สงครามยูกันดา-แทนซาเนีย
สงครามยูกันดา-แทนซาเนีย (ในยูกันดาถูกอ้างถึงในชื่อสงครามปลดแอก) เป็นสงครามระหว่างประเทศยูกันดาและประเทศแทนซาเนียระหว่างปี พ.ศ. 2521–2522 กองทหารบางส่วนของอามินมาจากกองทหารของมูอัมมาร์ อัล-กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย สงครามนี้นำไปสู่การล้มล้างระบอบการปกครองของอีดี อามิน
สงครามยูกันดา-แทนซาเนีย | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||
คู่ขัดแย้ง | |||||||
ยูกันดา ลิเบีย องค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) | แทนซาเนีย กองทัพปลดแอกแห่งชาติยูกันดา (UNLA) อิสราเอล(ในส่วนปฏิบัติการเอนเทบเบ) | ||||||
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ | |||||||
อีดี อามิน มูอัมมาร์ กัดดาฟี ยัสเซอร์ อาราฟัต | กองทัพประชาชนแทนซาเนีย:
กองทัพปลดแอกแห่งชาติยูกันดา:
หน่วยรบพิเศษอิสราเอล(ในส่วนปฏิบัติการเอนเทบเบ): | ||||||
กำลัง | |||||||
70,000+ กองทัพยูกันดา 3,000 กองทหารลิเบีย | 30,000 ชาวแทนซาเนีย 6,000 กองทหารต่อต้านยูกันดา | ||||||
กำลังพลสูญเสีย | |||||||
ทหารเสียชีวิต:1,000 นาย ประชาชนชาวยูกันดาเสียชีวิต:500 คน | ทหารเสียชีวิต:373 นาย ประชาชนแทนซาเนียเสียชีวิต:1,500 คน |
สาเหตุการเกิดสงคราม
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยูกันดากับแทนซาเนียกระท่อนกระแท่นมานานหลายปีก่อนเกิดสงคราม หลังการยึดอำนาจของอามินในปี พ.ศ. 2514 ผู้นำแทนซาเนียจูเลียส ไนเรอร์ เสนอให้มิลตัน โอโบเต ลี้ภัยมาที่ประเทศของตน โอโบเตและผู้ลี้ภัยอีก 20,000 คนตอบตกลง ในปีถัดมากลุ่มของผู้ลี้ภัยเข้าบุกยูกันดาเพื่อทำการปลดอามินออกจากตำแหน่งแต่ไม่สำเร็จ อามินตำหนิไนเรอร์ที่คิดเป็นศัตรูของเขา ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเข้าสู่สถานการณ์ตึงเครียดหลายปี
ต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2521 มีกองกำลังทหารเข้าซุ่มโจมตีอามิน ณ ที่ทำการประธานาธิบดีในกรุงกัมปาลา แต่อามินและครอบครัวหลบหนีออกมาได้ทางเฮลิคอปเตอร์ เหตุการณ์แบบนี้เริ่มเกิดขึ้นอยู่บ่อนครั้งเมื่อคนใกล้ชิดของอามินแสดงอาการหวั่นกลัว เขาต้องเผชิญกับความแตกแยกภายในประเทศยูกันดามากขึ้น เมื่อมุสตาฟา อดริซี รองประธานาธิบดีของอามินได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่มีพิรุธว่ามีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง กองทหารที่อารักขาอดริซี (และทหารอื่นที่ไม่พอใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น) ทำการขัดขืนต่อคำสั่งทางทหาร อามินได้ส่งกองพันราชสีห์ (Simba) ที่คัดสรรมาเพื่อปราบปรามกลุ่มทหารกบฏที่ทำการขัดขืน กลุ่มกบฏบางส่วนข้ามไปยังชายแดนของประเทศแทนซาเนีย กลุ่มกบฏตั้งฐานต่อต้านกองทัพของอามินในประเทศแทนซาเนีย
อามินประกาศสงครามต่อแทนซาเนีย ส่งกองทหารไปโจมตีและยึดเอาบางส่วนของเมืองคาเกลา ดินแดนของประเทศแทนซาเนีย และอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของยูกันดา
สงคราม
ไนเรอร์ระดมพลกองทัพประชาชนแทนซาเนีย (Tanzania People's Defence Force) และทำการโต้กลับกองทัพของอามิน ในอีก 2–3 สัปดาห์ต่อมากองทัพแทนซาเนียมีสมาชิกมากมายอาทิตำรวจ, ราชทัณฑ์, ข้าราชการและกองทหารอาสาสมัคร แทนซาเนียรับกลุ่มต่อต้านอามินมากมายที่ถูกเนรเทศ รวมตัวเป็นกองทัพปลดแอกแห่งชาติยูกันดา (Uganda National Liberation Army : UNLA) ที่ประกอบไปด้วยกองทหารกิโกซี มาลุม (เป็นภาษาสวาฮีลีแปลว่ากองกำลังพิเศษ) นำโดยติโต โอเกลโลและเดวิด โอยิเต-โอจ็อก, กลุ่มแนวหน้าพาชาติพ้นภัย (Front for National Salvation : FRONASA) นำโดยโยเวลี มุเซเวนี และกลุ่มคุ้มครองการเคลื่อนไหวของยูกันดานำโดยอเกนา พี'โอจ็อก, วิลเลียม โอมาเรีย และอเตเกอร์ อีจาลู
กองทัพแทนซาเนียได้นำเครื่องยิงจรวดคัทยูชา (Katyucha Rocket Launcher) ของรัสเซีย (ในยูกันดาเรียกว่า saba saba) มาใช้ในการยิงเป้าหมายภายในประเทศยูกันดา จนทำให้กองทัพของยูกันดาต้องถอยไปตั้งหลักกันใหม่ มูอัมมาร์ อัล-กัดดาฟี ผู้นำลิเบียจัดส่งกองทหาร 2,500 นายให้แก่อามิน พร้อมรถถัง T-54, รถถัง T-55, รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ BTR APCs, เครื่องยิงจรวด BM-21 Katyusha MRLs, เหล่าทหารปืนใหญ่, เครื่องบินรบ MiG-21s และเครื่องบินทิ้งระเบิด Tu-22 อย่างไรก็ตามลิเบียก็ได้รับรายงานจากทางแนวหน้าว่าลับหลังลิเบีย กองทัพยูกันดาได้ใช้รถถังที่ได้มาขนทรัพย์สมบัติที่ปล้นมาได้จากศัตรู
กองพันทหารของลิเบียเป็นการผสมรวมกันของกองทัพลิเบีย, ประชาชนอาสาสมัคร และกองทหารอาหรับ หน่วยย่อยซาฮาราน-แอฟริกัน กองพันนี้ถึงส่งมาปฏิบัติภารกิจนอกประเทศ
แทนซาเนียได้ร่วมกับกลุ่ม UNLA เคลื่อนที่ไปยังตอนเหนือของกรุงกัมปาลา แต่ต้องล่าช้าด้วยหนองบึงที่ลึกทางเหนือของเมืองลุกายาเป็นอุปสรรค ทางแทนซาเนียจึงตัดสินใจส่งทหาร 201 หมู่ข้ามถนนที่จองไว้เหนือหนองดังกล่าวตราบที่ถนนยังใช้งานได้อยู่ ทหารอีก 208 หมู่เดินตามริมตลิ่งด้านตะวันตกของหนองน้ำลึกในกรณีที่ถนนที่จองไว้เหนือบึงแออัดหรือถูกทำลาย แทนซาเนียมีแผนที่จะเข้าตีกองพันทหารของลิเบียเพื่อยึดเอารถถัง T-55 12 คัน, รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ APCs 12 คันและเครื่องยิงจรวด BM-21 MRLs มีเจตนาที่จะขยายกำลังถึงเมืองมาซากา แต่เกิดการปะทะกันที่เมืองลุกาย่าในวันที่ 10 มีนาคม แทนซาเนียส่งกองทหาร 201 หมู่ถอยกลับในช่วงชุลมุนอย่างทุลักทุเล อย่างไรก็ตามแทนซาเนียได้ทำการตีโต้ในคืนวันที่ 11-12 มีนาคมจาก 2 ทิศทาง ดังนี้ ทหาร 201 หมู่ที่จัดทัพใหม่เข้าตีทางทิศใต้ อีก 208 หมู่เข้าตีทางตะวันตกเฉียงเหนือ แทนซาเนียพิชิตชัยชนะ กองทัพใหญ่จากลิเบียที่ส่วนใหญ่เป็นทหารอาสาสมัครแตกและถอยหนีอย่างรวดเร็ว มีรายงานว่ามีชาวลิเบียเสียชีวิตมากกว่า 200 คนและอีก 200 คนเป็นพันธมิตรทหารยูกันดา
แทนซาเนียและกองกำลัง UNLA พบกับศึกเล็กศึกน้อยหลังสมรภูมิที่ลุกายา ขณะที่เคลื่อนทัพต่อไปยังด้านตะวันตกของกรุงกัมปาลา สถานที่แรกที่เคลื่อนทัพไปถึงคือท่าอากาศยานเอนเทบเบ และที่นั่นได้ทำการปลดแอกอิสรภาพกรุงกัมปาลาในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2522 มีกองทหารยูกันดาหรือไม่ก็ลิเบียเพียง 2–3 หน่วยเป็นอุปสรรคไม่น้อย เคนเน็ธ มิชาเอล โพลลัก ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและการทหารของตะวันออกกลางได้กล่าวเอาไว้ว่า ปัญหาใหญ่ของกองทหารแทนซาเนียคือขาดแคลนแผนที่ของกรุงกัมปาลา อามินหนีไปยังลิเบียเป็นที่แรก ก่อนจะเดินทางลี้ภัยไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย กองกำลังของลิเบียถอนกำลังไปยังเมืองจินจาก่อนจะถอยไปยังประเทศเคนยาและเอธิโอเปียเป็นที่สุดท้าย กองทัพของแทนซาเนียยังคงอยู่ในยูกันดาจนสถานการณ์สงบเมื่อกลุ่มปกป้องการเมือง UNLA (UNLF) จัดระเบียบการเลือกตั้งลงรัฐธรรมนูญของประเทศอีกครั้ง
รัฐบาลแทนซาเนียได้แจกจ่ายเหรียญกล้าหาญ Nishani ya Vita โดยเหรียญจารึกคำว่า Vita-1978-1979 (ด้านบน) และ Tanzania (ด้านล่าง) ส่วนด้านหลังเป็นด้านเรียบ
หลังสงคราม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
หนังสืออ่านเพิ่ม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิง
- "Idi Amin and Military Rule". Country Study: Uganda. Library of Congress. December 1990. สืบค้นเมื่อ 5 February 2010.
By mid-March 1979, about 2,000 Libyan troops and several hundred Palestine Liberation Organization (PLO) fighters had joined in the fight to save Amin's regime
- ↑ "An Idi-otic Invasion" 2012-10-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, TIME magazine, Nov. 13, 1978.
- "Not even an archbishop was spared", The Weekly Observer, February 16, 2006.
- Library of Congress Country Studies: Uganda. Military Rule Under Amin
- "Fighting for Amin", The East African, April 8, 2002.
- ↑ Kenneth M. Pollack, Arabs at War: Military Effectiveness 1948–91, University of Nebraska Press, Lincoln and London, 2002, p.369-373, ISBN 0-8032-3733-2
- OnWar.com