สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลในฤดูกาล 2003–04
ฤดูกาล 2003–04 เป็นฤดูกาลที่ 109 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2003 และสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายน 2004 ประกอบด้วยนัดแข่งขันตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤษภาคม สโมสรฯ สิ้นสุดฤดูกาลในพรีเมียร์ลีกโดยเป็นแชมป์ไร้พ่าย (สถิติชนะ 26 นัด และเสมอ 12 นัด) ส่วนในฟุตบอลชิงถ้วย สโมสรฯ ทำผลงานได้ไม่ดีนัก โดยตกรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพและลีกคัพ โดยพ่ายต่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและมิดเดิลส์เบรอตามลำดับ และในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แพ้ต่อเชลซี ในรอบก่อนรองชนะเลิศ
ฤดูกาล 2003–04 | |||
---|---|---|---|
ประธานสโมสร | ปีเตอร์ ฮิล-วูด | ||
ผู้จัดการทีม | อาร์แซน แวงแกร์ | ||
สนาม | ไฮบรี | ||
พรีเมียร์ลีก | อันดับที่ 1 | ||
เอฟเอคัพ | รอบรองชนะเลิศ | ||
ลีกคัพ | รอบรองชนะเลิศ | ||
เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ | รองชนะเลิศ | ||
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก | รอบก่อนรองชนะเลิศ | ||
ผู้ทำประตูสูงสุด | ลีก: ตีแยรี อ็องรี (30) ทั้งหมด: ตีแยรี อ็องรี (39) | ||
ผู้เข้าชมในบ้านสูงสุด | 38,184 คน พบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (28 มีนาคม 2004) | ||
ผู้เข้าชมในบ้านต่ำสุด | 27,451 คน พบกับรอเทอรัมยูไนเต็ด (28 ตุลาคม 2003) | ||
ผู้เข้าชมในบ้านเฉลี่ย | 38,078 คน | ||
| |||
|
ช่วงต้นฤดูกาล อาร์เซนอลซื้อ-ขายนักเตะค่อนข้างน้อย เนื่องจากต้องการเก็บงบประมาณเพื่อโครงการสร้างสนามฟุตบอลแห่งใหม่ นักเตะคนสำคัญที่ย้ายเข้ามา อาทิ ผู้รักษาประตู เย็นส์ เลมัน (ค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์) ต่อมามีการซื้อกองหน้า โฆเซ อันโตนิโอ เรเยส ในช่วงซื้อขายฤดูหนาว ส่วนนักเตะเดิมที่มีอยู่ สโมสรฯ สามารถเก็บรักษาไว้ได้ และเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่กับกัปตันทีม ปาทริก วีเยรา และกองกลาง รอแบร์ ปีแร็ส สำเร็จ เนื่องจากสมาชิกนิ่ง จึงมีการมองว่าอาร์เซนอลเป็นตัวเต็งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เช่นเดียวกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและเชลซี ซึ่งเศรษฐีพันล้านชาวรัสเซีย โรมัน อับราโมวิช ซื้อไป
อาร์เซนอลเริ่มต้นฤดูกาลอย่างดี ได้อยู่หัวตารางตั้งแต่สี่นัดแรก แต่นัดที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเดือนกันยายนสร้างเรื่องไม่ดีระหว่างสองสโมสร ผู้เล่นของอาร์เซนอลบางคนถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษปรับเงินจากเหตุทะเลาะวิวาทหมู่หลังจบการแข่งขัน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน อาร์เซนอลชนะดีนาโมคียิวด้วยประตูเดียว และต่อมามีผลงานน่าประทับใจด้วยการบุกไปยิง 5 ประตูต่ออินเตอร์มิลานที่ซานซีโร ถือเป็นการเริ่มต้นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ดี ต่อมาในช่วงปลายปี สโมสรสามารถเก็บชัยได้ถึง 9 นัดติดต่อกัน ทำให้ตำแหน่งจ่าฝูงมั่นคงขึ้น แต่ในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน สโมสรฯ ตกรอบทั้งเอฟเอคัพและแชมเปียนส์ลีก แต่ในปลายเดือนเดียวกัน สโมสรฯ ก็สามารถรับประกันแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังจากที่เสมอ 2–2 กับคู่ปรับท้องถิ่นทอตนัมฮอตสเปอร์
มีผู้เล่น 34 คนลงเล่นให้กับสโมสรฯ ในการแข่งขัน 5 รายการ และมีผู้ทำประตู 15 คน โดยผู้ทำประตูสูงสุดเป็นปีที่สามติดต่อกันคือ ตีแยรี อ็องรี ยิงได้ 39 ประตูใน 51 เกม ทั้งยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอจากคะแนนของเพื่อนร่วมอาชีพและรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลจากผู้สื่อข่าวฟุตบอล แม้ว่าอาร์เซนอลจะไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลชิงถ้วย แต่นักวิจารณ์หลายคนก็ถือว่าความสำเร็จในลีกเป็นความสำเร็จแล้ว ทีมได้รับฉายา "ดิอินวินซิเบิล" เหมือนกับเพรสตันนอร์ทเอนด์เคยทำได้ในสมัยฤดูกาลประเดิมของฟุตบอลลีก และหลังจากจบฤดูกาล สโมสรฯ ได้รับถ้วยรางวัลพรีเมียร์ลีกสีทองเมื่อจบฤดูกาล และทีมยังไม่แพ้ทีมใดเป็นจำนวน 49 นัดเป็นสถิติใหม่ ในปี 2012 ทีมอาร์เซนอลชุดฤดูกาล 2003–04 ชนะรางวัล "ทีมยอดเยี่ยม" จากรางวัลพรีเมียร์ลีก 20 ฤดูกาล
ภูมิหลัง
อาร์เซนอลจบฤดูกาลที่แล้วด้วยอันดับรองชนะเลิศในพรีเมียร์ลีก หลังถูกแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทำคะแนนแซงในช่วงสิบสัปดาห์สุดท้ายของฤดูกาล อย่างไรก็ตาม สโมสรฯ สามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพ โดยชนะเซาแทมป์ตัน 1–0 และผลจากการเริ่มต้นฤดูกาล 2002–03 ที่ดีนั้น ผู้จัดการทีม อาร์แซน แวงแกร์ บอกเป็นนัยว่าทีมของเขาอาจไม่แพ้ทุกการแข่งขันของฤดูกาล "ใช่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เมื่อเทียบกับที่เอซี มิลานเคยทำได้ แต่ผมมองไม่ออกเลยว่าทำไมแค่พูดถึงก็น่าตกใจหนักหนา คุณคิดว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล หรือเชลซีไม่คิดฝันอย่างนี้บ้างหรือ พวกเขาก็เหมือนกัน พวกเขาเพียงไม่พูดเพราะกลัวคนมองว่าน่าตลกขบขัน แต่ไม่มีใครขำขันกับงานแบบนี้หรอก เพราะเรารู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้" ทีมของเขาพ่ายต่อเอฟเวอร์ตันเพียงหนึ่งเดือนหลังประกาศของแวงแกร์ โดยนักเตะดาวรุ่งอย่างเวย์น รูนีย์ เป็นผู้ทำประตูชัย หยุดสถิติไร้พ่าย 30 นัดของอาร์เซนอล ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2003 อาร์เซนอลเป็นจ่าฝูง มีแต้มเหนือกว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่ 5 แต้ม แต่เนื่องจากการบาดเจ็บของผู้เล่นคนสำคัญ รวมทั้งกัปตันทีมปาทริก วีเยรา ทำให้ทีมขาดเสถียรภาพ อาร์เซนอลเสมอหลายนัดในเดือนเมษายน ประกอบกับแพ้ในบ้านต่อลีดส์ยูไนเต็ด ทำให้อาร์เซนอลหมดโอกาสรักษาแชมป์ลีก แวงแกร์หักล้างความคิดเห็นจากสื่อที่กล่าวว่าเป็นฤดูกาลที่ล้มเหลว แวงแกร์กล่าวว่า
แน่นอนเราต้องการแชมป์ลีก แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับสโมสรคือความคงเส้นคงวา และเรามีความคงเส้นคงวาอย่างมาก เราเสียแชมป์ลีกให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งใช้เงินมากกว่า 50% ทุกปี ปีที่แล้วพวกเขาใช้เงินซื้อนักเตะ 30 ล้านปอนด์หลังจากเสียแชมป์ พวกเขาจะทำแบบนี้อีกในปีหน้า และพวกเราสร้างปาฏิหาริย์ที่ต่อกรกับพวกเขา
ช่วงปิดฤดูกาล เชลซีถูกขายให้กับเศรษฐีพันล้านชาวรัสเซีย โรมัน อับราโมวิช ด้วยมูลค่า 140 ล้านปอนด์ ถือเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงนั้น แดเนียล คิง นักหนังสือพิมพ์ต้อนรับการซื้อกิจการครั้งนี้ โดยแสดงความคิดเห็นว่าสโมสรฯ จะสามารถ "ยุติการผูกขาดแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด-อาร์เซนอล" ในลีกได้ดีขึ้น รองประธานสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เดวิด ดีน รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง และเหน็บอับราโมวิชว่า "จอดรถถังรัสเซียของเขาบนสนามหญ้าของพวกเรา แล้วก็ยิงธนบัตร 50 ปอนด์ใส่เรา" กล่าวกันว่าอับราโมวิชประมูลซื้อกองหน้าอาร์เซนอล ตีแยรี อ็องรี แต่ถูกปฏิเสธทันควัน
สำนักข่าว | อันดับ |
---|---|
เดอะการ์เดียน | 3 |
การ์เดียนอันลิมิตเต็ด | 1 |
ดิอินดิเพนเดนต์ | 3 |
ดิอินดิเพนเดนต์ออนซันเดย์ | 5 |
ดิอับเซิร์ฟเวอร์ | 1 |
เดอะซันเดย์ไทม์ | 3 |
ซันเดย์ทริบูน | 2 |
การซื้อขายนักเตะช่วงฤดูร้อนของอาร์เซนอลค่อนข้างเงียบ เนื่องจากงบประมาณที่จำกัดจากโครงการสนามแห่งใหม่ แต่สโมสรก็สามารถรั้งนักเตะคนสำคัญ ๆ ชุดเดิมไว้ได้ และยังเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับปาทริส เอวรา และตำแหน่งปีก รอแบร์ ปีแร็สได้สำเร็จ มีการซื้อตัวนักเตะเพิ่มสำคัญมีเฉพาะผู้รักษาประตูชาวเยอรมัน เย็นส์ เลมัน เขาเข้ามาแทนเดวิด ซีแมน ที่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ซิตี กองหลังชาวยูเครน ออเลก ลุชนี (Oleh Luzhny) หมดสัญญา 4 ปีกับสโมสรและย้ายไปวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์แบบไม่มีค่าตัว ในขณะที่กองหน้า เกรอัม แบร์เรตต์ ย้ายไปคอเวนทรีซิตี กองหน้า ฟรานซิส เจฟเฟอส์ ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสลงเล่นชุดใหญ่ ก็ถูกปล่อยยืมตัวให้กับเอฟเวอร์ตัน สโมสรเก่าของเขา หนึ่งฤดูกาล โจฟันนี ฟัน โบรงก์ฮอสต์ ย้ายไปบาร์เซโลนาในข้อตกลงคล้ายกัน โดยมองว่าอาจย้ายถาวรเมื่อจบฤดูกาล สโมสรได้ผู้เล่นเยาวชนจากอะคาเดมีต่างประเทศ ได้แก่ กาแอล กลีชี จากสโมสรกาน และโยฮัน จูรูจากเอตวลการูฌ ในเดือนมกราคม 2004 อาร์เซนอลเซ็นสัญญากับกองหน้าชาวสเปน โฆเซ อันโตนิโอ เรเยส (José Antonio Reyes) จากเซบิยา และในเดือนเมษายนบรรลุข้อตกลงซื้อตัวตำแหน่งปีก โรบิน ฟัน แปร์ซี กับไฟเยอโนร์ด
ต้นฤดูกาลแวงแกร์ให้ความความสำคัญกับการทวงแชมป์ลีกไว้ว่า "ผมรู้สึกว่าการทำดังนี้สำคัญมากในใจเรา และผมทราบว่าความกระหายที่จะลงมือแรงกล้า" และออกชื่อนิวคาสเซิลยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูล รวมไปถึงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับเชลซี เป็นคู่แข่งหลักในพรีเมียร์ลีก อดีตกองกลางอาร์เซนอล พอล เมอร์สัน ยืนยันว่าอาร์เซนอลเป็นตัวเต็ง เพราะพวกเขามี "ผู้เล่นยอดเยี่ยม … ถ้าพวกเขามีความพร้อมคงเส้นคงวาแล้วพวกเขาจะไม่แพ้" เกล็น มัวร์จาก ดิอินดิเพนเดนต์ เขียนถึงโอกาสของอาร์เซนอลว่า "พวกเขาจะเข้าใกล้แชมป์ แต่จนกว่าแวงแกร์จะให้ความเชื่อมั่นกับเยาวชน และผู้เล่นอย่างเฌเรมี อาลียาเดียร์ (Jérémie Aliadière), เจอร์เมน เพนนันต์ (Jermaine Pennant), ฟีลิป แซนเดอร็อส เล่นคุ้มค่าตอบแทน พวกเขาอาจขาดความสามารถในการรักษาหนทางชิงแชมป์" กองหลัง โซล แคมป์เบลล์ เชื่อว่าผู้เล่นชุดนี้ "แข็งแกร่งพอสำหรับลีกและเอฟเอคัพ" แต่ข้องใจกับการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
สีชุดเหย้าไม่เปลี่ยนจากฤดูกาลที่แล้ว เป็นชุดสีแดง แขนเสื้อ กางเกง และถุงเท้าสีขาว ส่วนชุดเยือนสีใหม่ เป็นเสื้อสีเหลืองแนวย้อนยุค ปกเสื้อและกางเกงสีน้ำเงิน ชุดนี้มาจากชุดที่ใส่แข่งขันเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1979
การซื้อขายนักเตะ
เข้า
| ออก
|
ยืมตัว (เข้า)
| ยืมตัว (ออก)
|
ก่อนเปิดฤดูกาล
เพื่อเตรียมตัวก่อนเปิดฤดูกาล อาร์เซนอลได้ลงแข่งนัดกระชับมิตรในยุโรปตะวันตก นัดแรกพ่ายต่อปีเตอร์โบโรยูไนเต็ดจากเซคกันด์ดิวิชั่น โดยผู้รักษาประตู สจวต เทย์เลอร์ ถูกไล่ออกจากสนามหลังไปปะทะกับ ลี คลาร์ก ผู้เล่นปีเตอร์โบโรตัวสำรอง ในครึ่งหลัง ต่อมาอาร์เซนอลเสมอกับบาร์นิต ซึ่งมียาย่า ตูเร น้องชายของโกโล ตูเร อยู่ในทีมด้วย ในการสัมภาษณ์ในปี 2011 แวงแกร์กล่าวถึงผลงานของยาย่าว่า "กลาง ๆ โดยสิ้นเชิงในเวลานั้น" และสังเกตว่าความใจร้อนทำให้เขาไม่ได้เข้าอาร์เซนอล ตูเรจึงย้ายไปบาร์เซโลนาก่อนไปแมนเชสเตอร์ซิตีในปี 2010 ภายหลังจากการเสมอกับบาร์นิต อาร์เซนอลทัวร์ในประเทศออสเตรีย ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์วุ่นวายฝูงชนในนัดกระชับมิตรที่ไอเซนชตัดท์เมื่อปีก่อนทำให้ต้องยกเลิก วันนั้น แวงแกร์ไม่ได้เข้าร่วมเพราะมีอาการปวดมวนท้อง จึงให้ผู้ช่วยผู้จัดการ แพต ไรซ์ คุมทีมชั่วคราว ในนัดที่พบกับริทซิง เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2003 ทีมยิงตามตีเสมอได้หลังตามอยู่สองประตู เป็นการเสมอนัดกระชัดมิตรนัดที่สองติดต่อกัน ไรซ์พอใจการเล่นเกมรับของฟีลิป แซนเดอร็อส และกล่าวว่า "ยังมีอุปสรรคข้างหน้า แต่เขาก็จะดีขึ้นเมื่อได้เล่นร่วมกับมาร์ติน คีโอน และโซล แคมป์เบลล์"
อาร์เซนอลชนะนัดแรกช่วงก่อนเปิดฤดูกาลต่อเอาส์ทรีอาวีน โดยแบร์คกัมป์ทำ "ผลงานส่วนตัวได้สุดยอด" โดยยิงประตูแรก แล้วส่งให้เจฟเฟอร์ทำประตูที่สอง นัดสุดท้ายของทัวร์พบกับเบชิกทัช ซึ่งต้องมีการรักษาความปลอดภัยหนาแน่นเนื่องจากประวัติศาสตร์ระหว่างแฟนบอลชาวอังกฤษและตุรกี ในนัดนั้น อาร์เซนอลได้ประตูชัยจากแบร์คกัมป์ในครึ่งหลังลอดขาของผู้รักษาประตู ออสการ์ กอร์โดบา หลังจากนั้น อาร์เซนอลเดินทางกลับอังกฤษ และแข่งขันนัดกระชับมิตรกับเซนต์ออลบันส์ซิตีและชนะ 3–1 จากนั้นชุดหลักเดินทางต่อไปยังประเทศสกอตแลนด์พบกับเซลติกในวันที่ 2 สิงหาคม 2003 ผลเสมอ 1–1 มาจากครึ่งหลัง โดยนัดนั้นวีเยรากลับมาลงเล่นอีกครั้งในรอบสามเดือนหลังเจ็บเข่า แวงแกร์เปิดเผยภายหลังว่าเขาตั้งใจใช้นัดกระชับมิตรเพื่อทดลองแนวรับ เขาจัดวางเซ็นเตอร์แบ็ก แคมป์เบลล์คู่กับตูเร ซึ่งในฤดูกาลก่อนส่วนใหญ่เล่นตำแหน่งกองกลาง แวงแกร์พอใจการเล่นของโกโล ตูเร ในนัดพบกับเซลติก เขากล่าวว่า "เขามีคุณภาพ เดิมเขาเป็นกองหลังกลาง และเนื่องจากเราเก็บคลีนชีตได้บ้างในช่วงหลัง และเขาเล่นได้ดี ผมคิดว่าเราควรให้เขาเล่นตำแหน่งนั้นต่อ" หลังจากนั้น ชุดหลักเดินทางไปประเทศเบลเยียมเพื่อลงเล่นกับเบเฟอเรินและเสียสองประตูในช่วงห้านาทีสุดท้าย ทำให้เสมอกัน 2–2 และนัดกระชับมิตรนัดสุดท้าย พวกเขาบุกไปชนะเรนเจอส์ 3–0 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2003
11 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | ปีเตอร์โบโรยูไนเต็ด | 1–0 | อาร์เซนอล | ปีเตอร์โบโร |
19:30 | กรีน 29' | สนามกีฬา: สนามกีฬาลอนดอนโรด ผู้ชมในสนาม: 8,756 คน ผู้ตัดสิน: เดอร์มอต แกลลาเกอร์ |
19 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | บาร์นิต | 0–0 | อาร์เซนอล | บาร์นิต |
15:00 | สนามกีฬา: สนามกีฬาอันเดอร์ฮิลล์ ผู้ชมในสนาม: 4,778 คน |
25 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | เอาส์ทรีอาวีน | 0–2 | อาร์เซนอล | ชเว็ชชัท |
19:00 | แบร์คกัมป์ 29' เจฟเฟอส์ 44' | สนามกีฬา: สนามกีฬาชเว็ชชัท ผู้ชมในสนาม: 4,800 คน |
29 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | อาร์เซนอล | 1–0 | เบชิกทัช | สตีเรีย |
18:00 | แบร์คกัมป์ 48' | สนามกีฬา: บาทวัลเทิร์สดอร์ฟชตาดีอ็อน |
31 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | เซนต์ออลบันส์ซิตี | 1–3 | อาร์เซนอล | เซนต์ออลบันส์ |
19:30 | มักดอนเนลล์ 44' | ฟ็อลทซ์ 19', 51' ฮอลส์ 60' | สนามกีฬา: แคลเรนซ์พาร์ก ผู้ชมในสนาม: 1,500 คน ผู้ตัดสิน: แกรี เอฟวิตส์ |
2 สิงหาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | เซลติก | 1–1 | อาร์เซนอล | กลาสโกว์ |
15:00 | มิลเลอร์ 57' | คานู 70' | สนามกีฬา: เซลติกพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 44,396 คน ผู้ตัดสิน: ดักกี แมกดอนัลด์ |
3 สิงหาคม ค.ศ. 2003 กระชับมิตร | เบเฟอเริน | 2–2 | อาร์เซนอล | เบเฟอเริน |
17:00 | กาอีแปร์ 85' ยาปี ยาโป 88' | Nicolau 55' โอวูซู-อาเบยี 76' | สนามกีฬา: สนามกีฬาเฟรตีล ผู้ชมในสนาม: 2,500 คน |
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
การแข่งขันเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2003 นัดฟุตบอลอังกฤษประจำปี เป็นการแข่งขันระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับอาร์เซนอลที่มิลเลนเนียมสเตเดียมในคาร์ดิฟฟ์ในวันที่ 10 สิงหาคม โดยเลมันลงเล่นนัดแรกให้กับอาร์เซนอล และตูเรยังคงเล่นกองหลังกลางคู่กับแคมป์เบลล์ ยูไนเต็ดได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 15 จากมีกาแอล ซีลแว็สทร์ แต่ไม่นานจากนั้นตีแยรี อ็องรี ก็ตีเสมอให้อาร์เซนอลจากลูกฟรีคิก เจฟเฟอส์ถูกไล่ออกจากสนามจากการไปเตะฟิล เนวิล และไม่มีประตูเกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ ผู้รักษาประตู ทิม ฮาวเวิร์ด เซฟจุดโทษของฟัน โบรงก์ฮอสต์ และปีแร็สทำให้ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายชนะ 4–3 แวงแกร์พาดพิงถึงผู้ชมอาร์เซนอลที่ไปชมการแข่งขันน้อยและเสนอว่ามี "ความกระหายน้อยลงทุกที" สำหรับคอมมิวนิตีชีลด์ เขาไม่มีความสุขกับช่วงก่อนเปิดลีกในวันเสาร์ที่จะมาถึง "ผมอยากมีเวลาอีกสักสองสัปดาห์ โดยเฉพาะกับผู้เล่นชาวฝรั่งเศสที่ไปเล่นคอนเฟเดอเรชันส์คัพ พวกเรายังไม่พร้อมเท่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และรู้ว่าผู้เล่นหลายคนยังไม่มีร่างกายพร้อม"
พรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 2003–04 ของพรีเมียร์ลีกมี 20 ทีม แต่ละทีมลงเล่น 38 นัด โดยแข่งกับทีมอื่นทุกทีมทีมละ 2 นัด ที่สนามเหย้าของแต่ละฝ่ายครั้งละนัด ถ้าชนะได้สามคะแนน เสมอได้หนึ่งคะแนน และถ้าแพ้จะไม่ได้คะแนน เมื่อจบฤดูกาล 2 ทีมแรกจะได้สิทธิแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม ส่วนอันดับที่ 3 และ 4 ต้องเล่นรอบคัดเลือกก่อน
มีการออกกำหนดการแข่งขันมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2003 แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีชนกับการแข่งขันอื่น การแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ ลมฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวยหรือนัดที่เลือกให้แพร่สัญญาณโทรทัศน์ โดย 5 จาก 8 นัดแรกของอาร์เซนอลมีการแร่ะสัญญาณผ่านทางช่องสกายสปอร์ต และในจำนวนนั้น 3 นัดจะอยู่ในรายการหลักของเครือข่ายในรายการ ซูเปอร์ซันเดย์
สิงหาคม–ตุลาคม
นัดเปิดฤดูกาล อาร์เซนอลลงเล่นในบ้านพบกับเอฟเวอร์ตันที่ไฮบรี แคมป์เบลล์ถูกไล่ออกในนาทีที่ 25 จากการทำฟาวล์ที่กีดขวางการเล่น (professional foul) ใส่ทอมัส กราเวอเซิน กองกลางเอฟเวอร์ตัน แม้ว่าอาร์เซนอลจะเสียเปรียบจำนวนผู้เล่น แต่ก็นำสองประตูเมื่อเวลา 58 นาที ก่อนที่ตอมัช ราจินสกี จะยิงประตูให้ทีมเยือน นัดต่อมาหลังจากนัดแรกหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาไปเยือนมิดเดิลส์เบรอที่ริเวอร์ไซด์สเตเดียม จบด้วยชัย 4–0 โดยได้ 3 ประตูจากอ็องรี, ชิลเบร์ตู ซิลวา และซีลแว็ง วีลตอร์ในครึ่งแรก สามวันถัดมา อาร์เซนอลชนะแอสตันวิลลา โดยแคมป์เบลล์และอ็องรีทำประตูได้คนละประตู อาร์เซนอลยังรักษาช่วงต้นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมด้วยการบุกไปชนะแมนเชสเตอร์ซิตี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2003 เมื่อแคมป์เบลล์ถูกพักการเล่น มาร์ติน คีโอนเข้ามาเล่นตัวจริงคู่กับตูเรแทน แม้ว่าอาร์เซนอลทำเข้าประตูตัวเองโดยโลแรนในครึ่งแรก และเล่น "45 นาทียอดแย่ที่แฟนคนใดจะจำได้" ตามคำบรรยายของนักหนังสือพิมพ์ แมต ดิกคินสัน แต่ในครึ่งหลังวีลตอร์ตามตีเสมอในครึ่งหลัง ก่อนเฟรดริก ยุงแบร์ย ใช้ข้อผิดพลาดของซีแมนทำประตูชัย จบ 4 นัดแรก อาร์เซนอลอยู่อันดับหนึ่ง มีแต้มนำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่สามแต้ม
เนื่องจากกำหนดการแข่งขันทีมชาติ ทำให้สโมสรได้พักสองสัปดาห์ พวกเขากลับมาลงเล่นในบ้านพบกับพอร์ตสมัทที่เพิ่งเลื่อนชั้น โดยกองหน้า เท็ดดี เชริงงัม ยิงให้ทีมเยือนขึ้นนำก่อน ก่อนที่อาร์เซนอลได้จุดโทษเมื่อปีแร็สถูกเดยัน สเตฟานอวิช กรรมการตัดสินว่าทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ อ็องรียิงประตูเข้า และแม้การเล่นของทีมจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในครึ่งหลัง แต่เกมก็จบด้วยผลเสมอ ทำให้ผู้จัดการทีมพอร์ตสมัท แฮร์รี เรดแนปป์ บ่นถึงการเสียจุดโทษและรู้สึกว่าปีแร็ส "... กำลังจะได้ใบเหลือง [จากการพุ่งล้ม]" แต่ปีแร็สปฏิเสธการกล่าวหาดังกล่าวที่ว่าเขาตบตากรรมการ "ผมไม่ได้พุ่งล้มและผมไม่ได้โกง ไม่ใช่วิธีการเล่นของผม"
หนึ่งสัปดาห์ถัดมา อาร์เซนอลไปพบแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด โดยแวงแกร์ให้ปีแร็สและวีลตอร์เป็นสำรอง และให้เรย์ พาร์เลอร์ กับยุงแบร์ยลงเล่นแทน ส่วนแคมป์เบลล์ไม่ได้เดินทางไปด้วย เนื่องจากมีสมาชิกครอบครัวเสียชีวิต ในนาทีที่ 80 วีเยราถูกไล่ออกจากสนามจากการได้ใบเหลืองที่สอง โดยเขาพยายามเตะกองหน้า รืด ฟัน นิสเติลโรย ซึ่งผู้ตัดสิน สตีฟ เบนนิตต์ เห็นการกระทำดังกล่าว ขณะผลประตู 0–0 ยูไนเต็ดได้จุดโทษในนาทีที่ 90 แต่ลูกยิงของฟัน นิสเติลโรย ไปชนคาน กลับมาเล่นต่อ หลังจบเกม ผู้เล่นอาร์เซนอลหลายคนไปล้อมฟัน นิสเติลโรย ซึ่งบานปลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองทีม ผู้เล่นของอาร์เซนอล 6 คน (แอชลีย์ โคล, โลแรน, คีโอน, พาร์เลอร์, เลมัน, วีเยรา) ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) ตั้งข้อหาประพฤติไม่เหมาะสม และสโมสรถูกปรับเงิน 175,000 ปอนด์ ซึ่งเป็นค่าปรับมากที่สุดที่สั่งลงโทษสโมสรใด ๆ โลแรนถูกแบน 4 นัด ในขณะที่วีเยรากับพาร์เลอร์ถูกแบนนัดเดียว
ในนัดถัดมา อาร์เซนอลชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ด 3–2 โดยได้ประตูชัยจากจุดโทษของอ็องรี วีเยราได้รับบาดเจ็บระหว่างเกม ทำให้ลงเล่นไม่ได้สองเดือน หลังจากนั้นอาร์เซนอลบุกไปเยือนลิเวอร์พูลที่แอนฟีลด์ในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม แต่วีเยราไม่ได้ลงเล่น ทำให้พาร์เลอร์รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมแทน ส่วนแคมป์เบลล์ลงเล่นตำแหน่งกองหลังแทนคีโอน อาลียาเดียร์เล่นกองหน้าคู่กับอ็องรี อาร์เซนอลตามหลังในนาทีที่ 11 แต่ก็ตีเสมอได้เมื่อซามี ฮือปิแอ เปลี่ยนทิศทางลูกโหม่งของเอดูโดยไม่ได้ตั้งใจจากฟรีคิกของอาร์เซนอล ปีแร็สยิงประตูชัยในครึ่งหลัง ทำให้ทีมยังเป็นจ่าฝูงในตารางลีกอยู่ ผู้สื่อข่าวของเดอะไทมส์ โอลิเวอร์ เคย์ บรรยายการกลับมาชนะของอาร์เซนอลว่า "มุ่งมั่นมาก" และสังเกตข้อแตกต่างของทีมเทียบกับฤดูกาลก่อนว่า
... เหตุการณ์ล่าสุดสอนพวกเขาให้จัดสาระก่อนลีลา อาจดูไม่ดึงดูดสำหรับผู้เน้นความถูกต้อง แต่ไม่มีข้อสงสัยว่าแนวทางโผงผางแบบใหม่ของพวกเขาทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น หนึ่งปีก่อนพวกเขากำลังผลิตฟุตบอลที่มีความงามที่พบเห็นได้น้อยครั้งในประเทศนี้หรือที่อื่น ฤดูกาลนี้ ด้วยความคล่องที่พิสูจน์แล้วว่าลื่นไหล พวกเขากำลังทำผลงานโดยมีประสิทธิภาพเทียบได้กับทิวทอนิก
นัดถัดมา อาร์เซนอลสามารถชนะเชลซีได้ในนัดที่สูสี จากความผิดพลาดของผู้รักษาประตู การ์โล กูดีชีนี ในครึ่งหลัง ทำให้อ็องรียิงประตูที่ 7 จาก 9 นัดแรก จนถึงขณะนั้นทั้งสองทีมเป็นจ่าฝูงของตารางและไม่แพ้ทีมใด แวงแกร์ตั้งข้อสังเกตหลังจบการแข่งขันว่า ทีมของเชลซีที่ใหญ่กว่าจะมีประโยชน์เมื่อฤดูกาลผ่านไป แต่เน้นย้ำว่าทีมเล็กของเขามีเสถียรภาพ "เราอยู่ด้วยกันหลายปีและมีความอุ่นใจที่ทราบว่าเราเคยคว้าแชมป์มาก่อน เมื่อเราถูกท้าทาย เรายิ่งสามัคคีกันมากขึ้น" ปลายเดือนตุลาคม อาร์เซนอลเสมอชาร์ลตันแอธเลติก 1–1 ผ่านไป 10 นัด อาร์เซนอลเก็บได้ 24 แต้ม กลับเป็นจ่าฝูงอีกครั้งหลังจากเสียอันดับให้กับเชลซีชั่วคราว
พฤศจิกายน–ธันวาคม
อาร์เซนอลเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายนด้วยการเยือนลีดส์ยูไนเต็ด ณ เอลแลนด์โรด ไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นจากเกมที่พบชาร์ลตัน โดยผู้เล่นของลีดส์อย่างเพนนันต์ลงเล่นพบกับสโมสรแม่ของเขาหลังแวงแกร์อนุญาต อาร์เซนอลชนะ 4–1 เหมือนกับนัดที่พบกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ในรายงานการแข่งขันของ นิวส์ออฟเดอะเวิลด์ นักข่าว มาร์ติน ซามูเอล ยกให้อ็องรีเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัด และยืนยันว่าอาร์เซนอลคือทีมที่ลุ้นแชมป์เต็มตัว นัดถัดมา อาร์เซนอลแข่งดาร์บีลอนดอนเหนือ พบกับทอตนัมฮอตสเปอร์ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2003 โดยทอตนัมไม่ชนะอาร์เซนอลมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1999 และชัยของทอตนัมครั้งล่าสุดที่สนามไฮบรีเกิดเมื่อทศวรรษก่อน นัดนี้ คานูถูกจัดเป็นตัวจริงคู่กับอ็องรี เนื่องจากวีลตอร์มีกล้ามเนื้อน่องล้า อาร์เซนอลเสียประตูเร็วหลังดาร์เรน แอนเดอร์ตันใช้โอกาสที่กองหลังสับสน แต่สามารถยิงสองประตูในช่วงท้ายเกม โดย ดิอับเซิร์ฟเวอร์ อธิบายว่าเป็นการเล่นที่ "ติดขัดอีกครั้ง" ผลทำให้อาร์เซนอลนำอันดับที่สองอยู่ 4 แต้มชั่วคราวก่อนเชลซีชนะนิวคาสเซิลในบ้านในหนึ่งวันต่อมา ทำให้แต้มห่างกันเหลือหนึ่งแต้ม
อาร์เซนอลไม่ได้ลงเล่นเป็นเวลาสองสัปดาห์เนื่องจากช่วงพักฟุตบอลระหว่างประเทศ ก่อนบุกไปเยือนเบอร์มิงแฮมซิตี เนื่องจากการพักการแข่งขันมีผลและมีผู้เล่นตัวจริงได้รับบาดเจ็บหลายคน ทำให้แวงแกร์ต้องปรับเปลี่ยนผู้เล่น โดยกลีชีได้ลงเล่นตัวจริงนัดแรก ส่วนปัสกาล ซีก็อง ลงเล่นเป็นนัดแรกของฤดูกาล โดยลงตำแหน่งคู่กับแคมป์เบลล์ อาร์เซนอลยิงสามประตูจนได้รับชัยชนะเป็นนัดที่สามติดต่อกันของเดือน จนถึงขณะนั้นอาร์เซนอลไม่แพ้ทีมใดตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา 13 นัดติดต่อกัน นับเป็นสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีก นัดถัดมา ทีมเสมอฟูลัม 0–0 เป็นทีมแรกที่อาร์เซนอลยิงประตูในบ้านไม่ได้ครั้งแรกใน 46 นัดที่ไฮบรี เดวิด เลซีย์ ผู้สื่อข่าวของ เดอะการ์เดียน สรุปการเล่นของอาร์เซนอลในวันนั้นว่า "เข้มแข็งในส่วนเครื่องสาย แต่ขาดเครื่องเคาะจังหวะ" และตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขากลับไปมีรูปแบบทำประตูสมบูรณ์แบบแทนที่จะเล่นแบบมีประสิทธิภาพ ในสัปดาห์เดียวกัน เชลซีชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1–0 ทำให้อาร์เซนอลตกลงมาอยู่อันดับที่ 2 ในวันสุดท้ายของเดือน
ในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม อาร์เซนอลบุกไปเยือนเลสเตอร์ซิตีและพลาดอีก 2 แต้ม ในนัดนั้นอ็องรีไม่ได้ลงเล่นเช่นเดียวกับวีเยรากัปตันทีม อาร์เซนอลได้ประตูขึ้นนำก่อนเมื่อเวลา 60 นาทีจากลูกโหม่งของชิลเบร์ตู แต่ถูกตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นัดนั้นโคลได้รับใบแดงจากการพุ่งเสียบเบน แทตเชอร์โดยใช้สองเท้า ทำให้ลงเล่นไม่ได้อีก 3 นัด แวงแกร์กล่าวหลังจากนั้นว่า "ดูเหมือนว่าแอชลีย์ต้องการพุ่งเอาบอล แต่เมื่อมันเป็นการเข้าแย่งสองเท้าที่สูงเกินไป จึงเป็นใบแดงและเราต้องยอมรับ" อีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา อาร์เซนอลเปิดบ้านเอาชนะแบล็กเบิร์นโรเวอส์ 1–0 จากประตูของแบร์คกัมป์ เชลซีที่แพ้เมื่อวันก่อนก็ทำให้อาร์เซนอลกลับไปอยู่หัวตารางอีกครั้ง นำหน้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อันดับที่สองอยู่หนึ่งแต้ม
วันที่ 20 ธันวาคม 2003 อาร์เซนอลบุกไปเยือนโบลตันวอนเดอเรอส์ที่สนามกีฬารีบ็อก ซึ่งเคยมีส่วนทำให้อาร์เซนอลพลาดแชมป์เมื่อแปดเดือนที่แล้ว แม้ว่าทีมจะเก็บได้เพียงหนึ่งแต้ม แต่แวงแกร์ยังมองว่ามีประโยชน์ "หากโบลตันยังคงเล่นแบบนั้น เราจะมองย้อนกลับมาดูผลนี้และรู้สึกยินดีมาก ดีมากเท่ากับทีมที่เราเล่น" ต่อมาในวันเปิดกล่องของขวัญ อ็องรียิงสองประตูช่วยให้ทีมชนะวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 3–0 สามวันถัดมา ทีมพบกับเซาแทมป์ตัน ประตูชัยมาจากครึ่งแรก คือ ลูกส่งผ่านของอ็องรีเข้าเท้าของปีเรส "ที่สไลด์บอลลอดใต้อันต์ตี นิเอมี" ผลชนะทำให้อาร์เซนอลไม่แพ้ทีมใดมาครึ่งฤดูกาลแล้ว และ เดอะไทมส์ เขียนว่าทีมเริ่ม "สร้างรัศมีไร้พ่าย" อาร์เซนอลจบปีปฏิทินด้วยอันดับที่สอง มี 45 แต้มจาก 19 นัด ตามหลังแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเพียงหนึ่งแต้ม และนำเชลซีอยู่สามแต้ม
มกราคม–กุมภาพันธ์
วันที่ 7 มกราคม 2004 อาร์เซนอลพบเอฟเวอร์ตันที่กูดิสันพาร์ก ซึ่งแวงแกร์ได้สับเปลี่ยนผู้เล่นหลายตำแหน่ง ซีก็องถูกเรียกกลับไปเล่นกองหลังกลาง หมายความว่าตูเรถูกเลื่อนเป็นปีกขวาและโลแรนถูกส่งเป็นตัวสำรอง และพาร์เลอร์ลงเป็นตัวจริงแทนชิลเบร์ตูในกองกลาง คานูยิงประตูให้อาร์เซนอลขึ้นนำก่อนในครึ่งแรก แต่ราจินสกีทำประตู "ตีเสมอช่วงท้ายเกมอย่างสมควรอย่างยิ่ง" ให้กับเอฟเวอร์ตันในช่วง 15 นาทีสุดท้าย คืนเดียวกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะโบลตันวอนเดอเรอส์ 2–1 ทำให้จ่าฝูงนำห่าง 3 แต้ม สามวันถัดมา อาร์เซนอลเปิดบ้านพบมิดเดิลส์เบรอ และทำผลงานที่แวงแกร์อธิบายว่าเป็นนัดยอดเยี่ยมนัดหนึ่งในฤดูกาล เขากล่าวว่า "เราเล่นเกมตามธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และน่าจะทำประตูได้มากกว่านี้" โดยนัดนั้นพวกเขาชนะ 4–1 กลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง แม้เป็นการจัดเรียงตามตัวอักษรเท่านั้น เนื่องจากแต้ม ผลต่างประตูได้เสียและประตูได้เท่ากับสถิติของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สัปดาห์ถัดมา อาร์เซนอลชนะแอสตันวิลลา 2–0 โดยอ็องรีเป็นผู้ทำประตูทั้งสองลูก อย่างไรก็ตาม เกิดกรณีพิพาทในประตูแรกของอ็องรี ซึ่งได้จากลูกฟรีคิกที่ตั้งเร็วซึ่งทำให้ผู้เล่นของวิลลาสับสนและทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อผู้ตัดสิน มาร์ก แฮลซีย์ ซึ่งส่งสัญญาณว่าอนุญาตให้เล่น ผ่านไป 22 นัด อาร์เซนอลอยู่อันดับที่ 1 นำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่สองแต้ม
บันทึกของริก บรอดเบนต์ว่าด้วยนัดที่อาร์เซนอลชนะวุลเวอร์แฮมป์ตัน ในเดอะไทม์ 9 กุมภาพันธ์ 2004
อาร์เซนอลยังรักษาสถิติไร้พ่ายตลอดเดือนกุมภาพันธ์ โดยชนะทั้ง 5 นัด เริ่มจากเกมเหย้าที่พบกับแมนเชสเตอร์ซิตี โดยเรเยสลงเล่นนัดแรกให้กับสโมสรโดยลงสนามเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง ส่วนประตูชัย "ดังสนั่นกะอย่างสวยงาม 25 หลา" ได้จากอ็องรี ต่อมา ในนัดที่ 24 ของลีก อาร์เซนอลทำสถิติชนะเกมเยือนพบกับวุลเวอร์แฮมป์ตัน ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2004 ทำสถิติไร้พ่ายยาวนานที่สุดตั้งแต่เปิดฤดูกาลของสโมสรนับแต่ทีมของจอร์จ เกรอัมในปี 1990–91 แวงแกร์กล่าวถึงสถิติไร้พ่ายในการประชุมผู้สื่อข่าวหลังนัด ว่า "คุณต้องการโชคเพียงเล็กน้อยและคุณภาพจิตใจที่ดี" สามวันถัดมา อ็องรีทำสถิติส่วนตัวยิงประตูที่ 100 และ 101 ในพรีเมียร์ลีกของเขา นัดที่พบกับเซาแทมป์ตัน ผลชนะในนัดนั้นทำให้อาร์เซนอลนำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอันดับสองอยู่ 5 แต้ม โดยแข่งมากกว่า 1 นัด
อ็องรีกลับมาลงเล่นนัดวันเสาร์ช่วงมื้อกลางวันที่พบกับเชลซี เขาไม่ได้ลงในรอบที่ห้าเอฟเอคัพพบกับเชลซีเช่นกัน อาร์เซนอลเสียประตูก่อนใน 27 วินาทีแรก แต่ก็กลับมาตีเสมอได้ในนาทีที่ 15 แบร์คกัมป์ "บรรจงส่งลูก" ให้กับวีเยราทางฝั่งซ้าย และยิงบอลผ่านผู้รักษาประตู นีล ซิลลิวัน และได้ประตูชัยใน 6 นาทีถัดมา ซัลลิเวนกะลูกเตะมุมของอ็องรีผิด ซึ่งทำให้เอดูยิงเข้าตาข่าย ตารางคะแนนตอนนี้ อาร์เซนอลนำห่าง 7 แต้ม ซึ่งแวงแกร์ว่าเป็น "ตำแหน่งที่ดีกว่าทีมใดเคยถือฤดูกาลที่แล้ว" เดอะไทม์ เน้นการย้ายตูเรไปเล่นกองหลังว่า
ประกอบกับที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่มีริโอ เฟอร์ดินานด์ การแจ้งเกิดของโกโล ตูเรในฐานะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟผู้มากความสามารถ อาจหมายถึง ทำให้มีคะแนนแกว่งเป็นสิบแต้มในพรีเมียร์ชิป หากตูเรและแคมป์เบลล์ยังฟิตอยู่เรื่อย ๆ อาร์เซนอลน่าจะยิ่งกว่าจะแค่เพียงรักษาผลต่าง 7 แต้ม ส่วนกาแอล กลีชี พวกเขาก็คาดไว้ว่าจะมาแทนแอชลีย์ โคล
นัดสุดท้ายของเดือน อาร์เซนอลพบชาร์ลตันที่ไฮบรี โดยอาร์เซนอลทำได้สองประตูในสี่นาทีแรก แต่ในช่วงท้ายเกม "ยังรักษาตำแหน่งผู้นำ เหมือนลูกแมวกระวนกระวาย" ผ่านไป 27 นัด อาร์เซนอลอยู่อันดับหนึ่ง สะสมได้ 67 แต้ม นำห่างเชลซีและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 9 แต้ม
มีนาคม–พฤษภาคม
อาร์เซนอลยังรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีในเดือนมีนาคม โดยอ็องรีและปีแร็สยิงคนละประตูในนัดที่บุกชนะแบล็กเบิร์นโรเวอส์ เป็นการเล่นที่หมั่นเพียรจากจ่าฝูงสมคำกล่าวว่า "... สิ่งเตือนจำของภาษิตโบราณว่าทีมชนะแชมเปียนชิปคือทีมที่เก็บแต้มได้มากที่สุดเมื่อพวกเขาไม่ได้เล่นดี" นัดถัดมา อาร์เซนอลเปิดบ้านพบโบลตันวอนเดอเรอส์ โดยในนัดนั้น แวงแกร์ได้จัดตัวแบร์คกัมป์ลงแทนเรเยสอยู่หน้า ภาวะลมแรงทำให้เลื่อนการแข่งขัน 15 นาที ปีแร็สยิงประตูขึ้นนำก่อนในเวลาประมาณ 15 นาที ต่อมานาทีที่ 24 ผลขยับเป็น 2–0 แม้ว่าโบลตันจะทำผลงานดีขึ้นหลังทำประตูได้ก่อนหมดครึ่งแรกเล็กน้อย แต่ผลสุดท้ายอาร์เซนอลชนะ 9 ติดต่อกัน และรักษาแต้มห่างอันดับที่สอง 9 แต้ม
วันที่ 28 มีนาคม 2004 การพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในบ้านถือเป็นบททดสอบที่ดุดันของอาร์เซนอล เป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองทีมหลังเหตุรุนแรงที่โอลด์แทรฟฟอร์ด กลีชีได้เป็นผู้เล่นตัวจริงแทนโคลซึ่งบาดเจ็บในเกมแชมเปียนลีกพบกับเชลซีเมื่อกลางสัปดาห์ ส่วนเรเยสได้เป็นตัวจริงแทนแบร์คกัมป์ อ็องรียิงประตูขึ้นนำให้อาร์เซนอลด้วยลูกยิงระยะไกลที่โค้งผ่านผู้รักษาประตู รอย แคร์รอลล์ แต่ในห้านาทีสุดท้าย ลูย ซาอา หลบหลีกกองหลังของอาร์เซนอล และทำประตูตีเสมอให้ทีมเยือน อาร์เซนอลเกือบได้ประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แต่ผู้รักษาประตูรับลูกยิงของโลแรนได้ ผลเสมอไม่ดีสำหรับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งยอมรับโอกาสของทีมเขาภายหลังว่า "ตอนนี้พวกเขา (อาร์เซนอล) กำลังจะเป็นแชมป์ลีก ผมแน่ใจเลย พวกเขาเล่นด้วยความมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ... ทีมที่แข็งแกร่ง ฉะนั้นควรชนะลีกจริง ๆ" หลังจบนัดนั้น "อาร์เซนอลสร้างสถิติลีกใหม่ตลอดกาลของลีกไม่แพ้ทีมใด 30 นัดติดต่อกันตั้งแต่เริ่มฤดูกาล ซึ่งผู้ถือสถิติเดิม ได้แก่ ลีดส์และลิเวอร์พูล จบเดือนมีนาคม พวกเขาอยู่อันดับที่หนึ่งของตาราง มีแต้มนำห่างเชลซี 7 แต้มในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด
หลังตกรอบแชมป์ถ้วยสองรายการห่างกันหนึ่งสัปดาห์ อาร์เซนอลเปิดบ้านรับลิเวอร์พูลในวันศุกร์ประเสริฐ นัดนั้น ฮูเปีย้ฟยิงประตูขึ้นนำให้ทีมเยือนก่อนตั้งแต่ 5 นาทีแรก ต่อมาอ็องรีก็ยิงประตูตีเสมอหลัง 30 นาทีเล็กน้อย แต่ลิเวอร์พูลก็ขึ้นนำอีกครั้งก่อนหมดครึ่งแรก อาร์เซนอลยิงสองประตูพลิกขึ้นนำในเวลา 1 นาที ประตูที่สองของอ็องรีเป็นการหยุดดีทมาร์ ฮามัน ในกลางสนาม เลี้ยงผ่านกองหลัง เจมี แคร์ราเกอร์ และวางบอลผ่านแยชือ ดูแด็ก อ็องรีทำแฮตทริกได้ในนาทีที่ 78 หลังแบร์คกัมป์ช่วยส่งให้ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เฌราร์ อูลีเย เปรียบอาร์เซนอลกับ "สัตว์บาดเจ็บ" หลังการแข่งขันและเชื่อว่าอ็องรีเป็น "ผู้สร้างความแตกต่าง ... เขาตั้งจังหวะการเล่น" ต่อมาอาร์เซนอลเสมอ 0–0 กับนิวคาสเซิลในวันจันทร์หยุดธนาคาร และห้าวันถัดมาพบกับลีดส์ยูไนเต็ด นัดนั้นอ็องรียิงสี่ประตู และได้รับคำชมจากแวงแกร์ว่าเป็น "กองหน้าดีที่สุดในโลก" อาร์เซนอลต้องการชนะอีกสองนัดก็จะคว้าแชมป์
เนื่องจากเชลซีไม่สามารถเก็บแต้มเต็มได้อีกสองนัด อาร์เซนอลจึงทราบตั้งแต่ก่อนนัดที่ไปเยือนทอตนัมว่าผลเสมอจะรับประกันว่าได้แชมป์ โคลได้กลับมาลงเล่นในดาร์บีนัดนั้น หลังไม่ได้ลงในนัดที่พบลีดส์ เนื่องจากบาดเจ็บข้อเท้า อาร์เซนอลได้ประตูขึ้นนำก่อนในจังหวะโต้กลับของวีเยรา อาร์เซนอลได้ประตูที่สอง ในช่วงสิบนาทีก่อนพักครึ่ง โดยแบร์คกัมป์ผ่านบอลให้วีเยรา ซึ่งตัดกลับให้ปีแร็สใช้ข้างเท้าเตะเข้า แต่ทอตนัมก็ยิงสองประตูตีเสมอในครึ่งหลัง โดยเป็นลูกโทษหนึ่งลูก แต่ไม่หยุดผู้เล่นอาร์เซนอลมิให้เฉลิมฉลองเมื่อเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน "หน้ากองเชียร์ที่ไวต์ฮาร์ตเลน" เป็นครั้งที่สองที่อาร์เซนอลได้แชมป์ลีกที่สนามของคู่แข่ง โดยครั้งแรกเกิดในปี 1971 แวงแกร์ชื่นชมความสำเร็จของลูกทีม พร้อมกล่าวกับบีบีซีว่า "พวกเรามีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่แพ้สักเกม และเราเล่นฟุตบอลมีสไตล์ เราสร้างความบันเทิงให้ผู้รักฟุตบอล"
ในเดือนพฤษภาคม อาร์เซนอลเสมอในบ้านสองนัดติดต่อกันต่อเบอร์มิงแฮมซิตีและพอร์ตสมัท ทำให้อาร์เซนอลมี 84 แต้มจาก 36 นัด นัดถัดมา เรเยสยิงหนึ่งประตูช่วยให้ทีมเอาชนะฟูลัมจากความผิดพลาดของผู้รักษาประตู แอ็ดวิน ฟัน เดอร์ซาร์ "ผู้รักษาประตูชาวดัตช์พยายามพุ่งผ่านกองหน้าของอาร์เซนอล แต่ให้อาร์เซนอลได้ครองบอลแทนและเป็นประตูโล่ง ๆ ที่ง่ายที่สุด" นัดสุดท้ายของฤดูกาลอาร์เซนอลพบเลสเตอร์ซิตีในบ้าน พวกเขาเสียประตูก่อน แต่ก็พลิกกลับมาชนะจากสองประตูของอ็องรีกับวีเยรา จบฤดูกาล พวกเขาชนะ 26 นัด เสมอ 12 นัด และไม่แพ้สักนัด เป็นทีมแรกที่ไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลนับตั้งแต่ที่เพรสตันนอร์ทเอนด์เคยทำได้ในฤดูกาล 1888–89 เมื่อทบทวนนัดและฤดูกาลทั้งหมดแล้ว เอมี โลแรนซ์แห่ง ดิอับเซิร์ฟเวอร์ เขียนว่า "ความสำเร็จของอาร์เซนอลไม่อาจทำให้พวกเขา 'ยิ่งใหญ่' ในความเห็นของทุกคนได้ ผู้ที่นิยามความยิ่งใหญ่เฉพาะจากถ้วยยุโรป แชมป์ติดต่อกันและตีลังกาสามรอบก่อนทำประตูทุกครั้ง แต่มันน่าประทับใจด้วยตัวมันเอง"
นัด
24 สิงหาคม ค.ศ. 2003 2 | มิดเดิลส์เบรอ | 0–4 | อาร์เซนอล | มิดเดิลส์เบรอ |
16:05 BST | คูเปอร์ 25' | อ็องรี 5' ชิลเบร์ตู ซิลวา 13' วีลตอร์ 22', 60' | สนามกีฬา: ริเวอร์ไซด์สเตเดียม ผู้ชมในสนาม: 29,450 คน ผู้ตัดสิน: เดอร์มอต แกลลาเกอร์ |
27 สิงหาคม ค.ศ. 2003 3 | อาร์เซนอล | 2–0 | แอสตันวิลลา | ลอนดอน |
19:05 BST | ตูเร 40' แคมป์เบลล์ 57' วีเยรา 22' แบร์คกัมป์ 80' อ็องรี 90' | เฮนดรี 16' ดิเลนีย์ 18' อังเฮล 37' วิตทิงงัม 71' | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,010 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ดีน |
31 สิงหาคม ค.ศ. 2003 4 | แมนเชสเตอร์ซิตี | 1–2 | อาร์เซนอล | แมนเชสเตอร์ |
16:05 BST | โลแรน 10' (o.g.) บาร์ตัน 49' ซอแมย์ 56' ทาร์นัท 74' ทีแอตโต 75' | โคล 34' วีลตอร์ 48' โลแรน 59' ยุงแบร์ย 72', 73' | สนามกีฬา: ซิตีออฟแมนเชสเตอร์ ผู้ชมในสนาม: 46,436 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม โพลล์ |
21 กันยายน ค.ศ. 2003 6 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 0–0 | อาร์เซนอล | แมนเชสเตอร์ |
16:05 BST | คีน 22' ฟัน นิสเติลโรย 82' โรนัลโด 84' ฟอร์จูน 90' | ตูเร 54' คีโอน 61' วีเยรา 79' 81' | สนามกีฬา: โอลด์แทรฟฟอร์ด ผู้ชมในสนาม: 67,639 คน ผู้ตัดสิน: สตีฟ เบนนิตต์ |
26 กันยายน ค.ศ. 2003 7 | อาร์เซนอล | 3–2 | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | ลอนดอน |
20:00 BST | อ็องรี 18', 80' (ลูกโทษ) ชิลเบร์ตู ซิลวา 67' | รอแบร์ 26', 66' แบร์นาร์ 71' | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,112 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ไรลีย์ |
4 ตุลาคม ค.ศ. 2003 8 | ลิเวอร์พูล | 1–2 | อาร์เซนอล | ลิเวอร์พูล |
12:30 BST | Kewell 14' Bišćan 67' Welsh 85' | ฮูเปีย 31' (o.g.) โคล 34' พาร์เลอร์ 37' ปีแร็ส 68' | สนามกีฬา: แอนฟีลด์ ผู้ชมในสนาม: 44,374 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม บาร์เบอร์ |
1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 11 | ลีดส์ยูไนเต็ด | 1–4 | อาร์เซนอล | ลีดส์ |
15:00 GMT | แบตตี 30' ออแลมเบ 51' สมิท 64' | อ็องรี 8', 33' ปีแร็ส 18' ชิลเบร์ตู ซิลวา 50' | สนามกีฬา: เอลแลนด์โรด ผู้ชมในสนาม: 36,491 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ดีน |
22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 13 | เบอร์มิงแฮมซิตี | 0–3 | อาร์เซนอล | เบอร์มิงแฮม |
15:00 GMT | ซีเซ 7' | ยุงแบร์ย 4' ตูเร 14' เอดู 78' แบร์คกัมป์ 80' ปีแร็ส 88' | สนามกีฬา: เซนต์แอนดรูส์ ผู้ชมในสนาม: 29,588 คน ผู้ตัดสิน: พอล เดอร์กิน |
6 ธันวาคม ค.ศ. 2003 15 | เลสเตอร์ซิตี | 1–1 | อาร์เซนอล | เลสเตอร์ |
15:00 GMT | เฟอร์ดิแนนด์ 50' ฮิกนิตต์ 90' | เลมัน 57' ชิลเบร์ตู ซิลวา 60' โคล 73' | สนามกีฬา: วอล์กเกอร์สเตเดียม ผู้ชมในสนาม: 32,108 คน ผู้ตัดสิน: ร็อบ สไตลส์ |
14 ธันวาคม ค.ศ. 2003 16 | อาร์เซนอล | 1–0 | แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | ลอนดอน |
14:00 GMT | แบร์คกัมป์ 11' ชิลเบร์ตู ซิลวา 29' ซีก็อง 67' | เกร็ชกอ 6' เฟอร์กัสสัน 13' บับเบิล 42' ทอดด์ 77' | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 37,677 คน ผู้ตัดสิน: แอนดี เดอร์โซ |
29 ธันวาคม ค.ศ. 2003 19 | เซาแทมป์ตัน | 0–1 | อาร์เซนอล | เซาแทมป์ตัน |
20:00 GMT | มักแคนน์ 87' | ปีแร็ส 35' | สนามกีฬา: เซนต์แมรีส์สเตเดียม ผู้ชมในสนาม: 32,151 คน ผู้ตัดสิน: สตีฟ ดันน์ |
7 มกราคม ค.ศ. 2004 20 | เอฟเวอร์ตัน | 1–1 | อาร์เซนอล | ลิเวอร์พูล |
20:00 GMT | ราจินสกี 75' | พาร์เลอร์ 22' คานู 29' โลแรน 45' ยุงแบร์ย 54' | สนามกีฬา: กูดิสันพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 38,726 คน ผู้ตัดสิน: แอลัน ไวลีย์ |
10 มกราคม ค.ศ. 2004 21 | อาร์เซนอล | 4–1 | มิดเดิลส์เบรอ | ลอนดอน |
15:00 GMT | ชิลเบร์ตู ซิลวา 20' อ็องรี 38' (ลูกโทษ) เกอดรูว์ 45' (o.g.) ปีแร็ส 57' ยุงแบร์ย 68' | ดูรีวา 30' มัคคาโรเน 86' (ลูกโทษ) | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,117 คน ผู้ตัดสิน: แอนดี เดอร์โซ |
18 มกราคม ค.ศ. 2004 22 | แอสตันวิลลา | 0–2 | อาร์เซนอล | เบอร์มิงแฮม |
14:00 GMT | ดิเลนีย์ 29' เม็ลแบร์ย 34' วิตทิงงัม 45' แบร์รี 59' | อ็องรี 29', 53' (ลูกโทษ) วีเยรา 55' | สนามกีฬา: วิลลาพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 39,380 คน ผู้ตัดสิน: มาร์ก แฮลซีย์ |
7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 24 | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 1–3 | อาร์เซนอล | วุลเวอร์แฮมป์ตัน |
15:00 GMT | มิลเลอร์ 11' กาเนอา 26', 26' เออร์วิน 67' | แบร์คกัมป์ 9', 31' อ็องรี 58' ตูเร 63' | สนามกีฬา: สนามกีฬามอลินิว ผู้ชมในสนาม: 29,392 คน ผู้ตัดสิน: ฟิล ดาวด์ |
21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 26 | เชลซี | 1–2 | อาร์เซนอล | ลอนดอน |
12:30 GMT | กวึดยอนแซน 1' 42' 60' มูตู 51' เทร์รี 67' แลมพาร์ด 67' | วีเยรา 15' เอดู 21' โลแรน 60' อ็องรี 90' | สนามกีฬา: สแตมฟอร์ดบริดจ์ ผู้ชมในสนาม: 41,847 คน ผู้ตัดสิน: ไมก์ ไรลีย์ |
28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 27 | อาร์เซนอล | 2–1 | ชาร์ลตันแอธเลติก | ลอนดอน |
15:00 GMT | ปีแร็ส 2' อ็องรี 4' | เยินเซิน 59' | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,137 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม บาร์เบอร์ |
13 มีนาคม ค.ศ. 2004 28 | แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | 0–2 | อาร์เซนอล | แบล็กเบิร์น |
15:00 GMT | Andresen 54' | อ็องรี 57' เอดู 73' ปีแร็ส 87' | สนามกีฬา: อีวุดพาร์ก ผู้ชมในสนาม: 28,627 คน ผู้ตัดสิน: แอลัน ไวลีย์ |
20 มีนาคม ค.ศ. 2004 29 | อาร์เซนอล | 2–1 | โบลตันวอนเดอเรอส์ | ลอนดอน |
15:00 GMT | ปีแร็ส 16' แบร์คกัมป์ 24' โคล 62' | โนลัน 30' กัมโป 41' เพเดอร์เซิน 85' | สนามกีฬา: ไฮบรี ผู้ชมในสนาม: 38,053 คน ผู้ตัดสิน: เกรอัม บาร์เบอร์ |