สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน
สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน (อังกฤษ: Everton Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลของอังกฤษ ตั้งอยู่ในเมืองลิเวอร์พูล ปัจจุบันเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ เอฟเวอร์ตันเป็นหนึ่งในสโมสรผู้ร่วมก่อตั้งอิงกลิชฟุตบอลลีก และเป็นสโมสรที่เล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษมากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 118 ฤดูกาล โดยพลาดการเล่นในลีกสูงสุดเพียงแค่ 4 ครั้งเท่านั้น และยังเป็นสโมสรที่เล่นในลีกสูงสุดติตต่อกันยาวนานที่สุดเป็นอันดับสอง สโมสรชนะเลิศฟุตบอลลีกสูงสุด 9 สมัย, เอฟเอคัพ 5 สมัย, เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 9 สมัย และ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | The Toffees The Blues ทอฟฟีสีน้ำเงิน | |||
ก่อตั้ง | 1878 (ในชื่อ สโมสรฟุตบอลเซนต์โดมิงโก) | |||
สนาม | กูดิสันพาร์ก | |||
ความจุ | 39,572 | |||
เจ้าของ | ฟาร์ฮาด โมชีรี | |||
ประธาน | บิลล์ เคนไรต์ | |||
ผู้จัดการ | ราฟาเอล เบนิเตซ | |||
ลีก | พรีเมียร์ลีก | |||
2020–21 | พรีเมียร์ลีก อันดับที่ 10 จาก 20 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1878 และสโมสรชนะเลิศฟุตบอลดิวิชันหนึ่งครั้งแรกในฤดูกาล 1890–91 และภายหลังจากชนะเลิศดิวิชันหนึ่งเพิ่มอีก 4 สมัย และเอฟเอคัพอีก 2 สมัย สโมสรเข้าสู่ช่วงตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนจะฟื้นตัวและเริ่มกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 1960 เอฟเวอร์ตันประสบความเร็จมากที่สุดในช่วงทศวรรษ 1980 โดยชนะเลิศดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย และชนะเลิศถ้วยยุโรปรายการแรกคือยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพใน ค.ศ. 1985 ถ้วยรางวัลล่าสุดของสโมสรคือการชนะเลิศเอฟเอคัพ ค.ศ. 1995 และเอฟเวอร์ตันยังเล่นอยู่ในลีกสูงสุดอย่างพรีเมียร์ลีกได้อย่างมั่นคงนับแต่นั้นมา แม้จะยังไม่สามารถชนะถ้วยรางวัลเพิ่มได้
ผู้สนับสนุนของสโมสรมีชื่อเรียกว่า "เอฟเวอร์โตเนียน" และ "บลูส์" เอฟเวอร์ตันมีสโมสรคู่อริคือ ลิเวอร์พูล ซึ่งสนามแอนฟีล์ดของลิเวอร์พูลอยู่ห่างจากสนามกูดิสันพาร์กของเอฟเวอร์ตันไม่ถึงหนึ่งไมล์ และการแข่งขันของทั้งสองทีมถูกเรียกว่า เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี เอฟเวอร์ตันลงเล่นที่กูดิสันพาร์กมาตั้งแต่ ค.ศ. 1892 โดยย้ายจากแอนฟีลด์เนื่องจากเกิดข้อพิพาทเรื่องค่าเช่าระหว่างสโมสรและเจ้าของที่ดินแอนฟีลด์ สีประจำสโมรสรคือ เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าสีขาว
ประวัติ
สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตันเป็นหนึ่งในสโมสรที่เก่าแก่ที่สุดในสหราชอาณาจักร ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1878 โดยใช้ชื่อว่า สโมสรฟุตบอลเซนต์โดมิงโก ตามชื่อโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองลิเวอร์พูล เพื่อให้สมาชิกของโบสถ์ร่วมเล่นกีฬากันได้ตลอดทั้งปี โดยนอกจากฟุตบอลแล้วยังมีการเล่นคริกเกตในฤดูร้อน สโมสรลงแข่งขันนัดแรกพบกับสโมสรเอฟเวอร์ตันเชิร์ช โดย เซนต์โดมิงโก ชนะไป 1–0 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น เอฟเวอร์ตัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1979 ตามชื่อท้องถิ่นเนื่องจากผู้คนในชุมชนต้องการเข้าร่วมสโมสรเป็นจำนวนมาก
เอฟเวอร์ตันเป็นหนึ่งในสโมสรผู้ร่วมก่อตั้ง อิงกลิชฟุตบอลลีก ในฤดูกาล 1888–89 ก่อนจะประสบความสำเร็จครั้งแรกโดยคว้าแชมป์ฟุตบอลลีก ฤดูกาล 1890-91 ต่อมา สโมสรคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้เป็นสมัยแรกใน ค.ศ. 1906 ตามด้วยแชมป์ดิวิชันหนึ่งสมัยที่สองในฤดูกาล 1914–15 สงครามโลกครั้งที่หนึ่งใน ค.ศ. 1914 ทำให้การแข่งขันฟุตบอลอังกฤษต้องยุติลงชั่วคราวซึ่งเป็นฤดูกาลที่เอฟเวอร์ตันคว้าแชมป์ได้ และเหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหลังการคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งของสโมสรในฤดูกาล 1938–39 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เอฟเวอร์ตันกลับมาประสบความสำเร็จหลังจากการมาถึงของ ดิ๊กซี่ ดีน ซึ่งย้ายมาจากแทรนเมียร์โรเวอส์ใน ค.ศ. 1925 โดยในฤดูกาล 1927–28 ดีนได้สร้างสถิติทำประตูในลีกถึง 60 ประตูจากการลงเล่น 39 นัด ถือเป็นสถิติการทำประตูในลีกสูงสุดในหนึ่งฤดูกาลมากที่สุดตลอดกาลมาถึงปัจจุบัน ซึ่งดีนพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้เป็นสมัยที่สามในฤดูกาลนั้น อย่างไรก็ตาม สโมสรต้องตกชั้นลงไปในดิวิชันสองในอีกสองฤดูกาลต่อมาเนื่องจากปัญหาภายในสโมสร แต่สามารถเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และทำสถิติเป็นทีมที่ทำประตูมากที่สุดในดิวิชันสอง เอฟเวอร์ตันคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้เป็นสมัยทีสี่ในฤดูกาล 1931–32 ตามด้วยแชมป์เอฟเอคัพใน ค.ศ. 1933 เอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตีในรอบชิงชนะเลิศ 3–0 และปิดท้ายความสำเร็จในทศววรษนี้ด้วยแชมป์ดิวิชันหนึ่งสมัยที่ห้าในฤดูกาล 1938–39
สงครามโลกครั้งที่สองทำให้การแข่งขันต้องหยุดชะงักอีกครั้งก่อนจะกลับมาแข่งขันใน ค.ศ. 1946 เอฟเวอร์ตันได้รับผลกระทบโดยเสียผู้เล่นหลายรายและทีมมีผลงานที่ย่ำแย่กว่าในช่วงก่อนสงคราม พวกเขาต้องตกชั้นอีกครั้งในฤดูกาล 1950–51 และเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาในฤดูกาล 1953–54 เมื่อพวกเขาจบอันดันสามในฟุตบอลดิวิชันสอง และสโมสรไม่ตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกเลยนับแต่นั้น
ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของสโมสรกลับมาอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 1960 หลังการมาถึงของผู้จัดการทีมคนใหม่ แฮร์รี่ แคทเทอริก อดีตผู้เล่นของสโมสรซึ่งพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้อีกครั้งในฤดูกาล 1962–63 ตามด้วยแชมปฺเอฟเอคัพ ค.ศ. 1966 เอาชนะเชฟฟีลด์เวนส์เดย์ 3–2 และยังเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งในสองปีถัดมาแต่แพ้เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 0–1 แต่พวกเขากลับไปคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้อีกครั้งในฤดูกาล 1969–70 โดยมีคะแนนเหนือลีดส์ยูไนเต็ดทีมรองแชมป์ 9 คะแนน ในช่วงเวลานี้ เอฟเวอร์ตันยังถือเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่ได้ร่วมแข่งขันฟุตบอลยุโรป 5 ฤดูกาลติดต่อกัน (ค.ศ. 1962–67) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของสโมสรได้ตกลงไป เมื่อพวกเขาจบเพียงอันดับสิบสี่, สิบห้า, สิบเจ็ด และอันดับเจ็ดในอีกสี่ฤดูกาลต่อมา แคทเทอริก ประกาศเกษียณตนเอง และสโมสรไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใดเพิ่มได้ในช่วงเวลาที่เหลือของทศวรรษ 1970 นี้ แม้จะจบอันดับสี่ในฤดูกาล 1974–75 ด้วยการคุมทีมของบิลลี บิงแฮม รวมทั้งอันดับสามและอันดับสี่ในฤดูกาล 1977–78 และ 1978–1979 ด้วยผลงานของ กอร์ดอน ลี ซึ่งถูกปลดใน ค.ศ. 1981
ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ เข้ามาคุมทีมและถือเป็นช่วงเวลาที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุด เขาพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพใน ค.ศ. 1984 ตามด้วยแชมป์ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1984–85 และ 1986–87 และชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ค.ศ. 1985 ซึ่งถือเป็นถ้วยยุโรปรายการแรกและรายการเดียวของเอฟเวอร์ตันมาถึงปัจจุบัน ความสำเร็จดังกล่าวเริ่มจากการชนะสมาคมสโมสรฟุตบอลยูซี ดับลิน, เอฟเค อินเตอร์ บราติสลาวา และ ฟอร์ตือนาซิตตาร์ด ตามด้วยการเอาชนะสโมสรใหญ่ของบุนเดิสลีกาอย่างไบเอิร์นมิวนิกในรอบรองชนะเลิศ 3–1 แม้จะตามหลังไปก่อนในครึ่งเวลาแรก ซึ่งนัดนั้นได้รับการโหวตจากแฟน ๆ ให้เป็นเกมที่สนุกที่สุดเท่าที่เคยแข่งขันกันในกูดิสันพาร์ก ปิดท้ายด้วยการชนะราพีทวีนในรอบชิงชนะเลิศ 3–1 และในฤดูกาล 1984–85 นั้น เอฟเวอร์ตันเกือบจะคว้าสามถ้วยรางวัลได้ ภายหลังจากได้แชมป์ฟุตบอลลีก และถ้วยยุโรปมาครอง แต่พวกเขาแพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ 0–1 และในฤดูกาลต่อมา เอฟเวอร์ตันได้รองแชมป์สองรายการทั้งในฟุตบอลลีก และฟุตบอลเอฟเอคัพ โดยแพ้ลิเวอร์พูลทั้งสองรายการ ก่อนจะกลับมาคว้าแชมป์ลีกได้ในฤดูกาล 1986–87
ภัยพิบัติเฮย์เซลส่งผลให้สโมสรจากอังกฤษถูกห้ามลงแข่งขันฟุตบอลยุโรป เอฟเวอร์ตันพลาดโอกาสในการชนะเลิศถ้วยยุโรปเพิ่ม โดยผู้เล่นตัวหลักในทีมชุดที่ชนะยูฟ่าวินเนอร์สคัพ ค.ศ. 1985 หลายคนได้อำลาทีมรวมถึงผู้จัดการทีมอย่างเคนดัลล์ซึ่งย้ายไปคุมอัตเลติกเดบิลบาโอ ใน ค.ศ. 1987 และเขาถูกแทนที่โดยโคลิน ฮาร์วีย์ ผู้ช่วยของเขาซึ่งพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ค.ศ. 1989 แต่แพ้ลิเวอร์พูลในช่วงต่อเวลา 2–3
เอฟเวอร์ตันเป็นหนึงในสโมสรผู้ร่วมก่อตั้งพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 1992 แต่สโมสรประสบปัญหาในการหาผู้จัดการทีมที่เหมาะสม ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ กลับมารับตำแหน่งใน ค.ศ. 1990 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่เคยทำได้ เขาถูกแทนที่โดยไมค์ วอล์กเกอร์ ใน ค.ศ. 1994 แต่คุมทีมได้ไม่ถึงหนึ่งฤดูกาลก็ถูกปลด และเขาถือเป็นผู้จัดการทีมที่ล้มเหลวและมีผลงานย่ำแย่ที่สุดของสโมสร โจ รอยล์ อดีตผู้เล่นของสโมสรเข้ารับตำแหน่งต่อ และสโมสรเริ่มมีผลงานที่ดีขึ้น รวมถึงการชนะคู่ปรับอย่างลิเวอร์พูล 2–0 ในนัดแรกของฤดูกาล และยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็นสมัยที่ห้าในฤดูกาลนั้น ชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1–0 ได้สิทธิ์ร่วมแข่งขันยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลยุโรปครั้งแรกนับตั้งแต่ภัยพิบัติเฮย์เซล รอยล์พาเอฟเวอร์ตันจบอันดับหกในฤดูกาลต่อมา แต่จบเพียงอันดับสิบห้าในฤดูกาล 1996–97 ส่งผลให้รอยล์ลาออก เดวิด วัตสัน อดีตกองหลังคนสำคัญของทีมเข้ามารักษาการต่อ
ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ เข้ามารับตำแหน่งเป็นครั้งที่สาม แต่ล้มเหลวอีกครั้งโดยพาทีมจบเพียงอันดับ 17 และเอฟเวอร์ตันเกือบจะตกชั้นแต่รอดมาได้ด้วยผลประตูได้-เสียที่ดีกว่าโบลตันวอนเดอเรอส์ วอลเตอร์ สมิธ ผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์เข้ามารับตำแหน่งแทน แต่ผลงานก็ย่ำแย่โดยจบเพียงอันดับกลางตารางสามฤดูกาลติดต่อกัน ก่อนจะถูกปลดใน ค.ศ. 2002 ซึ่งเอฟเวอร์ตันอยู่ในพื้นที่หนีตกชั้นในขณะนั้น และยังตกรอบเอฟเอคัพโดยแพ้มิดเดิลส์เบรอ สมิธถูกแทนที่โดยเดวิด มอยส์ซึ่งพาทีมรอดตกชั้นจบในอันดับ 15 และมอยส์พาทีมทำผลงานดีขึ้น โดยจบอันดับ 7 ในฤดูกาล 2002–03 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในรอบเจ็ดปี เวย์น รูนีย์ ดาวรุ่งคนสำคัญของทีมเป็นผู้ทำผลงานโดดเด่นจนก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ก่อนจะย้ายร่วมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดใน ค.ศ. 2004 ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 28 ล้านปอนด์ การจบอันดับ 4 ในฤดูกาล 2004–05 ทำให้สโมสรได้สิทธิ์แข่งขันรอบคัดเลือกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่พวกเขาไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม และยังตกรอบยูฟ่าคัพ แต่ยังได้กลับมาแข่งขันยูฟ่าคัพอีกสองฤดูกาลติตด่อกันในฤดูกาล 2007–08 และ 2008–09 และยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ค.ศ. 2009 ในช่วงเวลานี้ สโมสรได้ลงทุนซื้อผู้เล่นเป็นสถิติสโมสรถึงสี่ครั้งได้แก่: เจมส์ บีตตี้ ราคา 6 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม 2005, แอนดรูว์ จอห์นสัน 8.6 ล้านปอนด์ใน ค.ศ. 2006, ยาคูบู ไอเยกเบนี 11.25 ล้านปอนด์ใน ค.ศ. 2007 และ มารวน แฟลายนี 15 ล้านปอนด์ใน ค.ศ. 2008
หลังสิ้นสุดฤดูกาล 2012–13 มอยส์อำลาเอฟเวอร์ตันเพื่อไปเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และได้นำทีมงานผู้ฝึกสอนทุกคนติดตามไปด้วย รวมถึง ฟิล เนวิล และนักเตะอย่าง มารวน แฟลายนี โรเบร์โต มาร์ติเนซ พาทีมจบอันดับ 5 ในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลแรกที่คุมทีม และยังทำคะแนนได้มากที่สุดในรอบ 27 ปีด้วยคะแนนสูงถึง 72 คะแนน ในฤดูกาลต่อมา มาร์ติเนซพาทีมเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่ายูโรปาลีก แต่แพ้ดือนามอกือยิว และจบอันดับ 11 ในลีก ต่อมาในฤดูกาล 2015–16 แม้เอฟเวอร์ตันเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลถ้วยสองรายการทั้งเอฟเอคัพ และลีกคัพ แต่ผลงานในลีกย่ำแย่โดยจบเพียงอันดับ 12 มาร์ติเนซจึงถูกปลด ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 สโมสรได้แถลงอย่างเป็นทางการว่า ฟาฮัด โมชีรี นักธุรกิจชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่านได้เข้าซื้อกิจการสโมสรโดยถือหุ้นจำนวน 49.9% ทำให้เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในทันที
โรนัลด์ กุมัน อำลาเซาแทมป์ตันเพื่อเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในฤดูกาล 2016–17 ด้วยสัญญาสามปี ในฤดูกาลแรก กุมันพาทีมจบอันดับ 7 ทำให้ได้สิทธิ์แข่งขันรอบคัดเลือกรอบที่สามของยูโรปาลีก โดยพาทีมผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มในฤดูกาล 2017–18 แต่ก็ยุติเส้นทางเพียงแค่นั้น โดยจบในอันดับสามตามหลังอตาลันตา และออแล็งปิกลียอแน และยังทำผลงานในลีกย่ำแย่ โดยหล่นไปอยู่ในพื้นที่ตกชั้นหลังผ่านเก้านัดแรก กุมันถูกปลดในเดือนตุลาคม 2017 หลังจบเกมที่เอฟเวอร์ตันแพ้คาบ้านต่ออาร์เซนอล 2–5 เดวิด อันส์เวิร์ธ เข้ามารักษาการต่อก่อนที่ แซม อัลลาร์ไดซ์ เข้ามารับตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน แต่ลาออกเมื่อจบฤดูกาลเนื่องจากแฟน ๆ ไม่พอใจระบบการเล่นของเขา
มาร์กู ซิลวา ได้รับการแต่งตั้งในเดือนพฤษภาคม 2018 และในเดือนพฤศจิกายน สโมสรถูกสั่งห้ามซื้อผู้เล่นเยาวชนเป็นเวลาสองปีจากการทำผิดกฎ ซิลวาพาทีมจบอันดับ 8 ในฤดูกาล 2018–19 ก่อนจะถูกปลดในเดือนธันวาคม 2019 จากการเริ่มต้นฤดูกาล 2019–20 ได้อย่างย่ำแย่โดยอันดับลงไปอยู่ในพื้นที่ตกชั้นและมีเพียง 14 คะแนนในขณะนั้น การคุมทีมนัดสุดท้ายของซิลวาคือการบุกไปแพ้ลิเวอร์พูล 2–5 ที่แอนฟีลด์ ดันแคน เฟอร์กูสัน อดีตผู้เล่นของสโมสรและหนึ่งในผู้ฝึกสอนของทีมเข้ามารักษาการต่อก่อนที่ การ์โล อันเชลอตตีจะเข้ามารับตำแหน่งโดยมีเฟอร์กูสันเป็นผู้ช่วย อันเชลอตตีพาทีมจบอันดับสิบในฤดูกาล 2020–21 ก่อนจะลาทีมเพื่อกลับไปคุมเรอัลมาดริด
อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามารับตำแหน่งในฤดูกาล 2021–22 โดยถือเป็นคนที่สองที่เคยเป็นทั้งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลและเอฟเวอร์ตัน
สี และตราสัญลักษณ์ประจำสโมสร
สีประจำทีมของเอฟเวอร์ตันคือเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าสีขาว อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษแรกของประวัติศาสตร์เอฟเวอร์ตัน พวกเขามีชุดแข่งขันหลายสี เดิมทีเคยสวมชุดสีขาว ตามด้วยเสื้อสีน้ำเงินและแถบสีขาว ต่อมา สโมสรสวมเสื้อสีดำล้วนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการย้อมสี และเพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น แต่ไม่เป็นที่ยอมรับจึงมีการเพิ่มลายคาดสีแดงในเวลาต่อมา
เมื่อสโมสรย้ายสู่สนามกูดิสันพาร์กใน ค.ศ. 1892 เริ่มมีการสวมชุดแข่งสีชมพูและสีน้ำเงินเข้ม พร้อมทั้งกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม ก่อนที่เสื้อสีน้ำเงินและกางเกงสีขาวจะถูกนำมาใช้ครั้งแรกในฤดูกาล 1901–02 และมีการเปลี่ยนไปสวมสีฟ้าแบบสกายบลูใน ค.ศ. 1906 แต่ได้รับการต่อต้านจากกลุ่มผู้สนับสนุน สโมสรจึงกลับใช้สีน้ำเงินตามเดิม ชุดเหย้าของสโมสรในปัจจุบันเป็นสีน้ำเงินเข้ม (รอยัลบลู) พร้อมกางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าสีขาว และสโมสรอาจสวมชุดแข่งสีน้ำเงินล้วนในบางครั้งเพื่อเลี่ยงการซ้ำกันของสีทีมคู่แข่ง
ชุดแข่งทีมเยือนของสโมสรมักเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำ ทว่านับตั้งแต่ ค.ศ. 1968 เสื้อสีเหลืองและกางเกงสีน้ำเงินถูกใช้บ่อยขึ้น และนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา สโมสรมีการใช้สีเสื้อทีมเยือนมากมายเช่น สีเหลือง, สีดำ, สีเทา, สีขาว และสีเหลือง
หลังสิ้นสุดฤดูกาล 1937–38 ธีโอ เคลลี เลขาธิการของสโมสร (ผู้ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรก) ต้องการออกแบบเน็กไทของสโมสร มีการตกลงกันว่าเน็กไทจะเป็นสีน้ำเงิน และเคลลีได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ออกแบบตราสัญลักษณ์บนเน็กไท เขาใช้เวลาออกแบบอยู่สี่เดือนและตัดสินใจจะออกแบบเป็นรูปสัญลักษณ์อาคาร ล็อคอัพเอฟเวอร์ตัน (Everton Lock-Up) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของอาคารเก่าแก่ที่ใช้เป็นที่กักขังอาชญากรและคนติดสุราในประเทศอังกฤษและเวลส์ อาคารดังกล่าวเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของย่านนั้นนับตั้งแต่มีการก่อสร้างใน ค.ศ. 1787 และเอฟเวอร์ตันได้ใช้มันเป็นสัญลักษณ์ประจำสโมสรมานับตั้งแต่นั้น พร้อมตั้งคำขวัญว่า "Nil satis nisi optimum" ซึ่งเป็นภาษาละตินแปลว่า “ดีที่สุดเท่านั้นถึงจะพอ”และเน็กไทดังกล่าวถูกสวมครั้งแรกโดยเคลลี่ และนายอี. กรีน ในวันแรกของฤดูกาล 1938–39 สโมสรมักไม่ค่อยใส่คำอธิบายหรือประโยคยาว ๆ ลงบนเสื้อแข่ง โดยจะปรากฎเพียงตัวอักษร "EFC" ซึ่งเป็นตัวย่อของชื่อสโมสรเท่านั้น โดยเริ่มใช้ครั้งแรกบนเสื้อใน ค.ศ. 1978
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013 สโมสรได้เปิดตัวตราสัญลักษณ์แบบใหม่เพื่อเพิ่มความทันสมัย แต่ได้รับการตอบรับในเชิงลบจากผู้สนับสนุนสโมสร โดยผู้สนับสนุนกว่า 91% ได้ลงความเห็นผ่านเว็บไซต์ของสโมสรว่าไม่พอใจในตราสโมสรแบบใหม่นี้ หัวหน้าฝ่ายการตลาดจึงประกาศว่าจะออกแบบตราใหม่อีกครั้ง และออกแบบตราใหม่มาทั้งสิ้น 3 แบบให้กลุ่มผู้สนับสนุนร่วมกันโหวตเลือก และตราสโมสรที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ เป็นตราที่ได้รับคะแนนโหวตถึง 80%
ฉายาของทีม
สโมสรเอฟเวอร์ตันมีชื่อเล่นว่า "The Toffees" และ "The Toffeemen" ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากเอฟเวอร์ตันย้ายไปกูดิสันพาร์ก มีข้อสันนิษฐานสองประการถึงชื่อเรียกดังกล่าว ประการแรก เชื่อว่าน่าจะมาจากร้านขนมหวานซึ่งขายทอฟฟีในตำบลนั้น (everton brow) ซึ่งชื่อร้าน "Mother Noblett's" โดยเป็นร้านที่ได้รับความนิยม มีทอฟฟีที่ขายดีทีสุดคือ Everton Mint และร้านดังกล่าวยังตั้งอยู่ตรงข้ามล็อคอัพซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสโมสร และมีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยนั้นจะมีสตรีคนหนึ่งโยนทอฟฟีเอฟเวอร์ตันมินต์ให้แฟนบอลข้างสนามก่อนเริ่มเกมเป็นประจำ
ข้อสันนิษฐานอีกประการคือมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า Ye Anciente Everton Toffee House ตั้งอยู่ในย่านเอฟเวอร์ตัน เมืองลิเวอร์พูล มีเจ้าของคือ มาร์ บูเชล ซึ่งบ้านหลังนั้นอยู่ใกล้กับโรงแรมควีนส์ซึ่งเป็นที่ประชุมของผู้บริหารสโมสร
เอฟเวอร์ตันมีชื่อเล่นอื่น ๆ มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการสวมชุดแข่งสีดำ ทำให้ทีมได้รับฉายาว่า "เดอะแบล็ควอตช์" ตั้งตามชื่อกองทหารที่มีชื่อเสียงของสกอตแลนด์ และนับตั้งแต่สวมชุดแข่งสีน้ำเงินใน ค.ศ. 1901 สโมสรจึงมีชื่อเรียกว่า "เดอะบลู" และด้วยรูปแบบการเล่นที่น่าตื่นเต้น เร้าใจ สตีฟ บลูเมอร์ อดีนนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาติอังกฤษจึงเรียกสโมสรว่า "scientific" ใน ค.ศ. 1928 นำไปสู่ฉายา "The School of Science" ทีมที่ชนะการแข่งขันเอฟเอคัพปี 1995 เป็นที่รู้จักในนาม "The Dogs of War" และเมื่อ เดวิด มอยส์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม เขาได้ประกาศให้เอฟเวอร์ตันเป็น "สโมสรประชาชน" (The People's Club) ซึ่งวลีนี้ได้รับการรับรองเป็นชื่อเล่นกึ่งทางการของสโมสร
สนามแข่ง
เดิมที เอฟเวอร์ตันลงเล่นบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของสแตนลีย์พาร์ค สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเมืองลิเวอร์พูล การแข่งขันนัดแรกอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในปี 1879 ต่อมาในปี 1884 เอฟเวอร์ตันได้เป็นผู้เช่าสนามแอนฟีลด์ ซึ่งมีเจ้าของคือ จอห์น ออร์เรลล์ เจ้าของที่ดินซึ่งเป็นเพื่อนของสมาชิกสโมสรเอฟเวอร์ตัน จอห์น โฮลดิง ออร์เรลล์ให้เอฟเวอร์ตันเช่าแอนฟีลด์แลกกับค่าเช่าเล็กน้อย ต่อมา โฮลดิงซื้อที่ดินต่อจากออร์เรล์ในปี 1885 และถือกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของสนามแอนฟีลด์ และทำการขึ้นค่าเช่าสนามจาก 100 ปอนด์ เป็น 240 ปอนด์ในปี 1888 และยังคงขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องกระทั่งปี 1892 สโมสรเอฟเวอร์ตันยอมรับไม่ได้กับการขึ้นค่าเช่าดังกล่าว ตามมาด้วยข้อพิพาทระหว่างโฮลดิงและคณะกรรมการที่เหลือของสโมสร โฮลดิงต้องการจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารทีม โดยต้องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทั้งชื่อสโมสร, สี และการกำหนดการแข่งขัน แต่ถูกปฎิเสธโดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ สโมสรเอฟเวอร์ตันจึงยุติการใช้งานแอนฟีลด์ และย้ายไปสู่สนามแห่งใหม่อย่าง กูดิสันพาร์ก ในปี 1892 ในขณะที่ จอห์น โฮลดิง ได้ไปก่อตั้งสโมสรแห่งใหม่ในนาม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และยังคงใช้สนามแอนฟีลด์มาถึงปัจจุบัน
สนามกูดิสันพาร์กถูกใข้งานในการแข่งขันลีกสูงสุดมากกว่าสนามอื่น ๆ ในสหราชอาณาจักร และเป็นสนามเดียวของสโมสรในอังกฤษที่ถูกใข้งานในรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1966 นอกจากนี้ยังเป็นสนามแห่งแรกของอังกฤษที่ติดตั้งระบบทำความร้อนใต้ดินและเป็นสนามแห่งแรกที่มีอัฒจันทร์สองชั้นทุกด้านของสนาม
สนามใหม่
ในเดือนสิงหาคมปี 2021 เอฟเวอร์ตันเริ่มดำเนินการก่อสร้างสนามเหย้าใหม่มูลค่า 500 ล้านปอนด์ สภาเมืองลิเวอร์พูลอนุญาตให้เอฟเวอร์ตันสร้างสนามใหม่ในบริเวณพื้นที่อู่เรือ บรามลีย์-มัวร์ ซึ่จะมีมูลค่าราว 500 ล้านปอนด์ ด้วยความจุที่ 52,888 ที่นั่ง มากกว่ากูดิสันพาร์ก เกือบ 13,000 ที่นั่ง นอกจากสนามจะใหญ่ขึ้นแล้ว สนามใหม่นี้จะช่วยสร้างงานให้คนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นถึง 15,000 ตำแหน่ง โดยคาดการณ์ว่าการก่อสร้างน่าจะแล้วเสร็จทันฤดูกาล 2024/25 โดยสนามแห่งใหม่นี้จะมีชื่อว่า " แบรมลี่ย์-มัวร์ ด็อค สเตเดี้ยม " (Bramley-Moore Dock Stadium) และหากสร้างเสร็จจะกลายเป็นหนึ่งในสนามที่มีทัศนียภาพสวยงานที่สุดในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ จะมีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่สนามอีกด้วย
ผู้สนับสนุน และสโมสรคู่อริ
เอฟเวอร์ตันเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในอังกฤษ พวกเขามียอดผู้ชมสูงสุดเป็นอันดับแปดในฤดูกาล 2008–09 กลุ่มผู้สนับสนุนส่วนใหญ่อยู่ในนอร์ทเวสต์อิงแลนด์ และ แมนเชสเตอร์ รวมทั้งได้รับความนิยมในประเทศไอร์แลนด์ และทางตอนเหนือของเวลส์ เอฟเวอร์ตันยังมีสโมสรผู้สนับสนุนมากมายทั่วโลกในประเทศต่าง ๆ เช่น ทวีปอเมริกาเหนือ, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, เลบานอน, มาเลเซีย, ไทย, อินเดีย และออสเตรเลีย พอล แม็กคาร์ตนีย์ เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนสโมสรที่มีชื่อเสียงมากที่สุด กลุ่มผู้สนับสนุนหลุกของสโมสรก่อตั้งกลุ่ม FOREVERTON และมีการออกแฟนซีนได้แก่ When Skies are Grey และ Speke from the Harbour ซึ่งวางจำหน่ายหน้าสนามในวันแข่ง
แฟนบอลของสโมสรมักจะเดินทางไปให้กำลังใจทีมในการแข่งขันต่างประเทศ ในรายการฟุตบอลยุโรป สโมสรใช้รูปแบบคะแนนสะสมที่เสนอโอกาสในการซื้อตั๋วสำหรับผู้ถือตั๋วฤดูกาลที่เข้าร่วมการแข่งขันนัดเยือนมากที่สุด และตั๋วชมเกมเยือนของสโมสรมักจะถูกขายหมดเสมอ ในเดือนตุลาคม 2009 มีกองเชียร์สโมสรกว่า 7,000 คน ไปให้กำลังใจทีมในการแข่งชันกับเบนฟิกา ของโปรตุเกส ซึ่งเป็นสถิติสูสุดของสโมสรยุโรปนับตั้งแต่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1985
เอฟเวอร์ตันเป็นสโมสรคู่อริของลิเวอร์พูล จากกรณีพิพาทในเรื่องการเช่าสนามแข่ง การพบกันของทั้งสองสโมสรเรียกว่า เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี โดยชื่อนี้ถูกเรียกขึ้นครั้งแรกใน ค.ศ. 1955 ขณะที่บรรดาผู้สนับสนุนของสองสโมสรเรียกว่า ดาร์บีมิตรภาพ (The friendly derby) เพราะถือว่าในการแข่งขันผู้สนับสนุนไม่มีความขัดแย้งหรือแข่งขันกันดุเดือดเกินไป ทว่านับตั้งแต่ยุคพรีเมียร์ลีกเป็นต้นมา การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้น และเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีถือเป็นการแข่งขันดาร์บีที่มีจำนวนใบแดงมากที่สุดในฟุตบอลอังกฤษ
ผู้เล่น
- ณ วันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 2021
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ชุดแข่งขันและสปอนเซอร์
ปี | ชุดที่ใช้ | สปอนเซอร์ |
---|---|---|
1974–79 | อัมโบร | none |
1979–83 | Hafnia | |
1983–85 | เลอ คอก สปอร์ติฟ | |
1985–86 | NEC | |
1986–95 | อัมโบร | |
1995–97 | เดนคา | |
1997–2000 | One 2 One | |
2000–02 | พูม่า | |
2002–04 | เคอเจี้ยน | |
2004–09 | อัมโบร | เบียร์ช้าง |
2009–12 | เลอ คอก สปอร์ติฟ | |
2012–17 | ไนกี้ | |
2017– | อัมโบร | สปอตเปซ่า |
ทำเนียบผู้จัดการทีม
อันดับ | ชื่อ | ฤดูกาล | จำนวนเกม | เปอร์เซ็นต์คุมทีมชนะ |
---|---|---|---|---|
1 | ธีโอ เคลลี | 1939 - 1948 | 102 | 47 |
2 | คลิฟท์ บรีตัน | 1948 - 1956 | 339 | 50 |
3 | เอียน บุชา | 1956 - 1958 | 99 | 43 |
4 | จอห์นนี แคร์รี | 1958 - 1961 | 122 | 51 |
5 | แฮร์รี่ แคทเทอริก | 1961 - 1973 | 594 | 60 |
6 | บิลลี บิงแฮม | 1973 - 1977 | 172 | 53 |
7 | สตีฟ เบอร์เทินชอว์ | 1977 - 1977 | 1 | 50 |
8 | กอร์ดอน ลี | 1977 - 1981 | 234 | 55 |
9 | ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ | 1981 - 1987 | 338 | 66 |
10 | โคลิน ฮาร์วีย์ | 1987 - 1990 | 174 | 57 |
11 | ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ | 1990 - 1993 | 122 | 51 |
12 | ไมค์ วอล์กเกอร์ | 1994 - 1994 | 34 | 32 |
13 | โจ รอยล์ | 1994 - 1997 | 119 | 55 |
14 | ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ | 1997 - 1998 | 42 | 42 |
15 | วอลเตอร์ สมิธ | 1998 - 2002 | 168 | 46 |
16 | เดวิด มอยส์ | 2002 - 2013 | 516 | 42 |
17 | Roberto Martínez | 2013 - 2016 | 140 | 43 |
18 | โรนัลด์ กุมัน | 2016 - 2017 | 58 | 41 |
19 | Sam Allardyce | 2017 - 2018 | 26 | 39 |
20 | มาร์กู ซิลวา | 2018 | 42 | 41 |
21 | ดันแคน เฟอร์กูสัน | 2019 | 4 | 25 |
22 | การ์โล อันเชลอตตี | 2019 - 2021 | 67 | 46 |
23 | ราฟาเอล เบนิเตซ | 2021 - |
สิบเอ็ดผู้เล่นยอดเยี่ยมตลอดกาลในแต่ละตำแหน่ง
- ผู้รักษาประตู - เนวิลล์ เซาท์ธอลล์ (1981-1997)
- แบ็กซ้าย - แกรี สตีเวนส์ (1982-1989)
- เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ - ไบรอัน ลาโบน (1958-1971)
- เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ - เควิน แรคคลิฟฟ์ (1980-1991)
- แบ็กขวา - เรย์ วิลสัน (1964-1969)
- ปีกขวา - เทรเวอร์ สตีเวน (1983-1990)
- มิดฟิลด์ - อลัน บอล จูเนียร์ (1966-1971)
- มิดฟิลด์ - ปีเตอร์ รีด (1982-1989)
- ปีกซ้าย - เควิน ชีดี้ (1982-1992)
- กองหน้า ดิ๊กซี่ ดีน (1925-1937)
- กองหน้า - แกรม ชาร์ป (1980-1991)
ทำเนียบนักเตะระดับตำนาน
อันดับ | ชื่อ | ฤดูกาลที่ร่วมทีม | จำนวนเกม | ประตู |
---|---|---|---|---|
1 | ปีเตอร์ รีด | 1982 - 1989 | 234 | 13 |
2 | แกรม ชาร์ป | 1979 - 1991 | 447 | 159 |
3 | โจ รอยล์ | 1966 - 1974 | 275 | 119 |
4 | เควิน แรคคลิฟฟ์ | 1980 - 1991 | 461 | 2 |
5 | เรย์ วิลสัน | 1964 - 1969 | 116 | 0 |
6 | อลัน บอล จูเนียร์ | 1966 - 1971 | 208 | 66 |
7 | ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ | 1967 - 1974 | 229 | 21 |
8 | เดวิด วัตสัน | 1990 - 1999 | 524 | 28 |
9 | เนวิลล์ เซาท์ธอลล์ | 1980 - 1989 | 751 | 0 |
10 | บ็อบ แลตช์ฟอร์ด | 1970 - 1979 | 289 | 138 |
11 | อเล็กซ์ ยัง | 1960 - 1969 | 273 | 87 |
12 | เดฟ ฮิคสัน | 1950 - 1959 | 243 | 111 |
13 | ที. จี. โจนส์ | 1940 - 1949 | 178 | 5 |
14 | เท็ด ซาการ์ | 1930 - 1939 | 499 | 0 |
15 | ดิ๊กซี่ ดีน | 1920 - 1929 | 433 | 383 |
16 | แซม เชดซอย | 1910 - 1919 | 300 | 36 |
17 | แจ็ค ชาร์ป | 1900 - 1909 | 342 | 80 |
18 | โคลิน ฮาร์วีย์ | 1963 - 1974 | 384 | 24 |
เกียรติประวัติ
ระดับประเทศ
- ดิวิชันหนึ่ง
- ชนะเลิศ (9): 1890–91, 1914–15, 1927–28, 1931–32, 1938–39, 1962–63, 1969–70, 1984–85, 1986–87
- ดิวิชันสอง
- ชนะเลิศ (1): 1930–31
- เอฟเอคัพ
- ชนะเลิศ (5): 1906, 1933, 1966, 1984, 1995
- อีเอฟแอลคัพ
- รองชนะเลิศ (2): 1977, 1984
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
- ชนะเลิศ (9): 1928, 1932, 1963, 1970, 1984, 1985, 1986 (แชมป์ร่วม), 1987, 1995
- ฟูลเม็มเบอร์คัพ
- รองชนะเลิศ (2): 1989, 1991
- ซูเปอร์คัพ (อังกฤษ)
- รองชนะเลิศ (1): 1985–86
ระดับทวีปยุโรป
- ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1984–85
รายการอื่น ๆ
- World Soccer Magazine World Team of the Year
- ชนะเลิศ (1): 1985
อ้างอิง
- (PDF). Premier League. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2015-09-06. สืบค้นเมื่อ 23 May 2016.
- "Everton FC - News, Transfers, Fixtures & Results - Express.co.uk | Express.co.uk". www.express.co.uk.
- Cup, Florida. "Everton Football Club - Florida Cup 2021". Florida Cup.
- "Seasons in the Top Flight of English Football by Clubs 1888-89 to 2021-22". My Football Facts (ภาษาอังกฤษ).
- "History | Everton Football Club". www.evertonfc.com (ภาษาอังกฤษ).
- "What does evertonian mean?". www.definitions.net.
- "Everton FC history, facts and stats". www.footballhistory.org.
- "Soccer Teams, Scores, Stats, News, Fixtures, Results, Tables - ESPN". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ).
- . web.archive.org. 2017-01-13.
- "9 Facts About Football In The First World War". Imperial War Museums (ภาษาอังกฤษ).
- . web.archive.org. 2007-09-27.
- "English Energy and Nordic Nonsense". www.rsssf.com.
- . web.archive.org. 2013-09-22.
- . web.archive.org. 2006-11-13.
- . web.archive.org. 2015-09-05.
- . web.archive.org. 2015-06-28.
- . web.archive.org. 2013-10-17.
- . web.archive.org. 2007-02-14.
- "Everton FC Season History | Premier League". www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Summary - Premier League - England - Results, fixtures, tables and news - Soccerway". uk.soccerway.com.
- "Rooney deal explained" (ภาษาอังกฤษ). 2004-09-01. สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- "Everton complete Johnson capture" (ภาษาอังกฤษ). 2006-05-30. สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- "Yakubu joins Everton for £11.25m" (ภาษาอังกฤษ). 2007-08-29. สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- "Everton smash record for Fellaini" (ภาษาอังกฤษ). 2008-09-02. สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- "Round appointed Man Utd assistant". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- "Roberto Martínez says his aim is to take Everton into the Champions League". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2013-06-05.
- "Hull City 0-2 Everton". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- UEFA.com. "Dynamo Kyiv-Everton 2015 History | UEFA Europa League". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Roberto Martínez sacked by Everton after disappointing season". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2016-05-12.
- "Everton confirm Koeman appointment". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- "Koeman sacked as Everton manager". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- "Everton aiming to appoint Marco Silva after sacking Sam Allardyce". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2018-05-16.
- "Everton appoint Marco Silva and expect 'attractive, attacking football'". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2018-05-31.
- "Everton handed 2-year ban from signing academy players". FOX Sports (ภาษาอังกฤษ).
- "Club Statement". www.evertonfc.com (ภาษาอังกฤษ).
- "'The perfect appointment': Everton name Carlo Ancelotti as manager". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2019-12-21.
- "'Ancelotti exit a cold shower on Everton ambitions'". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- "Benitez Appointed Everton Manager". www.evertonfc.com (ภาษาอังกฤษ).
- . web.archive.org. 2011-06-05.
- . web.archive.org. 2011-06-05.
- "Everton motto to return after fans condemn badge redesign". BBC News (ภาษาอังกฤษ). 2013-09-19. สืบค้นเมื่อ 2021-12-09.
- "Everton History | ToffeeWeb". www.toffeeweb.com.
- . web.archive.org. 2014-07-14.
- . web.archive.org. 2006-08-09.
- . web.archive.org. 2006-08-09.
- "Football". mirror (ภาษาอังกฤษ).
- Groom, Andy (2014). The Illustrated Everton Story. Andrews UK Limited.
- . web.archive.org. 2012-09-07.
- "Everton Breaks Ground On New Stadium". www.evertonfc.com (ภาษาอังกฤษ).
- "WATCH: Key Milestone For Everton's New Stadium". www.evertonfc.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Everton Football Club". www.evertonfc.com (ภาษาอังกฤษ).
- . web.archive.org. 2006-08-20.
- Usa, Everton (2013-01-05). "Everton USA: US Everton FC Supporters Clubs". Everton USA.
- . web.archive.org. 2006-08-20.
- "Malaysia Toffees". malaysiantoffees.blogspot.com (ภาษาอังกฤษ).
- . web.archive.org. 2006-08-20.
- . web.archive.org. 2006-04-24.
- "First team". Everton F.C. สืบค้นเมื่อ 15 July 2019.
- O'Keeffe, Greg (8 March 2012). "Everton FC agree three-year kit deal with US sportswear giant Nike". Liverpool Echo. สืบค้นเมื่อ 8 June 2012.
แหล่งข้อมูลอื่น
- www.evertonfc.com (อังกฤษ) Official Website
- สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ที่เฟซบุ๊ก
- th.evertonfc.com 2013-08-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรเอฟเวอร์ตัน ภาคภาษาไทย
- www.facebook.com/evertonfcthailand แฟนเพจอย่างเป็นทางการของสโมสรเอฟเวอร์ตัน ภาคภาษาไทย
- www.toffeweb.com
- www.bluesblood.com Evertonians Thailand Fan Club ได้รับการรับรองให้เป็นแฟนคลับอย่างเป็นทางการจากสโมสรเอฟเวอร์ตัน
- www.evertonthailand.com 2013-07-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Everton Thailand Website เว็บไซต์แฟนเอฟเวอร์ตัน ภาคภาษาไทย
- www.facebook.com/Everton.Thailand Facebook Everton Thailand แฟนเพจ ภาคภาษาไทย