จักรพรรดินีมารีเยีย เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (ดักมาร์แห่งเดนมาร์ก)
จักรพรรดินีมารีเยีย เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (อังกฤษ: Empress Maria Feodorovna of Russia) พระอิสริยยศเมื่อแรกประสูติคือ เจ้าหญิงดักมาร์แห่งเดนมาร์ก (พระนามรูปเต็ม มารี โซฟี เฟรเดริคเค ดักมาร์; 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2390 - 13 ตุลาคม พ.ศ. 2471) เป็นพระจักรพรรดินีมเหสีแห่งรัสเซีย
มาเรีย เฟโดรอฟนา (แด็กมาร์แห่งเดนมาร์ก) | |||||
---|---|---|---|---|---|
จักรพรรดินีมเหสีแห่งปวงรัสเซีย | |||||
ครองราชย์ | 13 มีนาคม 1881 – 1 พฤศจิกายน 1894 | ||||
ราชาภิเษก | 27 พฤษภาคม 1883 | ||||
คู่อภิเษก | ใน จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย | ||||
พระราชบุตร รายละเอียด |
| ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์โรมานอฟ | ||||
พระราชบิดา | พระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก | ||||
พระราชมารดา | ลูอีเซอแห่งเฮ็สเซิน-คัสเซิล | ||||
ประสูติ | 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1847 พระราชวังสีเหลือง, โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก | ||||
สวรรคต | 13 ตุลาคม ค.ศ. 1928 (80 ปี) | ||||
ฝังพระศพ | มหาวิหารปีเตอร์และพอล |
เจ้าหญิงดักมาร์เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่สองในพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก และสมเด็จพระราชินีลูอีเซอแห่งเดนมาร์ก หลังอภิเษกสมรสกับจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย จึงทรงได้ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีมเหสี หรือ ซาริน่าแห่งรัสเซีย ด้วยพระนามใหม่หลังจากการเข้ารีตในศาสนจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซียว่า มารีเยีย เฟโอโดรอฟนา (อักษรซีริลลิก: Mapия Фёдopoвна) พระราชโอรสพระองค์โตของพระองค์คือ จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย องค์พระประมุขรัสเซีย พระองค์สุดท้ายที่พระจักรพรรดินีทรงดำรงพระชนม์ชีพยืนยาวกว่าเป็นเวลาสิบปี
ครอบครัว
เจ้าหญิงดักมาร์ ซึ่งมีพระนามเต็มว่า มารี โซฟี เฟรเดริคเค ดักมาร์ ทรงได้รับการขนานพระนามตามบรรพสตรีผู้หนึ่งมีพระนามว่า เจ้าหญิงมารี โซฟี เฟรเดริคเคแห่งเฮสส์-คาสเซิล (พ.ศ. 2310 - พ.ศ. 2395) พระราชชนนีพันปีหลวงแห่งเดนมาร์ก ต่อมาไม่นานพระชนกในเจ้าหญิงดักมาร์ทรงเป็นรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์เดนมาร์ก ทั้งนี้เป็นเพราะสิทธิในการสืบราชสมบัติของพระชายา ซึ่งเป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 เจ้าหญิงซึ่งประสูติในสายย่อยของรัฐเจ้าครองนครที่มีฐานะยากจน ทรงเข้ารับศีลจุ่มในลัทธิลูเธอรัน พระชนกของพระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเดนมาร์กเมื่อปี พ.ศ. 2406 หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 7 เนื่องมาจากความสัมพันธ์อันรุ่งโรจน์ของบรรดาพระราชโอรสและธิดากับพระราชวงศ์อื่นในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นการอภิเษกสมรสหรือการครองราชสมบัติ ทำให้พระองค์มีพระราชสมัญญาว่า "พระสัสสุระแห่งยุโรป" (Father-in-law of Europe)
ตลอดช่วงพระชนม์ชีพ เจ้าหญิงดักมาร์ทรงเป็นที่รู้จักว่า มารีเยีย เฟโอโดรอฟนา (ในภาษารัสเซีย Мария Фёдоровна) ซึ่งเป็นพระนามที่พระองค์ทรงใช้เมื่อเข้ารีตในศาสนจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซียก่อนการอภิเษกสมรสในปี พ.ศ. 2409 กับจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ซึ่งในขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย นอกจากนี้พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักในครอบครัวว่า "มินนี่" (Minnie)
เจ้าหญิงดักมาร์ หรือ มารีเยีย เฟโอโดรอฟนาเป็นพระขนิษฐาในเจ้าหญิงอเล็กซานดรา พระมเหสีในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 และพระราชชนนีของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ที่ช่วยอธิบายถึงความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 และสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็นพระขนิษฐาในพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งกรีซ และ สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 8 ซึ่งเป็นพระเชษฐาพระองค์ใหญ่ อีกทั้งยังเป็นพระภคินีในเจ้าหญิงไธรา ดัชเชสแห่งคัมเบอร์แลนด์อีกด้วย
เป็นคู่หมั้นสองหน สุดท้ายเป็นเจ้าสาว
การถือกำเนิดของอุดมคติเกี่ยวกับความชื่นชอบสิ่งซึ่งเป็นของสลาฟในจักรวรรดิรัสเซียทำให้จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 แห่งรัสเซียทรงเสาะหาเจ้าสาวให้กับแกรนด์ดยุกนิโคลาส อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย ในประเทศอื่นนอกเหนือไปจากรัฐเยอรมันต่าง ๆ ที่ได้ถวายพระชายาให้กับพระจักรพรรดิรัสเซีย อย่างเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาเป็นเวลานาน ในปี พ.ศ. 2407 แกรนด์ดยุกนิโคลาส หรือ ซึ่งรู้จักในหมู่พระประยูรญาติว่า "นิกซา" เสด็จเยือนประเทศเดนมาร์กและทรงหมั้นกับเจ้าหญิงดักมาร์ แต่พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยวัณโรค เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2408 ทั้งนี้ก่อนสิ้นพระชนม์ยังมีพระประสงค์ให้เจ้าหญิงทรงหมั้นกับแกรนด์ดยุกอเล็กซานเดอร์ ซึ่งต่อมาคือ จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 พระอนุชาแทน เจ้าหญิงดักมาร์ทรงเสียพระทัยมากเมื่อพระคู่หมั้นสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงพระทัยสลายมากเมื่อเสด็จกลับสู่มาตุภูมิ พระประยูรญาติต่างทรงรู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของเจ้าหญิง พระองค์ทรงรู้สึกเกี่ยวพันกับประเทศรัสเซียและนึกถึงประเทศที่ยิ่งใหญ่อยู่ไกลโพ้นที่จะเป็นบ้านใหม่ของพระองค์ การสูญเสียครั้งใหญ่นี้ทำให้ทรงใกล้ชิดกับพระชนกและชนนีของแกรนด์ดยุกนิกซา และทรงได้รับพระราชหัตถเลขาจากสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ซึ่งเนื้อความในนั้นเป็นคำปลอบใจจากพระจักรพรรดิ พระองค์ตรัสกับเจ้าหญิงด้วยความรักใคร่ว่าพระองค์ทรงหวังว่าเจ้าหญิงจะยังคงคิดว่าเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์รัสเซียอยู่ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2409 เมื่อแกรนด์ดยุกอเล็กซานเดอร์เสด็จเยือนประเทศเดนมาร์ก ทรงขออภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงดักมาร์ ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ในห้องของเจ้าหญิงเพื่อดูรูปต่าง ๆ ด้วยกัน
เจ้าหญิงดักมาร์เสด็จออกจากประเทศเดนมาร์กเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2409 ขณะนั้นท่ามกลางฝูงชนที่ยืนรายล้อมท่าเรือส่งเสด็จได้มีฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซ็นยืนเฝ้าส่งเสด็จอยู่ด้วย เขาได้เขียนลงในสมุดบันทึกว่า "เมื่อวานนี้ ที่ท่าเรือ ขณะเจ้าหญิงเสด็จผ่านหน้าข้าพเจ้า ก็ทรงหยุดยืนและจับมือของข้าพเจ้า นัยน์ตาสองข้างเต็มไปด้วยน้ำตา ช่างเป็นสาวน้อยที่น่าสงสารอะไรเช่นนี้ พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงเมตตาและเห็นใจเจ้าหญิงด้วย เขาร่ำลือว่ามีราชสำนักอันงามสง่าในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และครอบครัวของพระจักรพรรดินั้นดี แต่กระนั้นเจ้าหญิงยังคงต้องมุ่งหน้าไปยังประเทศที่ไม่ทรงคุ้นเคย ที่ซึ่งผู้คนแตกต่างและศาสนาก็แตกต่างเช่นกัน อีกทั้งจะไม่ทรงมีคนรู้จักอยู่ข้าง ๆ เลย"
เจ้าหญิงดักมาร์ทรงได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นที่เมืองครอนสตัดท์จากสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 และสมาชิกทุกพระองค์ในราชวงศ์รัสเซีย เจ้าหญิงทรงได้รับพระราชทานพระอิสริยยศเป็นแกรนด์ดัชเชสมารีเยีย เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย งานพิธีราชาภิเษกสมรสอันหรูหราเกิดขึ้นในวันที่ 9 พฤศจิกายน (28 ตุลาคม ตามปฏิทินแบบเก่า) พ.ศ. 2409 ณ โบสถ์หลวง พระราชวังฤดูหนาว กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หลังจากคืนวันอภิเษกสมรส แกรนด์ดยุกอเล็กซานเดอร์ทรงเขียนเล่าในสมุดบันทึกว่า "เราถอดรองเท้าและชุดคลุมประดับด้วยเงินออก และสัมผัสร่างกายที่รักของเราอยู่ด้านข้าง เรารู้สึกยังไงน่ะหรือ เราไม่ปรารถนาที่จะพรรณนาลงในนี้ หลังจากนั้นเราสองคนก็คุยกันอยู่เป็นเวลานาน" หลังจากงานเลี้ยงฉลองการอภิเษกสมรสทั้งหมดผ่านพ้นไป ทั้งสองพระองค์ก็ได้ย้ายไปยังพระราชวังอานิชคอฟ ในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเป็นที่ประทับอีกต่อมา 15 ปี เมื่อมิได้เสด็จประพาสฤดูร้อนยังพระราชวังลิวาเดีย อันเป็นตำหนักฤดร้อนอยู่ในเมืองไครเมีย
แกรนด์ดยุกอเล็กซานเดอร์และแกรนด์ดัชเชสมารีเยีย เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย มีพระโอรสหกพระองค์และพระธิดาสองพระองค์ ดังนี้
- จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย (18 พฤษภาคม พ.ศ. 2411 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2461)
- เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อพระบรมราชชนก เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2437 และทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2461
- ทรงอภิเษกสมรสกันในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2437 ณ โบสถ์หลวง พระราชวังฤดูหนาว กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก กับ เจ้าหญิงวิกตอเรีย อลิกซ์ เฮเลนา หลุยส์ เบียทริซแห่งเฮสส์และไรน์ (6 มิถุนายน พ.ศ. 2415 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2461) หลังจากการเข้ารีตในศาสนจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซีย ทรงเปลี่ยนพระนามเป็น แกรนด์ดัชเชสอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2437
- แกรนด์ดยุกอเล็กซานเดอร์ อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย (7 มิถุนายน พ.ศ. 2412 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2413)
- แกรนด์ดยุกจอร์จ อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย (6 พฤษภาคม พ.ศ. 2414 - 9 สิงหาคม พ.ศ. 2442)
- แกรนด์ดัชเชสซีเนีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย (6 เมษายน พ.ศ. 2418 - 20 เมษายน พ.ศ. 2503)
- ทรงอภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2437 ณ พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof) ใกล้กับกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก กับ แกรนด์ดยุกอเล็กซานเดอร์ มิคาอิโลวิชแห่งรัสเซีย (13 เมษายน พ.ศ. 2409 - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476)
- แกรนด์ดยุกไมเคิล อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย (22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2421 - 12 มิถุนายน พ.ศ. 2461)
- เสด็จขึ้นครองราชสมบัติหลังการสละราชสมบัติของพระเชษฐาธิราชเป็น สมเด็จพระจักรพรรดิไมเคิลที่ 2 แห่งรัสเซีย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2461 แต่ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2461
- ทรงอภิเษกสมรสกันเมื่อในวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2455 ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย กับ นาตาเลีย เซอร์เกเยฟนา เชเรเมทเยฟสกายา (9 กรกฎาคม พ.ศ. 2423 - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) ได้รับการสถาปนาเป็น เค้านท์เตสบราสโซวา เมื่อปี พ.ศ. 2471 และ เจ้าหญิงโรมานอฟสกายา-บราสโซวา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2478
- แกรนด์ดัชเชสโอลกา อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย (13 มิถุนายน พ.ศ. 2425 - 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503)
- ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2444 ณ เมืองกัตชินา แต่ทรงหย่าร้างเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2459 กับ ดยุกปีเตอร์ ฟรีดริช จอร์จ อเล็กซานโดรวิชแห่งโอลเด็นบูร์ก (21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 - 11 มีนาคม พ.ศ. 2467)
- ทรงอภิเษกสมรสครั้งที่สองเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 ณ เคียฟ ประเทศยูเครน กับ นิโคลาส อเล็กซานโดรวิช คูลิคอฟสกี (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2425 - 11 สิงหาคม พ.ศ. 2501)
เจ้าฟ้าหญิงพระชายา
แกรนด์ดัชเชสมารีเยีย เฟโอโดรอฟนามีพระสิริโฉมและเป็นที่ชื่นชอบ ในช่วงแรกพระองค์ทรงเริ่มเรียนรู้ภาษารัสเซียและทรงพยายามทำความเข้าใจกับชาวรัสเซีย พระองค์ไม่ค่อยทรงแทรกแซงการเมือง โดยมากโปรดที่จะให้เวลาและกำลังพระวรกายกับครอบครัว การกุศล และงานด้านสังคมสำหรับตำแหน่งของพระองค์ ทั้งนี้ยังมีข้อยกเว้นหนึ่งคือ ความไม่ชอบในด้านสงครามต่อประเทศเยอรมนี อันเนื่องมาจากการผนวกดินแดนของเดนมาร์กเข้าไปในจักรวรรดิเยอรมันที่สถาปนาขึ้นมาใหม่
จักรพรรดินีแห่งรัสเซีย
ในตอนเช้าของวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2424 จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 ขณะมีพระชนมพรรษา 62 พรรษา ทรงถูกปลงพระชนม์ในขณะเสด็จกลับมายังพระราชวังฤดูหนาวจากการตรวจแถวทหาร ต่อมาแกรนด์ดัชเชสมาเรียได้ทรงบรรยายลงในสมุดบันทึกถึงความบาดเจ็บที่พระจักรพรรดิทรงได้รับเมื่อถูกนำกลับมายังพระราชวัง "พระเพลาทั้งสองข้างของพระองค์ถูกระเบิดอย่างรุนแรง และเปิดขึ้นมาถึงพระชานุ พระโลหิตไหลออกมามากมาย ประมาณครึ่งหนึ่งของฉลองพระบาทบู๊ตข้างขวา เหลืองแต่พระบาทขวาเพียงข้างเดียว" สมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 เสด็จสวรรคตในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา แม้ว่าประชาชนจะไม่รักใครในพระจักรพรรดิองค์ใหม่ แต่ก็ชื่นชอบในสตรีหมายเลขหนึ่งองค์ใหม่อย่างมาก ดังที่บุคคลร่วมสมัยเดียวกับพระองค์กล่าวว่า "เป็นพระจักรพรรดินี อย่างแท้จริง" พระองค์เองทรงไม่พอพระทัยกับพระราชสถานะใหม่เท่าใดนัก ในสมุดบันทึกส่วนพระองค์ทรงเขียนว่า "ช่วงเวลาที่สุขและสงบที่สุดของเราหมดสิ้นลงแล้ว สันติสุขและความเงียบสงบมลายหายไปแล้ว ตอนนี้เราคงจะห่วงแต่เพียงซาชา (ซาชา คือพระนามลำลองที่ทรงเรียกสมเด็จพระราชสวามี จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3) เท่านั้น"
จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 และจักรพรรดินีมารีเยียทรงเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2426 ณ พระราชวังเครมลิน ที่กรุงมอสโก เพียงก่อนงานพิธีบรมราชาภิเษก การสบคบคิดวางแผนร้ายครั้งใหญ่ก็ถูกเปิดโปง ซึ่งทำให้การเฉลิมฉลองเงียบเหงาหดหู่ แต่ก็ยังมีแขกเหรื่อจำนวนกว่าแปดพันคนมาร่วมพระราชพิธีอันงามเลิศนี้ เนื่องมาจากภัยอันตรายต่อสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 และสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรีย ภายหลังงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นายพลเชเรวิน ซึ่งเป็นหัวหน้าตำรวจรักษาความปลอดภัย ก็เร่งเร้าให้สมเด็จพระจักรพรรดิและครอบครัวเสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังกัตชินา ซึ่งเป็นที่ประทับอันปลอดภัยมากกว่า โดยตั้งอยู่ 50 กิโลเมตรนอกกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก พระราชวังหลังใหญ่นี้มีห้องหับราวเก้าร้อยห้องและสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดินีนาถเยกาเจรีนาที่ 2 พระราชวงศ์โรมานอฟได้ให้ความสนใจกับคำแนะนำดังกล่าวนี้ สมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 และสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรียประทับอยู่ที่พระราชวังกัตชินาเป็นเวลาสิบสามปีและทรงเลี้ยงดูพระโอรสพระธิดาจนเจริญพระชนม์ในพระราชวังแห่งนี้ด้วย
ด้วยการคุ้มกันอย่างแน่นหนา จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 และจักรพรรดินีมารีเยียเสด็จจากพระราชวังกัตชินาเป็นครั้งคราวเพื่อไปยังเมืองหลวงในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางพิธีการต่าง ๆ จักรพรรดินีทรงโปรดงานเลี้ยงเต้นรำและการพบปะสังสรรค์ในพระราชวังฤดูหนาวมาก แต่กระนั้นก็ยังสามารถจัดขึ้นในพระราชวังกัตชินา จักรพรรดิอะเลคซันดร์ทรงเคยร่วมสนุกกับนักดนตรี แม้ว่าภายหลังจะทรงส่งกลับทีละคน เมื่อสิ่งนี้ได้เกิดขึ้น จักรพรรดินีมารีเยียทรงทราบดีว่างานเลี้ยงได้สิ้นสุดลงแล้ว
ในรัชสมัยของจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 กลุ่มต่อต้านระบอบกษัตริย์เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้พยายามวางแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระจักรพรรดิในงานครบรอบหกปีการเสด็จสวรรคตของพระชนกนาถ จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 ที่จัดขึ้น ณ ป้อมปีเตอร์และปอล มหาวิหารสุสานหลวงแห่งราชวงศ์โรมานอฟในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เหล่านักวางแผนก่อการร้ายได้ยัดระเบิดลงไว้ในไส้ข้างในของหนังสือเรียนที่พวกเขาตั้งใจจะขว้างใส่สมเด็จพระจักรพรรดิขณะเสด็จกลับจากมหาวิหาร อย่างไรก็ตาม ตำรวจลับรัสเซียได้เปิดโปงแผนการร้ายก่อนที่ถูกทำให้สำเร็จลุล่วง นักศึกษาจำนวนห้าคนถูกจับแขวนคอ รวมทั้งอเล็กซานเดอร์ อุลยานอฟ เขามีน้องชายที่มีพรสววรค์คนหนึ่ง ซึ่งมีความคิดทางการเมืองในเชิงปฏิบัติดังเช่นพี่ชาย เด็กชายคนนั้นคือ วลาดิมีร์ เลนิน ซึ่งอีกหลายปีต่อมาได้ใช้เวลาส่วนมากกับขบวนการปฏิวัติใต้ดินอยู่ในทวีปยุโรปในการหล่อหลอมแนวคิดและทฤษฎีทางการเมืองที่เขาจะนำมาใช้ในประเทศรัสเซียหลังจากการกลับมาในปี พ.ศ. 2460 เพื่อล้างแค้นใก้กับการตายของพี่ชาย
เมื่อเจ้าฟ้าหญิงอเล็กซานดรา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ มกุฎราชกุมารีแห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นพระเชษฐภคินีเสด็จพระราชดำเนินเยือนพระราชวังกัตชินาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2437 พระองค์ทรงแปลกพระทัยที่ได้เห็นว่าพระพลานามัยของจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 พระกนิษฐภรรดาอ่อนแอลงมาก โดยทรงดูเหมือนเหี่ยวแห้งลง ความสดชื่นบนพระปรางและความสดใสร่าเริงได้จางหายไป ในตอนนั้นจักรพรรดินีทรงทราบนานแล้วว่าจักรพรรดิทรงพระประชวรและจะมีพระชนม์ชีพอยู่ได้อีกไม่นาน จึงได้ทรงหันความสนใจมาที่มกุฎราชกุมารนิโคลาส พระราชโอรสองค์ใหญ่ ทั้งในเรื่องส่วนตัวและอนาคตของพระราชวงศ์ซึ่งตอนนี้ขึ้นอยู่กับพระองค์ มกุฎราชกุมารนิโคลาสทรงหมายมั่นมานานที่จะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์ ทั้งจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 และจักรพรรดินีมารีเยียไม่ทรงเห็นด้วยกับการอภิเษกสมรสนี้ มกุฎราชกุมารนิโคลาสจึงทรงสรุปสถานการณ์ไว้ดังนี้ "เราอยากเดินไปสู่จุดหมายหนึ่ง แต่มันก็เห็นชัดว่าแม่อยากจะให้เราเดินไปอีกทาง ความฝันของเราคือวันหนึ่งจะแต่งงานกับอลิกซ์" ทั้งจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 และจักรพรรดินีมารีเยียทรงมองว่าเจ้าหญิงอลิกซ์ทรงขี้อายและแปลกประหลาดในบางครั้ง ทั้งสองพระองค์ยังทรงกังวลว่าเจ้าหญิงวัยดรุณีพระองค์นี้ขาดคุณสมบัติคู่ควรในการเป็นจักรพรรดินีแห่งรัสเซียอีกด้วย พระชนกนาถและพระราชชนนีของมกุฎราชกุมารนิโคลาสทรงรู้จักกับเจ้าหญิงอลิกซ์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์และทรงมีความรูสึกว่าเจ้าหญิงทรงมีอารมณ์รุนแรงผิดปกติและไม่เต็มบาท ทั้งสองพระองค์ทรงยอมให้มกุฎราชกุมารอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอลิกซ์อย่างลังเลพระทัย
พระจักรพรรดินีพันปีหลวง
จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2437 ณ พระราชวังลิวาเดีย ที่ประทับตากอากาศบนแหลมไครเมีย ขณะมีพระชนมพรรษาได้ 49 พรรษา สมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรียทรงเขียนลงในสมุดบันทึกส่วนพระองค์ว่า "เราเสียใจและท้อใจอย่างที่สุด แต่เมื่อเราเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขและความสงบบนใบหน้าของเขาตามมานั้น มันก็ทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น" ในระยะเวลาที่ไม่สามารถปลอบโยนได้ของสมเด็จจักรพรรดินีมาเรีย เจ้าหญิงอเล็กซานดรา พระเชษฐภคินีและเจ้าชายแห่งเวลส์ (ต่อมาคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7) พระเชษฐภรรดา (พี่เขย) ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังประเทศรัสเซียในอีกไม่กี่วันต่อมา เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงวางกำหนดการพระราชพิธีพระบรมศพของจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 และพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสสำหรับจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 องค์พระประมุขแห่งรัสเซียพระองค์ใหม่กับเจ้าหญิงอลิกซ์
เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซูปอฟ พระนัดดาเขยในจักรพรรดินีมารีเยีย ทรงบันทึกว่า พระองค์ทรงมีอิทธิพลอย่างมากในพระราชวงศ์ เซอร์เกย์ วิตต์ก็ได้ชื่นชมถึงไหวพริบปฏิภาณและทักษะทางการทูตของพระองค์ แต่กระนั้นพระองค์ทรงเข้ากับสมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย พระสุณิสาได้ไม่ดีนัก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะทำให้ต้องทรงรับผิดชอบกับความเศร้าโศกที่ประดังเข้ามาในครอบครัวของจักรพรรดินิโคลัส พระราชโอรสของพระองค์
ทันที่การเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 ผ่านพ้นไป จักรพรรดินีมารีเยีย ซึ่งบัดนี้ทรงกลายเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงแห่งรัสเซียทรงมีมุมมองอนาคตที่สดใสมากกว่าเดิม ดังที่ตรัสว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างจะราบรื่นดี" พระองค์ประทับอยู่ในประเทศรัสเซียมาเป็นเวลายี่สิบแปดปีแล้ว โดยช่วงสิบสามปีทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีเอกอัครมเหสี และในอีกสามสิบสี่ปีความเป็นม่ายยังคงรอพระองค์อยู่ ส่วนในสิบปีสุดท้ายเป็นการลี้ภัยอยู่นอกประเทศในมาตุภูมิ ในตอนสิ้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2437 จักรพรรดินีมารีเยียทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังอานิชคอฟ ในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก จนกระทั่งการปฏิวัติเริ่มขึ้น พระองค์ทรงดำรงพระชนม์และปลอบพระทัยพระองค์เองได้อย่างเสรี และเมื่อเวลาผ่านเลยไปความกลัวได้ลดน้อยถอยลง ในฐานะที่ทรงเป็นจักรพรรดินีและพระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระองค์ไม่ได้ทรงตกเป็นเป้าหมายทางการเมืองสำหรับพวกมือสังหารในลัทธิสังคมนิยมและอนาธิปไตยอีกต่อไป
การปฏิวัติและลี้ภัย
การปฏิวัติเข้ามาที่ประเทศรัสเซียในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2460 หลังจากทรงพบกับสมเด็จพระจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 พระราชโอรสซึ่งทรงถูกโค่นล้มลงมาจากราชบัลลังก์ในเมืองโมกิเลฟ สมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรียประทับ ณ เมืองเคียฟอยู่ระยะหนึ่ง เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจในสภากาชาดต่อไป เมื่อมันเป็นอันตรายต่อการประทับอยู่ต่อ พระองค์จึงเสด็จจากเมืองไปยังเมืองไครเมียพร้อมกับสมาชิกราชวงศ์โรมานอฟที่ลี้ภัยพระองค์อื่น เมื่อประทับอยู่ที่ทะเลดำ พระองค์ก็ทรงได้รับรายงานว่าพระราชโอรส พระราชสุณิสาและพระราชนัดดาทรงถูกปลงพระชนม์ อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงปฏิเสธว่ารายงานนั้นเป็นเพียงข่าวลือ ในวันหนึ่งหลังจากการปลงพระชนม์ครอบครัวของจักรพรรดิ จักรพรรดินีมารีเยียทรงได้รับข้อความฉบับหนึ่งจากนิคกี้ที่เป็น "ชายที่น่าประทับใจคนหนึ่ง" ซึ่งเล่าถึงชีวิตอันยากลำบากของครอบครัวพระราชโอรสในเมืองเยคาเทรินเบิร์ก "และไม่มีใครช่วยหรือปลดปล่อยพวกนั้นได้เลย มีแต่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์โปรดช่วยเหลือนิคกี้ผู้น่าสงสารและโชคร้าย ช่วยเขาในเวลายากลำบากมากด้วย" ในสมุดบันทึกส่วนพระองค์นั้น ยังทรงปลอบใจพระองค์เองว่า "เราแน่ใจว่าพวกนั้นได้ออกจากรัสเซียมาแล้วและตอนนี้พวกบอลเชวิคกำลังพยายามปิดบังความจริงเอาไว้" พระองค์ทรงยึดถือความเชื่อมั่นนี้อย่างเหนียวแน่นจนถึงวันสวรรคต ความจริงมันเจ็บปวดมากเกินกว่าพระองค์จะแบกรับไว้ได้ พระราชหัตถเลขาถึงพระราชโอรสและพระราชวงศ์ได้หายสาบสูญไปนับแต่นั้น แต่ในฉบับหนึ่งที่พบ พระองค์ทรงเขียนว่า "ลูกรู้ว่าความคิดและคำภาวนาของแม่ไม่เคยหายไปจากลูกเลย แม่คิดถึงลูกทั้งวันและคืนและบางครั้งรู้สึกเจ็บปวดที่ใจมากจนแม่แทบจะทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่พระเจ้ามีพระเมตตา พระองค์จะประทานความเข้มแข็งให้เราผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้"
ถึงแม้ว่าจะมีการล้มล้างระบอบราชาธิปไตยไปในปี พ.ศ. 2460 แล้วก็ตาม ในตอนแรกสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรียทรงปฏิเสธที่จะเสด็จออกจากประเทศรัสเซีย พอในปี พ.ศ. 2462 ด้วยการเร่งเร้าของสมเด็จพระบรมราชชนนีอเล็กซานดราแห่งอังกฤษ จึงจำต้องเสด็จออกจากประเทศรัสเซียอย่างไม่เต็มพระทัย โดยการหลบหนีไปทางแหลมไครเมีย ประทับเรือหลวงของอังกฤษที่พระเจ้าจอร์จที่ 5 ผู้เป็นพระราชนัดดา (เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระนางเจ้าอเล็กซานดราฯ พระพี่นาง) ออกจากทะเลดำ ไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และไปถึงกรุงลอนดอน ในที่สุด พระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงส่งเรือรบหลวง HMS Marlborough เพื่อจะช่วยชีวิตสมเด็จพระมาตุจฉา (น้า น้องสาวแม่) หลังจากการประทับในฐานทัพเรืออังกฤษที่เกาะมอลตาและต่อมาในกรุงลอนดอนระยะหนึ่งแล้ว จึงเสด็จกลับประเทศเดนมาร์ก โดยทรงเลือกประทับอยู่ในตำหนักฮวิดอร์ ใกล้กับกรุงโคเปนเฮเกน เป็นที่ประทับถาวรแห่งใหม่ แม้ว่าสมเด็จพระบรมราชชนนีอเล็กซานดราไม่ทรงเคยปฏิบัติพระองค์ไม่ดีกับพระกนิษฐาและทรงใช้เวลาในวันหยุดด้วยกันในตำหนักเล็กหลังหนึ่งในอังกฤษ จักรพรรดินีมารีเยียกลับทรงรู้สึกว่าตอนนี้ทรงเป็น "รอง"
ในระหว่างการลี้ภัยอยู่ในกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ก็ยังมีผู้อพยพชาวรัสเซียจำนวนมากมาย สำหรับพวกเขาสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรียยังคงทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินี พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงศักดิ์สูงสุดเหนือพระราชวงศ์รัสเซียทั้งมวล ผู้คนแสดงความเคารพและเห็นคุณค่าของพระองค์อย่างมาก รวมทั้งยังให้ความช่วยเหลือพระองค์อยู่บ่อยครั้ง สมัชชาสนับสนุนประมุขแห่งชาวรัสเซียทั้งมวลซึ่งได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2464 ได้เสนอให้พระองค์เป็นผู้รักษาการณ์ชั่วคราวของราชบัลลังก์รัสเซีย แต่พระองค์ทรงปฏิเสธข้อเสนอนั้น พระองค์ไม่โปรดที่จะแทรกแซงเกมทางการเมืองและทรงให้คำตอบที่หลบเลี่ยงว่า "ไม่มีใครเห็นนิคกี้ถูกปลงพระชนม์" และดังนั้นจึงยังมีโอกาสเหลืออยู่ พระองค์ทรงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่นิโคไล โซโคลอฟ ซึ่งเป็นนักลงทุนที่ศึกษาเหตุการณ์เกี่ยวกับการปลงพระชนม์ครอบครัวของสมเด็จพระจักรพรรดิ ทั้งพระองค์และนิโคไลไม่เคยพบกันเลย โดยในตอนสุดท้ายแกรนด์ดัชเชสโอลกาทรงส่งโทรเลขมายังกรุงปารีส เพื่อยกเลิกนัดหมายในการเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดินี มันคงเป็นการยากมากสำหรับสตรีชราและเจ็บป่วยที่จะได้ยินเรื่องราวอันเลวร้ายของลูกชายและครอบครัว
การสวรรคตและการฝังพระศพ
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2468 สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระบรมราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นพระเชษฐภคินีที่ทรงสนิทสนมมากที่สุดเสด็จสู่สวรรคาลัย สิ่งนี้นับเป็นการสูญเสียครั้งสุดท้ายเกินกว่าจักรพรรดินีมารีเยีย ผู้ทรงพระชราจะทรงทนรับได้ แกรนด์ดยุกอเล็กซานเดอร์ มิคาอิโลวิชแห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นพระชามาดา (ลูกเขย) ได้เขียนเกี่ยวกับบั้นปลายพระชนม์ชีพของจักรพรรดินีไว้ว่า "พระองค์ทรงพร้อมที่จะพบกับพระผู้สร้างแล้ว" จักรพรรดินีมารีเยียเสด็จสู่สวรรคาลัยในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2471 ณ พระตำหนักที่เคยทรงประทับร่วมกับสมเด็จพระบรมราชชนนีอเล็กซานดราแห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นพระเชษฐภคินี ที่เมืองฮวิดอร์ ใกล้กับกรุงโคเปนเฮเกน สิริพระชนมายุ 81 พรรษา พระองค์เป็นจักรพรรดินีมเหสีในราชวงศ์โรมานอฟที่เสด็จสวรรคตเป็นคนสุดท้าย
หลังจากการทำพิธีทางศาสนาในโบสถ์ออร์โธด็อกซ์รัสเซียอเล็กซานเดอร์เนฟสกี พระบรมศพของจักรพรรดินีได้รับการบรรจุฝังอยู่ในวิหารหลวงรอสคิลด์ อันเป็นสุสานหลวงของพระราชวงศ์เดนนิช ตามพระชาติกำเนิดที่ทรงพระราชสมภพเป็นเจ้าหญิงเดนนิช ในปี พ.ศ. 2548 สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กและประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซียและรัฐบาลของทั้งสองประเทศได้เห็นพ้องต้องกันว่าจะอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระจักรพรรดินีคืนสู่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อให้สอดคล้องกับที่มีพระราชประสงค์จะได้รับการบรรจุฝังไว้เคียงข้างกับสมเด็จพระราชสวามี พิธีกรรมทางศาสนาจำนวนมาก เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 23 ถึงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ในพระราชพิธีพระบรมศพ ซึ่งบุคคลสำคัญระดับสูงมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเจ้าฟ้าชายมกุฎราชกุมารและเจ้าฟ้าหญิงมกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก เจ้าชายและเจ้าหญิงไมเคิลแห่งเคนต์ เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น โดยมีกลุ่มคนยืนรอบโลงพระศพแน่นขนัดมากเสียจนทำให้นักการทูตหนุ่มชาวเดนมาร์กคนหนึ่งตกลงไปในช่องที่เตรียมไว้สำหรับบรรจุฝังพระบรมศพก่อนจะมีการวางหีบพระบรมศพลงมา[1] ในวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2549 พระบรมรูปของจักรพรรดินีมารีเยียใกล้กับพระตำหนักเล็ก อันเป็นที่ประทับประจำของพระองค์ในพระราชวังปีเตอร์โฮฟได้เปิดสู่สาธารณชน หลังจากการทำพิธีทางศาสนาในมหาวิหารเซนต์ไอแซ็ก พระบรมศพได้รับการบรรจุอยู่เคียงข้าง จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 พระราชสวามี เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ณ ป้อมปีเตอร์และปอล อันเป็นสุสานหลวงที่ประดิษฐานพระบรมศพซาร์และซารินาแห่งรัสเซียทุกพระองค์ตั้งแต่ซาร์ปีเตอร์ที่ 1 มหาราชเป็นต้นมา รวมเป็นเวลา 140 ปีหลังจากการเสด็จมาประเทศรัสเซียเป็นครั้งแรกและเกือบ 78 ปีหลังจากการเสด็จสู่สวรรคาลัย
พระอิสริยยศ
- พ.ศ. 2390 - พ.ศ. 2396: เจ้าหญิงดักมาร์แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-ซอนเดอร์บูร์ก-กลึกซ์บูร์ก
(Her Serene Highness Princess Dagmar of Schleswig-Holstein-Sonderburg-Glücksburg) - พ.ศ. 2396 - พ.ศ. 2401: พระองค์เจ้าหญิงดักมาร์แห่งเดนมาร์ก (Her Highness Princess Dagmar of Denmark)
- พ.ศ. 2401 - พ.ศ. 2409: เจ้าหญิงดักมาร์แห่งเดนมาร์ก (Her Royal Highness Princess Dagmar of Denmark)
- พ.ศ. 2409 - พ.ศ. 2424: เจ้าหญิงมารีเยีย เฟโอโดรอฟนา มกุฎราชกุมารีแห่งรัสเซีย
(Her Imperial Highness Grand Duchess Maria Feodorovna, Tsarevna of Russia) - พ.ศ. 2424 - พ.ศ. 2437: สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งรัสเซีย (Her Imperial Majesty The Empress of Russia)
- พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2471: สมเด็จพระจักรพรรดินีมารีเยีย เฟโอโดรอฟนา พระบรมราชชนนีพันปีหลวงแห่งรัสเซีย
(Her Imperial Majesty The Dowager Empress Maria Feodorovna of Russia)
อ้างอิง
- Empress Marie Feodorovna's Favorite Residences in Russia and in Denmark, p.55
- A Royal Family, pp.171-172
- ibid p.173
- Paul Theroff (2007). ""Russia"". An Online Gotha. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2550. Check date values in:
|accessdate=
(help) - A Royal Family, p.175
- ibid p.176
- ibid p.179
- ibid p.184
- ibid p.184
- ibid p.185
- The Diaries of Empress Marie Feodorovna, p.239
- A Royal Family, p.197
- Empress Maria Fiodorovna, p.142
- Empress Maria Fiodorovna, p.142
บรรณานุกรม
- A Royal Family - The Story of Christian IX and his European descendants, by Anna Lerche and Marcus Mandal. ISBN 87-15-10957-7 - ในบทที่ชื่อ "ความรักและการปฏิวัติ - โชคชะตาของดักมาร์ในช่วงความยิ่งใหญ่และความเสื่อมของจักรวรรดิรัสเซีย" ข้อมูลที่ดีเลิศจากการเข้าถึงเอกสารลับของพระราชวงศ์และการสัมภาษณ์สมาชิกพระราชวงศ์ต่างๆ ของยุโรป
- Empress Maria Fiodorovna, by A.I. Barkovets and V.M.Tenikhina, Abris Publishers, St.Petersburg, 2006.
- Empress Maria Feodorovna's Favourite Residences in Russia and Denmark, by Galina Korneva and Tatiana Cheboksarova, Liki Rossi, St.Petersburg, 2006.
- Little Mother of Russia: A Biography of Empress Marie Fedorovna, by Coryne Hall. ISBN 978-0-8419-1421-6 - เป็นข้อมูลทางด้านอัตชีวประวัติมาตรฐานของสมเด็จพระจักรพรรดินีมารีเยีย เฟโอโดรอฟนา
- The Court of the Last Tsar, by Gregory King. ISBN 978-0-471-72763-7 - ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของสมเด็จพระจักรพรรดินีพันปีหลวงในราชสำนักของสมเด็จพระจักรพรรดินิโคลาสที่ 2 พระราชโอรส และความไม่ชอบและไม่ไว้วางใจในสมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานดรา
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: Maria Fyodorovna (Dagmar of Denmark) |
- Mother of Last Russian Tsar to Be Reburied - สำนักข่าวมอสโก
- /(เดนมาร์ก)/(อังกฤษ) Website of the Danish Cultural Society Dagmaria (รัสเซีย)
- Information about the reburial - กระทรวงการต่างประเทศของเดนมาร์ก
ก่อนหน้า | จักรพรรดินีมารีเยีย เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (ดักมาร์แห่งเดนมาร์ก) | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
เจ้าหญิงมารีแห่งเฮสส์และไรน์ (มาเรีย อเล็กซานดรอฟนา) | สมเด็จพระจักรพรรดินีมเหสีแห่งรัสเซีย ใน สมเด็จพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (14 มีนาคม พ.ศ. 2424 - 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2437) | เจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์ (อเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนา) |