เรนจ์ โรเวอร์
เรนจ์ โรเวอร์ | |
---|---|
ผู้ผลิต: | แลนด์โรเวอร์ |
ปี: | ค.ศ. 1970 - ปัจจุบัน |
ประเภท: | รถยนต์เอนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดกลาง (Mid-size SUV)(รุ่นที่ 1-2) รถยนต์เอนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดใหญ่ (Full-size SUV)(รุ่นที่ 3-4) |
ลักษณะ: | เอสยูวี 3 ประตู เอสยูวี 5 ประตู |
เครื่องยนต์: | |
รุ่นก่อนหน้า: | ไม่มี |
รุ่นต่อไป: | {{{รุ่นต่อไป}}} |
รุ่นที่ใกล้เคียง: | เชฟโรเลต ทาโฮ |
เรนจ์ โรเวอร์ (อังกฤษ: Range Rover) เป็นรถธง ของค่ายรถยนต์แลนด์โรเวอร์ มีลักษณะเป็นรถยนต์เอนกประสงค์สมรรถนะสูง (อังกฤษ: Sport Utility Vehicle หรือย่อว่า SUV) ขับเคลื่อนสี่ล้อ เริ่มผลิตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1970 จนถึงปัจจุบัน
รถรุ่นอื่นๆ ของแลนด์โรเวอร์ ก็มักเป็นรถออฟโรด(รถที่ขับลุยป่า ดินลูกรัง และพื้นที่วิบากที่รถทั่วไปเข้าไม่ได้)ขับเคลื่อนสี่ล้ออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เรนจ์ โรเวอร์แตกต่างออกมาคือ การตกแต่งภายในที่หรูหรากว่า มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากกว่า ทำให้การเดินทางบนถนนวิบากของผู้คนทั่วไปทำได้ง่ายขึ้น เปลี่ยนภาพลักษณ์รถออฟโรด(รถที่ขับบนถนนวิบากได้) จากรถที่สภาพภายในวิบากพอๆกับสภาพถนน กลายเป็นรถที่ให้ความสบายได้ไม่แพ้กับรถซีดานหรู
ย้อนกลับไปในยุคทศวรรษ 1950 แลนด์โรเวอร์ มีความคิดที่จะนำรถซีดานหรู รุ่น โรเวอร์ พี4 (อังกฤษ: Rover P4) มาดัดแปลงเป็นรถออฟโรด แต่ด้วยเทคโนโลยีรถที่ยังไม่ก้าวหน้า รถออฟโรดที่ให้ความหรูหราสะดวกสบายกับผู้โดยสารไปพร้อมๆ กันนั้นดูเป็นไปไม่ได้ จึงต้องเก็บความคิดดังกล่าวไว้ก่อน
ต่อมา ในปี ค.ศ. 1966 โครงการรถออฟโรดหรูได้ถูกรือฟื้นอีกครั้ง โดยวิศวกรสองคนหลัก ชื่อ สเปนเซอร์ คิง (อังกฤษ: Spencer King) และ กอร์ดอน แบชฟอร์ด (อังกฤษ: Gordon Bashford) หลังจากการพัฒนาและทดลองอยู่ 4 ปี รถออฟโรดหรูตระกูลใหม่ ชื่อว่า เรนจ์ โรเวอร์ ก็เริ่มผลิตอย่างเป็นทางการ
อันที่จริง เรนจ์ โรเวอร์ ในช่วงปีแรกที่ผลิตออกมานั้น ไม่ได้หรูหรามากนักถ้าเทียบกับรุ่นปัจจบัน เก้าอี้ทำจากไวนิล และหน้าปัทม์ทำจากพลาสติก ไม่มีอุปกรณ์ความหรูหรามากนัก (ยังนับว่าหรูเมื่อเทียบกับออฟโรดอื่นๆ ในยุคเดียวกัน) แต่ต่อมา เมื่อได้มีการติดตั้งความหรูหราแบบรถซีดานลงไป เช่น พื้นพรม เครื่องปรับอากาศในตัวรถ เก้าอี้เบาะหนัง และเริ่มตกแต่งภายในด้วยลายไม้ พบว่า รถสามารถขายได้มากขึ้น
หลังจากเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเข้าไปเพิ่มขึ้นแล้ว ขายได้มากขึ้น จึงได้ทดลองพัฒนาเพื่อให้ติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆ ลงไปอีก ผลปรากฏว่าเมื่อลองเพิ่มอุปกรณ์ความหรูหราสะดวกสบายอื่นๆ เข้าไป พบว่า ยิ่งหรูมาก ยิ่งขายได้มาก แลนด์โรเวอร์จึงหันมาให้ความสนใจกับการตกแต่งภายในของรถออฟโรดรุ่นนี้อย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับความสามารถในการขับบนถนนวิบากที่ไม่ลดลง
ตั้งแต่ปี 1970 ถึงปัจจุบัน เรนจ์ โรเวอร์ มีการปรับโฉมครั้งใหญ่แบบโมเดลเชนจ์เพียง 2 ครั้ง ดังนั้น วิวัฒนาการของเรนจ์ โรเวอร์ ตามช่วงเวลา แบ่งได้ 4 รุ่น ดังนี้
รุ่นที่ 1 (ค.ศ. 1970 - 1996)
เรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 1 มักเรียกกันว่า เรนจ์ โรเวอร์ คลาสสิก (อังกฤษ: Range Rover Classic) ในช่วงแรกนี้ แลนด์โรเวอร์เป็นบริษัทลูกในสังกัดของ บริติช เลย์แลนด์ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปอยู่ในสังกัด โรเวอร์กรุ๊ป และ บริติช แอโรสเปซในปี 1986 และปี 1988 ตามลำดับ เรนจ์ โรเวอร์ รุ่นแรก มีโครงสร้างโดยใช้อะลูมิเนียม เป็นวัสดุหลักของโครงรถ ในช่วงแรกจะมีเฉพาะตัวถังแบบเอสยูวี 3 ประตู ซึ่งทำให้ผู้โดยสารด้านหลังรู้สึกไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าที่ควร ใน ค.ศ. 1981 ในการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ จึงได้มีการเพิ่มตัวถังแบบ 5 ประตูเข้าไป ซึ่งเมื่อเพิ่มไปแล้วพบว่าสามารถขายได้ดีขึ้น จนสำนักงานในบางประเทศถึงกับสั่งยกเลิกการนำเข้าเรนจ์โรเวอร์แบบ 2 ประตูเลยทีเดียว
ในช่วงแรกของการผลิต เรนจ์ โรเวอร์ "คลาสสิก" จะใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบคาร์บูเรเตอร์วี8 ขนาด 3,528 ซีซี เกียร์ธรรมดา 4 สปีด ไม่มีโอเวอร์ไดรฟ์ (โอเวอร์ไดรฟ์ คือ เกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1:1 ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่าเกียร์ที่ไม่ใช่โอเวอร์ไดรฟ์ รถเก๋งและกระบะส่วนมากในปัจจุบันจะมีเกียร์โอเวอร์ไดรฟ์หมด โดยเป็นเกียร์เดินหน้าเกียร์สูงสุดของรถแต่ละคัน) เกียร์ธรรมดา 4 สปีดแบบมีโอเวอร์ไดรฟ์ เริ่มมีขายในปี 1977, เรนจ์ โรเวอร์ เกียร์อัตโนมัติเริ่มมีขายใน ค.ศ. 1982 เป็นเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด, อัพเกรดเกียร์ธรรมดาเป็นแบบ 5 สปีดใน ค.ศ. 1983, อัพเกรดเกียร์อัตโนมัติเป็นแบบ 4 สปีดใน ค.ศ. 1985 เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ถูกแทนที่โดยเครื่องยนต์หัวฉีดใน ในเกือบทุกตลาดในปี 1986 ยกเว้นตลาดในบางประเทศเท่านั้น ยังใช้เครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เครื่องยนต์เบนซินได้มีการเพิ่มขนาดเครื่องยนต์เป็น 3,947 ซีซี และ 4,197 ซีซี ในปี ค.ศ. 1990 และ 1992 ตามลำดับ
เรนจ์ โรเวอร์ เครื่องยนต์ดีเซล เริ่มมีขายครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 โดยเป็นเครื่องยนต์รุ่น VM Motori TD 4สูบ 2,393 ซีซี และเพิ่มเป็น 2,499 ซีซีในปี 1989 ต่อมาในปี ค.ศ. 1992 เครื่องยนต์ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่อง 2,499 ซีซี แบบ 200Tdi Turbocharged และเปลี่ยนเป็น 300Tdi Turbocharged ในปี 1994
เรนจ์ โรเวอร์ จะใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งมีทั้งรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full-time (ตลอดเวลา) แลขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสวิตช์ (สามารถกดสวิตช์เลือกให้ขับเคลื่อน 2 หรือ 4 ล้อก็ได้ ตามสภาพถนน เพราะวิ่งสองล้อจะประหยัดน้ำมันได้มากกว่า แต่วิ่งออฟโรดไม่ได้ ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เอาไว้ใช้วิ่งในเมือง) ระบบช่วงล่างของเรนจ์โรเวอร์รุ่นแรกนี้เป็นแบบคอยล์สปริง ต่างจากช่วงล่างของรถออฟโรดรุ่นอื่นๆ ที่เป็นแบบลีฟสปริง ระยะฐานล้อ 2500 มิลลิเมตร ซึ่งในประเทศอังกฤษและอเมริกา เรนจ์ โรเวอร์ ได้รับความนิยมพอสมควร มีคู่แข๋งเป็น แลมบอร์กินี แอลเอ็ม002
รุ่นที่ 2 (ค.ศ. 1994 - 2002)
เรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 2 หรือ P38A ใน ค.ศ. 1994 แลนด์โรเวอร์ ย้ายไปอยู่ในสังกัดของ บีเอ็มดับเบิลยู ก่อนจะเปลี่ยนไปอยู่ในสังกัดฟอร์ดมอเตอร์ ในปี ค.ศ. 2000 จึงมีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ดีกว่ารุ่นแรกที่มีภาพรวมการพัฒนาที่ดูไม่เป็นระเบียบ และคุณภาพของรถยังมีหลายด้านที่ต้องการการพัฒนา เรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 2 มีการตกแต่งภายในที่หรูหราขึ้น เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เกียร์อัตโนมัติได้รับการพัฒนาให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น มีภาพรวมที่น่าเชื่อถือมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม มีปัญหาที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือลงไป คือ เรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 2 มีการติดตั้งระบบควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์เข้าไป เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย แต่ทว่าปัญหาที่ตามมาคือระบบคอมพิเตอร์ในรถเกิดอาการรวน แล้วไปสั่งหยุดการทำงานของอุปกรณ์หรืออะไหล่ชิ้นต่างๆ แบบส่งเดช นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนระบบเกียร์ใหม่ แต่ระบบเกียร์ใหม่สร้างความลำบากในการหยุดรถในถนนวิบาก
เครื่องยนต์เบนซินที่ใช้เป็นเครื่องยนต์ 8สูบ วี8 ขนาด 4,000 กับ 4,600 ซีซี ควบคู่เครื่องยนต์ดีเซล รุ่นหัวฉีด M51 Turbodiesel 2,500 ซีซี
รุ่นที่ 3 (ค.ศ. 2002 - 2012)
เรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 3 หรือ L322 ในช่วงนี้ แลนด์โรเวอร์ อยู่ในสังกัดของ ฟอร์ดมอเตอร์ ก่อนจะย้ายไปอยู่ในสังกัด ทาทามอเตอร์ ในปี 2008 ถึงปัจจุบัน เรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 3 ได้มีการเพิ่มขยาดจากเอสยูวีขนาดกลาง เป็นเอสยูวีขนาดใหญ่ เกียร์ธรรมดาถูกยกเลิกลงทั้งหมด คงเหลือไว้แต่เกียร์อัตโนมัติ พร้อมอุปกรณ์ตกแต่งภายในแบบหรูหรา ด้วยระบบปรับอากาศแยกต่างหาก 3 โซน พร้อมระบบ Cruise Control, ระบบปรับตำแหน่งเก้าอี้โดยระบบไฟฟ้า, ระบบความบันเทิง รองรับการเล่นแผ่นดีวีดี, โทรศัพท์ไวร์เลสภายในรถ และอีกมากมาย
ปัจจุบัน เครื่องยนต์ของเรนจ์ โรเวอร์ มี 4 แบบ คือ เครื่องเบนซิน 3 แบบ เป็นเครื่องยนต์รุ่น Jaguar AJ-V8 ขนาด 4,200 ซีซี 4,400 ซีซี และ 5,000 ซีซี และเครื่องดีเซล 1 แบบ เป็นเครื่องรุ่น ฟอร์ด AJD-V6/PSA DT17 TD V8 ขนาด 3,600 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
และ ค.ศ. 2010 พาหนะประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้เปลี่ยนจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส W220 เป็น เรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 3
รุ่นที่ 4 (ค.ศ. 2012 - ปัจจุบัน)
เรนจ์ โรเวอร์ รุ่นที่ 4 หรือ L405 ในช่วงนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองที่สุดจากรุ่นเจนเนอเรชั่นที่ 3 มาสู่เจนเนอเรชั่นที่ 4 นี้คือการใช้แชสซีส์และตัวถังโมโนค็อกอะลูมิเนียมที่รีดน้ำหนักตัวรถลงได้ถึง 420 กก. คาดว่าจะช่วยเพิ่มความประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษไอเสียลงได้มาก Land Rover ระบุด้วยว่าช่วงล่างถุงลมที่ล้อทั้งสี่ได้ถูกปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพเหนือชั้นกว่าเดิมด้วย
สามารถเลือกใช้เครื่องยนต์ได้ 3 รุ่น ทั้งบล็อก V8 เบนซินซูเปอร์ชาร์จ ความจุ 5.0 ลิตร บล็อก V6 ดีเซล ความจุ 3.0 ลิตร (เหมือนในรุ่น Discovery) และบล็อก V8 ดีเซล ความจุ 4.4 ลิตรที่เป็นรุ่นเดียวกับ Range Rover ในรุ่นปัจจุบัน แต่ถูกปรับจูนใหม่
ทั้งสามเครื่องยนต์ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีดเท่านั้นโดยไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือกแต่อย่างใด ฟีเจอร์ของระบบขับเคลื่อนที่น่าสนใจคือระบบ Terrain Response 2 ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ พร้อมกับระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว และระบบป้องกันการลื่นไถล
ปัจจุบัน แลนด์โรเวอร์ เผยโฉมเรนจ์โรเวอร์ รุ่นปรับไมเนอร์เชนจ์ปี 2018 ออกมาแล้ว เติมแต่งความสดใหม่หลายส่วน รวมถึงหัวใจขับเคลื่อน เพิ่มทางเลือกรุ่นย่อยใหม่ P400E ระบบขับเคลื่อนคืออีกหนึ่งไฮไลท์ด้วยเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน 13.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีพละกำลังอยู่ที่ 404 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตันเมตร