฎรอพยพจากบ้านเฮี้ยมาสร้างบ้านเรือนอยู่ติดกับบ้านกำปุงทางทิศเหนือ และเนื่องด้วยพญาภูคาเป็นผู้มีความเมตตาโอบอ้อมอารี ราษฎรจึงได้ยกย่องขึ้นเป็นเจ้าเมืองล่าง เมื่อเดือน 3 เหนือ ขึ้น 2 ค่ำ พ.ศ. 1840 นับว่าท่านได้เป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์ภูคา
เมื่อชาวเมืองเชียงแสนและเมืองใกล้เคียงได้ทราบข่าวว่าพญาภูคาได้ตั้งและได้ปกครองเมืองล่าง ก็พากันอพยพถิ่นฐานมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ตลอดจนชาวไทยลื้อสิบสองปันนาก็ได้อพยพมาอยู่เพิ่มขึ้นอีก จึงทำให้เกิดการตั้งชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นบริเวณลุ่มน้ำย่างและน้ำบั่ว ครอบคลุมบริเวณตำบลศิลาเพชร ตำบลยม ตำบลจอมพระ ตำบลอวนในปัจจุบัน
พญาภูคามีราชบุตรกับนางจำปา 2 องค์ องค์โตชื่อ ขุนนุ่น องค์เล็กชื่อ ขุนฟอง เมื่อขุนนุ่นอายุได้ประมาณ 18 ปี พญาภูคาจึงให้ขุนนุ่นพาราษฎรจำนวนหนึ่งไปหาที่ตั้งเมืองใหม่ ขุนนุ่นจึงไปหาพญาเถรแตงที่ดอยติ้ว ดอยวาว (เขตติดต่อระหว่างอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน กับอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาปัจจุบัน)
พญาเถรแตงจึงได้พาขุนนุ่นข้ามแม่น้ำโขงไปทางฝั่งตะวันออกไปสร้างเมืองหลวงพระบางและปกครองอยู่ที่นั่น ส่วนขุนฟองผู้น้องให้ไปสร้างเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า "วรนคร" อยู่ทางทิศเหนือของเมืองล่าง (ปัจจุบันคือตำบลวรนคร) ขุนฟองท่านมีราชบุตร 1 องค์ชื่อ เจ้าเก้าเกื่อน พญาภูคาปกครองเมืองล่างได้ 40 ปี ก็ถึงอนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 1890
เจ้าเก้าเกื่อนซึ่งมีศักด์เป็นหลานได้ปกครองเมืองล่างสืบแทน ในสมัยนั้นพญางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา ได้ยกทัพมาตีเมืองวรนคร เจ้าเก้าเกื่อนได้ช่วยพ่อคือขุนฟองปราบข้าศึกจนพ่ายแพ้ไป ในครั้งนั้นได้รับสนับสนุนกองกำลังจากกรุงสุโขทัย ก่อนที่จะชิงเมืองคืนนั้นได้จัดทำสนามไว้สำหรับชุมชนช้างม้าที่เป็นพาหนะออกทำศึกในที่ดอนแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านดอนไชย) มีการสร้างคูเมืองและป้อมปราการเมืองเพื่อป้องกันข้าศึกมากมาย บริเวณข้างพระธาตุจอมพริกและบนสันดอยม่อนหลวง (บ้านลอมกลางปัจจุบัน)
เมื่อได้รับชัยชนะต่อพญางำเมืองแล้ว เจ้าเก้าเกื่อนปกครองเมืองล่างอยู่นั้น ท่านได้พาราษฎรสร้างเจดีย์ขึ้นที่ม่อนพักหรือม่อนป่าสัก (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านดอนมูล) และได้สร้างองค์พระธาตุจอมพริกบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับมอบจากกรุงสุโขทัยคราวไปขอกำลังเพื่อชิงเมืองจากพญางำเมือง เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่รบชนะพญางำเมือง และเจ้าเก้าเกื่อนได้นำต้นโพธิ์ที่ได้รับมาจากสุโขทัย มาปลูกไว้ใกล้กับบ้านบ่อตองทางทิศตะวันตก พร้อมทั้งสร้างเจดีย์องค์เล็ก ๆ 1 องค์ใกล้กับต้นโพธิ์ นำเอาเพชรนิลจินดาแก้วแหวนเงินทองของมีค่าต่าง ๆ บรรจุไว้ในเจดีย์ ปัจจุบันไม่ปรากฏเจดีย์ให้เห็น เนื่องจากต้นโพธิ์โตขึ้นครอบเจดีย์องค์เล็กจมหายลงไปในดินนานนับหลายร้อยปีแล้ว คงเหลือแต่ต้นโพธิ์ใหญ่ที่สุดในตำบลศิลาเพชร
พ.ศ. 1921 ต่อจากนั้นเมืองล่างจึงไปขึ้นกับเมืองวรนคร อยู่ในความปกครองของพญาผานองซึ่งเป็นราชวงค์ภูคาด้วยกัน พญาผานองได้เปลี่ยนชื่อเมืองล่าง เป็น "เมืองย่าง" โดยเรียกตามลำน้ำย่างที่ไหลผ่าน แล้วได้แต่งตั้งเจ้าผาฮ่องขึ้นปกครองเมืองย่างซึ่งปกครองได้ไม่นานก็สุรคต
ต่อมาพญากานเมือง กษัตริย์วรนครองค์ที่ 5 แห่งราชวงค์ภูคาได้ย้ายเมืองวรนครไปตั้งที่เมืองภูเพียงแช่แห้ง เมื่อ พ.ศ. 1902 ราษฎรเมืองย่างบางส่วนได้อพยพตามพญากานเมืองไปอยู่ที่ภูเพียงแช่แห้งด้วย เมืองย่างจึงอยู่ในความปกครองของกษัตริย์เมืองน่าน
ปี พ.ศ. 2246 สมัยพระเมืองราชาได้มีการฟื้นม่าน (ต่อต้านพม่า) แต่สุดท้ายพ่ายแพ้แก่กองทัพพม่า เมืองน่านทั้งเมืองถูกเผา และเมืองย่างก็เช่นกัน ถูกพม่าทำลายจนย่อยยับ ราษฏรถูกพม่าจับกุมและนำไปคุมขังไว้ที่ห้วยต้อและห้วยมัดเป็นจำนวนมาก (ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ตำบลอวน) ในครั้งนั้นเจ้าเมืองเล็นถูกพม่ายกทัพมาตีเมือง เจ้าเมืองเล็นทราบข่าวจึงพาชาวเมืองหลบหนีมาอยู่ที่เมืองล่างที่บ้านหัวทุ่ง ปัจจุบันคือบ้านนาคำ ตำบลศิลาเพชร และเจ้าเมืองเล็นได้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองล่างนับแต่นั้นมา
ในสมัยนั้นเมืองย่างมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีการสร้างวัดวาอาราม และศาสนสถานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก อีกทั้งสร้างเหมืองฝายต่าง ๆ บริเวณน้ำบั่ว เมื่อเจ้าเมืองเล็นได้ถึงแก่กรรม เจ้าเมืองน่านแต่งตั้งแสนปั๋นขึ้นปกครองเมืองย่าง สมัยนั้นเมืองน่านสงบสุข แสนปั๋นกับชาวเมืองได้สร้างเหมืองฝาย สร้างนาเหล่าหม่อนเปรต (หม่อนเผด บ้านดอนมูล) บูรณะองค์พระธาตุจอมพริก บริเวณบนดอยสันจ้าง บนวัดทุ่งฆ้อง (ปัจจุบันพระธาตุจอมพริกอยู่ในเขตบ้านเสี้ยว)
ครั้นถึงสมัยที่มีการฟื้นม่านเมื่อราวปี พ.ศ. 2330 เกิดนโยบายเก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมืองของเจ้ากาวิละ กองทัพเจ้าเจ็ดตน กองทัพเมืองน่านโดยเจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าเมืองแพร่ เจ้าเมืองลำปาง สยาม และหลวงพระบาง เจ้าจอมหงแห่งเชียงตุง ได้นำกองทัพขึ้นไปโจมตีหัวเมืองไทลื้อแถบสิบสองปันนา ทำให้หัวเมืองลื้อทั้งหมดพ่ายแพ้แก่กองทัพล้านนาและสยาม จึงเป็นเหตุให้มีการอพยพชาวไทลื้อ เมืองยอง เมืองยู้ เมืองเชียงลาบ จำนวนมากมาอยู่ในจังหวัดน่าน
ปี พ.ศ. 2345 แสนปั๋น เจ้าเมืองย่างถึงแก่กรรม เมืองย่างเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ โดยครั้งนั้นพญาอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่านได้มาตรวจสภาพพื้นที่เมืองย่าง เห็นว่ามีพื้นดินอุดมสมบูรณ์ดี มีพื้นที่ราบกว้างขวาง ประกอบกับในบริเวณเมืองย่างนั้นมีชาวไทลื้อที่เจ้าเมืองเล็นอพยพผู้คนมาตั้งบ้านเรือนบางส่วน อีกทั้งมีชาวไทลื้อที่อพยพมาในสมัยพญาภูคามาตั้งบ้านเรือนอยู่แล้วนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการปกครอง จึงพิจารณาเห็นสมควรโปรดให้ชาวไทลื้อที่ได้อพยพมาจากเมืองยอง เมืองยู้ เมืองเชียงลาบ ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งริมสองฟากฝั่งแม่น้ำย่าง โดยโปรดให้นำช่างปั้นหม้อชาวไทลื้อให้ตั้งบ้านเรือนที่บ้านดอนไชย (ปัจจุบันขึ้นกับตำบลศิลาเพชร) เมืองเชียงลาบให้ตั้งบ้านเรือนที่บริเวณลุ่มน้ำย่างใกล้พระธาตุจอมพริก ลื้อเมืองยองให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้พระธาตุจอมนาง และลื้อเมืองยู้ให้ตั้งบ้านเรือนที่ท้ายแม่น้ำย่าง
ในครั้งนั้นเจ้าอัตถวรปัญโญได้แต่งตั้งให้แสนจิณปกครองเมืองย่างสืบต่อจากแสนปั๋น
แต่ภายหลังเมื่อมีการจัดระเบียบหัวเมืองการปกครองนครน่านใหม่ในสมัยของพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชฯ จึงแยกเมืองยมออกจากเมืองย่าง โดยให้ท้าวเมืองยมเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองยม และจัดระเบียบเมืองยมขึ้นอยู่กับแขวงน้ำปัว ซึ่งประกอบด้วยหัวเมืองต่าง ๆ ได้แก่ เมืองปัว เมืองริม เมืองอวน เมืองยม เมืองย่าง (ภายหลังเมืองย่างเปลี่ยนชื่อเป็นตำบลศิลาเพชร) เมืองแงง เมืองบ่อ ให้มีที่ว่าการแขวงตั้งที่เมืองปัว
พ.ศ. 2486 ทางการได้มีประกาศยุบเลิกตำบลศิลาเพชรให้ไปขึ้นอยู่กับการปกครองของตำบลยม อำเภอปัวในขณะนั้น ซึ่งมีนายอิทธิ อิ่นอ้าย เป็นกำนัน และให้ตำบลศิลาเพชร เป็นตำบลยม 2 อำเภอปัว
พ.ศ. 2490 จึงมีประกาศจากทางราชการให้กลับมาเป็นตำบลศิลาเพชรเหมือนเดิม
ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2505 ทางราชการประกาศจัดตั้งกิ่งอำเภอท่าวังผา โดยแยกตำบลยม อำเภอปัว ให้มาขึ้นกับกิ่งอำเภอท่าวังผา
ในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2524 ได้ประกาศแยกตำบลยมออกเป็นอีกหนึ่งตำบล คือ ตำบลจอมพระ
ปัจจุบันตำบลยมแบ่งการปกครองออกเป็น 10 หมู่บ้าน ดังนี้
- หมู่ที่ 1 บ้านเก๋ง
- หมู่ที่ 2 บ้านสบบั่ว
- หมู่ที่ 3 บ้านลอมกลาง
- หมู่ที่ 4 บ้านเชียงยืน
- หมู่ที่ 5 บ้านทุ่งฆ้อง
- หมู่ที่ 6 บ้านเสี้ยว
- หมู่ที่ 7 บ้านหนอง
- หมู่ที่ 8 บ้านพร้าว
- หมู่ที่ 9 บ้านน้ำไคร้
- หมู่ที่ 10 บ้านนานิคม
สภาพทั่วไป
สภาพภูมิศาสตร์มีภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขา แม่น้ำย่าง และลำน้ำบั่ว ลำน้ำหมู ลำน้าฮาว ลำน้ำไคร้ และภูเขาสูง คือดอยภูคา มีการประกอบอาชีพด้านการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
อาณาเขต
- ทิศเหนือ ติดกับตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน
- ทิศใต้ ติดกับตำบลอวน อำเภอปัว จังหวัดน่าน
- ทิศตะวันออก ติดกับตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว จังหวัดน่าน
- ทิศตะวันตก ติดกับตำบลจอมพระ อำเภอท่าวังผา และ ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน
ประชากร
จำนวนประชากรในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล 4,549 คน และจำนวนหลังคาเรือน 1,532 หลังคาเรือน
หมู่ที่ | ชื่อหมู่บ้าน | ประชากรชาย | ประชากรหญิง | ประชากรทั้งหมด | จำนวนครัวเรือน |
---|---|---|---|---|---|
หมู่ 1 | บ้านก๋ง | 506 | 532 | 1,038 | 352 |
หมู่ 2 | บ้านสบบั่ว | 231 | 239 | 470 | 149 |
หมู่ 3 | บ้านลอมกลาง | 189 | 191 | 380 | 122 |
หมู่ 4 | บ้านเชียงยืน | 192 | 193 | 385 | 131 |
หมู่ 5 | บ้านทุ่งฆ้อง | 228 | 219 | 447 | 143 |
หมู่ 6 | บ้านเสี้ยว | 169 | 150 | 319 | 109 |
หมู่ 7 | บ้านหนอง | 174 | 194 | 378 | 125 |
หมู่ 8 | บ้านพร้าว | 312 | 325 | 637 | 224 |
หมู่ 9 | บ้านน้ำใคร้ | 191 | 160 | 351 | 110 |
หมู่ 10 | บ้านนานิคม | 72 | 82 | 154 | 53 |
กลุ่มชาติพันธุ์
ประชากรในตำบลยม แบ่งได้เป็น 2 ชาติพันธุ์ คือ
1. ชาวยวนเชียงแสน ประกอบด้วย
- บ้านก๋ง
- บ้านสบบั่ว
- บ้านพร้าว
- บ้านน้ำใคร้
- บ้านนานิคม
2. ชาวไทลื้อ ประกอบด้วย
- บ้านลอมกลาง
- บ้านเชียงยืน
- บ้านทุ่งฆ้อง
- บ้านเสี้ยว
- บ้านหนอง
อาชีพ
อาชีพหลัก ทำนา ทำสวน/ ทำไร่
สถานที่สำคัญ
- สำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลยม
- โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยม บ้านก๋ง
- โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยม บ้านพร้าว
- พระธาตุลอมตั้ง (สะดือเมือง) บ้านพร้าว
- เสาหลักเมืองยม บ้านพร้าว
- พระธาตุจอมพริก บ้านเสี้ยว
- อ่างเก็บน้ำชลสิงห์ บ้านเสี้ยว
- น้ำตกน้ำไคร้ บ้านน้ำไคร้
- คือเมืองย่าง บ้านเสี้ยว
- คือเมืองย่าง บ้านลอมกลาง
- อ่างเก็บน้ำห้วยเมี่ยง บ้านลอมกลาง
ศาสนสถาน
ศาสนสถาน ที่สำคัญในตำบลยม ประกอบด้วยวัด 9 แห่ง และโบสถ์คริสตจักร 1 แห่ง
หมู่ 1 บ้านก๋ง : วัดศรีมงคล
หมู่ 2 บ้านสบบั่ว : วัดโพธิ์ไทร
หมู่ 3 บ้านลอมกลาง : วัดลอมกลาง
หมู่ 4 บ้านเชียงยืน : วัดเชียงยืน
หมู่ 5 บ้านทุ่งฆ้อง : วัดทุ่งฆ้อง
หมู่ 6 บ้านเสี้ยว : วัดพระธาตุจอมพริก
หมู่ 7 บ้านหนอง : วัดหนองช้างแดง
หมู่ 8 บ้านพร้าว : วัดสันติการาม
หมู่ 9 บ้านน้ำใคร้ : วัดน้ำใคร้
หมู่ 10 บ้านนานิคม : โบสถ์คริสตจักรพันธสัญญา
สถานศึกษา
สถานศึกษาในตำบลยม
มัธยมศึกษา
- โรงเรียนเมืองยมวิทยาคาร
โรงเรียนมัธยมประจำตำบลยม
ประถมศึกษา
- โรงเรียนบ้านก๋งมงคลประชารังสรรค์ : บ้านก๋ง
- โรงเรียนไตรราษฎร์วิทยา : บ้านทุ่งฆ้อง
- โรงเรียนบ้านเสี้ยว : บ้านเสี้ยว
- โรงเรียนบ้านพร้าว : บ้านพร้าว
อ้างอิง
- [1]
- ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การกำหนดเขตตำบลในท้องที่อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน
- http://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statTDD/views/showVillageData.php?rcode=55060604&statType=1&year=63