สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด (อังกฤษ: Newcastle United Football Club; ตัวย่อ: NUFC) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของประเทศอังกฤษ ปัจจุบันเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ตั้งอยู่ที่เมืองนิวคาสเซิลอะพอนไทน์ มีชื่อเล่นของทีมว่า "แม็กพายส์" ("สาลิกาดง" หรือ "กางเขนเหล็ก" ในภาษาไทย) แฟนของทีมนิวคาสเซิลยูไนเต็ด จะมีชื่อเรียกว่า "ทูนอาร์มี" ซึ่งคำว่า "ทูน" นั้นเป็นภาษาแซกซัน คือคำว่า "ทาวน์" ที่แปลว่า "เมือง" และถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ในฟุตบอลอังกฤษในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัล มีสีประจำสโมสรคือสีขาว-ดำ และมีสนามเหย้าคือเซนต์เจมส์พาร์ก
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | เดอะแม็กพาย, เดอะทูน สาลิกาดง (ภาษาไทย) | |||
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1892 | |||
สนาม | เซนต์เจมส์พาร์ก | |||
ความจุ | 52,387 คน | |||
เจ้าของ | กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (80%) อาร์บีสปอตส์ & มีเดีย (10%) พีซีพีแคปิตอลพาร์ตเนอส์ (10%) | |||
ประธาน | ยาเซอร์ อัล-รูมายยาน | |||
ผู้จัดการ | แกรม โจนส์ (รักษาการ) | |||
ลีก | พรีเมียร์ลีก | |||
2020–21 | อันดับที่ 12 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
นิวคาสเซิลยูไนเต็ดได้เล่นในลีกสูงสุดถึง 89 ฤดูกาล นับตั้งแต่ก่อตั้งระบบลีกใน ค.ศ. 1893 เกียรติประวัติคือ ชนะเลิศลีกสูงสุด 4 สมัย, เอฟเอคัพ 6 สมัย และ เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 1 สมัย และในการแข่งขันระดับทวีป พวกเขาชนะเลิศ อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ และ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ รายการละ 1 สมัย สโมสรประสบควมสำเร็จสูงในช่วง ค.ศ. 1904–1910 โดยชนะเลิศฟุตบอลดิวิชั่นหนึ่ง 3 สมัย และเอฟเอคัพ 1 สมัย นิวคาสเซิลตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2009 และ 2016 แต่สามารถเลื่อนชั้นกลับมาได้ภายในฤดูกาลเดียวทั้งสองครั้งในฐานะผู้ชนะการแข่งขัน อีเอฟแอลแชมเปียนชิป
นิวคาสเซิลยูไนเต็ดมีคู่แข่งในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยกัน คือ ซันเดอร์แลนด์ และ มิดเดิลส์เบรอ โดยเฉพาะการแข่งขันกับซันเดอร์แลนด์ (Tyne–Wear derby) ถือเป็นหนึ่งในการพบกันของสองสโมสรที่ดุเดือดที่สุดในฟุตบอลอังกฤษ
ใน ค.ศ. 1999 สโมสรทำรายรับได้มากเป็นอันดับ 5 ของโลก และอันดับ 2 ในอังกฤษเป็นรองเพียงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทำรายรับได้มากเป็นอันดับ 17 ของโลกใน ค.ศ. 2015 (170 ล้านยูโร) นิวคาสเซิลยังเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในอังกฤษ ไมค์ แอชลีย์ เข้าซื้อกิจการและควบคุมสโมสรในช่วง ค.ศ. 2007–2021 ก่อนที่จะขายสโมสรให้กับ กลุ่มทุน PIF จากซาอุดิอาระเบีย โดยมี ยาเซอร์ อัล-รูมายยาน เป็นประธานสโมสรคนใหม่ ส่งผลให้พวกเขาเป็นหนึ่งในสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในปัจจุบัน
ประวัติ
คริสต์ศตวรรษ 1800
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1881 ทีมคริกเก็ตสแตนลีย์ได้ตัดสินใจตั้งทีมฟุตบอลขึ้น เพื่อลงเล่นในช่วงที่ฤดูกาลแข่งขันคริกเก็ตปิดตัวลงในฤดูหนาว พวกเขาชนะเกมแรกที่ลงแข่งขันด้วยสกอร์ 5–0 โดยมีคู่แข่งเป็นทีมเอลสวิกเลเธอร์เวิร์คส์ชุดสำรอง หนึ่งปีต่อมา ทีมก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์
ขณะเดียวกัน ทีมคริกเก็ตอีกทีมหนึ่งในย่านเดียวกันก็ได้เริ่มสนใจที่จะตั้งทีมฟุตบอล จนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ขึ้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยในช่วงแรกนั้น พวกเขาใช้สนามคริกเก็ตเดิมเป็นสนามเหย้า ก่อนที่จะย้ายไปลงเตะในเซนต์เจมส์พาร์ก หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งฟุตบอลลีกท้องถิ่นขึ้นใน ค.ศ. 1889 การที่มีลีกอาชีพในบริเวณใกล้เคียงให้ลงเตะ ประกอบกับความสนใจในถ้วยเอฟเอคัพ ทำให้นิวคาสเซิลอีสต์เอนด์เปลี่ยนจากทีมสมัครเล่นมาเป็นทีมอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง แต่ทว่าทางฝั่งนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์กลับล้มเหลวที่จะตามรอยทีมเพื่อนบ้านสู่สถานะทีมฟุตบอลอาชีพ จนกระทั่งในช่วงต้น ค.ศ. 1892 ผู้บริหารของนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ได้ตัดสินใจที่จะขอเข้าควบกิจการกับนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์ เพื่อมิให้ทีมต้องยุบตัวลง การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1892 ชื่อ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม
1900–1970
นิวคาสเซิลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ถึงสามสมัยในช่วงทศวรรษ 1900 และยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่เป็นแชมป์เพียงครั้งเดียวใน 1910 โดยเอาชนะบาร์นสลีย์ในการเตะนัดรีเพลย์ที่กูดิสันพาร์ก หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสมัยโดยเอาชนะแอสตันวิลลาในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ และได้แชมป์ลีกอีกหนึ่งสมัยใน ค.ศ. 1927
ในช่วงทศวรรษ 1950 นิวคาสเซิลเป็นแชมป์เอฟเอคัพถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะแบล็กพูล 2–0 ใน ค.ศ. 1951 ชนะอาร์เซนอล 1–0 ใน ค.ศ. 1952 และชนะแมนเชสเตอร์ซิตี 3–1 ใน ค.ศ. 1955 โดยในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังหลายคน เช่น แจคกี มิลเบิร์น, บ็อบบี มิทเชลล์ และ สแตน เซมัวร์
หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม โจ ฮาร์วีย์ ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี ค.ศ. 1965 แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก ทีมของฮาร์วีย์ทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกใน ค.ศ. 1968 ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วยอินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ (ยูฟ่ายูโรปาลีกในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ติงลิสบอนจากโปรตุเกส, ไฟเยอโนร์ดจากเนเธอร์แลนด์ และเรอัลซาราโกซาจากสเปน และปิดท้ายด้วยการคว่ำทีมอุจเพสท์จากฮังการีในรอบชิงชนะเลิศ
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่นกองหน้าชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น วิน เดวีส์, ไบรอัน ร็อบสัน, บ็อบบี มอนเคอร์ หรือแฟรงค์ คลาร์ก
1970–1990
หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลยุโรป ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่ จิมมี สมิธ, โทนี กรีน และเทอร์รี ฮิบบิทท์ ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง มัลคอล์ม แมคโดแนลด์ เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพกับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ซิตีใน ค.ศ. 1974 และ 1976 ตามลำดับ แต่ก็แพ้ไปทั้งสองครั้ง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 หลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีมอาร์เธอร์ ค็อกซ์จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมีเควิน คีแกน อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นแกนหลัก กระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งตกชั้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1989
1990–2000
ใน ค.ศ. 1992 เควิน คีแกน ได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้นเข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 แม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดยเซอร์ จอห์น ฮอลล์ไปไม่นาน และในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลรอดพ้นการตกชั้น โดยเอาชนะปอร์ทสมัธและเลสเตอร์ซิตีในสองเกมสุดท้าย
ในฤดูกาลถัดมา ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะเหนือกริมสบี ทาวน์ 2–0 พวกเขาจบฤดูกาล 1993–94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชนอังกฤษว่าเป็น "The Entertainers"
ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู แอนดี โคล ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด บวกกับคีธ กิลเลสพี ปีกขวาดาวรุ่งชาวไอริช
ในปี 1995–96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดัง เช่น ดาวิด ชิโนลา และ เลส เฟอร์ดินานด์ มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วงคริสต์มาส พวกเขาทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนน และเกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับลิเวอร์พูลไป 3–4 ที่สนามแอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก
นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้าทีมชาติอังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15,000,000 ปอนด์ สำหรับฤดูกาล 1996–97 นี้ เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจากนิวคาสเซิลได้ถล่มเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ถึง 5–0 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1996
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1997 คีแกนลาออกจากตำแหน่ง และถูกแทนที่โดยเคนนี ดัลกลิช ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997-98 ดัลกลิชพานิวคาสเซิลเข้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกแต่ก็ตกรอบแบ่งกลุ่ม และพ่ายต่ออาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพไป 0–2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของดัลกลิช เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม ทำให้ดัลกลิชถูกปลดในช่วงต้นฤดูกาล 1998-99
รืด คึลลิต เข้ามารับตำแหน่งต่อ และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้ง ก่อนจะพ่ายแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และคึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่นมาร์เซลิโน และซิลวิโอ มาริช นอกจากนี้ คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นหลายคนในทีม ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999–2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตลาออก
2000–2010
นิวคาสเซิลแต่งตั้งเซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเข้ามากู้สถานการณ์ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมแรกภายใต้ร็อบสันจบลงด้วยชัยชนะ 8–0 เหนือเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีมแอลัน เชียเรอร์ ในช่วงที่ร็อบสันคุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่างคีรอน ดายเออร์, เคร็ก เบลลามี่ และโลรองต์ โรแบร์ ทำให้นิวคาสเซิลกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้นิวคาสเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001–02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และได้เข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพ
ในฤดูกาล 2002–03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลนา และ อินเตอร์ มิลาน ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกนั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3
ต่อมาในฤดูกาล 2003–04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกหลังพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับพาร์ทิซาน เบลเกรด ต้องไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพแทน และจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 รวมทั้งเข้ารอบรองชนะเลิศยูฟ่าคัพ แต่หลังจากนั้นสโมสรได้ปลด เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน และได้แต่งตั้งแกรม ซูเนส ขึ้นเป็นผู้จัดการทีมแทน
ในฤดูกาล 2004–05 แกรม ซูเนส ได้เซ็นสัญญาไมเคิล โอเวน มาสู่ทีมโดยมีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของสโมสร อย่างไรก็ตาม เขาก็ถูกปลดหลังจากที่ทีมเริ่มฤดูกาล 2005–06 ได้อย่างย่ำแย่ เกล็น โรเดอร์ เข้ามาคุมทีมชั่วคราว และพาทีมจบฤดูกาลในอันดับ 7 รวมถึงผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ ได้สิทธ์ไปเล่นยูฟ่าคัพในฤดูกาลหน้า สโมสรจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม และแอลัน เชียเรอร์ก็ได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากจบฤดูกาล แต่ในฤดูกาล 2006–07 นิวคาสเซิลทำผลงานได้ไม่ดีนัก โดยแม้จะคว้าแชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพได้ แต่พวกเขาจบเพียงอันดับ 13 ในลีกและโรเดอร์ลาออก สโมสรแต่งตั้งแซม อัลลาร์ไดซ์ เป็นผู้จัดการทีม และเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อ เฟรดดี้ เชฟเฟริด ผู้บริหารสโมสรในขณะนั้นได้ตัดสินใจขายสโมสรให้แก่ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของธุรกิจขายอุปกรณ์กีฬา
ในฤดูกาล 2007–08 อัลลาร์ไดซ์ ได้เซ็นสัญญานักเตะมาสู่ทีมหลายคนเช่น เฌเรมี่, แอลัน สมิธ , ดาวิด โรเซนนาล, เคลาดิโอ คาซาปา, โจอี บาร์ตัน เป็นต้น แต่ทีมฟอร์มตกจนไปอยู่ท้ายตาราง รวมถึงในเกมในบ้านที่แพ้ลิเวอร์พูล 0–3 ไปแบบไม่มีลุ้นทำให้มีเสียงโห่จากแฟนบอลจำนวนมากในเซนต์เจมส์พาร์ก ก่อนที่อัลลาร์ไดซ์จะโดนปลดและแทนที่ด้วย เควิน คีแกน ที่กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง ทำให้สร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเตะและแฟนบอลจนผลงานดีขึ้นและจบฤดูกาลด้วยอันดับ 12
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2008–09 ได้เกิดความขัดแย้งระหว่าง เควิน คีแกน กับบอร์ดบริหารเรื่องการแทรกแทรงการซื้อขายนักเตะ และในเดือนกันยายน คีแกน ได้ลาออก สโมสรจึงได้เซ็นสัญญาให้ โจ คินเนียร์ มาเป็นผู้จัดการทีมแทน แต่แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 คินเนียร์ ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ ทำให้สโมสรต้องเรียกแอลัน เชียเรอร์ อดีตศูนย์หน้าของทีมเข้ามารับหน้าที่แทนเพื่อพาทีมหนีตกชั้นในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด แต่ไม่สามารถช่วยทีมกู้วิกฤติได้ โดยในนัดสุดท้ายนิวคาสเซิลบุกไปแพ้แอสตันวิลลา 0–1 ทำให้ทีมตกชั้นสู่ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิปด้วยอันดับ 18
หลังจากตกชั้น เชียเรอร์ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมีคริส ฮิวจ์ตัน ทำหน้าที่รักษาการแทน แต่ทีมต้องเสียนักเตะอย่าง ไมเคิล โอเวน, มาร์ค วิดูก้า, ดาวิด เอ็ดการ์, โอบาเฟมี มาร์ตินส์, เชย์ กิฟเวน, เซบาสเตียน บาสซง, เดเมียน ดัฟฟ์ และ ฮาบิบ เบย์ พร้อมทั้งมีข่าวว่า เควิน คีแกน ได้เรียกร้องเงินชดเชยที่ได้ระบุในสัญญาคุมทีม 3 ปี ก่อนจะลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากโดนแทรกแซงเรื่องการบริหาร ศาลตัดสินให้นิวคาสเซิ่ลจ่ายเงินชดเชยจำนวน 2,000,000 ปอนด์ โดยคีแกนไม่พอใจที่ถูก เดนนิส ไวส์ ผู้อำนวยการแทรกแซงเรื่องการซื้อขายนักเตะในการขายเจมส์ มิลเนอร์ กองกลางทีมชาติอังกฤษให้แอสตันวิลลา รวมถึงการซื้อชิสโก และอิกนาซิโอ กอนซาเลซ โดยไม่ผ่านการตัดสินใจของคีแกน และพยายามปล่อยโจอี บาร์ตัน กองกลางที่พึ่งพ้นโทษออกจากคุกออกจากทีมซึ่งคีแกนพยายามรั้งตัวไว้ ขณะเดียวกัน ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรได้ถูกกดดันจากแฟนบอลจึงประกาศขายทีมในราคา 100,000,000 ปอนด์ ทำให้ทีมเริ่มระส่ำระส่ายมากขึ้น แต่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล นิวคาสเซิ่ลก็เสริมทัพโดยการดึง แดนนี ซิมป์สัน จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในสัญญายืมตัว ยืมมาร์ลอน แฮร์วูด มาจากแอสตันวิลลา และคว้าตัว ปีเตอร์ โลเวนครานด์ กับ ฟาบริซ ป็องครัต มาแบบไร้ค่าตัว และไมค์ แอชลีย์ ประกาศยุติการขายสโมสรเนื่องจากไม่สามารถตกลงราคากับผู้ที่สนใจได้ พร้อมทั้งแต่งตั้ง คริส ฮิวจ์ตัน เป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ และในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ได้ และได้เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกทั้งที่ยังเหลือเกมแข่งขันอีก 5 นัด
2010–ปัจจุบัน
ในฤดูกาล 2010–11 นิวคาสเซิลเริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาชนะทีมที่มีชื่อทั้ง อาร์เซนอล, แอสตันวิลลา รวมถึง ซันเดอร์แลนด์ ทำให้ คริส ฮิวจ์ตัน เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแฟนบอล แต่ผลงานก็เริ่มตกลง และหลังจากพ่ายเวสต์บรอมวิชอัลเบียนซึ่งถูกเลื่อนชั้นมาพร้อมกัน 1-3 ฮิวจ์ตัน ก็ถูกปลด โดยมี แอลัน พาร์ดิว เข้ามารับตำแหน่งต่อ และในเดือนมกราคม สโมสรได้ปล่อย แอนดี แคร์โรล เด็กปั้นของสโมสรให้แก่ลิเวอร์พูล และทีมก็จบฤดูกาลด้วยอันดับ 12
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011–12 พาร์ดิวได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง เควิน โนลัน, โจอี บาร์ตัน, และ โคเซ เอนรีเก ซานเชซ ออกจากทีม และเซ็นสัญญานักเตะรายใหม่เข้ามา เช่น โยฮัน กาบาย, ดาวิเด ซานตอน, และ เดมบา บา ซึ่งทำให้เริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครต่อเนื่องถึง 11 เกม ก่อนจะแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ซิตี และยังสามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วงเดือนมกราคม สโมสรได้เซ็นสัญญานักเตะเพิ่มอีก 2 คน คือ ปาปิส ซิสเซ และ ฮาเทม เบนอาร์กฟา ทำให้ทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมรวมถึงการชนะ ลิเวอร์พูล และ เชลซี ทำให้พวกเขาจบในอันดับที่ 5 ได้สิทธิ์ไปแข่งยูฟ่ายูโรปาลีก และพาร์ดิว ยังได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมอีกด้วย แต่ทีมมีผลงานย่ำแย่ในฤดูกาลถัดมาโดยอันดับหล่นไปท้ายตารางเป็นส่วนมาก และจบด้วยอันดับ 16 ก่อนจะทำผลงานดีขึนในฤดูกาล 2013–14 ด้วยการจบอันดับ 10
ในฤดูกาล 2014–15 นิวคาสเซิลเริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ดีนักด้วยการไม่ชนะใครเลยใน 7 เกมแรก เป็นเหตุให้กองเชียร์ไม่พอใจและเรียกร้องให้ปลด พาร์ดิว แต่ก็ชนะรวดในอีก 6 เกมต่อมาพร้อมทะยานขึ้นอันดับที่ 5 แต่หลังจากหยุดสถิติของ เชลซี ที่ไม่แพ้ใครตั้งแต่เปิดฤดูกาลลงได้ พาร์ดิว ได้ขอแยกทางกับทีมเพื่อไปคุมทีม คริสตัล พาเลซ และจอน คาร์เวอร์ ผู้ช่วยของพาร์ดิวขึ้นมารักษาการต่อจนจบฤดูกาล ในช่วงท้ายฤดูกาลพวกเขาต้องหนีตกชั้นอีกครั้ง แต่สามารถชนะเวสแฮมได้ 2–0 ในเกมสุดท้าย ทำให้รอดตกชั้น
ในเดือนมิถุนายน 2015 สโมสรได้ปลด คาร์เวอร์ และแต่งตั้ง สตีฟ แมคคลาเลน เข้าคุมทีม และได้นักเตะเข้ามาเสริมทีมได้แก่ จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม, อเล็กซานดราร์ มิโตรวิช, เซียม เดอจอง แต่ทีมก็ทำผลงานได้ไม่ดีนัก และในเดือนมกราคม ได้ทุ่มเงินเสริมนักเตะเพิ่มคือ อันดรอส ทาวน์เซนด์ , อองรี ไซเวต์ , จอนโจ้ เชลวี่ย์ และ เซย์ดู ดุมเบีย แต่ผลงานก็ยังไม่ดีขึ้นโดยคว้าชัยชนะได้เพียงแค่ 6 เกมจาก 28 เกมในลีก ทำให้ตกอยู่ในอันดับที่ 19 ส่งผลให้แมคคลาเรนถูกปลด และแทนที่ด้วย ราฟาเอล เบนิเตช มาคุมทีมใน 10 นัดที่เหลือ แต่ไม่อาจช่วยให้สโมสรรอดพ้นจากการตกชั้นได้ ทำให้ต้องไปเล่นในแชมป์เปี้ยนชิพในฤดูกาลถัดไป และเป็นการตกชั้นครั้งที่สองในยุคของ ไมค์ แอชลีย์
ในฤดูกาล 2016–17 สโมสรคว้าแชมป์เดอะแชมป์เปี้ยนชิพได้ และกลับมาสู่เวทีพรีเมียลีกได้สำเร็จ ก่อนที่เบนิเตซจะอำลาทีมในฤดูกาล 2019 เนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหารในนโยบายการซื้อขายผู้เล่น สตีฟ บรูซ เข้ามาคุมทีมต่อ ซึ่งก็ยังทำผลงานได้ไม่ดีนักในสองฤดูกาลแรก โดยจบเพียงอันดับที่ 13 และ 12 ตามลำดับ
ในวันที่ 8 ตุลาคม 2021 สโมสรนิวคาสเซิล ถูกขายให้กับกลุ่มทุน PIF ซึ่งนำโดย อมันดา สเตฟเวอร์ลี่ และพี่น้องรูเบน ในราคา 305 ล้านปอนด์ ปิดฉากการเป็นเจ้าของทีม 14 ปี ของไมค์ แอชลีย์ ต่อมาในวันที่ 20 ตุลาคม สตีฟ บรูซ ได้ถูกปลดเนื่องจากทีมเริ่มต้นฤดูกาล 2021–22 ได้อย่างย่ำแย่ โดยไม่ชนะใครใน 8 เกมแรกในลีก
สนามแข่ง
ตลอดประวัติศาสตร์ของนิวคาสเซิลยูไนเต็ด สนามเหย้าของพวกเขาคือ St James' Park ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ เช่นเดียวกับเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่เป็นอันดับหกในสหราชอาณาจักร สนามนี้ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติ 10 นัด ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2444 และครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2548 ใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 และรักบี้เวิลด์คัพ 2015 เริ่มมีการใช้สนามในช่วงต้นปี 1880 ซึ่งเป็นสนามที่ Newcastle Rangers ครอบครอง ก่อนที่จะกลายเป็นบ้านของ Newcastle West End F.C. ในปี 1886 เมื่อพวกเขาซื้อสัญญาเช่าดังกล่าว ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็นนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 20 ความจุของพื้นสนามอยู่ที่ 30,000 คน ก่อนที่จะมีการพัฒนาใหม่ระหว่างปี 1900 และ 1905 โดยเพิ่มความจุเป็น 60,000 และทำให้กลายเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษในช่วงเวลาหนึ่ง เกือบตลอดศตวรรษที่ 20 สนามกีฬามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แม้จะมีแผนการพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ มากมายก็ตาม อัฒจันทร์ฝั่งตะวันตกแบบเก่าถูกแทนที่ด้วยมิลเบิร์นสแตนด์ในปี 1987 อัฒจันทร์เซอร์จอห์น ฮอลล์ สแตนด์แทนที่ลีซส์เอนด์ในปี 1993 และส่วนที่เหลือของพื้นสนามได้รับการปรับปรุงใหม่ ทำให้สนามมีความจุ 37,000 สนามกีฬาแบบที่นั่งทั้งหมด ระหว่างปี 1998 ถึง 2000 ได้มีการเพิ่มที่นั่งสองชั้นในมิลเบิร์น และอัฒจันทร์จอห์น ฮอลล์ เพื่อเพิ่มความจุของสถานที่ในปัจจุบันที่ 52,354 คน มีแผนจะสร้างสนามกีฬาใหม่ขนาด 90,000 ที่นั่งในสวนสาธารณะ Leazes ซึ่งอยู่ด้านหลัง St James'
ในเดือนตุลาคม 2009 ไมค์ แอชลีย์ อดีตเข้าของทีมประกาศว่าเขาวางแผนที่จะเปลี่ยนชื่อสนามเพื่อเพิ่มรายได้ และในเดือนพฤศจิกายน 2011 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อสนามกีฬาเป็น Sports Direct Arena อย่างเป็นทางการ ต่อมา เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2015 บริษัทสินเชื่อเงินด่วน Wonga.com ได้กลายเป็นผู้สนับสนุนหลักทางการค้าของนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และซื้อสิทธิ์การตั้งชื่อสนามกีฬาแต่ได้คืนชื่อสนามกลับมาเป็น เซนต์เจมส์ พาร์ค เนื่องจากกระแสเรียกร้องของแฟนบอล
การสนับสนุน
ผู้สนับสนุนของนิวคาสเซิลยูไนเต็ด มาจากทั่วทุกมุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและที่อื่น ๆ ในอังกฤษ โดยมีสโมสรผู้สนับสนุนในหลายประเทศทั่วโลก ชื่อเล่นของสโมสรคือ The Magpies ในขณะที่ผู้สนับสนุนสโมสรนั้นรู้จักกันในชื่อ Geordies หรือ Toon Army ชื่อตูนมาจากการออกเสียงเมืองจอร์ดี จากการสำรวจในปี 2004 โดย Co-operative Financial Services พบว่านิวคาสเซิลยูไนเต็ดอยู่อันดับต้น ๆ ของลีกสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและระยะทางที่แฟน ๆ ต้องใช้ในการเดินทางไปชมการแข่งขันทุกเกมพรีเมียร์ลีก ระยะทางทั้งหมดที่แฟนบอลไปร่วมชมเกมในฐานะทีมเยือนทุกเกม พบว่าเทียบเท่ากับการเดินทางรอบโลกเลยทีเดียว ในฤดูกาล 2009–2010 เมื่อสโมสรกำลังเล่นในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป การเข้าชมโดยเฉลี่ยที่สนามเซนต์เจมส์อยู่ที่ 43,388 ซึ่งเป็นอันดับที่สี่ของสโมสรอังกฤษในฤดูกาลนั้น ต่อมา เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก 2011–12 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด มีผู้เข้าชมเฉลี่ยสูงสุดเป็นอันดับสามของฤดูกาลที่ 49,935 ตัวเลขนี้แซงหน้าอาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สองสโมสรที่มีสนามกีฬาขนาดใหญ่อันดับต้น ๆ ในประเทศ
การช่วยเหลือสังคม
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ได้ก่อตั้งมูลนิธินิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ขึ้นในฤดูร้อนปี 2008 ซึ่งพยายามส่งเสริมการเรียนรู้และส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพในหมู่เด็กที่ด้อยโอกาส คนหนุ่มสาว และครอบครัวในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ ตลอดจนส่งเสริมความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศโดยมี เคท แบรดลีย์ ผู้จัดการมูลนิธิ ในปี 2010 องค์กรการกุศลได้สอนเด็กกว่า 5,000 คนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตด้วยการรักษาสุขภาพ
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 สโมสรได้ประกาศว่าพวกเขาเป็นทีมแรกของโลกที่บริหารทีมภายใต้หลักการ carbon-positive โดยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งระบบการจัดการในสนามแข่ง การใช้ชุดแข่งที่ผลิตด้วยวัสดุสิ่งแวดล้อม และการรณรงค์ด้านความสะอาดในสนามและบริเวณใกล้เคียง
สถิติสำคัญ
นับถึงฤดูกาล 2019–20 นิวคาสเซิลได้เล่นในลีกสูงสุดถึง 89 ฤดูกาล มากที่สุดสโมสรหนึ่งในอังกฤษ และพวกเขาอยู่ในอันดับ 8 ในการจัดอันดับคะแนนรวมตลอดกาลนับตั้งแต่ก่อตั้งลีกสูงสุด รวมทั้งประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ในอังกฤษ
ผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดให้กับทีมได้แก่ จิมมี ลอว์เรนซ์ (1904–22) จำนวน 496 นัด, ผู้ทำประตูมากที่สุดตลอดกาลได้แก่ แอลัน เชียเรอร์ (1996–2006) จำนวน 206 ประตู, ผู้ทำประตูมากที่สุดภายในหนึ่งฤดูกาลได้แก่ แอนดี โคล จำนวน 41 ประตู (ฤดูกาล 1993–94)
สถิติชนะมากที่สุดของสโมสร คือนัดชนะ สโมสรนิวพอร์ตเคาน์ตี ในฟุตบอลดิวิชั่นสองฤดูกาล 1946, สถิติแพ้มากที่สุดคือนัดแพ้สโมสรเบอร์ตัน 0–9 ในฟุตบอลดิวิชั่นสองฤดูกาล 1895, สถิติผู้ชมในสนามมากที่สุดได้แก่ นัดพบกับเชลซี (68,386 คน) ในการแข่งขันดิวิชั่นหนึ่งวันที่ 3 กันยายน 1930 และสถิติผู้เข้าชมสูงสุดในพรีเมียร์ลีกคือ 52,389 คน ในนัดกับแมนเชสเตอร์ซิตีเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2012 ซึ่งนิวคาสเซิลแพ้ไป 0–2, สถิติการขายผู้เล่นแพงที่สูงสุดคือการขายแอนดี แคร์โรล 35 ล้านปอนด์ ให้ลิเวอร์พูลในเดือนมกราคม 2011 และการซื้อผู้เล่นที่แพงที่สุดคือ โจลินตัน 40 ล้านปอนด์จากสโมสร ฮ็อฟเฟินไฮม์ ในเดือนกรกฎาคม 2019
ผู้เล่น
- ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2021
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำฤดูกาล
ฤดูกาล | ลีก | ดาวซัลโวประจำทีม | ส่งบอลทำประตู | ผู้เล่นแห่งปี | |||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชื่อ | สัญชาติ | ประตู (ลูกโทษ) | ชื่อ | สัญชาติ | จำนวน การส่ง | ชื่อ | สัญชาติ | ||
1993-1994 | Premier League | Andy Cole | England | 34(0) | Andy Cole | England | 13 | Andy Cole | England |
1994-1995 | Premier League | Peter Beardsley | England | 13(3) | Ruel Fox | Montserrat | 11 | Barry Venison | England |
1995-1996 | Premier League | Les Ferdinand | England | 25(0) | Peter Beardsley | England | 9 | Darren Peacock | England |
1996-1997 | Premier League | Alan Shearer | England | 25(3) | Les Ferdinand | England | 8 | Steve Watson | England |
1997-1998 | Premier League | John Barnes | England | 6(1) | Temur Ketsbaia, Steve Watson | Georgia, England | 3 | David Batty | England |
1998-1999 | Premier League | Alan Shearer | England | 14(6) | Nolberto Solano | Peru | 5 | Alan Shearer | England |
1999-2000 | Premier League | Alan Shearer | England | 23(5) | Nolberto Solano | Peru | 15 | Alan Shearer | England |
2000-2001 | Premier League | Carl Cort | Guyana | 6(0) | Nolberto Solano | Peru | 10 | Shay Given | Ireland |
2001-2002 | Premier League | Alan Shearer | England | 23(5) | Laurent Robert | France | 11 | Nolberto Solano | Peru |
2002-2003 | Premier League | Alan Shearer | England | 17(2) | Laurent Robert | France | 7 | Alan Shearer | England |
2003-2004 | Premier League | Alan Shearer | England | 22(7) | Laurent Robert | France | 6 | Olivier Bernard | France |
2004-2005 | Premier League | Craig Bellamy, Alan Shearer | Wales, England | 7(0), 7(3) | Laurent Robert | France | 5 | Shay Given | Ireland |
2005-2006 | Premier League | Alan Shearer | England | 10(4) | Charles N'Zogbia | France | 8 | Shay Given | Ireland |
2006-2007 | Premier League | Obafemi Martins | Nigeria | 11(1) | James Milner | England | 5 | Nicky Butt | England |
2007-2008 | Premier League | Michael Owen | England | 11(2) | Geremi | Cameroon | 7 | Habib Beye | Senegal |
2008-2009 | Premier League | Obafemi Martins, Michael Owen | Nigeria, | 8(0),8(1) | Jonás Gutiérrez, Danny Guthrie, Geremi | Argentina, England, Cameroon | 3 | Sebastian Bassong | Cameroon |
2009-2010 | Coca-Cola Championship | Andy Carroll, Kevin Nolan | England | 17(0), 17(0) | Danny Guthrie | England | 13 | José Enrique | Spain |
2010-2011 | Premier League | Kevin Nolan | England | 12(1) | Joey Barton | England | 9 | Fabricio Coloccini | Argentina |
2011-2012 | Premier League | Demba Ba | Senegal | 16(2) | Yohan Cabaye | France | 6 | Tim Krul | Netherlands |
2012-2013 | Premier League | Papiss Demba Cissé | Senegal | 8(0) | Sylvain Marveaux | France | 4 | Davide Santon | Italy |
2013-2014 | Premier League | Loïc Rémy | France | 14(0) | Moussa Sissoko | France | 6 | Mike Williamson | England |
2014-2015 | Premier League | Papiss Demba Cissé | Senegal | 11(1) | Jack Colback, Daryl Janmaat | England, Netherlands | 6 | Daryl Janmaat | Netherlands |
2015-2016 | Premier League | Georginio Wijnaldum | Netherlands | 11(1) | Moussa Sissoko | France | 7 | Rob Elliot | Ireland |
2016-2017 | EFL Championship + FA Cup + League Cup | Dwight Gayle | England | 23(0) | Jonjo Shelvey | England | 10 | Ciaran Clark | Ireland |
2017-2018 | Premier League + FA Cup + League Cup | Ayoze Pérez | Spain | 10 | Ayoze Pérez, Matt Ritchie | Spain, Scotland | 5 | Jamaal Lascelles | England |
2018-2019 | Premier League+FA Cup+League Cup | Ayoze Pérez | Spain | 13 | Matt Ritchie | Scotland | 9 | Salomón Rondón | Venezuela |
2019-2020 | Premier League+FA Cup+League Cup | Miguel Almirón | Paraguay | 8 | Allan Saint Maximin, Christian Atsu | France, Ghana | 5 | Martin Dúbravka | Slovakia |
ผู้จัดการทีม
ตั้งแต่ ค.ศ. 1992 - ปัจจุบัน
ชื่อ | สัญชาติ | เริ่ม | ถึง |
---|---|---|---|
เควิน คีแกน | 1992 | 1997 | |
เคนนี ดัลกลิช | 1997 | 1998 | |
รุส กุสลิต | 1998 | 1999 | |
เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน | 1999 | 2004 | |
แกรม ซูเนสส์ | 2004 | 2006 | |
เกล็น โรเดอร์ | 2006 | 2007 | |
แซม อัลลาร์ไดซ์ | 2007 | 2008 | |
เควิน คีแกน | 2008 | 2008 | |
โจ คินเนียร์ | 2008 | 2009 | |
อลัน เชียเรอร์ | 2009 | 2009 | |
คริส ฮิลตัน | 2009 | 2010 | |
อลัน พาร์ดิว | 2010 | 2015 | |
จอร์น คาร์เวอร์ (รักษาการ) | 2015 | 2015 | |
สตีฟ แม็คคาเรน | 2015 | 2016 | |
ราฟาเอล เบนิเตช | 2016 | 2019 | |
สตีฟ บรู๊ซ | 2019 | 2021 |
เกียรติประวัติ
ระดับประเทศ
- ดิวิชันหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก
- ชนะเลิศ (4): 1904–05, 1906–07, 1908–09, 1926–27
- รองชนะเลิศ (2): 1995–96, 1996–97
- ดิวิชันสอง/อีเอฟแอลแชมเปียนชิป
- ชนะเลิศ (5): 1964–65, 1983–84, 1992–93, 2009–10, 2016–17
- รองชนะเลิศ (2): 1897–98, 1947–48
- เอฟเอคัพ
- ชนะเลิศ (6): 1909–10, 1923–24, 1931–32, 1950–51, 1951–52, 1954–55
- อีเอฟแอลคัพ
- รองชนะเลิศ (1): 1975–76
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
- ชนะเลิศ (1): 1909
ระดับทวีปยุโรป
- อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ
- ชนะเลิศ (1): 1968–69
- ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ
- ชนะเลิศ (1): 2006
- แองโกล-อินาเลียโนคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1973
รายการอื่น ๆ
- นอร์เทิร์นลีก
- ชนะเลิศ (3): 1902–03, 1903–04, 1904–05
- เอฟเอยูธคัพ
- ชนะเลิศ (2): 1962, 1985
- คีรินคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1983
- เท็กเซโกคัพ
- ชนะเลิศ (2): 1974, 1975
- แชร์ออฟลอนดอนแชร์มูนิตีชีลด์
- ชนะเลิศ (1): 1907
- พรีเมียร์ลีกเอเชียโทรฟี่
- ชนะเลิศ (1): 2003
ในประเทศไทย
สำหรับชาวไทยที่มีชื่อเสียงที่เป็นผู้สนับสนุนนิวคาสเซิลยูไนเต็ด เช่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นักการเมือง), นูรูล ศรียานเก็ม (นักฟุตบอลทีมชาติไทย), ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ (นักแสดง), ปราโมทย์ ปาทาน (นักร้อง) เป็นต้น
อ้างอิง
- "Newcastle rename St James' Park the Sports Direct Arena". BBC Sport. British Broadcasting Corporation. 9 November 2011. สืบค้นเมื่อ 4 December 2011.
- "PIF, PCP Capital Partners and RB Sports & Media acquire Newcastle United Football Club". NUFC News. October 7, 2021. สืบค้นเมื่อ October 7, 2021.
- "สารคดีท่องโลกกว้าง: ท่องทั่วทวีป". ไทยพีบีเอส. 1 January 2015. สืบค้นเมื่อ 2 January 2015.[ลิงก์เสีย]
- "Honours and records". Newcastle United Football Club (ภาษาอังกฤษ).
- "Newcastle United - Club achievements". www.transfermarkt.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Newcastle United - Historical league placements". www.transfermarkt.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Newcastle United FC history and facts". www.footballhistory.org.
- Waugh, Chris (2019-05-24). "Where the NUFC squad are now, a decade on from the 2008/09 relegation". ChronicleLive (ภาษาอังกฤษ).
- https://www.bbc.co.uk/sport/football/36266059
- Staff, Guardian (2005-10-23). "Football: A rivalry with roots in kings and coal". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
- "Newcastle United takeover: Fans reflect on Mike Ashley years". BBC News (ภาษาอังกฤษ). 2021-10-07. สืบค้นเมื่อ 2021-10-08.
- "Newcastle will be the richest club in the world: bought by Saudi sovereign fund". MARCA (ภาษาอังกฤษ). 2021-10-07.
- "Newcastle United takeover Q&A: How and why Newcastle have become one of the world's richest football clubs". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
- Marshment, James (2021-10-07). "Mohammed Bin Salman wealth revealed; Jordan talks Newcastle takeover". TEAMtalk (ภาษาอังกฤษ).
- "History". Newcastle United Football Club (ภาษาอังกฤษ).
- "Newcastle United FC Season History | Premier League". www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Newcastle United FC Season History | Premier League". www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Steve Bruce leaves Newcastle United by mutual consent". Newcastle United Football Club (ภาษาอังกฤษ).
- . web.archive.org. 2011-07-13.
- "Newcastle reveal new stadium name" (ภาษาอังกฤษ). 2009-11-04. สืบค้นเมื่อ 2021-10-08.
- https://wayback.archive-it.org/all/20121010035657/http://www.telegraph.co.uk/sport/football/teams/newcastle-united/9596399/Newcastle-United-sponsorship-deal-with-Wonga-will-see-St-James-Park-reinstated-as-stadium-name.html
- . web.archive.org. 2011-09-02.
- https://www.prnewswire.co.uk/cgi/news/release?id=134995
- "The Times & The Sunday Times". www.thetimes.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
- . web.archive.org. 2011-10-06.
- . web.archive.org. 2011-04-08.
- Chronicle, Evening (2011-02-18). "Newcastle United Foundation hails success". ChronicleLive (ภาษาอังกฤษ).
- Tsubata, I.; Takashina, N. (1972-06). "The thermistor with positive temperature coefficient based on graphite carbon". Carbon. 10 (3): 337. doi:10.1016/0008-6223(72)90400-9. ISSN 0008-6223. Check date values in:
|date=
(help) - . web.archive.org. 2015-09-05.
- "Honours and records". Newcastle United Football Club (ภาษาอังกฤษ).
- "A. Shearer (England) - Stats and trophies". www.fastscore.com.
- https://www.bbc.co.uk/sport/football/17885333
- . web.archive.org. 2011-02-02.
- "Newcastle United sign Hoffenheim forward Joelinton for club-record fee". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2019-07-23.
- "2015/16 Squad Numbers Announced". Newcastle United. 31 July 2015. สืบค้นเมื่อ 31 July 2015.
- https://www.premierleague.com/stats/top/players/goal_assist
- https://www.premierleague.com/stats/top/players/att_pen_goal
- https://www.worldfootball.net/goalgetter/eng-premier-league-2018-2019/
- https://www.premierleague.com/stats/top/players/goal_assist
- https://www.nufc.co.uk/news/
- . nufc.co.uk. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2008-08-28. สืบค้นเมื่อ 2008-08-01.
- "แฟนสาลิกาตัวจริง!! "อภิสิทธิ์" โพสต์ภาพแซว "เรือใบหายไปไหน"". สปริงนิวส์. 2019-01-30. สืบค้นเมื่อ 2019-01-30.
แหล่งข้อมูลอื่น
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
- NEWCASTLE UNITED FC OFFICIAL WEBSITE
- สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เฟซบุ๊ก
เว็บไซต์ของผู้ติดตามผลงาน
- NEWCASTLE UNITED THAILAND FANCLUB - NUFCTH
- NUFC.com
- สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เฟซบุ๊ก