พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ พรหมสาขา ณ สกลนคร)
อำมาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ พรหมสาขา ณ สกลนคร) (ต.ช., ต.ม., ร.ป.ช., ร.ม.ฮ., ฯลฯ) เจ้าเมืองสกลนครองค์สุดท้าย ผู้ว่าราชการเมืองสกลนครคนแรก (ปัจจุบันคือจังหวัดสกลนคร ในภาคอีสานของประเทศไทย) เดิมเป็นที่ราชวงศ์แล้วเลื่อนเป็นที่พระอุปฮาด ตำแหน่งเจ้านายในคณะอาญาสี่เมืองสกลนคร ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร และอดีตนายกองสักเลกเมืองสกลนคร อำมาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ พรหมสาขา ณ สกลนคร) เป็นผู้ได้รับพระราชทานนามสกุล พรมหมสาขา และเป็นต้นตระกูล พรหมสาขา ณ สกลนคร แห่งจังหวัดสกลนคร
พระยาประจันตประเทศธานี ( โง่นคำ พรหมสาขา ณ สกลนคร) | |
---|---|
พระยาประจันตประเทศธานี | |
เกิด | 19 มกราคม พ.ศ. 2382 |
เสียชีวิต | 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 (85 ปี) |
บิดามารดา | เจ้าราชวงศ์อิน (หรือ จันทร์) เส พรหมสาขา ณ สกลนคร |
ชาติกำเนิด
อำมาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี มีนามเดิมว่า ท้าวโหง่นคำ หรือท้าวคำ ถือกำเนิดในตระกูลเจ้านายจากคณะอาญาสี่แห่งเมืองสกลนคร ซึ่งเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเจ้านายผู้สร้างเมืองมหาไชยกองแก้ว และเจ้านายในราชวงศ์ศรีโคตรบูรของเมืองนครพนมในอดีต พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) กำเนิดหลังสมัยเจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ราว ๑๑ ปี ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันอาทิตย์ เดือนยี่ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีกุน เอกศก จ.ศ. ๑๒๐๑ ตรงกับวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๓๘๒ พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นบุตรของเจ้าราชวงศ์อิน (อินทร์ หรือ จันทร์) เจ้านายในคณะอาญาสี่เมืองสกลนคร กับอัญญานางเทพ ฝ่ายพระอัยกา (ปู่) พระนามว่า อุปฮาดพระนาคี (กิ่ง หรือ กิ่งหงษา) เจ้านายในคณะอาญาสี่เมืองมหาไชยกองแก้วของลาว พระปัยกา (ทวด) ทรงพระนามว่า พระบุรมราชากิตติศัพท์เทพฤๅยศ ทศบุรีศรีโคตรบูรหลวง คนทั่วไปรู้จักกันในพระนาม พระบรมราชา (พรหมา) ต้นตระกูล พรหมประกาย ณ นครพนม แห่งจังหวัดนครพนม เจ้าผู้ปกครองเมืองนครพนมเมื่อครั้งเป็นประเทศราชของเวียงจันทน์และสยาม โฮงหรือวังเดิมของพระยาประจันตประเทศธานีตั้งอยู่ ณ ตำบลธาตุเชิงชุม ใกล้วัดพระธาตุเชิงชุม ในตัวเมืองสกลนคร พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ศึกษาอักขระสมัยตามประเพณีบุตรหลานเจ้านายบ้านเมืองลาว รู้หนังสือลาวทั้งอักษรลาวอักษรธัมม์และหนังสือไทยโดยสมควร มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมมาแต่กำเนิด
พี่น้อง
พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) มีพี่น้องทั้งหมดรวม ๒๑ ท่าน คือ
- อำมาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ)
- พระบุรีบริรักษ์ (ขี่ หรือ คลี่)
- รองอำมาตย์เอก พระอนุบาลสกลเขตร์ (เมฆ)
- อาชญาท้าวสงกา
- อาชญาท้าวตูบ
- อาชญาท้าวเฮ้า (เรา)
- อาชญาท้าวเมา (เสา)
- อาชญาท้าวคำจัน (คำจันทร์)
- อาชญาท้าวชาย
- อัญญานางอุ่น
- อัญญานางบัวระพัน (บัวรพันธุ์)
- อัญญานางหมี
- อัญญานางภู (พู)
- อัญญานางหมู
- อัญญานางเขียด
- อัญญานางแก้ว (แกว)
- อัญญานางป้อง (ปอง)
- อัญญานางสุพา (สุภา)
- อัญญานางเฟือง
- อัญญานางเหลือง
- อัญญานางจันทร์แดง
ขึ้นเป็นเจ้าเมือง
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) มีอายุ ๑๙ ปี ได้เข้ารับราชการรับหมายตั้งเป็นที่ ท้าวสุริยภักดี ตำแหน่งนายกอง กรมการเมืองสกลนคร ต่อมา พ.ศ. ๒๔๑๕ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระศรีสกุลวงศ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร ต่อมา พ.ศ. ๒๔๒๐ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระยาประจันตประเทศธานี ศรีสกลานุรักษ์ อรรคเดโชชัยอภัยพิริยากรมพาหุ เจ้าเมืองสกลนครองค์สุดท้าย ด้วยหัวเมืองสกลนครนั้นเป็นเมืองเอกและเป็นเมืองใหญ่เจ้าเมืองจึงมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ภายหลังจากปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ แล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสกลนครคนแรก อนึ่ง ราชทินนามคำว่า ประจันต และ ประเทศธานี นั้นมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่ในชายแดน โดยเป็นราชทินนามประจำของเจ้าเมืองสกลนครมาตั้งแต่เมื่อครั้งเจ้านายวงศ์เมืองกาฬสินธุ์เข้ามาปกครองสกลนครก่อนเจ้านายวงศ์เมืองมหาชัยกองแก้ว
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ )ได้รับพระราชทานยศเป็นอำมาตย์โท ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้นได้รับพระราชทานมาโดยลำดับ และได้รับพระราชทานสูงสุดคือ ช้างเผือก ชั้นที่ ๓ ตริตาภรณ์ และมงกุฎชั้นที่ ๓ ตริตาภรณ์ พร้อมด้วยเหรียญปราบฮ่อ ตลอดจนเหรียญที่ระลึกในงานพระราชพิธีต่างๆ ตามบรรดาศักดิ์อีกหลายประการ นอกจากการบริหารการเมืองการปกครองและพัฒนาเมืองสกลนครให้เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับแล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ยังได้ปฏิบัติราชการพิเศษมากมายหลายครั้ง เช่น ไปราชการคุมทัพปราบฮ่อที่เมืองนครเวียงจันทน์ ไปราชการคุมทัพปราบฮ่อที่เมืองเชียงขวางและทุ่งไหหิน เป็นผู้จัดหาทหารและเสบียงในกรณีพิพาทดินแดนอินโดจีนกับฝรั่งเศสเมื่อ ร.ศ.๑๑๒ เป็นผู้ตัดเส้นทางเพื่อวางสายโทรเลขระหว่างเมืองสกลนครและเมืองอุดรธานี เป็นผู้ส่งเสบียงอาหารและกำลังพลไปยังหัวเมืองใกล้เคียงเมื่อทางราชการสยามต้องการ เป็นต้น
ภายหลังการจัดการหัวเมืองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลแล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้รับราชการในตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองตลอดมาจนชรา ทางสยามจึงเปลี่ยนเป็นตำแหน่งของพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ให้เป็นที่ปรึกษาราชการเมืองแทน เหตุด้วยพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นผู้คุ้นเคยราชการมามากไม่มีผู้ใดเหมือน ในท้องที่เมืองสกลนครนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีเจ้ากระทรวงก็ดี ข้าหลวงต่างพระองค์ก็ดี สมุหเทศาภิบาลก็ดี เมื่อต้องการใคร่รู้เรื่องราวกิจการอันใดที่ได้เคยมีมาในเมืองสกลนคร จะต้องเดินทางมาปรึกษากับพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) อยู่เป็นนิตย์ จึงนับว่าพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นเจ้านายลาวผู้ได้ทำคุณประโยชน์แก่ราชการบ้านเมืองฝ่ายสยามอย่างยิ่งท่านหนึ่ง
การพระศาสนา
พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นผู้เลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง และได้สร้างวัดไว้ในหัวเมืองสกลนครมากถึง ๖ วัด ได้แก่ วัดแจ้งแสงอรุณวัด ๑ (ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวง) วัดศรีชมพูวัด ๑ วัดศรีโพนเมืองวัด ๑ วัดศรีสุมังคล์วัด ๑ วัดยอดแก้ววัด ๑ (ปัจจุบันคือโรงเรียนเทศบาล ๑) และวัดดงมะไฟวัด ๑
เมืองที่ปกครอง
จังหวัดสกลนครนี้เดิมเป็นนครโบราณของชาวขอม เรียกว่า เมืองหนองหานหลวง มีพระธาตุเชิงชุมเป็นศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของเมือง และมีหนองหานหลวงเป็นภูมิศาสตร์เมือง ตำนานเมืองส่วนใหญ่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมลาวโบราณเรื่องผาแดง-นางไอ่ และวรรณกรรมทางศาสนาของลาวเรื่องอุรังคธาตุนิทานเทศนา ต่อมาหนองหานหลวงล่มไป ชาวลาวจึงเข้ามาปกครองดินแดนแถบนี้ เรียกว่า เมืองเชียงใหม่หนองหาน แล้วร้างไป ต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยกบ้านธาตุเชิงชุมให้เป็น เมืองสกลทวาปี ให้เจ้านายเชื้อสายเจ้าโสมพะมิตรจากเมืองกาฬสินธุ์มาปกครอง เดิมเมืองสกลทวาปีนี้ขึ้นแก่กรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างเวียงจันทร์ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นลาว ย้อ และโย้ย มิใช่ไทยหรือสยาม ภายหลังได้ถูกบังคับให้ขึ้นแก่รัตนโกสินทร์ของสยาม เมื่อเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์พยายามกอบกู้เอกราชให้แก่ชาวลาวในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) กองทัพกรุงเทพมหานครตีได้นครเวียงจันทน์และหัวเมืองขึ้นทั้งปวง จึงจัดหัวเมืองลาวทางฝ่ายตะวันออกที่เป็นเมืองใหญ่ให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ได้เรียกหัวเมืองสกลนครรวมกับหัวเมืองลาวอื่นๆ ว่า หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเหมือนกับหัวเมืองลาวทั้งปวง จากนั้นจึงจัดเป็นมณฑลอุบล มณฑลอุดร และมณฑลร้อยเอ็ดในปัจจุบัน บรรพบุรุษของพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) และเครือญาติบุตรหลานได้ขึ้นปกครองเมืองสกลนครหลังจากสงครามเจ้าอนุวงศ์เสร็จสิ้น โดยเป็นเมืองขึ้นสยามและมีตำแหน่งในเมืองสกลนครสืบมาโดยลำดับ สยามยังคงให้เจ้านายปกครองเป็นอย่างหัวเมืองลาว เรียกว่า อาญาสี่ คือมีตำแหน่งกรมการขื่อบ้านขางเมืองและมีเจ้านายทั้ง ๔ ตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่สุดของการปกครอง ได้แก่ เจ้าเมือง ๑ อุปฮาด ๑ ราชวงศ์ ๑ ราชบุตร ๑ เหมือนอย่างเมืองประเทศราชและเมืองลาวทั้งหลาย
ผลงานสำคัญ
แต่เดิมนั้น เจ้าเมืองสกลนครองค์เก่าได้ตั้งท้าวโง่นคำให้เป็นที่ ท้าวสุริยภักดี กรมการช่วยราชการเมืองสกลนคร ครั้งนั้นท้าวสุริยภักดี (โง่นคำ) ได้นำเลกไปสักแขนที่เมืองยโสธรครั้งหนึ่ง ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเลื่อนเป็นที่ พระศรีสกุลวงศ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร ได้คุมไพร่ไปเข้ากับกองทัพพระยามหาอำมาตย์รบกับพวกฮ่อที่เมืองนครเวียงจันทน์ ณ ค่ายสีฐาน ค่ายวัดจันทน์ จนค่ายแตกแล้วจึงได้ไล่ตามจับฮ่อมาถึงบ้านโพนงาม บ้านน้ำเกลี้ยง จับได้ฮ่อ ๓ คนส่งให้แม่ทัพครั้งหนึ่ง ต่อมาพระศรีสกุลวงศ์ (โง่นคำ) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเลื่อนเป็นที่ เจ้าราชวงศ์ ตำแหน่งเจ้านายในคณะอาญาสี่ซึ่งเป็นคณะปกครองสูงสุดของหัวเมืองฝ่ายลาว แล้วได้เลื่อนเป็นที่ พระอุปฮาด ผู้ว่าที่เจ้าเมืองสกลนครเพื่อรอเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองสกลนครองค์ต่อไป เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งที่พระอุปฮาด ได้คุมไพร่พลไปเข้ากองทัพพระยาราชวรานุกูลถึงเมืองบริคัณฑนิคม แขวงนครเวียงจันทน์ครั้งหนึ่ง ต่อมาเมื่อเจ้าราชวงศ์ (อิน) ผู้เป็นพระบิดาถึงแก่กรรมลง พระยาราชวรานุกูลได้ให้พระอุปฮาด (โง่นคำ) กลับมารักษาบ้านเมืองแทนพระบิดา พระอุปฮาด (โง่นคำ) ได้แต่งกรมการเมืองส่งเสบียงลำเลียงกองทัพช่วยราชการทัพของพระยาราชวรานุกูลครั้งหนึ่ง ได้จัดท้าวเพี้ยกรมการพร้อมกับจมื่นมณเฑียรพิทักษ์ข้าหลวง ไปตั้งประตูด่านทางแขวงเมืองภูวดลสอางของลาวครั้งหนึ่ง และได้ส่งเสบียงลำเลียงกองทัพของพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เมื่อครั้งรบฮ่อที่ทุ่งเชียงคำครั้งหนึ่ง
เมื่อพระอุปฮาด (โง่นคำ) ได้เลื่อนเป็นที่ พระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนครแล้ว ได้จัดเอากระบือ ๒๑ ตัว ส่งขึ้นไปให้พระยาศรีสุริวงศ์ข้าหลวงเมืองเชียงขวางจ่ายให้พวกทำนาครั้งหนึ่ง ได้จัดกรมการท้าวเพี้ยพร้อมกับหลวงณรงค์โยธาข้าหลวง ขึ้นไปปักหลักด่านทางเมืองวังคำและตามไปส่งถึงเมืองนครพนม ต่อมาได้จัดกรมการพร้อมกับหลวงมลโยธานุโยคข้าหลวง ขึ้นไปประจำรักษาด่านอยู่เมืองวังคำ และตามไปส่งถึงเมืองนครพนมด้วยอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาได้ส่งเสบียงลำเลียงแก่หลวงมลโยธานุโยคข้าหลวงถึง ๓ ครั้ง ได้จัดท้าวเพี้ยและพาหนะส่งแก่หม่อมหลวงชื่นและข้าหลวงกองแผนที่ไปทางลำน้ำก่ำครั้ง ๑ จัดท้าวเพี้ยส่งมองสิเออคอมิแซร์ มองสิเออแกว ข้าหลวงฝรั่งเศสกองแผนที่ไปเมืองกาฬสินธุ์ทางหนึ่งและธาตุพนมทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังจัดท้าวเพี้ยส่งพาหนะหม่อมราชวงศ์ชิดและหม่อมราชวงศ์ชื่นไปเมืองหนองหานอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้เกิดศึกสงครามในระหว่างฟากโขงฝั่งซ้าย พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้จัดให้อุปฮาดเป็นพนักงานเร่งเกวียนโคต่างไปส่งกองทัพที่เมืองนครพนม พร้อมให้ราชวงศ์เป็นพนักงานเร่งเรือบรรทุกลำเลียงไปส่งกองทัพที่เมืองมุกดาหาร เมืองเขมราฐ ให้ราชบุตรเป็นพนักงานเร่งกำลังและทำลูกกระสุนดินดำ สำรวจปืนอาวุธรวบรวมให้แก่พระวิชิตพลหาญผู้ช่วย พระห้าวหาญ พระจันทวงศ์เทพ ท้าวสุริยวงศ์ ไปเข้าไว้ในกองทัพ และให้ราชบุตรเป็นพนักงานทำบัญชีซื้อข้าวของราษฎรมารวมขึ้นฉางไว้สำหรับส่งกองทัพ ให้พระศรีสกุลวงศ์ผู้ช่วย พระขัตติยะ พระวรสาร พระศรีวราช เป็นพนักงานออกไปสำรวจข้าวเมืองขึ้นฉางไว้สำหรับราชการ ครั้นเสด็จราชการทัพแล้ว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตัดทางสายโทรเลขและปลูกพลับพลาไว้ที่เมืองสกลนคร พระยาประจันตประเทศ (โง่นคำ) ได้ให้ราชบุตร พระวิชิตพลหาญผู้ช่วย เป็นผู้คุมไพร่ปลูกพลับพลา ให้พระขัตติยะเป็นพนักงานคุมไพร่ตัดทางสายโทรเลข ตั้งแต่เมืองสกลนครถึงเมืองพรรณานิคม ให้พระวรสารเป็นพนักงานตัดทางสายโทรเลขจากเมืองพรรณานิคมถึงบ้านพันนา และให้พระศรีสกุลวงศ์ผู้ช่วย คุมไร่ตัดทางสายโทรเลขตั้งแต่บ้านพันนาถึงเมืองหนองหาน
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้นำสิ่งของมงคลราชบรรณาการต่างๆ ลงไปทูลเกล้าทูลถวายเพื่อสมโภชพระนครที่กรุงเทพมหานครครั้งหนึ่ง ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ลงไปรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ณ กรุงเทพมหานคร หลังเสด็จกลับจากประพาสประเทศยุโรปครั้งแรก เมื่อสยามได้จัดหัวเมืองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล โดยยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองและเจ้านายในคณะอาญาสี่แล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ก็ได้รับราชการในตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองตลอดมาจนแก่ชรา จึงได้เปลี่ยนเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาราชการเมือง โดยหาได้แสดงความไม่พึงหรือขัดขืนเช่นเดียวกับบรรดาเจ้าเมืองหัวเมืองลาวอื่นๆ
ถึงแก่กรรม
พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ป่วยด้วยโรคชราและถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ สิริรวมอายุได้ ๘๕ ปี รวมระยะเวลาที่เข้ารับราชการทั้งสิ้น ๖๖ ปี ในช่วงนี้ได้รับราชการฝ่ายบริหารและฝ่ายปกครองรวม ๕๑ ปี และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการเมืองสกลนครรวม ๓๗ ปี
พระราชทานนามสกุล
สกุลพรหมสาขา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลแก่ทายาทบุตรหลานของเจ้าผู้ปกครองเมืองสกลนครในอดีต ตามประกาศมาว่า
...ประกาศพระราชทานนามสกุลครั้งที่ ๑๗ พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระนเรศวรวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงมุรธาธรขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขนานนามสกุลพระราชทานแก่ผู้ที่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานเป็นครั้งที่ ๑๗ มีรายนามดังต่อไปนี้ กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ ๑๓๖๘ พระยาจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ผู้ว่าราชการเมืองสกลนคร พระราชทานนามสกุลว่า "พรหมสาขา" (Brahmasakha) ฯลฯ ประกาศมา ณ วันที่ ๖ มิถุนายน พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ (ลงพระนาม) นเรศวรวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร รับ[[พระบรมราชโองการ...
สกุลพรหมสาขา ณ สกลนคร
ภายหลังจากพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ถึงแก่กรรมลง ทายาทบุตรหลานของท่านซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่เจ้าเมืองสกลนครทั้งหมด เห็นควรว่าสกุลเดิมที่พระราชทานมานั้น ควรเอาแบบอย่างราชธรรมเนียมในการพระราชทานชื่อเมืองต่อท้าย เนื่องด้วยบรรพบุรุษนั้นเป็นเจ้าผู้ปกครองเมืองมาก่อน ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมืองต่อท้ายสกุลเดิมตามที่ทายาทบุตรหลานได้ขอมา ตามประกาศดังนี้
...ประกาศกรมราชเลขาธิการ มหาเสวกโท พระยาราชสาสนโสภณ ราชเลขานุการในพระองค์ รับพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า นามสกุล พรหมสาขา ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ อำมาตย์โท พระยาจันตประเทศธานีศรีสกลานุรักษ์ (โง่นคำ) นั้น บัดนี้ บุตรหลานพระยาจันตประเทศธานี มีรองอำมาตย์เอก พระวิชิตพลหาร กรมการพิเศษจังหวัดสกลนคร ๑ รองอำมาตย์เอก พระพิทักษ์ถานกิจ กรมการพิเศษจังหวัดสกลนคร ๑ รองอำมาตย์เอก ขุนศรีนครานุรักษ์ นายอำเภอธาตุเชิงชุม ๑ รองอำมาตย์โท ขุนหิรัญรักษา คลังจังหวัดนครพนม ๑ รองอำมาตย์ตรี ขุนวิวัฒสรุกิจ นายอำเภอน้ำพอง ๑ รองอำมาตย์ตรี หลวงพิจารณ์อักษร ปลัดขวาอำเภอพรรณานิคม ๑ รองอำมาตย์ตรี ขุนถิระมัยสิทธิการ ปลัดขวาอำเภอธาตุเชิงชุม ๑ รองอำมาตย์ตรี ขุนจำรูญราชธนากร ศุภมาตราจังหวัดสกลนคร ๑ และ นายวรดี พรหมสาขา เนติบัณฑิตย์ รวม ๙ คน ได้ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาว่าบรรพบุรุษของพระยาจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้เป็นเจ้าเมืองสกลนครต่อๆ กันมาแต่รัชกาลที่ ๓ รวมประมาณเวลาได้ ๘๕ ปีเศษ เริ่มแต่พระยาประเทศธานี (คำ) พระยาจันตประเทศธานี (ปิด) พระยาจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ปกครองจังหวัดสกลนครมาโดยความเรียบร้อย และได้ทนุบำรุงให้มีความเจริญตลอดมาจนทุกวันนี้ ใคร่จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเพิ่มคำ ณ สกลนคร ต่อท้ายนามสกุลตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ ณ สกลนคร ต่อท้ายนามสกุล พรหมสาขา เป็น พรหมสาขา ณ สกลนคร ตั้งแต่วันประกาศนี้ ประกาศมา ณ วันที่ ๔ สิงหาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๗...
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
- พ.ศ. 2450 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ - เหรียญปราบฮ่อ (ร.ม.ฮ.)
ราชตระกูล
พงศาวลีของพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ พรหมสาขา ณ สกลนคร) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
- ประกาศพระราชทานนามสกุล ครั้งที่ ๑๗ (ลำดับที่ ๑๓๖๕ ถึงลำดับที่ ๑๔๓๒)
- เส พรหมสาขา ณ สกลนคร, บันทึกเหตุการณ์ของเมืองสกลนครฉบับสำนักหลวงพิจารณ์อักษร, น. ๗-๑๓/๕๑.
- http://www.sakonnakhonguide.com/index.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=10#.Vrszxvntmko
- http://webcache.googleusercontent.com/search?
- http://bannakeaw.blogspot.com/2010/10/blog-post_29.html
- https://sites.google.com/site/phiphat1234567/thnbdi-wrun-sri/ta-nay-hnxng-har
- http://www.komchadluek.net/detail/20100714
- http://www.ubonpra.com/board/index.php?topic=452.0;wap2
- http://kanchanapisek.or.th/kp8/culture/sgk/file1/pe4.html
- คัดจากหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๑ หน้า ๕๙๓ ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๔๕๗
- http://sakonnakhonguide.com/index.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=10#.Vr3Dyvntmko
- ส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปพระราชทาน