เรือยิงตอร์ปิโดยูโกสลาเวีย ที5
เรือยิงตอร์ปิโดยูโกสลาเวีย ที5 (อังกฤษ: T5) เป็นเรือยิงตอร์ปิโดประจำการในราชนาวียูโกสลาเวียระหว่างปี 2464–2484 ชื่อเดิมคือ 87เอฟ (อังกฤษ: 87 F) เป็นเรือยิงตอร์ปิโดขนาด 250 ตัน(250 ตัน) ของกองทัพเรือออสเตรีย-ฮังการีระหว่างปี 2457–58 มีปืนขนาด 66 มม. (2.6 นิ้ว) สองกระบอก และท่อตอร์ปิโด 4 ท่อขนาด 450 มม. (17.7 นิ้ว) สี่ท่อ และสามารถบรรทุกทุ่นระเบิดเรือ 10-12 ลูก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีการใช้เรือในภารกิจขบวนเรือ ลาดตระเวน คุ้มกันและเก็บกวาดทุ่นระเบิด ปฏิบัติการต่อต้านเรือดำน้ำและภารกิจโจมตีชายฝั่ง หลังออสเตรีย-ฮังการีปราชัยในปี 2461 มีการจัดสรร 87เอฟ ให้แก่ราชนาวีราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นราชนาวียูโกสลาเวียและได้เปลี่ยนชื่อเป็น ที5 ขณะนั้น เรือดังกล่าวและเรือชั้น 250ทีอื่นอีกเจ็ดลำเป็นเรือเดินสมุทรสมัยใหม่ไม่กี่ลำของกองทัพเรือนั้น
เรือยิงตอร์ปิโดยูโกสลาเวีย ที5 ซึ่งโครงสร้างเป็นรุ่นเดียวกับ ที3 | |
ประวัติ (ออสเตรีย-ฮังการี) | |
---|---|
ชื่อเรือ: | 87เอฟ |
ต่อขึ้นที่: | Ganz & Danubius |
วางกระดูกงู: | 5 มีนาคม 2457 |
ปล่อยลงน้ำ: | 20 มีนาคม 2458 |
ขึ้นระวาง: | 25 ตุลาคม พ.ศ. 2458 |
ปลดประจำการ: | พ.ศ. 2461 |
จุดจบ: | ส่งมอบให้ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน |
ประวัติ (ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย) | |
ชื่อเรือ: | ที5 |
ได้รับเรือ: | มีนาคม พ.ศ. 2464 |
ปลดประจำการ: | เมษายน พ.ศ. 2484 |
จุดจบ: | อิตาลียึด |
ประวัติ (ราชอาณาจักรอิตาลี) | |
ชื่อเรือ: | ที5 |
ได้รับเรือ: | เมษายน พ.ศ. 2484 |
ปลดประจำการ: | กันยายน พ.ศ. 2486 |
จุดจบ: | ส่งคืนให้ยูโกสลาเวีย |
ประวัติ (ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย) | |
ชื่อเรือ: | ที5 |
ได้รับเรือ: | ธันวาคม พ.ศ. 2486 |
ปลดประจำการ: | พฤษภาคม พ.ศ. 2488 |
ประวัติ (ยูโกสลาเวีย) | |
ชื่อเรือ: | เคอร์ |
ตั้งชื่อตาม: | ยุทธการเคอร์ |
ได้รับเรือ: | พฤษภาคม พ.ศ. 2488 |
ปลดประจำการ: | พ.ศ. 2505 |
จุดจบ: | ถูกแยกชิ้นส่วน |
ลักษณะเฉพาะ | |
ชั้น: | เรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที, เรือยิงตอร์ปิโดชั้น เอฟ |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | |
ความยาว: | 58.5 m (191 ft 11 in) |
ความกว้าง: | 5.8 m (19 ft 0 in) |
กินน้ำลึก: | 1.5 m (4 ft 11 in) |
เครื่องยนต์: |
|
ใบจักร: | |
ความเร็ว: | 28 นอต (52 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 32 ไมล์ต่อชั่วโมง) |
พิสัยเชื้อเพลิง: | 1,200 nmi (2,200 km; 1,400 mi)ที่ 16 นอต (30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 18 ไมล์ต่อชั่วโมง) |
อัตราเต็มที่: | 38–41 |
ยุทโธปกรณ์: |
|
ในสมัยระหว่างสงคราม ที5 และกองทัพเรือที่เหลือเข้าร่วมการฝึกซ้อมและลาดตระเวนไปท่าเรือฝ่ายเดียวกัน แต่กิจกรรมถูกจำกัดด้วยงบประมาณกองทัพเรือที่ลดลง อิตาลียึดเรือดังกล่าวได้ระหว่างการบุกครองยูโกสลาเวียของฝ่ายอักษะที่มีเยอรมนีเป็นผู้นำในเดือนเมษายน 2484 จากนั้นมีการปรับปรุงอาวุธหลักของเรือให้ทันสมัย เรือเข้าประจำการในกองทัพเรืออิตาลีภายใต้ชื่อยูโกสลาเวียเดิม ปฏิบัติภารกิจชายฝั่งและคุ้มกันแถวสองในทะเลเอเดรียติก หลังอิตาลียอมแพ้ในกันยายน 2486 อิตาลีส่งมอบเรือคืนแก่ราชนาวียูโกสลาเวียพลัดถิ่น เมื่อสงครามยุติ ก็มีการส่งมอบเรือให้กับกองทัพเรือยูโกสลาเวียใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น เคอร์ (อังกฤษ: Cer) จนมีการแยกชิ้นส่วนในปี 2505
เบื้องหลัง
ใน พ.ศ. 2453 คณะกรรมการเทคนิคทหารเรือออสเตรีย-ฮังการีริเริ่มโครงการการออกแบบและพัฒนาเรือยิงตอร์ปิโดชายฝั่งระวางขับน้ำ 275 ตัน (271 ลองตัน) และกำหนดว่าควรคงความเร็วได้ 30 นอต (56 กม./ชม.) เป็นเวลา 10 ชั่วโมง ข้อกำหนดนี้ตั้งอยู่บนการคาดการณ์ว่ากำลังข้าศึกจะปิดล้อมช่องแคบโอตรันโต ซึ่งเป็นที่บรรจบของทะเลเอเดรียติกกับทะเลไอโอเนียน ระหว่างความขัดแย้งในอนาคต ในพฤติการณ์เช่นนั้น มีความจำเป็นต้องใช้เรือยิงตอร์ปิโดซึ่งสามารถแล่นจากฐานทัพเรือออสเตรีย-ฮังการี (เยอรมัน: kaiserliche und königliche Kriegsmarine) ที่อ่าวโคโทรไปช่องแคบดังกล่าวในยามกลางคืน หาตำแหน่งและโจมตีเรือที่ปิดล้อมแล้วกลับสู่ท่าเรือก่อนเช้า มีการเลือกเครื่องยนต์กังหันไอน้ำสำหรับการขับเคลื่อน เนื่องจากไม่มีน้ำมันดีเซลที่มีพลังงานที่จำเป็น และกองทัพเรือออสเตรีย-ฮังการีไม่มีประสบการณ์เชิงปฏิบัติในการใช้เรือกังหันไฟฟ้า บริษัทต่อเรือด้านเทคนิคของตรีเยสเต (อิตาลี: Stabilimento Tecnico Triestino, ชื่อย่อ: STT) ได้รับคัดเลือกให้ทำสัญญาต่อเรือแปดลำแรกในชื่อกลุ่ม ที มีการขอคำเสนอให้ต่อเรืออีกสี่ลำ แต่เมื่อบริษัทต่อเรือแกนซ์และดานูบิอุส (อิตาลี: Ganz Danubius) ซึ่งเป็นคู่แข่ง ลดราคาสิบเปอร์เซ็นต์ ทำให้มีการสั่งเรือรวมสิบหกลำจากบริษัทดังกล่าว ชื่อว่ากลุ่ม เอฟ ซึ่งกลุ่มชื่อเอฟ หมายถึงตำแหน่งอู่ต่อเรือหลักของแกนซ์และดานูบิอุสที่ฟีอูเม
การออกแบบและการต่อเรือ
เรือยิงตอร์ปิโดยูโกสลาเวีย ที5 มีความยาว 250 ฟุต กลุ่มเอฟ มีความยาว 58.5 เมตร (191 ฟุต 11 นิ้ว) ความกว้าง 5.8 m (19 ft 0 in) และกินน้ำลึกปกติ 1.5 m (4 ft 11 in) มีระวางขับน้ำตามการออกแบบ 266 ตันและเพิ่มเป็น 330 ตัน เมื่อบรรทุกเต็มที่ สามารถบรรจุลูกเรือได้ 38–41 คน เรือขับเคลื่อนด้วยกังหันไอน้ำ เออีจีเคอร์ทิสส์ 2 ใบพัด ขับเคลื่อนโดยหม้อไอน้ำแบบยาร์โรว์ 2 หม้อ หม้อหนึ่งเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง และอีกหม้อหนึ่งเผาไหม้ถ่านหิน กังหันทั้งสองจัดเป็น 5,000 แรงม้า (3,700 กิโลวัตต์) และสูงสุดถึง 6,000 แรงม้า (4,500 กิโลวัตต์) และออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนเรือให้มีความเร็วสูงสุด 28 นอต (52 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 32 ไมล์ต่อชั่วโมง) บรรทุกถ่านหิน 20 ตัน และน้ำมันเชื้อเพลิง 34 ตัน ทำให้มีพิสัย 1,200 nmi (2,200 km; 1,400 mi) ที่ความเร็ว 16 นอต (30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 18 ไมล์ต่อชั่วโมง) กลุ่มเอฟมีปล่องควันสองปล่องซึ่งมากกว่ากลุ่มทีซึ่งมีปล่องเดียว เนื่องจากการจัดหาทุนที่ไม่เพียงพอ ทำให้ 87เอฟ และเรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที ลำที่เหลือกลายเป็นเรือชายฝั่งโดยสภาพแม้ว่ามีเจตนาทีแรกให้ปฏิบัติการ "ทะเลน้ำลึก" เป็นครั้งแรกที่กองทัพเรือเล็กของออสเตรีย-ฮังการีที่ใช้ระบบกังหันและเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับระบบใหม่
เรือลำนี้มีปืนสโกด้า 66 มิลลิเมตร (2.6 นิ้ว) แอล/30 2 กระบอก และ ตอร์ปิโด 450 mm (17.7 in) 4 ลูก สามารถพกทุ่นระเบิดเรือ 10-12 ลูก 87เอฟ เริ่มวางกระดูกงูในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2457 ถูกปล่อยลงน้ำ 20 มีนาคม พ.ศ. 2458 และขึ้นระวางวันที่ 25 ตุลาคมของปีเดียวกัน
การใช้งาน
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 87เอฟ ถูกนำมาใช้เพื่อลาดตระเวนคุ้มกันและกวาดทุ่นระเบิด รวมถึงปฏิบัติการต่อต้านเรือดำน้ำ และภารกิจโจมตีชายฝั่ง 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2459 87เอฟ และเรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250 ที อีกสองลำเข้าร่วมปฏิบัติโจมตีชายฝั่งใน ออร์โทนา และซาน วีโท ชีลติโน ของอิตาลี นำโดยเรือรบหุ้มเกราะ เซนต์ กีออร์ก สามวันต่อมาเรือลาดตระเวน เฮลโกแลนด์ เรือยิงตอร์ปิโด 87เอฟ และเรือยิงตอร์ปิโดรุ่น 250ที อีกห้าลำถูกดักฟังโดย เรือประมงลาดตระเวนส่วนพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถ จากเมืองเวย์มัทของอังกฤษ และเรือพิฆาต บูคลิเออร์ ของฝรั่งเศสบริเวณทางตอนเหนือของเมืองดูร์เรสโซ ในแอลเบเนีย ในระหว่างการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายมีเพียงเรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที 2 ลำเท่านันที่ได้รับความเสียหาย ในวันที่ 9 กรกฎาคมเรือลาดตระเวน นาวารา นำได้ร่วมกับ 87เอฟ และ เรือตอร์ปิโดชั้นไคมาน 2 ลำ ในการเข้าโจมตีกองเรือพันธมิตรที่ปิดกั้นช่องแคบโอตรันโต ผลของการปะทะทำให้เรือเดินสมุทรสองลำจมล่มลง วันที่ 4 พฤศจิกายนเรือพิฆาตสามลำและเรือตอร์ปิโดสามลำของอิตาลีได้เผชิญหน้ากับเรือพิฆาตของออสเตรีย – ฮังการี สองลำ พร้อมเรือยิงตอร์ปิโดรุ่น 250 ที จำนวน 2 ลำ ทางตอนเหนือของทะเลเอเดรียติก วันรุ่งขึ้นเรือตอร์ปิโดสามลำของอิตาลีได้เข้าโจมตีบริเวณชายฝั่งแซนต์ เอลปิดิโอ ในปี พ.ศ. 2460 ได้มีการติดตั้งปืน 66 มิลลิเมตรไว้บน 87เอฟ เพื่อใช้ปืนต่อต้านอากาศยาน เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 เรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที สองลำได้เริ่มภารกิจโจมตีชายฝั่ง ซึ่งในภารกิจที่สอง 87เอฟ ได้เข้าร่วมกับเรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที เจ็ดลำกับเรือพิฆาตอีกหกลำในการการโจมตีชายฝั่งปอร์โตคอร์ซินี่ มารอตตา และ เซเซนาติโก
เมื่อถึงปี พ.ศ. 2461 ฝ่ายพันธมิตรได้เพิ่มกำลังการปิดล้อมอย่างต่อเนื่องบนช่องแคบโอตรันโต ตามที่กองทัพเรือออสเตรีย - ฮังการีคาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลให้ปฏิบัติการณ์ของเรืออูของทั้งอออสเตรีย - ฮังการีและเยอรมันในทะเลเมดิเตอเรเนียนยากขึ้น ผู้บัญชาการกองทัพเรือออสเตรีย - ฮังการีคนใหม่ พลเรือตรีมิกโลช โฮร์ตี ตัดสินใจจะเข้าโจมตีกองเรือฝ่ายพันธมิตรโดยเรือประจัญบาน เรือลาดตระเวนและเรือพิฆาต ในตอนกลางคืนของวันที่ 8 มิถุนายน โฮร์ตี ได้นำทัพเรือออกจากฐานทัพเรือโพลาในทะเลเอเดรียติกตอนบนพร้อมเรือประจัญบานเดรดนอต วิริบัส ยูนิทิส และ พรินซ์ออยเกน เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2461 หลังจากมีปัญหาในการนำโซ่กันเรือในท่าเทียบเรือออก เรือประจัญบานเดรดนอต เซนต์ อิชต์วาน และ เทเก็ททอฟ เรือพิฆาตหนึ่งลำและเรือยิงตอร์ปิโดหกลำซึ่งรวมถึง 87เอฟ ได้ออกจาก โพลา ไปยัง สลาโน ทางตอนเหนือของรากูซา (ปัจจุบันคือเมืองดูโบรฟนิก) เพื่อนัดพบกับกองเรือของโฮร์ตีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าโจมตีกองเรือพันธมิตรบริเวณช่องแคบโอตรันโต ในวันที่ 10 มิถุนายน เวลาประมาณ 03:15 ในขณะที่เรือยนต์ยิงตอร์ปิโดสองลำของราชนาวีอิตาลี (อิตาลี: Regia Marina) เอ็มเอเอส 15 และ เอ็มเอเอส 21 กลับจากการลาดตระเวนนอกชายฝั่งแดลเมเชียได้เห็นควันจากเรือของออสเตรีย - ฮังการี ทั้งสองลำประสบความสำเร็จในการเจาะการคุ้มกันส่วนหน้าและแยกทางกันโดย เอ็มเอเอส 21 เข้าโจมตีเรือเทเก็ททอฟ แต่ตอร์ปิโดยิงพลาดเป้า ณ เวลา 03:25 น. เอ็มเอเอส 15 ภายใต้การบังคับบัญชาของ ลุยจิ ริซโซ่ ยิงตอร์ปิโดสองลูกถูกเรือเซนต์ อิชต์วาน ซึ่งทำให้ห้องหม้อไอน้ำของเรือ เซนต์ อิชต์วาน เป็นรูรั่ว น้ำได้เข้าท่วมตัวเรือแต่ไม่สามารถระบายได้เนื่องจากน้ำได้ทำลายระบบพลังงานปั้มสูบน้ำไปแล้ว สามชั่วโมงต่อมาเรือ เซนต์ อิชต์วาน ได้อับปางลง ในตุลาคม พ.ศ. 2461 ท่าเรือในเมืองดูร์เรสโซที่แอลเบเนียถูกระดมยิงโดยกองทัพเรือพันธมิตร 87เอฟ รอดจากการถูกโจมตีแต่เรือได้รับความเสียหายเล็กน้อย ซึ่งนั้นเป็นการทำหน้าที่สุดท้ายให้กับกองทัพเรือออสเตรีย - ฮังการี
สมัยระหว่างสงคราม
เรือยิงตอร์ปิโด 87เอฟ สามรถรอดจากสงครามได้ ใน พ.ศ. 2463 ภายใต้เงื่อนไขของสนธิสัญญาแซ็ง-แฌร์แม็ง-อ็อง-แล ทำให้เรือตกเป็นของราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (KSCS, ภายหลังคือราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย) พร้อมกับเรือยิงตอร์ปิโดลำอื่นอีกในชั้น 250ที ได้แก่เรือกลุ่มเอฟ ได้แก่ 93เอฟ 96เอฟ และ 97เอฟ และเรือกลุ่มที สี่ลำ ต่อมาเรือได้เข้าประจำการใน ราชนาวียูโกสลาเวีย (เซอร์โบ-โครแอต: KJRM; Кpaљeвcкa Југословенска Pатна Морнарица) ซึ่งได้รับเรือในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2464 และได้ถูกปล่อยชื่อเป็น ที5 ใน พ.ศ. 2468 ได้มีการจัดการซ้อมรบตามชายฝั่งแดลเมเชียซึ่งเกี่ยวข้องกับกองทัพเรือส่วนใหญ่ การซ้อมรบในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2472 มีเรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที จำนวน 6 ลำซึ่งมาพร้อมกับเรือลาดตระเวน Dalmacija เรือสนับสนุนเรือดำน้ำ Hvar และเรือดำน้ำ Hrabri และ Nebojša ล่องเรือไปยังเกาะมอลตา เกาะคอร์ฟูของกรีซ ในทะเลไอโอเนียน และเมือง บีเซิร์ท ในตูนิเซียใต้อารักขาของฝรั่งเศส ซึ่งไม่ชัดเจนว่า ที5 เป็นหนึ่งในเรือยิงตอร์ปิโดที่อยู่ในการซ้อมรบหรือไม่ ซึ่งเรือและลูกเรือสร้างความประทับใจที่ดีมากในขณะเดินทางเยือนมอลตา ใน พ.ศ. 2475 กองเรือราชนาวีอังกฤษรายงานว่าราชนาวียูโกสลาเวียอยู่ในช่วงขาดงบประมาณทำให้การซ้อมรบและการฝึกยิงปืนใหญ่ลดลง
สงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงคราม
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2484 ยูโกสลาเวียเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเยอรมนีรุกรานยูโกสลาเวีย โดยในช่วงเวลาการรุกราน ที5 ได้รับมอบหมายให้อยู่ในกองเรือยิงตอร์ปิโดที่ 3 อยู่ใน ซิเบนิก ร่วมกับเรือกลุ่มเอฟอีกสามลำ เมื่อวันที่ 8 เมษายน เรือยิงตอร์ปิโดทั้งสี่ลำของกองเรือยิงตอร์ปิโดที่ 3 พร้อมกับเรือลำอื่นถูกมอบหมายให้สนับสนุนการโจมตีเขตอิตาลีที่ซาดาร์ บนชายฝั่งแดลเมเชีย กองเรือถูกโจมตีทางอากาศจากกองทัพอากาศอิตาลีสามครั้งและหลังจากที่แล่นออกจากพื้นที่ซาทอนลงสู่ทะเลสาบ Prokljan ซึ่งกองเรืออยู่จนถึงวันที่ 11 เมษายน ในวันที่ 12 เมษายนกองเรือยิงตอร์ปิโดที่ 3 ถึงเมืองมิลนาบนเกาะบราช และก่อนที่จะปฏิเสธที่คำสั่งให้แล่นเรือไปที่อ่าวคาร์ ในที่สุดทั้งสี่ลำถูกยึดโดยอิตาลี
ที5 ได้เข้าประจำการในราชนาวีอิตาลีทำหน้าที่คุ้มกันชายฝั่งและเส้นทางเดินเรือในทะเลเอเดรียติก เรือได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยโดยแทนปืนต่อต้านอากาศยานด้วยปืน 76 mm (3.0 in) แอล/40 แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้แตกต่างจากเดิมมากหนัก หลังจากที่อิตาลียอมจำนนในเดือนกันยายน พ.ศ. 2486 อิตาลีก็ส่งมอบเรือคืนในเดือนธันวาคมของปีนั้น ที5 ได้กลับเข้าประจำการในยูโกสลาเวียหลังสงครามและเปลี่ยนชื่อเป็น เคอร์ เรือถูกติดตั้งปืนขนาด 40 mm (1.6 in), 40 mm (1.6 in) และ ปืน 20 mm (0.79 in) และท่อตอร์ปิโดถูกถอดออก เรือยังทำหน้าที่จนกระทั่งปลดประจำการใน พ.ศ. 2505
หมายเหตุ
- แอล / 30 หมายถึงความยาวของปืน ในกรณีนี้ปืนแอล / 30 เท่ากับปืนขนาด 30 คาลิเบอร์ ซึ่งหมายความว่าปืนยาว 30 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของปากกระบอกปืน
- ไม่มีเวลาที่แน่นอนเมื่อมีการโจมตีเกิดขึ้นโดย Seiche ระบุบว่าเวลาคือ 3:15 น. เมื่อ เซนต์ อิชต์วาน ถูกโจมตีขณะที่ Sokol ระบุบว่าเวลา 3:30 น.
เชิงอรรถ
- ↑ Gardiner 1985, p. 339.
- ↑ Greger 1976, p. 58.
- Jane's Information Group 1989, p. 313.
- ↑ O'Hara, Worth & Dickson 2013, pp. 26–27.
- Greger 1976, p. 60.
- ↑ Cernuschi & O'Hara 2015, p. 169.
- Cernuschi & O'Hara 2015, p. 170.
- Cernuschi & O'Hara 2015, p. 171.
- Cernuschi & O'Hara 2016.
- Sokol 1968, pp. 133–134.
- ↑ Sokol 1968, p. 134.
- ↑ Sieche 1991, pp. 127, 131.
- Sokol 1968, p. 135.
- Halpern 2012, pp. 259–261.
- Vego 1982, p. 345.
- Jarman 1997a, p. 733.
- Jarman 1997b, p. 183.
- Jarman 1997b, p. 451.
- Niehorster 2016.
- Terzić 1982, p. 333.
- Terzić 1982, p. 404.
- Greger 1976, pp. 58 & 60.
- Brescia 2012, p. 151.
- Chesneau 1980, p. 304.
- Gardiner 1983, p. 388.
อ้างอิง
- Brescia, Maurizio (2012). Mussolini's Navy. Barnsley, South Yorkshire: Seaforth Publishing. ISBN 978-1-59114-544-8.CS1 maint: ref=harv (link)
- Cernuschi, Enrico & O'Hara, Vincent P. (2015). "The Naval War in the Adriatic Part I: 1914–1916". ใน Jordan, John (บ.ก.). Warship 2015. London, England: Bloomsbury. pp. 161–173. ISBN 978-1-84486-295-5.CS1 maint: ref=harv (link)
- Cernuschi, Enrico & O'Hara, Vincent P. (2016). "The Naval War in the Adriatic Part II: 1917–1918". ใน Jordan, John (บ.ก.). Warship 2016. London, England: Bloomsbury. pp. 62–75. ISBN 978-1-84486-438-6.CS1 maint: ref=harv (link)
- Chesneau, Roger, บ.ก. (1980). Conway's All the World's Fighting Ships, 1922–1946. London, England: Conway Maritime Press. ISBN 978-0-85177-146-5.CS1 maint: ref=harv (link)
- Gardiner, Robert, บ.ก. (1985). Conway's All the World's Fighting Ships, 1906–1921. London, England: Conway Maritime Press. ISBN 978-0-85177-245-5.CS1 maint: ref=harv (link)
- Gardiner, Robert, บ.ก. (1983). Conway's All the World's Fighting Ships, 1947–1982. Annapolis, Maryland: Naval Institute Press. ISBN 978-0-87021-919-1.CS1 maint: ref=harv (link)
- Greger, René (1976). Austro-Hungarian Warships of World War I. London, England: Ian Allan. ISBN 978-0-7110-0623-2.CS1 maint: ref=harv (link)
- Halpern, Paul G. (2012). A Naval History of World War I. Annapolis, Maryland: Naval Institute Press. ISBN 978-0-87021-266-6.CS1 maint: ref=harv (link)
- Jane's Information Group (1989) [1946/47]. Jane's Fighting Ships of World War II. London, England: Studio Editions. ISBN 978-1-85170-194-0.CS1 maint: ref=harv (link)
- Jarman, Robert L., บ.ก. (1997a). Yugoslavia Political Diaries 1918–1965. 1. Slough, Berkshire: Archives Edition. ISBN 978-1-85207-950-5.CS1 maint: ref=harv (link)
- Jarman, Robert L., บ.ก. (1997b). Yugoslavia Political Diaries 1918–1965. 2. Slough, Berkshire: Archives Edition. ISBN 978-1-85207-950-5.CS1 maint: ref=harv (link)
- Niehorster, Dr. Leo (2016). "Balkan Operations Order of Battle Royal Yugoslavian Navy 6th April 1941". World War II Armed Forces: Orders of Battle and Organizations. Dr. Leo Niehorster. สืบค้นเมื่อ 29 November 2016.CS1 maint: ref=harv (link)
- O'Hara, Vincent; Worth, Richard & Dickson, W. (2013). To Crown the Waves: The Great Navies of the First World War. Annapolis, Maryland: Naval Institute Press. ISBN 978-1-61251-269-3.CS1 maint: ref=harv (link)
- Sieche, Erwin F. (1991). "S.M.S. Szent István: Hungaria's Only and Ill-Fated Dreadnought". Warship International. Toledo, Ohio: International Warship Research Organization. XXVII (2): 112–146. ISSN 0043-0374.CS1 maint: ref=harv (link)
- Sokol, Anthony Eugene (1968). The Imperial and Royal Austro-Hungarian Navy. Annapolis, Maryland: U.S. Naval Institute. OCLC 1912.CS1 maint: ref=harv (link)
- Terzić, Velimir (1982). Slom Kraljevine Jugoslavije 1941: Uzroci i posledice poraza [The Collapse of the Kingdom of Yugoslavia in 1941: Causes and Consequences of Defeat] (ภาษาเซอร์โบ-โครเอเชีย). 2. Belgrade, Yugoslavia: Narodna knjiga. OCLC 10276738.CS1 maint: ref=harv (link)
- Vego, Milan (1982). "The Yugoslav Navy 1918–1941". Warship International. Toledo, Ohio: International Naval Research Organisation (4): 342–361. ISSN 0043-0374.CS1 maint: ref=harv (link)