สงครามอะแซหวุ่นกี้
สงครามอะแซหวุ่นกี้ เป็นสงครามระหว่างอาณาจักรธนบุรีและพม่าครั้งสำคัญที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2318 - กันยายน พ.ศ. 2319 โดยทางฝั่งพม่ามี อะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพใหญ่วัย 72 ปีเป็นผู้นำทัพ ส่วนทางฝั่งกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงนำทัพด้วยพระองค์เอง
สงครามอะแซหวุ่นกี้ | |
---|---|
เป็นส่วนหนึ่งของ สงครามสยาม-พม่า | |
คู่ขัดแย้ง | |
ราชวงศ์คองบอง | กรุงธนบุรี |
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ | |
พระเจ้ามังระ อะแซหวุ่นกี้ เนเมียวสีหบดี | สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช (บุญมา) |
กำลัง | |
กองทัพหลวงพม่า กองทหารมอญ รวม 50,000 นาย | กองทัพหลวงสยาม รวม 30,000 นาย (ประเมิน) |
สงครามตีกรุงธนบุรี
สงครามบางแก้ว
สงครามครั้งนี้เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเริ่มจากสงครามบางแก้ว ที่เมืองราชบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2317 หลังจากที่ทัพของ พระเจ้ากรุงธนบุรี นำทัพ 15,000 นายไปป้องกันกองทัพพม่าด้วยพระองค์เอง ทรงสามารถล้อมทัพของงุยอคงหวุ่น หรือฉับกุงโบ่ หนึ่งในแม่ทัพที่เคยมาตี กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2310 ไว้ได้นานถึง 47 วันก่อนที่งุยอคงหวุ่นจะยอมแพ้ทำให้ทางฝั่งกรุงธนบุรีสามารถจับเชลยได้มากตามที่ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ได้บันทึกเอาไว้ว่าทางกรุงธนบุรีได้เชลยมากถึง 1,328 คนจากทหารทั้งหมด 3,000 คน ทางด้านอะแซ่หวุ่นกี้ที่อยู่ เมืองเมาะตะมะ เมื่อทราบข่าวว่าทัพหน้าที่ส่งไปพ่ายแพ้ก็มิได้ส่งกองทัพลงไปช่วย เนื่องจากเห็นว่าจะทำให้สูญเสียกำลังไพร่พลไปมากกว่านี้ โดยกองทัพนี้เป็นกองทัพที่อะแซหวุ่นกี้แบ่งมาเพื่อกวาดต้อนผู้คนเสบียง รวมไปถึงหยั่งเชิงดูการป้องกันของฝ่ายกรุงธนบุรีในเส้นทางนี้ และสร้างความสับสนในเส้นทางการบุก ส่วนอะแซหวุ่นกี้นำทัพใหญ่ 30,000 นายยังรั้งรออยู่ไม่มีความเคลื่อนไหว
สงครามปกป้องเชียงใหม่ (บุกเป็นทัพแรก)
แผนการขั้นต่อไปของอะแซหวุ่นกี้คือส่งเนเมียวสีหบดี แม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือเมื่อคราวมาตี กรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น โปสุพลา และโปมะยุง่วน นำทัพจากเมืองเชียงแสนยกมาตีเมืองเชียงใหม่ ทางด้านพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อทราบข่าวจึงได้ส่งเจ้าพระยาจักรี รวมถึงเจ้าพระยาสุรสีห์ที่ยกกองทัพจากหัวเมืองเหนือขึ้นไปช่วยเชียงใหม่ก่อนแล้ว ครั้นไปถึงกองทัพพม่ากลับไม่สู้ โดยแสร้งตั้งทัพดูเชิง พอทัพไทยจะสู้ก็ถอย ทำอย่างนี้อยู่หลายครั้งจากนั้นจึงถอนกำลังกลับไปยังเมืองเชียงแสน เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์จึงเตรียมทัพเพื่อหมายจะพิชิตเมืองเชียงแสน ในระหว่างที่กำลังเตรียมทัพมุ่งไปยึดเชียงแสนนั้นเองสงครามตีเมืองพิษณุโลกก็เกิดขึ้นพร้อมๆกัน โดยอะแซหวุ่นกี้นำทัพใหญ่ 30,000 นายเข้าทางด่านแม่ละเมาไปเมืองตาก มุ่งต่อไปยังเมืองสุโขทัยแล้วให้กองทัพหน้าลงมาตั้งที่บ้านกงธานี ส่วนทัพหลวงตั้งพักที่เมืองสุโขทัย เมื่อเจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ทราบข่าว ก็รู้ในทันทีว่าเป็นแผนของอะแซหวุ่นกี้ที่ดึงกองทัพของฝ่ายกรุงธนบุรีเอาไว้แถวเชียงใหม่ แล้วมุ่งไปยึดเมืองพิษณุโลกในขณะที่การป้องกันอ่อนแอที่สุด เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ จึงเร่งนำกองทัพที่จะไปตีเชียงแสน มุ่งหน้าสู่พิษณุโลกในทันที เพราะหากเสียเมืองพิษณุโลกอันเป็นหัวเมืองใหญ่แห่งสุดท้ายไปนั้น กองทัพมหาศาลของพม่าจะไหล่บ่าลงมาได้พร้อมๆกัน ซึ่งกรุงธนบุรีไม่มีกำแพงเมืองและปราการธรรมชาติที่เหมาะแก่การตั้งรับเท่ากรุงศรีอยุธยา
สงครามตีพิษณุโลก (บุกเป็นทัพที่ 2)
ในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2318 พระเจ้ามังระ ได้มีบัญชาให้อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกลงมาตีกรุงธนบุรี ซึ่งทางอะแซ่หวุ่นกี้ได้ใช้เส้นทางด้านด่านแม่ละเมา แขวงเมืองตาก ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่ พระเจ้าบุเรงนอง เคยใช้เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ถึง 2 ครั้งเข้าตีกรุงธนบุรีโดยมี เนเมียวสีหบดี แม่ทัพใหญ่ที่เคยเข้าตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2310 เป็นรองแม่ทัพซึ่งอะแซหวุ่นกี้ได้ให้เนเมียวสีหบดีคุมกองทัพอีกด้านอยู่แถวเมืองเชียงแสน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนกองทัพของเจ้าพระยาจักรี แต่เจ้าพระยาจักรีทราบในทันทีว่าเป็นแผนลวงจึงนำทัพกลับมาป้องกันเมืองพิษณุโลกในทันที ส่วนกองทัพของอะแซหวุ่นกี้พยายามบุกเข้ายึด เมืองพิษณุโลกเพื่อใช้เป็นฐานที่มั่น แต่เจ้าพระยาจักรีซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช เจ้าเมืองพิษณุโลกที่ต่อมาคือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เร่งนำกองทัพลงมาป้องกันเมืองพิษณุโลกได้ทันเวลา .
รูปแบบการรบ
ในการรบป้องกันเมืองพิษณุโลกในครั้งนี้ เป็นการต่อสู้แถวค่ายรอบเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ มีการโอบล้อมและต่างฝ่ายต่างหาทางตัดเสบียงกันเป็นหลัก ทางฝ่ายเจ้าพระยาจักรีที่แม้จะมีทหารน้อยกว่าแต่ก็สามารถต่อสู้กับแม่ทัพเฒ่าอย่างอะแซหวุ่นกี้ได้อย่างสูสี แต่ด้วยประสบการณ์ของแม่ทัพอะแซหวุ่นกี้จึงเปลี่ยนแผนการรบ กล่าวคือเมื่อการรบไม่อาจหักเอาได้ด้วยกำลังอะแซหวุ่นกี้ก็ได้ใช้แผนเมื่อครั้งสยบกองทัพต้าชิง นั้นคือหลีกเลี่ยงการปะทะกับกองทัพที่แข็งแกร่ง ทำเพียงตรึงเอาไว้และหาทางตัดเสบียงอาหาร กล่าวคือเมื่อเจอกองทัพของเจ้าพระยาจักรี ก็ไม่ส่งทัพใหญ่เข้าปะทะด้วยตรงๆ แต่ให้ทหารเข้าปะทะเพื่อตรึงไว้เท่านั้น จากนั้นก็แต่งทัพย่อยคอยดักปล้นเสบียงอาหารและตัดกำลังเสริมที่จะเข้ามาช่วยพิษณุโลก ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อทรงทราบว่าเจ้าพระยาทั้งสองถูกกองทัพพม่าล้อมเอาไว้ จึงทรงคุมกองทัพหนุนขึ้นไปช่วยแต่ก็ถูกตีสกัดเอาไว้หลายครั้ง ถึงอย่างนั้นกองทัพพม่าก็ไม่อาจเอาชนะกองทัพหนุนของพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ ทำให้อะแซหวุ่นกี้ถูกตรึงไว้แถวพิษณุโลก
พม่าบุกทางใต้ยึดเมืองกุย เมืองปราณ (บุกเป็นทัพที่ 3)
ในขณะที่ทัพหลวงของพระเจ้ากรุงธนบุรี และเจ้าพระยาทั้ง2นั้นทุ่มกำลังขึ้นไปรับศึกอยู่แถวเมืองพิษณุโลก พระเจ้ามังระก็ได้ส่งกองทัพที่3 บุกเข้ามาทางด่านสิงขรในขณะที่การป้องกันทางใต้อ่อนแอที่สุด เนื่องจากติดศึกทางด้านเหนือสามารถตีเมืองกุย เมืองปราณจนแตก กรมขุนอนุรักษ์สงครามซึ่งรักษาเมืองเพชรบุรีอยู่ในขณะนั้น แต่งกองทหารมาตั้งรับอยู่แถบช่องแคบในแขวงเมืองเพชรบุรี ขัดตาทัพรอกำลังเสริม
เมื่อม้าเร็วแจ้งข่าวนี้ไปถึงพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์ทรงไม่ไว้พระทัยเกรงพม่าจะยกทัพใหญ่เพื่อเข้าตีกรุงธนบุรีอีกทางหนึ่ง จึงดำรัสสั่งให้เจ้าประทุมไพจิตรคุมกองทัพหน่วยหนึ่งเร่งกลับลงมารักษาพระนคร และกองทัพหลวงจึงค่อยๆถอยลงมาทางบางข้าวตอก นั้นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เส้นทางเสบียงของเมืองพิษณุโลกถูกตัดขาด
พม่าสามารถยึดเมืองพิษณุโลกได้
อะแซหวุ่นกี้ล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่ 4 เดือน สุดท้ายสามารถตัดขาดกำลังบำรุงของกรุงธนบุรีได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ภายในเมืองพิษณุโลกขาดแคลนเสบียงอาหาร เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์เห็นแล้วว่าไม่อาจต้านศึกนี้ได้อีกต่อไป จึงนำกำลังทหารและผู้คนตีฝ่าวงล้อมไปตั้งมั่นที่บ้านมุงดอนชมพู แขวงเมืองเพชรบูรณ์ ทำให้อะแซหวุ่นกี้สามารถนำกองทัพบุกเข้าไปในเมืองพิษณุโลกได้สำเร็จ แต่ก็ขาดแคลนเสบียงอาหารเช่นเดียวกัน เนื่องจากเจ้าพระยาทั้งสองก็หาทางตัดเสบียงของกองทัพพม่ามาโดยตลอด แต่เนื่องจากเส้นทางลำเลียงเสบียงทางด่านแม่ละเมา ตาก สุโขทัยยังอยู่ในการดูแลของพม่า ทำให้อะแซหวุ่นกี้ยังสามารถทำศึกได้ต่อไปได้ แต่ก็ต้องเสียเวลาจัดเตรียมเสบียงอาหารอยู่หลายวัน ก่อนมุ่งสู่กรุงธนบุรีต่อไป
อะแซหวุ่นกี้มุ่งสู่พระนคร
เมื่อพิษณุโลกอันเป็นหัวเมืองใหญ่แห่งสุดท้ายแตกแล้ว อะแซหวุ่นกี้จึงได้แบ่งกำลังเป็น 3 สาย โดยมีตัวเองเป็นทัพหลักคอยสนับสนุน เนื่องจากมีกำลังคนมากกว่าจึงใช้ประโยชน์จากข้อนี้ไหล่บ่าลงมาพร้อมๆกัน มุ่งสู่พระนครกรุงธนบุรี
- สายที่1 ให้มังแยยางูคุมมาทางเมืองเพชรบูรณ์ รวบรวมเอาเสบียงอาหารรวมถึงกวาดต้อนผู้คนบริเวณนั้นส่งไปยังทัพใหญ่ของอะแซหวุ่นกี้ มีจุดมุ่งหมายที่กรุงธนบุรี
- สายที่2 ให้กะละโบคุมกองทัพอีกกองยกมาทางเมืองกำแพงเพชร ให้รวบรวมเอาเสบียงอาหารรวมถึงกวาดต้อนผู้คนมุ่งสู่พระนครเช่นเดียวกัน
- สายที่3 ให้ปะกาจีเมงกองจอคุมทัพลงมาทางพิจิตร มุ่งตรงมายังกรุงธนบุรีโดยกวาดต้อนผู้คนรวมถึงเสบียงอาหารตลอดทาง
ถอนทัพกลับกรุงอังวะ
ต่อมาในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2319 ทางกรุงอังวะ ได้มีข่าวแจ้งมายังอะแซหวุ่นกี้ว่าพระเจ้ามังระได้เสด็จสวรรคตแล้ว พระเจ้าจิงกูจา กษัตริย์พระองค์ใหม่จึงมีบัญชาให้อะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับกรุงอังวะ ทางด้านอะแซหวุ่นกี้เมื่อทราบข่าวก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง โดยจะเห็นได้จากครั้งนั้นอะแซหวุ่นกี้มีคำสั่งให้ม้าเร็ว 3 หน่วย วิ่งไปบอกกองทัพทั้ง 3 สายที่ไหล่บ่าสู่กรุงธนบุรีว่าให้รีบถอนกำลังทั้งหมดกลับมาทันที แต่ม้าเร็วแจ้งทันแค่ 2 กองทัพ อีกหนึ่งกองทัพไปไกลแล้ว อะแซหวุ่นกี้จึงมีคำสั่งให้ประหารม้าเร็วหน่วยนั้นเสีย จากนั้นเร่งกองทัพทั้งกลางวันกลางคืนกลับสู่กรุงอังวะ ทิ้งกองทัพอีก 1 กองที่เหลือไว้ในกรุงธนบุรีโดยไม่รอ ทำให้กองทัพที่ตกค้างอยู่ถูกกองทัพสยามตีแตกพ่ายไป
ที่อะแซหุว่นกี้รีบเช่นนั้น เนื่องจากเสนาอำมาตย์ต่างแตกออกเป็นพวกๆ ให้การสนับสนุนเชื้อพระวงศ์คนละพระองค์ ถ้าเกิดมีใครคิดกบฎโดยยึดพระราชโองการของพระเจ้าอลองพญา ที่ให้บุตรของพระองค์ครองราชย์ต่อก็อาจทำให้พระเจ้าจิงกูจาตกอยู่ในอันตราย อะแซหวุ่นกี้ที่เป็นพระสัสสุระ (พ่อตา) ของพระเจ้าจิงกูจา จึงเร่งกลับกรุงอังวะในทันที
ตำนานอะแซหวุ่นกี้ชมเจ้าพระยาจักรี
แม้อะแซหวุ่นกี้จะสามารถพิชิตเมืองพิษณุโลกได้ แต่ก็ชื่นชมแม่ทัพศัตรูเป็นอย่างมากที่สามารถมองแผนการของเขาออกแทบทุกอย่าง ตามบันทึกในพงศาวดารฝ่ายไทย (ฝ่ายเดียว) เล่าว่าโดยก่อนหน้านั้นฝั่งสยามและฝั่งพม่าได้หยุดพักรบ และอะแซหวุ่นกี้ได้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี พร้อมกับทำนายว่าในภายภาคหน้าจะได้เป็นกษัตริย์โดยมีเนื้อหาดังนี้
“อะแซหวุ่นกี้ให้ล่ามถามเจ้าพระยาจักรีว่าอายุเท่าใด เจ้าพระยาจักรีให้บอกไปว่าอายุได้ 30 เศษ แล้วจึงให้ถามอายุอะแซหวุ่นกี้บ้าง บอกมาว่าอายุได้ 72 ปี อะแซหวุ่นกี้พิจารณาดูรูปลักษณะเจ้าพระยาจักรีแล้วสรรเสริญว่า ท่านนี้รูปก็งาม ฝีมือก็เข้มแข็ง อาจสู้รบเราผู้เป็นผู้เฒ่าได้ จงอุตส่าห์รักษาตัวไว้ ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์เป็นแท้” แล้วให้เอาเครื่องม้าทองสำรับ 1 กับสักหลาดพับ 1 ดินสอแก้ว 2 ก้อน น้ำมันดิน 2 หม้อมาให้เจ้าพระยาจักรี ๆ ก็ให้ของตอบแทนตามสมควร
- เมื่อก่อนอะแซหวุ่นกี้จะกลับไปค่ายให้ล่ามบอกเจ้าพระยาจักรีว่า
"ท่านจงรักษาเมืองไว้ให้มั่นคงเถิด เราจะตีเอาเมืองพิษณุโลกให้จงได้ในครั้งนี้ ต่อไปภายหน้าพม่าจะตีเมืองไทยไม่ได้อีกแล้ว" [ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้]
เรื่องอะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี แล้วสรรเสริญชื่นชมว่าเป็นบุรุษที่รูปงาม ในอนาคตจะได้เป็นกษัตริย์นั้น เหตุการณ์นี้ไม่มีปรากฏในหลักฐานชั้นต้นของทางฝ่ายไทย แม้แต่หลักฐานของพม่าที่เป็นฝ่ายกล่าวชมก็ไม่ได้บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เรื่องนี้จึงน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวรรณคดีเรืองสามก๊ก ที่แปลในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
อ้างอิง
- Damrong Rajanubhab, Prince (1920). The Thais Fight the Burmese. Matichon. ISBN 978-974-02-0177-9.
- Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Cambridge University Press.
- Phayre, Lt. Gen. Sir Arthur P. (1883). History of Burma (1967 ed.). London: Susil Gupta.
- ↑ Phayre, pp. 207-208
- Damrong Rajanubhab, pp. 491-492
- เทปสนทนา เรื่อง วาระสุดท้ายของ อาณาจักรอยุธยาและราชวงศ์อลองพญา โดย ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ วีระ ธีรภัทร (เมษายน พ.ศ. 2544) ช่วงที่ 2[ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้]
- เทปสนทนา เรื่อง วาระสุดท้ายของ อาณาจักรอยุธยาและราชวงศ์อลองพญา โดย ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ วีระ ธีรภัทร (เมษายน พ.ศ. 2544) ช่วงที่ 3[ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้]
- James, Helen (2004). "Burma-Siam Wars". In Keat Gin Ooi. Southeast Asia: a historical encyclopedia, from Angkor Wat to East Timor
- พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ 3
- สุเจน กรรพฤทธิ์:《กรุงธนบุรีผงาด》(นนทบุรี,สำนักพิมพ์สารคดี,เมษายน ปี 2018),หน้า230