โรบิน ฟัน แปร์ซี
โรบิน ฟัน แปร์ซี (ดัตช์: Robin van Persie, ออกเสียง: [vɑn ˈpɛrsi]; เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1983) เป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์ ในตำแหน่งกองหน้า นอกจากนั้นยังเล่นเป็นปีกซ้ายได้อีกด้วย ปัจจุบันได้เลิกเล่นฟุตบอลแล้วโดยเขาได้เล่นให้กับไฟเยอโนร์ดเป็นสโมสรสุดท้าย
ฟัน แปร์ซีขณะเล่นให้กับเฟแนร์บาห์เชในปี ค.ศ. 2017 | |||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนตัว | |||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | โรบิน ฟัน แปร์ซี | ||||||||||||||||||
วันเกิด | 6 สิงหาคม ค.ศ. 1983 (37 ปี) | ||||||||||||||||||
สถานที่เกิด | รอตเทอร์ดาม, เนเธอร์แลนด์ | ||||||||||||||||||
ส่วนสูง | 1.83 ม. (6 ฟุต 0 นิ้ว) | ||||||||||||||||||
ตำแหน่ง | กองหน้า | ||||||||||||||||||
สโมสรเยาวชน | |||||||||||||||||||
1997–1999 | เอกแซ็ลซียอร์ | ||||||||||||||||||
1999–2001 | ไฟเยอโนร์ด | ||||||||||||||||||
สโมสรอาชีพ* | |||||||||||||||||||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) | ||||||||||||||||
2001–2004 | ไฟเยอโนร์ด | 61 | (15) | ||||||||||||||||
2004–2012 | อาร์เซนอล | 194 | (96) | ||||||||||||||||
2012–2015 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 86 | (48) | ||||||||||||||||
2015–2018 | เฟแนร์บาห์เช | 57 | (25) | ||||||||||||||||
2018–2019 | ไฟเยอโนร์ด | 37 | (21) | ||||||||||||||||
ทีมชาติ‡ | |||||||||||||||||||
2000 | เนเธอร์แลนด์ อายุไม่เกิน 17 ปี | 6 | (0) | ||||||||||||||||
2001 | เนเธอร์แลนด์ อายุไม่เกิน 19 ปี | 6 | (0) | ||||||||||||||||
2002–2005 | เนเธอร์แลนด์ อายุไม่เกิน 21 ปี | 12 | (1) | ||||||||||||||||
2005–2017 | เนเธอร์แลนด์ | 102 | (50) | ||||||||||||||||
เกียรติประวัติ
| |||||||||||||||||||
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 00:00, 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 (UTC) ‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 11:49, 19 มกราคม ค.ศ. 2018 (UTC) |
ฟัน แปร์ซีเป็นบุตรของคู่สามีภรรยาศิลปิน จึงได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักให้เป็นศิลปินตามรอยเท้าของผู้ให้กำเนิด แต่ฟัน แปร์ซีกลับเลือกที่จะเล่นฟุตบอลและได้เริ่มเล่นฟุตบอลกับเอส.เบ.เฟ. เอกแซ็ลซียอร์ (S.B.V. Excelsior) สโมสรดัตช์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งโดยเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรเมื่อปี ค.ศ. 2001 จากนั้นก็ได้เซ็นสัญญากับสโมสรฟุตบอลไฟเยอโนร์ด สโมสรดังประจำบ้านเกิดเมืองนอนของเขาเมื่อปี ค.ศ. 2002 ทำให้ฟัน แปร์ซีมีโอกาสได้สัมผัสด้วยแชมป์ยูฟ่าคัพ 2002 อีกด้วย ฟัน แปร์ซีเริ่มมีชื่อเสียงเนื่องจากเป็นนักเตะอายุน้อยที่มีพรสวรรค์ แต่กลับมีปัญหาเรื่องระเบียบวินัยกับไฟเยอโนร์ดแห่งนี้ จนแบร์ต ฟัน มาร์ไวก์ ผู้จัดการทีมที่เริ่มทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของเขาต้องการให้เขาย้ายสโมสร จนในที่สุดก็เป็นอาร์เซนอล (ภายใต้การคุมทีมของอาร์แซน แวงแกร์) ที่ยังเล็งเห็นถึงความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวฟัน แปร์ซีอยู่ และได้ทำสัญญากับเขาเมื่อปี ค.ศ. 2004 ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์ นับจากนั้นมา ฟัน แปร์ซีก็ช่วยให้อาร์เซนอลคว้าแชมป์คอมมิวนิตีชิลด์และเอฟเอคัพตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่มาค้าแข้งอยู่ที่ลอนดอน จากนั้นก็ได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมประจำปีแห่งเมืองโรตเตอร์ดัมเมื่อปี ค.ศ. 2006 อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 4 ปีแรกที่อยู่กับอาร์เซนอลนั้น เขาก็ไม่ได้มีโอกาสได้ลงสนามมากเท่าที่ควรเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ แต่ยามใดที่พร้อมลงสนามก็มักจะได้รับโอกาสลงเป็นตัวจริงเสมอ
ฟัน แปร์ซีขึ้นชื่อเรื่องการมีเท้าซ้ายที่หนักหน่วงและเคยเป็นนักฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ โดยได้ลงเล่นประเดิมทีมชาติชุดใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 2005 และได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ยูโร 2008 และรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 รวมถึงอันดับสามฟุตบอลโลก 2014 ในฐานะกัปตันทีมอีกด้วย
ชีวิตวัยเด็ก
โรบิน ฟัน แปร์ซี เติบโตในย่านกราลิงเงินแห่งโรตเตอร์ดัมตะวันออก มารดาคือ โคเซ รัส เป็นจิตรกร ส่วนบิดาคือ บ็อบ เป็นประติมากร แปร์ซียังมีน้องสาวอีก 2 คนคือ ลีลี (Lily) และกีกี (Kiki) บิดาและมารดาสนับสนุนให้แปร์ซีเป็นศิลปินเช่นเดียวกับพวกเขา แต่สุดท้ายแปร์ซีกลับเลือกที่จะเล่นฟุตบอลแทน
เส้นทางอาชีพ
ไฟเยอโนร์ด
ฟัน แปร์ซี เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของเอส.เบ.เฟ. เอกแซ็ลซียอร์ เมื่อปี ค.ศ. 2001 แต่ก็ต้องย้ายออกไปเนื่องจากมีเรื่องไม่ลงรอยกันกับสตาฟโค้ช จนได้มาเซ็นสัญญากับไฟเยอโนร์ด และสามารถก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ได้เนื่องจากนักเตะรุ่นพี่ในทีมหลายคนได้รับบาดเจ็บ และได้ลงประเดิมสนามให้กับสโมสรด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปี และในฤดูกาลแรกนี้ เขาได้ลงสนามเป็นตัวจริงถึง 15 ครั้ง จนได้รับรางวัลนักฟุตบอลดัตช์ดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2001-02 หลังจากจบฤดูกาลอีกด้วย
จากนั้น ฟัน แปร์ซีก็เซ็นสัญญาอาชีพกับไฟเยอโนร์ดเป็นระยะเวลา 3 ปีครึ่งตั้งแต่ต้นฤดูกาลใหม่ และยังเป็นผู้ยิงได้ 5 ประตูในเกมที่เอาชนะ AGOVV มา 6-1 ในอัมสเทลคัพเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003. แต่เนื่องจากความบาดหมางกับแบร์ต ฟัน มาร์ไวก์ ผู้จัดการทีมทำให้แปร์ซีต้องหล่นไปเล่นในทีมสำรองแทน จนฟัน มาร์ไวก์ได้บอกกับสื่อว่า "พฤติกรรมของเขานี้ทำให้เขาคงจะอยู่กับทีมไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นเขาจะต้องเล่นในทีมสำรองไปตลอด" และในเกมที่ไฟเยอโนร์ดทีมสำรองพบกับอายักซ์ทีมสำรองนั้น เขาเป็นหนึ่งในนักเตะไฟเยอโนร์ดหลายคนที่โดนแฟนบอลอันธพาลวิ่งเข้าสู่สนามเพื่อลงมาทำร้ายร่างกายอีกด้วย
ความบาดหมางระหว่างฟัน แปร์ซี กับฟัน มาร์ไวก์ ยังคงมีอยู่ต่อไป เนื่องจากฟัน มาร์ไวก์ สั่งเขากลับบ้านในวันก่อนเกมที่จะพบกับเรอัลมาดริดในยูฟ่าซูเปอร์คัพเมื่อปี ค.ศ. 2003 โดยมีรายงานว่าผู้ฝึกสอนคนนี้ไม่พอใจกิริยาของฟัน แปร์ซี ที่มีต่อเขาเมื่อได้รับคำสั่งให้อบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมลงแข่งเกมลีกเมื่อไม่นานมานี้ จากนั้น ฟัน แปร์ซีก็สามารถแทรกขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ได้เป็นครั้งแรก ลงสนามไปทั้งหมด 28 ครั้ง ยิงได้ 8 ประตู และยังพาทีมได้รองแชมป์บอลถ้วยของเนเธอร์แลนด์อีกด้วย
หลังจากจบฤดูกาลนั้น ไฟเยอโนร์ดก็ไม่สามารถต่อสัญญากับฟัน แปร์ซีได้ในช่วงปิดฤดูกาล จนกระทั่งความเป็นอริต่อกันของฟัน มาร์ไวก์ กับฟัน แปร์ซี ทำให้เขาต้องนั่งเป็นตัวสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่ในฤดูกาล 2003-04 นี้ ได้ลงเล่นเพียงแค่ 28 เกม แต่ก็ยังยิงได้น้อยกว่าฤดูกาลที่แล้ว 2 ประตู เมื่อจบฤดูกาล ไฟเยอโนร์ดจึงประกาศขายนักเตะคนนี้ออกไปทันทีเนื่องจากทนไม่ไหวกับระเบียบวินัยอันย่ำแย่ของนักเตะคนนี้แล้ว และก็กลายเป็นอาร์เซนอลที่เริ่มเปิดเจรจาซื้อตัวนักเตะรายนี้ในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคมเปิดทำการ โดยในช่วงนั้นอาร์เซนอลกำลังมองหาตัวแทนของแด็นนิส แบร์คกัมป์ อยู่พอดีด้วย แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่สามารถเจรจากันได้อย่างราบรื่นจนไม่ได้ข้อสรุปในที่สุด อย่างไรก็ตาม 5 เดือนต่อมาการซื้อขายนักเตะรายนี้ก็ประสบผลสำเร็จ โดยอาร์เซนอลคว้าตัวดาวยิงรายนี้ไปด้วยราคา 2.75 ล้านปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าที่ไฟเยอโนร์ดตั้งไว้คือ 5 ล้านปอนด์ถึงเกือบครึ่ง
อาร์เซนอล
2004–05
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 ฟัน แปร์ซีได้เซ็นสัญญาฉบับแรกกับอาร์เซนอล มีระยะเวลาของสัญญา 4 ปี อาร์แซน แวงแกร์ ผู้จัดการทีมตั้งใจว่าจะโยกแปร์ซีจากตำแหน่งปีกซ้ายมาเล่นศูนย์หน้า ซึ่งฟัน แปร์ซีก็ทำหน้าที่นี้เคียงข้างตีแยรี อ็องรี ได้เป็นอย่างดี แวงแกร์อธิบายการตัดสินใจครั้งนี้ว่า"เขาสามารถเล่นเป็นปีกซ้ายได้ และยังเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวหลังหรือกองหน้าตัวเป้าได้เนื่องจากเป็นนักเตะที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง" อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เขาจะได้เล่นศูนย์หน้าก็ถูกจำกัดลงเนื่องจากอาร์เซนอลได้เซ็นสัญญากับโคเซ อันโตนีโอ เรเยส กองหน้าทีมชาติสเปนมาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคม ซึ่งเขาต้องแย่งตำแหน่งตัวจริงกับเรเยสตลอดเวลา ฟัน แปร์ซีได้ประเดิมสนามครั้งแรกด้วยการถูกส่งลงมาจากม้านั่งสำรองในเกมคอมมิวนิตีชิลด์ที่ชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3-1 และคว้าแชมป์รายการนี้ไปครองเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2004 หลังจากนั้น ฟัน แปร์ซีก็นั่งบนม้านั่งสำรองเสียส่วนใหญ่ในฤดูกาล 2004-2005 และในวันที่ 27 ตุลาคมปีเดียวกันนี้ เขาก็ยิงประตูแรกในสีเสื้อของอาร์เซนอล โดยการยิงเบิกร่องในเกมลีกคัพที่พบกับแมนเชสเตอร์ซิตี และสามารถเอาชนะไปได้ 2-1
2005-06
เมื่อเริ่มต้นพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2005-2006 รูปแบบการเล่นของฟัน แปร์ซี ก็เริ่มดีขึ้น ทำให้เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดีเด่นประจำเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 ด้วยการยิงประตูไปถึง 8 ประตู ใน 8 เกม และเขาก็ได้ตอบแทนให้สโมสรด้วยการเซ็นสัญญาเป็นเวลา 5 ปี ไปจนถึงวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2011 และต่อมาสองวันจากการเซ็นสัญญาของฟัน แปร์ซี เขาได้รับอาการบาดเจ็บอีกครั้งในนัดแข่งเอฟเอคัพกับสโมสรฟุตบอลคาร์ดิฟฟ์ซิตี
2006-07
เมื่อพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2006-2007 เปิดตัวขึ้น ฟัน แปร์ซี ได้โชว์ฟอร์มอย่างดี โดยได้ซัดลูกวอลเลย์กลางอากาศในนัดที่เจอกับชาร์ลตันแอทเลติก ที่แวงแกร์เรียกว่า "ประตูของชีวิต" ภายหลัง บีบีซีสปอร์ตได้บันทึกลงเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายน และต่อมา ฟัน แปร์ซีได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมประจำปีแห่งเมืองโรตเตอร์ดัม
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2012-2013
โรบิน ฟัน แปร์ซี เป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา จึงได้ย้ายไปร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก
2014-2015
ในฤดูกาลนี้ ฟัน แปร์ซี มีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดกอรปกับอายุมากที่ขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพการเล่นถดถอยลง และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลจึงได้ย้ายไปเฟแนร์บาห์เช เช่นเดียวกับ นานี เพื่อนร่วมสโมสรที่ได้ย้ายไปก่อนหน้านั้น
เฟแนร์บาห์เช
โรบิน ฟัน แปร์ซี ได้ย้ายมาเฟแนร์บาห์เชด้วยค่าตัวประมาณ 4.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 235 ล้านบาท) และสัญญาเป็นระยะเวลา 3 ปี
นักฟุตบอลยอดเยี่ยม
ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ฟัน แปร์ซีสามารถเล่นได้อย่างโดดเด่นในฐานะกัปตันทีมและศูนย์หน้า สามารถยิงประตูได้มากที่สุดในลีก คือ 30 ประตู จนเป็นดาวซัลโว ทำให้ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษไปครอง
สถิติการยิงประตู
สโมสร
- ณ วันที่ 28 เมษายน 2013
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | ถ้วย | ฟุตบอลยุโรป | รวม | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ลงเล่น | ประตู | ส่ง | ลงเล่น | ประตู | ส่ง | ลงเล่น | ประตู | ส่ง | ลงเล่น | ประตู | ส่ง | |||
ไฟเยอโนร์ด | 2001–02 | 10 | 0 | 2 | 0 | 0 | 0 | 7 | 0 | 0 | 17 | 0 | 2 | |
2002–03 | 23 | 9 | 1 | 3 | 7 | 0 | 2 | 0 | 0 | 28 | 16 | 1 | ||
2003–04 | 28 | 6 | 6 | 2 | 0 | 0 | 3 | 0 | 0 | 33 | 6 | 6 | ||
รวม | 61 | 15 | 9 | 5 | 7 | 0 | 12 | 0 | 0 | 78 | 22 | 9 | ||
อาร์เซนอล | 2004–05 | 26 | 5 | 1 | 9 | 4 | 0 | 6 | 1 | 0 | 41 | 10 | 1 | |
2005–06 | 24 | 5 | 1 | 7 | 4 | 1 | 7 | 2 | 0 | 38 | 11 | 2 | ||
2006–07 | 22 | 11 | 7 | 1 | 0 | 0 | 8 | 2 | 1 | 31 | 13 | 8 | ||
2007–08 | 15 | 7 | 3 | 1 | 0 | 0 | 7 | 2 | 2 | 23 | 9 | 5 | ||
2008–09 | 28 | 11 | 11 | 6 | 4 | 1 | 10 | 5 | 3 | 44 | 20 | 15 | ||
2009–10 | 16 | 9 | 8 | 0 | 0 | 0 | 3 | 1 | 1 | 19 | 10 | 9 | ||
2010–11 | 25 | 18 | 7 | 5 | 2 | 0 | 3 | 2 | 0 | 33 | 22 | 7 | ||
2011–12 | 38 | 30 | 13 | 2 | 2 | 0 | 8 | 5 | 2 | 48 | 37 | 15 | ||
รวม | 194 | 96 | 51 | 31 | 16 | 2 | 52 | 20 | 9 | 277 | 132 | 62 | ||
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 2012–13 | 38 | 26 | 4 | 1 | 0 | 6 | 3 | 7 | – | 48 | 30 | ||
2013–14 | 21 | 12 | 0 | 0 | 0 | 0 | 6 | 4 | 1 | 2 | 28 | 18 | ||
2014–15 | 12 | 4 | 0 | 0 | 0 | 0 | – | – | 12 | 4 | ||||
Total | 71 | 42 | 4 | 1 | 0 | 0 | 12 | 7 | 1 | 2 | 88 | 52 | ||
Career total | 326 | 153 | 27 | 18 | 11 | 6 | 76 | 27 | 3 | 2 | 439 | 206 |
เกียรติประวัติ
สโมสร
- ไฟเยอโนร์ด
- ยูฟ่ายูโรปาลีก (1): 2001–02
- อาร์เซนอล
- เอฟเอคัพ (1): 2004–05
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ (1): 2004
- แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
- พรีเมียร์ลีก (1): 2012–13
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ (1): 2013
ทีมชาติ
- เนเธอร์แลนด์
- ฟุตบอลโลก 2010 รองชนะเลิศ อันดับ 1
- ฟุตบอลโลก 2014 รองชนะเลิศ อันดับ 2
รางวัลส่วนตัว
- KNVB Best Young Talent Award (1): 2000–01
- Dutch Football Talent of the Year (1): 2001–02
- Premier League Player of the Month (5): November 2005, October 2009, October 2011, December 2012, April 2013
- Rotterdam Sportsman of the Year (1): 2006
- BBC Goal of the Month (5): September 2006, December 2008, December 2011, August 2012, April 2013
- Arsenal Top Goalscorer (4): 2006–07, 2008–09, 2010–11, 2011–12
- Arsenal Player of the Year (2): 2008–09, 2011–12
- Arsenal Goal of the Season (2): February 2011 vs Barcelona, December 2011 vs Everton
- UEFA Euro 2008 Bronze Boot
- Premier League Golden Boot Landmark Award (3): 2011–12 (10 goals),[130] 2011–12 (20 goals),[131] 2011–12 (30 goals)
- Premier League Golden Boot (2): 2011–12, 2012–13
- PFA Players' Player of the Year (1): 2011–12
- PFA Fans' Player of the Year (1): 2011–12
- Premier League PFA Team of the Year (2): 2011–12, 2012–13
- FWA Footballer of the Year (1): 2011–12
- ESM Team of the Year (1): 2011–12
- Sir Matt Busby Player of the Year (1): 2012–13
- Manchester United Goal of the Season (1): April 2013 vs Aston Villa
อ้างอิง
- ↑ Hugman, Barry J., บ.ก. (2005). The PFA Premier & Football League Players' Records 1946–2005. Queen Anne Press. p. 627. ISBN 1-85291-665-6.
- "Robin Van Persie". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 15 August 2016.
- ปิดตำนานฟลายอิ้งดัตช์แมน! “อาร์วีพี” แขวนสตั๊ดที่ เฟเยนูร์ด ในวัย 35
- ↑ Young Gunner, timesonline.co.uk. Retrieved 19 September 2008.
- Robin Van Persie Bio, tv.com. Retrieved 16 November 2007.
- ↑ "Young man's game". Sunday Times.
- FEYENOORD DRINK FROM CUP OF CHEER - feyenoord.com, 2 June 2003. Retrieved on 11 September 2008.
- Take care with Persie - The Sun Sport, 29 April 2004. Retrieved on 9 September 2008.
- Feyenoord slap £5m price tag on Van Persie - The Telegraph, 20 January 2004. Retrieved on 11 September 2008.
- Arsenal win the race to capture £3m Van Persie, Independent Online Edition, 29 April 2004. Retrieved on 1 December 2007.
- Van Persie hits spot for Wenger - The Guardian, 3 December 2005. Retrieved on 9 November 2008.
- Robin van Persie - History, soccernet.espn.go.com, accessed 29 September 2007.
- CBBC Newsround, Arsenal sign Reyes for record fee, 27 January 2004. Retrieved on 30 November 2007.
- BBC Sport, Arsenal 3-1 Man Utd, 8 August 2004. Retrieved on 30 November 2007.
- "เสร็จผีแล้ว! 'อาร์วีพี' รับเป็นเกียรติ เซ็นร่วมทัพแมนฯยู". ไทยรัฐ. 17 August 2012. สืบค้นเมื่อ 13 July 2015.
- ↑ "แฟนแห่รับนับหมื่น! เพอร์ซี ถึงตุรกี จ่อเปิดตัวเฟเนร์ฯ". ผู้จัดการออนไลน์. 13 July 2015. สืบค้นเมื่อ 13 July 2015.
- ไม่พลิก "อาร์วีพี" ซิวแข้งยอดเยี่ยมผู้ดี จากผู้จัดการออนไลน์
- ซิวอีก “RVP” แข้งยอดเยี่ยม ส.นักข่าว จากผู้จัดการออนไลน์
ก่อนหน้า | โรบิน ฟัน แปร์ซี | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สก็อต พาร์กเกอร์ | นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (พ.ศ. 2554-2555) | แกเร็ธ เบล | ||
แกเร็ธ เบล | นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (พ.ศ. 2553-2554) | แกเร็ธ เบล |
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: โรบิน ฟัน แปร์ซี |
- โรบิน ฟัน แปร์ซี ที่ทวิตเตอร์