มหาวิหารตูร์แน
มหาวิหารตูร์แน หรือมีชื่อเต็มว่า อาสนวิหารแม่พระแห่งตูร์แน (ฝรั่งเศส: Cathédrale Notre-Dame de Tournai; ดัตช์: Onze-Lieve-Vrouw van Doornik) เป็นอาสนวิหารโรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นที่ตั้งของมุขนายกประจำมุขมณฑลตูร์แน (Diocese of Tournai) ตั้งอยู่ที่เมืองตูร์แน มณฑลแอโน เขตวัลลูน ในประเทศเบลเยียม โดยสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่พระนางมารีย์พรหมจารี
มหาวิหารตูร์แน | |
---|---|
มหาวิหารแห่งนี้ถือเป็นมหาวิหารแห่งเดียวในประเทศเบลเยียมซึ่งตั้งใจสร้างเพื่อมีฐานะเป็นอาสนวิหาร (อังกฤษ: Cathedral) ซึ่งจัดเป็นผลงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมกอทิกแบบตูร์แน (Gothique tournaisien) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างโรมาเนสก์กับกอทิกที่พบได้มากในภูมิภาคแถบนี้ มหาวิหารตูร์แนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญของภูมิภาควัลลูน (ฝรั่งเศส: Patrimoine immobilier classé de la Région wallonne) เมื่อปี ค.ศ. 1936 และต่อมาได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปีค.ศ. 2000
อาสนวิหารแม่พระแห่งตูร์แน * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
มหาวิหารบริเวณแขนกางเขน | |
ประเทศ | ตูร์แน เบลเยียม |
ประเภท | มรดกทางวัฒนธรรม |
เกณฑ์พิจารณา | i, iv |
อ้างอิง | 1009 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 2544 (คณะกรรมการสมัยที่ 25) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
ประวัติ
ในบริเวณสถานที่ตั้งของมหาวิหารนั้นเคยเป็นที่ตั้งของมหาวิหารในอดีตถึง 3 หลัง โดยหลังแรกนั้นสร้างขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 5 ซึ่งมีหลักฐานพบถึงการก่อสร้างในฐานะโบสถ์เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญอะเลอแตร์แห่งตูร์แน หนึ่งในมุขนายกแห่งตูร์แนในช่วงแรกของประวัติศาสตร์
ในปีค.ศ. 532 นักบุญเมดาร์ มุขนายกลำดับที่ 14 แห่งนัวยง ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ในปีค.ศ. 531 นั้นได้ให้ย้ายที่ตั้งของมุขมณฑลแห่งแซ็ง-ก็องแตง ไปอยู่เมืองนัวยงแทน ได้รับเลือกเป็นมุขนายกแห่งตูร์แนควบด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งทำให้สองมุขมณฑลนี้ปกครองร่วมกัน โดยเรียกเป็น มุขมณฑลนัวยง-ตูร์แน จนกระทั่งปีค.ศ. 1146 เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปายูจีนที่ 3 มีรับสั่งให้แยกเป็นคนละมุขมณฑล
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 - 11 นั้นได้มีการก่อสร้างมหาวิหารขึ้นเป็นหลังที่สอง โดยตามประวัติทราบว่ามีการเกิดอัคคีภัยครั้งใหญ่ๆจำนวนสองครั้ง (ในปีค.ศ. 881 และ ค.ศ. 1066) ซึ่งในแต่ละครั้งก็มีการบูรณะซ่อมแซมให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม ต่อมาในปีค.ศ. 1092 ได้มีการก่อตั้งแอบบีย์นักบุญมาร์ตินแห่งตูร์แน (ฝรั่งเศส: abbaye Saint-Martin de Tournai) อีกทั้งยังเป็นปีที่สิ้นสุดลงของโรคระบาดครั้งร้ายแรงใหญ่ ซึ่งเรียกกันว่า "Grand Peste" โดยได้มีประเพณีสำคัญเพื่อรำลึกถึงสถานการณ์นั้นโดยได้กลายมาเป็นประเพณีใหญ่ของชาวตูร์แน เรียกว่า "กร็อง โปรเซสซิยง" (ฝรั่งเศส: Grande Procession) ซึ่งยังมีอยู่ในปัจจุบันทุกๆวันอาทิตย์ที่สองในเดือนกันยายนของแต่ละปี
ต่อมาช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ได้เริ่มมีการก่อตั้งลัทธิบูชาพระแม่ขึ้นในตูร์แน อีกทั้งความมั่งคั่งของเมืองรวมทั้งความต้องการที่จะแยกมุขมณฑลออกจากนัวยง จึงได้มีการผลักดันให้สร้างมหาวิหารหลังปัจจุบันขึ้นที่ตูร์แน ซึ่งถือเป็นวิหารหลังที่สามที่สร้างบริเวณที่แห่งนี้ การก่อสร้างเริ่มจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก เริ่มที่บริเวณกลางโบสถ์ ไปยังบริเวณร้องเพลงสวด โดยบริเวณหลังคานั้นเริ่มขึ้นโครงสร้างในช่วงปีค.ศ. 1142 - 1150
ในปีค.ศ. 1146 มุขมณฑลตูร์แนก็ได้แยกออกจากมุขมณฑลนัวยงอย่างสิ้นเชิงโดยพระบัญชาของสมเด็จพระสันตะปาปายูจีนที่ 3 อาสนวิหารแห่งใหม่นี้จึงได้รับการเสกขึ้นเป็นอาสนวิหารเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1171 ซึ่งยังถือเป็นวันสำคัญของมหาวิหารแห่งนี้จนถึงปัจจุบัน
ต่อมาในปีค.ศ. 1243 มุขนายกวอลแตร์ เดอ มาร์วี ได้เริ่มโครงการปรับปรุงส่วนบริเวณร้องเพลงสวดให้เป็นแบบกอทิกแรยอน็อง (ตามสมัยนิยม) โดยเริ่มจากการรื้อถอนส่วนบริเวณร้องเพลงสวดซึ่งเป็นแบบเดิม (โรมาเนสก์) โดยได้เสร็จสิ้นลงในปีค.ศ. 1255 โดยการปรับปรุงครั้งนี้ได้มีแรงบันดาลใจมากจากมหาวิหารอาเมียง และซัวซงเป็นอย่างมาก ด้วยการออกแบบในขนาดที่สูงโปร่ง กับลวดลายอันอ่อนช้อย โดยบริเวณที่สร้างใหม่นี้มีขนาดความยาวพอๆกับจุดตัดกลางโบสถ์รวมกันกับบริเวณกลางโบสถ์แบบโรมาเนสก์เดิม
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ได้มีการเริ่มบูรณะส่วนของหลังคาโค้งบริเวณแขนกางเขนภายใต้การปกครองของมุขนายกเอเตียน โดยในช่วงนี้ได้มีการก่อสร้างหอคอยกลางและหอระฆังทั้งสี่
ต่อมาในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 ได้มีการเริ่มบูรณะส่วนของหน้าบันหลักของวิหารฝั่งทิศตะวันตก โดยบูรณะเพียงส่วนมุขทางเข้าเป็นแบบสถาปัตยกรรมกอทิกเช่นกัน
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1566 ได้มีการบุกรุกอาสนวิหารโดยผู้คลั่งลัทธิทำลายรูปเคารพ ซึ่งได้ทำลายงานตกแต่งภายในตั้งแต่สมัยยุคกลางไปเกือบหมดสิ้น ต่อมาการปฏิวัติฝรั่งเศสก็ได้มีการทำลาย ขโมยเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่งภายใน รวมถึง แท่นบูชา หินอ่อน ระฆัง ฉากกางเขน แท่นเทศน์ ฯลฯ ซึ่งต่อมาในภายหลังจากความตกลง ค.ศ. 1801 แล้วจึงได้มีการฟื้นฟูอาสนวิหารขึ้นใหม่ทีละเล็กละน้อย โดยความช่วยเหลือของมุขนายกแห่งตูร์แนทั้งสององค์ในสมัยนั้น คือ มุขนายกฟร็องซัว-โฌแซฟ อีร์น ซึ่งเป็นผู้รวบรวมงานศิลปะที่สวยงามจากวิหารอื่นๆที่ถูกยุบลง โดยเฉพาะส่วนของพื้นหินอ่อนบริเวณร้องเพลงสวด และแท่นบูชาได้นำมาจากโบสถ์ของแอบบีย์นักบุญมาร์ตินแห่งตูร์แนซึ่งโดนยุบลง และอีกองค์หนึ่งคือ มุขนายกกาสปาร์-โฌแซฟ ลาบี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการบูรณะครั้งใหญ่ที่กินเวลายาวนานถึงกว่าสี่สิบปี
ในสงครามโลกครั้งที่สอง ตูร์แนเป็นสถานที่ที่ถูกถล่มโดยกองทัพเยอรมันเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 โดยได้ทำลายเมืองไปมาก รวมทั้งชาเปลแม่พระในสถาปัตยกรรมกอทิกยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเคยตั้งอยู่บริเวณติดกับทางเดินข้างฝั่งทิศเหนือของบริเวณกลางโบสถ์ ซึ่งชาเปลหลังนี้ถูกทำลายหมดสิ้น และมิได้มีการสร้างใหม่ในภายหลัง
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1999 ได้มีพายุทอร์นาโดเข้าผ่านบริเวณอาสนวิหาร โดยหลังจากได้มีการคำนวณและวัดความสมดุลของตัวอาคารและหอระฆังทั้งห้าแล้ว ได้มีความกังวลเกิดขึ้นในความแข็งแรงของบริเวณโครงสร้างมหาวิหาร โดยทางเทศบาลแห่งตูร์แน มณฑลแอโน รวมทั้งมุขมณฑลตูร์แน ได้เริ่มทำโครงการบูรณะครั้งใหญ่เพื่อเป็นชุบชีวิตของอาสนวิหารแห่งนี้ขึ้นอีกครั้ง
ขนาด
- ความยาวโดยรวม : 134 เมตร (เท่ากันกับมหาวิหารซอลส์บรี, ส่วนมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีสมีความยาวเพียง 127 เมตร)
- ความยาวของบริเวณร้องเพลงสวด (รวมจรมุข และชาเปลข้าง) : 58 เมตร (มากกว่ามหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีสซึ่งมีความยาว 38 เมตร และน้อยกว่ามหาวิหารอาเมียงซึ่งมีความยาว 64 เมตร)
- ความยาวของบริเวณร้องเพลงสวด (ไม่รวมจรมุข และชาเปลข้าง) : 45 เมตร (มากกว่ามหาวิหารอาเมียง ที่มีความยาวเพียง 42 เมตร)
- ความยาวของแขนกางเขน : 67 เมตร (เทียบกับมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีสซึ่งยาวเพียง 48 เมตร)
- ความกว้างของแขนกางเขน : 14 เมตร (เท่ากันกับมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส)
- ความยางของบริเวณกลางโบสถ์ : 48 เมตร
- ความกว้างของบริเวณกลางโบสถ์ (ไม่รวมทางเดินข้าง) : 11 เมตร
- ความกว้างของบริเวณกลางโบสถ์และทางเดินข้าง : 20 เมตร
- ความกว้างของบริเวณร้องเพลงสวด (ไม่รวมจรมุข) : 12.6 เมตร (contre 14,6 à Amiens)
- ความสูงของหอระฆัง : 83 เมตร (เทียบกับมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีสซึ่งสูงเพียง 69 เมตร)
- ความสูงจรดเพดานบริเวณแขนกางเขน : 50 เมตร (ส่วนที่สูงที่สุดภายในมหาวิหาร)
- ความสูงของบริเวณกลางโบสถ์แบบโรมาเนสก์ : 26 เมตร
- ความสูงของบริเวณร้องเพลงสวดแบบกอทิก : 36 เมตร (เทียบกับมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีสซึ่งสูงเพียง 33.50 เมตร, มหาวิหารอาเมียงที่ 42.30 เมตร และมหาวิหารโบแวที่ 48.50 เมตร)
ระเบียงภาพ
ภาพเขียน "The issue of souls in purgatory" ประมาณปีค.ศ. 1635 โดยจิตรกรเปเตอร์ เปาล์ รือเบินส์
หน้าต่างกุหลาบ (โดยชาร์ล แบนวีญา สมัยศตวรรษที่ 19) และออร์แกนใหญ่ (โดยดูว์ครอแก ค.ศ. 1854)
อ้างอิง
- "L'ensemble de la Cathédrale Notre-Dame à l'exception de l'orgue de choeur (partie instrumentale et buffet)". Patrimoine Wallon (ภาษาฝรั่งเศส). Direction de la Protection - Région Wallone. สืบค้นเมื่อ 7 July 2011. - n° 57081-CLT-0002-01 - 5 February 1936
บรรณานุกรม
- Jean Dumoulin et Jacques Pycke La Cathédrale de Tournai, Éditions Casterman, Tournai, ISBN| 2-203-28761-6, 1985.
- Claude Alsteen Un amour de cathédrale, PAC Hainaut Occidental, Tournai, 1990.
- Jean Housen, "Tournai - cathédrale Notre-Dame", dans Bulletin de la Commission royale des monuments, sites et fouilles, tome 18, 2004-2005, pp. 55-57.
ดูเพิ่ม
- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Cathédrale Notre-Dame, Tournai
- (ฝรั่งเศส) เว็บไซต์ของมุขมณฑลตูร์แน Evêché de Tournai : Cathédrale Notre-Dame de Tournai - patrimoine et découverte 2006-12-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- (ฝรั่งเศส) เว็บไซด์ของมูลนิธิน็อตร์-ดาม
- (ฝรั่งเศส) เว็บไซต์ของเทศบาลเมืองตูร์แน
- (ฝรั่งเศส) คำอธิบายขององค์การยูเนสโก
- (อังกฤษ) (ฝรั่งเศส) Document d'évaluation (2000) Évaluation préalable à l'inscription au patrimoine mondial réalisée par l'ICOMOS
- (ฝรั่งเศส) Daniel Ramée - Histoire générale de l'architecture publ. 1862 (page 1039)
- (ฝรั่งเศส) หลักฐานทางโบราณคดีของอาสนวิหารแม่พระแห่งตูร์แน