ราชวงศ์แพลนแทเจเนต
ราชวงศ์แพลนทาเจเน็ท (อังกฤษ: House of Plantagenet) หรือ ราชวงศ์อองชู หรือ เดิมเป็นตระกูลขุนนางมาจากฝรั่งเศส ซึ่งปกครองแคว้นอองชู (County of Anjou) ในภายหลังราชวงศ์นี้ได้ปกครองราชอาณาจักรอังกฤษในปี พ.ศ. 1697 - พ.ศ. 2028 รวมทั้งราชอาณาจักรเยรูซาเล็มในปี พ.ศ. 1674 - พ.ศ. 1748 แคว้นนอร์มังดี (พ.ศ. 1687 - พ.ศ. 1747 และ พ.ศ. 1958 - พ.ศ. 1993) แคว้นกาสโกนีและกุยแยน (แคว้นอากีแตนในปัจจุบัน) (พ.ศ. 1696 - พ.ศ. 1996)
พระราชอิสริยยศ |
|
---|---|
ปกครอง | อังกฤษ |
เชื้อชาติ | ฝรั่งเศส , อังกฤษ |
สาขา | ราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ราชวงศ์ยอร์ค |
ประมุขพระองค์แรก | เจฟฟรีย์ เคานท์แห่งอองชู |
ประมุขพระองค์สุดท้าย | พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ |
สถาปนา | ค.ศ. 1128 |
สิ้นสุด | ค.ศ. 1485 |
ต้นกำเนิด
เคานต์แห่งอ็องฌูคนหลัง ๆ ซึ่งรวมถึงชาวแพลนทาเจเนต สืบเชื้อสายมาจากจูฟเฟรย์ที่ 2 เคานต์แห่งแกติเนส์กับภรรยา แอร์เมนการ์ดแห่งอ็องฌู ในปี ค.ศ. 1060 สองสามีภรรยาได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากตระกูลอ็องฌูแว็งผ่านทางการเป็นเครือญาติร่วมบรรพบุรุษเดียวกัน คือ สืบเชื้อสายมาจากขุนนางที่ชื่อ อินเกลเกอร์ ที่ได้รับการบันทึกในบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ลงวันที่ไว้ว่ามาจากปี ค.ศ. 870
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 และ 11 เกิดการแย่งชิงอำนาจขึ้นระหว่างผู้ปกครองในฝรั่งเศสเหนือกับฝรั่งเศสตะวันตก ประกอบด้วยผู้ปกครองของอ็องฌู, นอร์ม็องดี, บริตทานี, ปัวตู, บลัวส์, เมน และกษัตริย์ฝรั่งเศส ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 จูฟเฟรย์แห่งอ็องฌูแต่งงานกับจักรพรรดินีมาทิลดา พระโอรสธิดาตามกฎหมายเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของพระเจ้าเฮนรีที่ 1 และทายาทในบัลลังก์อังกฤษ การแต่งงานครั้งนี้ทำให้บุตรชายของจูฟเฟรย์ พระเจ้าเฮนรีที่ 2 ได้สืบทอดต่อบัลลังก์อังกฤษกับตำแหน่งของนอร์ม็องดีและอ็องฌู อันเป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นของราชวงศ์อ็องฌูแว็งและแพลนทาเจเนต
การแต่งงานดังกล่าวเป็นความพยายามครั้งที่สามของบิดาของจูฟเฟรย์ ฟุลค์ที่ 5 เคานต์แห่งอ็องฌู ในการสร้างสัมพันธไมตรีทางการเมืองกับนอร์ม็องดี ครั้งแรกเขาจับบุตรสาว อลิซ สมรสกับวิลเลียม อาเดลิน ทายาทของพระเจ้าเฮนรีที่ 1 หลังวิลเลียมจมน้ำสิ้นพระชนม์ในการอับปางของเรือขาว ฟุลค์จับบุตรสาวอีกคน ซีบิลลา แต่งงานกับวิลเลียม คลิโต บุตรชายของพระเชษฐาของพระเจ้าเฮนรีที่ 1 โรเบิร์ต เคอร์โธส พระเจ้าเฮนรีที่ 1 ทำให้การแต่งงานดังกล่าวเป็นโมฆะเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้การอ้างสิทธิ์ในนอร์ม็องดีที่เป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ของวิลเลียม คลิโตแข็งแกร่งมากขึ้น สุดท้ายฟุลค์ก็บรรลุเป้าหมายด้วยการแต่งงานของจูฟเฟรย์กับมาทิลดา ฟุลค์จึงส่งต่อตำแหน่งให้จูฟเฟรย์แล้วไปเป็นกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม
กษัตริย์อ็องฌูแว็ง
การเข้ามาในอังกฤษ
ในตอนที่พระเจ้าเฮนรีที่ 2 เสด็จพระราชสมภพในปี ค.ศ. 1133 พระอัยกาของพระองค์ พระเจ้าเฮนรีที่ 1 ถูกกล่าวถึงว่าปลื้มปิติจนกล่าวว่าเด็กน้อยคือ "ทายาทในราชอาณาจักร" การสมภพลดความเสี่ยงไม่ให้อาณาจักรของกษัตริย์ถูกส่งต่อไปให้ตระกูลของราชบุตรเขย ที่อาจเกิดขึ้นได้หากการแต่งงานของมาทิลดากับจูฟเฟรย์ไม่มีทายาท การถือกำเนิดของบุตรชายคนที่สอง ที่ชื่อจูฟเฟรย์เช่นกัน ทำให้ความน่าจะเป็นนั้นเพิ่มมากขึ้น ตามธรรมเนียมของฝรั่งเศส เฮนรีจะได้รับอังกฤษที่เป็นมรดกจากทางฝั่งมารดา ส่วนจูฟเฟรย์จะได้รับอ็องฌูที่เป็นมรดกจากทางฝั่งบิดา ซึ่งจะแยกอาณาจักรอังกฤษและอ็องฌูออกจากกัน เพื่อให้การสืบทอดต่อเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย จูฟเฟรย์กับมาทิลดาจึงต้องการอำนาจที่มากขึ้นจากพระเจ้าเฮนรีที่ 1 แต่กลับขัดแย้งกับพระองค์หลังจากที่กษัตริย์ปฏิเสธที่จะมอบอำนาจที่อาจถูกนำมาใช้ต่อต้านพระองค์ให้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1135 สองสามีภรรยาอยู่ในอ็องฌู ทำให้ลูกพี่ลูกน้องของมาทิลดา สตีเฟน แย่งชิงเอาราชบัลลังก์แห่งอังกฤษไปได้ การขึ้นครองตำแหน่งที่แย่งชิงเอามาของสตีเฟนเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่สงบกลางเมืองที่ขยายเป็นวงกว้าง ซึ่งต่อมาเรียกว่าภาวะอนาธิปไตย
เคานต์จูฟเฟรย์ไม่ค่อยสนใจอังกฤษ แต่กลับเริ่มต้นสงครามสิบปีเพื่อแย่งชิงดัชชีนอร์ม็องดี แต่ต่อมากลับพบว่าหากจะเอาชนะสงครามในนอร์ม็องดีก็ต้องรบกวนการครอบครองอังกฤษของสตีเฟน ดังนั้นในปี ค.ศ. 1139 มาทิลดากับน้องชายร่วมบิดา โรเบิร์ต จึงบุกอังกฤษ ตั้งแต่พระชนมายุ 9 พรรษา เฮนรีถูกส่งตัวไปอังกฤษครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อไปเป็นผู้นำแต่ในนามของการสู้รบ ซึ่งเป็นการบอกว่าพระองค์จะเป็นกษัตริย์คนต่อไปหากอังกฤษถูกพิชิต ในปี ค.ศ. 1141 สตีเฟนถูกจับตัวได้ที่สมรภูมิลิงคอร์น และต่อมาถูกแลกเปลี่ยนตัวกับโรเบิร์ตที่ถูกจับตัวได้เช่นกัน จูฟเฟรย์ยังคงพิชิตนอร์ม็องดีต่อไปและในปี ค.ศ. 1150 ก็โอนดัชชีไปเป็นของเฮนรีแต่ยังคงมีบทบาทสำคัญที่สุดในการบริหารปกครองดัชชี
สามเหตุการณ์ที่ทำให้ฝั่งอ็องฌูแว็งยุติความขัดแย้งได้สำเร็จ คือ
- เคานต์จูฟเฟรย์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1151 ก่อนจะแบ่งอาณาจักรของตนให้เฮนรีกับน้องชาย จูฟเฟรย์ เสร็จ อ้างอิงตามที่วิลเลียมแห่งนิวเบรอะเขียนไว้ในคริสตทศวรรษที่ 1190 เคานต์จูฟเฟรย์ตัดสินใจว่าอังกฤษและอ็องฌูจะเป็นของเฮนรี ตราบใดที่เฮนรียังจำเป็นต้องมีทรัพยากรไว้ต่อสู้กับสตีเฟน เคานต์จูฟเฟรย์สั่งเสียไว้ว่าไม่ให้ฝังศพของตนจนกว่าเฮนรีจะสาบานว่าจะยกอ็องฌูให้น้องชายเมื่ออังกฤษกับนอร์ม็องดีปลอดภัยดีแล้ว จูฟเฟรย์น้อยตายในปี ค.ศ. 1158 ก่อนที่จะได้อ็องฌู แต่ก็ได้เป็นเคานต์แห่งน็องต์ส์ในตอนที่พลเมืองของน็องต์ส์ก่อกบฏต่อผู้ปกครองของตนเอง เฮนรีสนับสนุนการก่อกบฏครั้งนี้
- พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศสยอมให้การแต่งงานของตนกับอาลีเยนอร์แห่งอากีแตนเป็นโมฆะเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1152 และอาลีเยนอร์แต่งงานใหม่กับเฮนรี (ที่จะกลายเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 2) ในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1152 ทำให้ชาวอ็องฌูแว็งได้ดัชชีอากีแตนมา
- พระมเหสีกับพระโอรสคนโตของสตีเฟน ยูซตาส สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1153 นำไปสู่การทำสนธิสัญญาวอลลิงตัน สนธิสัญญาตกลงยอมรับข้อเสนอสันติภาพที่มาทิลดาเคยปฏิเสธไปในปี ค.ศ. 1142 ที่ว่าจะยอมรับเฮนรีเป็นทายาทของสตีเฟน, การันตีว่าพระโอรสคนที่สองของสตีเฟน วิลเลียม จะได้รับทรัพย์สินที่ดินของพระบิดา และให้สตีเฟนเป็นกษัตริย์ไปจนกว่าจะสิ้นพระชนม์ สตีเฟนสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นไม่นาน และเฮนรีขึ้นครองบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1154
อ้างอิง
- Davies 1997, p. 190
- Gillingham 2001, p. 7
- Davies 1999, p. 309
- ↑ Gillingham 2001, pp. 11–12
- Schama 2000, p. 117
- Gillingham 2001, p. 15
- Gillingham 2001, pp. 15–1
- Gillingham 2001, p. 18
- Gillingham 2001, p. 21
- Weir 2008, pp. 60–61
- Gillingham 2001, pp. 19–20