ฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ อยู่ภายใต้การบริหารของ(สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์)
![]() | ||||
(ฉายา) | ช้างศึก | |||
---|---|---|---|---|
สมาคม | (สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์) | |||
สมาพันธ์ย่อย | (สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน) (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) | |||
สมาพันธ์ | (สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย) (ทวีปเอเชีย) | |||
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | (มาซาทาดะ อิชิอิ) | |||
กัปตัน | (ธีราทร บุญมาทัน) | |||
สูงสุด | (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) (134) | |||
ทำประตูสูงสุด | (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) (71) | |||
สนามเหย้า | (ราชมังคลากีฬาสถาน) | |||
(รหัสฟีฟ่า) | THA | |||
| ||||
(อันดับฟีฟ่า) | ||||
อันดับปัจจุบัน | 101 | |||
อันดับสูงสุด | 43 (กันยายน พ.ศ. 2541) | |||
อันดับต่ำสุด | 165 (ตุลาคม พ.ศ. 2558) | |||
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก | ||||
(กรุงเทพ ประเทศไทย; 20 สิงหาคม พ.ศ. 2491) | ||||
ชนะสูงสุด | ||||
(กรุงเทพ ประเทศไทย; 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2514) | ||||
แพ้สูงสุด | ||||
((เมลเบิร์น) ประเทศออสเตรเลีย; 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499) | ||||
(เอเชียนคัพ) | ||||
เข้าร่วม | 8 (ครั้งแรกใน (1972)) | |||
ผลงานดีที่สุด | อันดับที่ 3 ((1972)) | |||
(ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน) | ||||
เข้าร่วม | 14 (ครั้งแรกใน (1996)) | |||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ ((1996), (2000), (2002), (2014), (2016), (2020), (2022)) |
ทีมชาติไทยเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยชนะเลิศ(ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน) 7 สมัย และ(ซีเกมส์) 9 สมัย (นับเฉพาะทีมชาติชุดใหญ่) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในทั้งสองรายการ แต่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จในระดับทวีปและระดับโลก โดยผลงานที่ดีที่สุดคือการคว้าอันดับสามในรายการ(เอเชียนคัพ 1972) ในฐานะเจ้าภาพ อันดับสี่ใน(เอเชียนเกมส์) 2 ครั้ง และเข้าร่วมการแข่งขัน(โอลิมปิกฤดูร้อน) 2 ครั้ง (อันดับโลกฟีฟ่า)ที่ดีที่สุดของทีมชาติไทย คือ อันดับที่ 43 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 101 ของโลก ทีมชาติไทยยังไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มีผลงานที่ดีที่สุดคือการผ่านเข้าถึงรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ใน พ.ศ. 2545 และ 2561
ประวัติ
พ.ศ. | เหตุการณ์ |
---|---|
2459 | ก่อตั้ง |
2468 | เข้าร่วมฟีฟ่า |
2500 | เข้าร่วม(เอเอฟซี) |
2537 | เข้าร่วม(เอเอฟเอฟ) |
ก่อตั้งทีม (2458–2482)
ฟุตบอลทีมชาติไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2458 ในนาม คณะฟุตบอลสำหรับชาติสยาม โดยนักฟุตบอลทีมชาติสยาม 11 คนแรก มีรายชื่อดังนี้ (ผู้รักษาประตู) – , , (กองหลัง) – , (กองกลาง) – (หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร), , , , (กองหน้า) และลงเล่นในการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรกพบกับทีมสปอร์ตคลับฝ่ายยุโรปซึ่งใช้นักเตะอังกฤษทั้งหมด โดยแข่งขันกันที่สนาม(ราชกรีฑาสโมสร) ในวันที่ 20 ธันวาคม 2458 ซึ่งทีมชาติสยามเอาชนะไปได้ 2–1 จากชัยชนะดังกล่าวทำให้กระแสความสนใจในกีฬาฟุตบอลในสยามประเทศเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ กระทั่งวันที่ 25 เมษายน 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามฯ ขึ้นอย่างเป็นทางการพร้อมทั้งตราข้อบังคับสมาคมฯ และแต่งตั้งคณะสภากรรมการชุดแรก ประกอบด้วย(ข้าราชการ)ชั้นผู้ใหญ่ 7 ท่าน โดยมี เป็นนายกสภาฯ และ เป็นเลขาธิการ ในปีเดียวกันได้ริเริ่มจัดการแข่งขันฟุตบอลถ้วยใหญ่ ((ถ้วยพระราชทาน ก)) และฟุตบอลถ้วยน้อย (ถ้วยพระราชทาน ข) ขึ้นเป็นครั้งแรก
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2459
- คณะฟุตบอลชาติสยามในช่วงแรกของการก่อตั้ง
ทีมชาติสยามได้ลงแข่งขันในเกมระหว่างประเทศครั้งแรกในปี 2473 พบกับทีมชาติ(อินโดจีน) ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่น(เวียดนามใต้) และ ฝรั่งเศส เพื่อต้อนรับการเสด็จประพาสอินโดจีนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยต่อมาชื่อของทีมชาติและชื่อของสมาคมได้ถูกเปลี่ยนชื่อในปี 2482 เมื่อรัฐบาล (จอมพล แปลก พิบูลสงคราม) ประกาศนโยบาย “(รัฐนิยม)” ฉบับแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2481 ให้เปลี่ยนชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ จาก “สยาม” เป็น “ไทย” จึงเป็นสาเหตุให้มีการเปลี่ยนชื่อจากสมาคมฟุตบอลแห่งชาติสยามเป็นสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อฟุตบอลทีมชาติสยามเป็นฟุตบอลทีมชาติไทยมาจนถึงปัจจุบัน
การแข่งขันโอลิมปิกและซีเกมส์
ในปี 2499 (พล.ต.เผชิญ นิมิบุตร) ซึ่งเป็นนายกสมาคม ได้มีการหาผู้เล่นจากหลายสโมสรเพื่อจัดตั้งทีมที่จะลงแข่งขัน(โอลิมปิกฤดูร้อน 1956) ที่เมือง(เมลเบิร์น) ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นครั้งแรกของทีมชาติไทยที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิก ในการแข่งขันครั้งนั้นเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออก โดยทีมไทยซึ่งมี เป็น(ผู้ฝึกสอน)คนแรก จับฉลากพบกับทีม(สหราชอาณาจักร) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยทีมไทยแพ้ไป 0–9 (นับเป็นความพ่ายแพ้ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์) และตกรอบทันที โดย ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน ได้พาดหัวข่าวหน้ากีฬาว่า "ทีมชาติอังกฤษเฆี่ยนทีมชาติไทย 9–0" ซึ่งภายหลังจบการแข่งขัน (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) ทรงมีรับสั่งถึงสมาคมฟุตบอลฯ ให้ส่ง พล.ต.ดร. หนึ่งในนักฟุตบอลชุดโอลิมปิกไปศึกษาพื้นฐานการเล่นฟุตบอลจากประเทศเยอรมนี เพื่อให้กลับมาสอนการเล่นฟุตบอลให้แก่ทีมไทย
จนกระทั่งในปี 2508 ทีมชาติไทยก็สามารถคว้าเหรียญทองแรกในกีฬาแหลมทอง (ปัจจุบันคือกีฬาซีเกมส์) (ครั้งที่ 3) ที่กรุง(กัวลาลัมเปอร์) ประเทศมาเลเซีย ได้สำเร็จ และหากนับจนถึงปัจจุบันทีมชาติไทยสามารถคว้าแชมป์ซีเกมส์ได้รวม 16 สมัย ถือเป็นสถิติสูงสุด (รวมทั้งทำสถิติคว้าแชมป์ติดต่อกัน 8 สมัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2536–2550) ทีมชาติไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนเป็นครั้งที่สองในปี 2511 ภายใต้การคุมทีมของ (พลเอก ประเทียบ เทศวิศาล โ)ดยแพ้(บัลแกเรีย) 0–7, แพ้กัวเตมาลา 1–4 และแพ้เช็กโกสโลวาเกีย 0–8 ตกรอบแรกในการแข่งขัน และนั่นเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันในโอลิมปิกเป็นครั้งล่าสุดของทีมชาติไทยจนถึงปัจจุบัน
การแข่งขันเอเชียนคัพ, คิงส์คัพ, เอเชียนเกมส์ และ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน
ในปี 2515 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอล(เอเชียนคัพ 1972) ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งที่ 5 โดยทีมชาติไทยได้อันดับที่ 3 โดยยิง(ลูกโทษ)ตัดสินเอาชนะ(กัมพูชา) 5–3 หลังจากเสมอกัน 2–2
ในปี 2519 ทีมชาติไทยได้แชมป์(คิงส์คัพ)เป็นสมัยแรกโดยเป็นแชมป์ร่วมกับ(ทีมชาติมาเลเซีย) ภายหลังจากที่มีการเริ่มมีการจัดคิงส์คัพในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2511 โดยต่อมาทีมชาติไทยได้เป็นแชมป์คิงส์คัพรวมทั้งสิ้น 11 ครั้ง
สำหรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ทีมชาติไทยยังไม่เคยคว้าแชมป์ โดยความสำเร็จสูงสุดคือเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่ (กรุงปักกิ่ง) ประเทศจีน ในปี 2533 เช่นเดียวกับเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ที่ กรุงเทพมหานคร ในปี 2541 และเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 14 ที่ (ปูซาน) ประเทศเกาหลีใต้ ในปี 2545 และล่าสุดในเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 15 ที่ (โดฮา) ประเทศกาตาร์ ในปี 2549 ทีมชาติไทยทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการเป็นทีมเดียวในอาเซียนที่ผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และยังผ่านเข้ารอบโดยเป็นที่ 1 ของกลุ่ม
ในปี 2537 ทีมชาติไทยได้ร่วมก่อตั้ง(สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน) (เอเอฟเอฟ) ร่วมกับอีก 9 ประเทศในภูมิภาค(อาเซียน) นอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการเชิญสโมสรชั้นนำจากทั่วโลกมาแข่งขันในประเทศไทยหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ (เอฟซีปอร์โต) (2540) (อินเตอร์มิลาน) (2540) (โบคาจูเนียร์) (2540) ลิเวอร์พูล (2544) (นิวคาสเซิลยูไนเต็ด) (2547) (เอฟเวอร์ตัน) (2548) โบลตันวันเดอร์เรอร์ (2548) (แมนเชสเตอร์ซิตี) (2548 ที่ไทย และ 2550 ที่อังกฤษ) รวมถึง(เรอัลมาดริด), บาร์เซโลนา, เชลซี และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ถัดมาในปี 2539 ทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของ(ธวัชชัย สัจจกุล) ได้มีผู้เล่นชื่อดังหลายคน อาทิ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง), (ตะวัน ศรีปาน), (ดุสิต เฉลิมแสน), (นที ทองสุขแก้ว), และ (เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์) จนได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น "ทีมชาติไทยชุดดรีมทีม (Dream Team)" โดยมีผลงานโดดเด่นคือการชนะเลิศรายการ (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน) (ปัจจุบันคือรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ) ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยชนะมาเลเซียในรอบชิงชนะเลิศ 1–0 คว้าแชมป์สมัยแรก
ทีมอันดับหนึ่งของอาเซียน (2540–2560)
ต่อมา ในการแข่งขัน(ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2541) ได้มีเหตุการณ์สำคัญในนัดที่ทีมไทยพบกับอินโดนีเซียในรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย โดยทั้งสองทีมต่างก็ไม่ต้องการชนะ เพื่อจะได้เลี่ยงการพบเจ้าภาพเวียดนามในรอบรองชนะเลิศ เนื่องจากผู้ชนะของกลุ่มต้องเดินทางไกลจาก(โฮจิมินห์)ไปแข่งกับเวียดนามที่ฮานอย ซึ่งก่อนเกมทีมไทยต้องการเล่นเอาผลเสมอเพื่อเข้ารอบเป็นอันดับสอง ในขณะที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มต้องการแพ้และให้ทีมไทยเป็นอันดับหนึ่งแทน การแข่งขันจบลงโดยไทยชนะ 3–2 โดยผู้เล่นอินโดนีเซียเจตนาทำเข้าประตูตัวเองในช่วงทดเวลา และฟีฟ่าได้ลงโทษทั้งสองทีมโดยปรับเงิน 40,000 ดอลลาร์ และทีมไทยเข้าไปแพ้เวียดนาม 0–3 ก่อนที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันในปี 2543 และชนะอินโดนีเซียในรอบชิงชนะเลิศที่(ราชมังคลากีฬาสถาน) 4–1 และป้องกันแชมป์ได้อีกครั้งในปี 2545 ชนะจุดโทษอินโดนีเซียเจ้าภาพร่วมไปได้อีกครั้ง หลังเสมอกัน 2–2 คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 3
อย่างไรก็ตาม ทีมชาติไทยทำผลงานย่ำแย่ในเอเชียนคัพ ปี 2547 โดยตกรอบแบ่งกลุ่ม และแพ้รวดสามนัดที่พบกับญี่ปุ่น อิหร่าน และโอมาน ถือเป็นผลงานในเอเชียนคัพที่ย่ำแย่ที่สุดของทีม ก่อนจะทำผลงานดีขึ้นในการแข่งขันปี (2550) ในฐานะเจ้าภาพร่วมและมีลุ้นเข้ารอบจนถึงนัดสุดท้าย ด้วยการเสมออิรัก, ชนะโอมาน ก่อนจะแพ้ออสเตรเลีย ซึ่งในรายการนั้นยังเป็นการอำลาทีมชาติของผู้เล่นคนสำคัญ ได้แก่ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง), (ตะวัน ศรีปาน) และ (พิพัฒน์ ต้นกันยา)
![image](https://www.wiki3.th-th.nina.az/image/aHR0cHM6Ly93d3cud2lraTMudGgtdGgubmluYS5hei9pbWFnZS9hSFIwY0hNNkx5OTFjR3h2WVdRdWQybHJhVzFsWkdsaExtOXlaeTkzYVd0cGNHVmthV0V2ZEdndmRHaDFiV0l2TXk4ek15OVVhR0ZwYkdGdVpGOXVZWFJwYjI1aGJGOTBaV0Z0TG5CdVp5OHhOVEJ3ZUMxVWFHRnBiR0Z1WkY5dVlYUnBiMjVoYkY5MFpXRnRMbkJ1Wnc9PS5wbmc=.png)
ในปี 2551 ไทยตกรอบฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในรอบ 20 ทีมสุดท้าย โดยได้อยู่สายเดียวกับญี่ปุ่น (โอมาน) (บาห์เรน) โดยมีผลงานคือเสมอ 1 นัด และแพ้ไปถึง 5 นัด ทำให้ชาญวิทย์ ผลชีวิน ลาออก หลังจากนั้น (ปีเตอร์ รีด) อดีตนักเตะสโมสร(เอฟเวอร์ตัน)และทีมชาติอังกฤษได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ฝึกสอนต่อ แต่ทีมชาติไทยก็พลาดแชมป์สำคัญในรายการ(อาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ 2007) โดยแพ้(เวียดนาม)รวมผลประตูสองนัด 2–3 และยังพลาดแชมป์คิงส์คัพโดยดวลจุดโทษแพ้(ทีมชาติเดนมาร์ก) ทำให้ในเดือนกันยายน 2552 ปีเตอร์ รีด ถูกปลด
ในวันที่ 23 กันยายน 2552 (ไบรอัน ร็อบสัน) ได้เข้ามาทำหน้าที่ผู้ฝึกสอน และในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 ร็อบสันนำทีมชาติไทยคว้าชัยชนะนัดแรกในการแข่งขัน(เอเชียนคัพ 2011) รอบคัดเลือกโดยชนะ(สิงคโปร์) 3–1 แต่ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ร็อบสันนำทีมไทยแพ้นัดแรกต่อสิงคโปร์เช่นกันด้วยผลประตู 0–1 โดยเป็นการแพ้ที่ประเทศไทย ต่อมา ทีมชาติไทยสามารถยันเสมอกับจอร์แดนและอิหร่าน 0–0 ทั้งสองนัดในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้
ในวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ร็อบสันนำทีมชาติไทยชนะสิงคโปร์ 1–0 ในการแข่งขันกระชับมิตรที่ประเทศไทย ถัดมา ในเดือนกันยายน ร็อบสันก็นำทีมเอาชนะ(อินเดีย)ได้ 2–1 ในการแข่งขันกระชับมิตรเช่นกัน แต่ในเดือนธันวาคม ทีมไทยทำผลงานน่าผิดหวังในการตกรอบแบ่งกลุ่ม(เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2010) โดยเสมอ 2 นัดกับ(ลาว) และ (มาเลเซีย) และแพ้(อินโดนีเซีย) ทำให้ร็อบสันถูกยกเลิกสัญญา
ในเดือนมิถุนายน 2554 (วินฟรีด เชเฟอร์) อดีตผู้จัดการทีม(เฟาเอฟเบชตุทท์การ์ท)ในบุนเดิสลีกา และอดีตผู้ฝึกสอน(ทีมชาติแคเมอรูน) ได้เข้ามาเป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย โดยงานแรกคือการนำทีมไทยไปแข่งขัน(ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก) โดยนัดแรก ไทยบุกไปแพ้(ออสเตรเลีย) 1–2 และในนัดต่อมาเอาชนะ(โอมาน)ได้ 3–0 โดยเป็นชัยชนะนัดที่สองของทีมในการแข่งขันรอบคัดเลือกครั้งนี้ ซึ่งนัดแรกคือการชนะปาเสลสไตน์ 3–2 ในรอบคัดเลือกรอบที่ 2 และยังสามารถยันเสมอกับ(ซาอุดีอาระเบีย)ได้ 0–0 ในนัดถัดมา ก่อนจะแพ้ 3 นัดรวด ยุติเส้นทางการแข่งขันไว้ที่รอบคัดเลือกรอบที่ 3 ถัดมา ในการแข่งขัน (เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012) ทีมไทยเข้าชิงชนะเลิศกับสิงคโปร์ โดยในนัดแรก ไทยบุกไปแพ้ 1–3 และในนัดที่สองที่(กรีฑาสถานแห่งชาติ) ไทยชนะ 1–0 แต่รวมผลประตูสองนัดแพ้ 2–3 ได้แค่รองแชมป์ ต่อมา เชเฟอร์นำทีมไปแข่ง(เอเชียนคัพ 2015) รอบคัดเลือก ก่อนจะแพ้ทั้ง 2 นัด ทำให้เชเฟอร์ยกเลิกสัญญาในเดือนมิถุนายน 2556
ต่อมาทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แต่งตั้งร้อยตำรวจโท (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) อดีตนักฟุตบอลชื่อดังเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ โดยให้คุมทีมชุดรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีก่อน ซึ่งนัดแรกของเกียรติศักดิ์ในการคุมทีมชาติไทยคือการแข่งขันกระชับมิตรพบกับ(ทีมชาติจีน) โดยทีมชาติไทยบุกไปชนะจีนได้ถึง 5–1
![image](https://www.wiki3.th-th.nina.az/image/aHR0cHM6Ly93d3cud2lraTMudGgtdGgubmluYS5hei9pbWFnZS9hSFIwY0hNNkx5OTFjR3h2WVdRdWQybHJhVzFsWkdsaExtOXlaeTkzYVd0cGNHVmthV0V2WTI5dGJXOXVjeTkwYUhWdFlpOWxMMlV6THpJd01UUmZRVVpHWDFOMWVuVnJhVjlEYUdGdGNHbHZibk11YW5Cbkx6SXlNSEI0TFRJd01UUmZRVVpHWDFOMWVuVnJhVjlEYUdGdGNHbHZibk11YW5Cbi5qcGc=.jpg)
ในเดือนสิงหาคม 2556 ทางสมาคมได้แต่งตั้งให้ (สุรชัย จตุรภัทรพงษ์) อดีตนักฟุตบอลชื่อดังเป็นผู้ฝึกสอนและเตรียมทีมชาติไทยชุดใหญ่ไปแข่งกับทีมชาติอิหร่านในการแข่งขัน(เอเชียนคัพ 2015) รอบแบ่งกลุ่ม ก่อนที่เกียรติศักดิ์จะมาคุมทีมชุดใหญ่ต่อ และสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์(เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014) มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยเอาชนะมาเลเซียในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–3 ตามด้วยการคว้ารองแชมป์(คิงส์คัพ)ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ถัดมา ในปี 2559 ทีมชาติไทยเป็นแชมป์กลุ่มเอฟในการแข่งขัน(ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก รอบที่ 2) ผ่านเข้าสู่(รอบที่ 3) ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี และผ่านเข้าไปเล่น(เอเชียนคัพ 2019) ได้สำเร็จ ซึ่งยังเป็นการผ่านเข้าไปเล่นเอเชียนคัพได้เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี และยังคว้าแชมป์ได้อีก 2 รายการ คือ (คิงส์คัพ ครั้งที่ 44) และ(เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016) เอาชนะจอร์แดนและอินโดนีเซียตามลำดับ แต่ใน(รอบที่ 3) ของฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ทีมไทยทำผลงานย่ำแย่โดยนับจนถึงเดือนมีนาคม 2560 ทำได้เพียงเสมอ 1 นัด และแพ้รวดในนัดที่เหลือ ทำให้เกียรติศักดิ์ลาออก
![image](https://www.wiki3.th-th.nina.az/image/aHR0cHM6Ly93d3cud2lraTMudGgtdGgubmluYS5hei9pbWFnZS9hSFIwY0hNNkx5OTFjR3h2WVdRdWQybHJhVzFsWkdsaExtOXlaeTkzYVd0cGNHVmthV0V2WTI5dGJXOXVjeTkwYUhWdFlpOWhMMkZqTDFSb1lXbHNZVzVrWHpJd01UY3VhbkJuTHpJeU1IQjRMVlJvWVdsc1lXNWtYekl3TVRjdWFuQm4uanBn.jpg)
![image](https://www.wiki3.th-th.nina.az/image/aHR0cHM6Ly93d3cud2lraTMudGgtdGgubmluYS5hei9pbWFnZS9hSFIwY0hNNkx5OTFjR3h2WVdRdWQybHJhVzFsWkdsaExtOXlaeTkzYVd0cGNHVmthV0V2WTI5dGJXOXVjeTkwYUhWdFlpOWlMMkkyTDFSSVFTMUNTRkpmTWpBeE9UQXhNVEJmUVhOcFlXNWZRM1Z3WHpNdWFuQm5Mekl5TUhCNExWUklRUzFDU0ZKZk1qQXhPVEF4TVRCZlFYTnBZVzVmUTNWd1h6TXVhbkJuLmpwZw==.jpg)
ในเดือนพฤษภาคม 2560 (มิลอวัน ราเยวัตส์) อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติกานาซึ่งพาทีมผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย(ฟุตบอลโลก 2010) ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน และพาทีมไทยคว้าแชมป์(คิงส์คัพ ครั้งที่ 45) โดยชนะจุดโทษ(เบลารุส) แต่ผลงานโดยรวมยังไม่ดีขึ้น โดยแพ้ 8 นัด และเสมออีก 2 นัดรวมทุกรายการ ต่อมา ในปี 2561 ไทยลงแข่งขัน(คิงส์คัพ ครั้งที่ 46) โดยในนัดแรกเสมอ(กาบอง) 0–0 ก่อนจะชนะจุดโทษ แต่ไปแพ้(สโลวาเกีย) 2–3 ในรอบชิงชนะเลิศ ตามด้วยการตกรอบรองชนะเลิศ(เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018) โดยแพ้มาเลเซียด้วย(กฎประตูทีมเยือน) และในนัดแรกของ(เอเชียนคัพ 2019) ที่(สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ไทยถูกอินเดียถล่ม 1–4 ทำให้ราเยวัตส์ถูกปลด
สมาคมแต่งตั้ง (ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย) ขึ้นรักษาการเป็นผู้ฝึกสอนชั่วคราว และทีมไทยทำผลงานดีขึ้นกว่าเดิม โดยเอาชนะ(บาห์เรน) 1–0 และเสมอ(ยูเออี)เจ้าภาพ 1–1 ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จซึ่งนี่ถือเป็นการผ่านเข้ารอบแพ้คัดออก (Knockout) ในรายการนี้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2515 ก่อนจะแพ้จีน 1–2 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ต่อมา ในการแข่งขัน(คิงส์คัพ ครั้งที่ 47) ทีมไทยแพ้(เวียดนาม)และอินเดีย 0–1 ทั้งสองนัด จบเพียงอันดับ 4
สร้างทีมใหม่ (2562–ปัจจุบัน)
อากิระ นิชิโนะ และ อาเลชังดรี ปอลกิง
ทีมชาติไทยแต่งตั้ง (อากิระ นิชิโนะ) อดีตนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนทีมชาติญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทั้งทีมชาติชุดใหญ่และ(ทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี) โดยเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเขาถือเป็นผู้ฝึกสอนชาวเอเชียคนแรก (ที่ไม่ใช่ชาวไทย) ที่ได้เป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ในวันที่ 24 มกราคม 2563 นิชิโนะได้รับการขยายสัญญาไปถึงปี 2565 แต่ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ทีมชาติไทยได้ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับนิชิโนะ เนื่องจากผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายในการแข่งขัน(ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก)
ในวันที่ 29 กันยายน 2564 ทีมชาติไทยแต่งตั้ง (อาเลชังดรี ปอลกิง) อดีตผู้ฝึกสอนในไทยลีกเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ โดยงานแรกของปอลกิงคือการพาทีมลงแข่งขัน (เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020) ในเดือนธันวาคม โดยทีมชาติไทยผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยการชนะ 4 นัดรวด และเอาชนะเวียดนามในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 2–0 ผ่านเข้าไปพบกับอินโดนีเซียในรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 4 ในรายการนี้ และชนะไปด้วยผลประตูรวมสองนัด 6–2 คว้าแชมป์สมัยที่ 6 ต่อมา ในเดือนมิถุนายน 2565 ทีมชาติไทยลงแข่งขัน(เอเชียนคัพ 2023 รอบคัดเลือก – รอบที่ 3) และผ่านเข้าไปเล่น(รอบสุดท้าย)ได้เป็นครั้งที่แปดจากผลงานชนะสองนัด (พบ(มัลดีฟส์) และ (ศรีลังกา)) และแพ้หนึ่งนัด (พบ(อุซเบกิสถาน)) ตามด้วยการแข่งขัน(คิงส์คัพ ครั้งที่ 48) ระหว่างวันที่ 22–25 กันยายน 2565 มีผลงานคือการคว้าอันดับสามโดยแพ้มาเลเซียในนัดแรกจากการดวลจุดโทษ หลังจากเสมอกันด้วยผลประตู 1–1 และเอาชนะ(ตรินิแดดและโตเบโก)ในนัดชิงอันดับสามด้วยผลประตู 2–1
ทีมชาติไทยประสบความสำเร็จในการป้องกันแชมป์(ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2022) ในเดือนมกราคม 2566 โดยเข้ารอบเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มจากการชนะ 3 นัด และเสมอ 1 นัด ตามด้วยการชนะมาเลเซียในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 3–1 และเอาชนะเวียดนามในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลรวมสองนัด 3–2 คว้าแชมป์สมัยที่ 7 ต่อมา ไทยลงแข่ง(ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49) แต่ทำได้เพียงรองแชมป์โดยแพ้การดวลจุดโทษอิรักหลังเสมอกันในเวลาปกติด้วยผลประตู 2–2 ถัดมาในเดือนตุลาคม 2566 ทีมไทยมีโปรแกรมลงแข่งกระชับมิตรที่ทวีปยุโรปสองนัดโดยพบ(ทีมชาติจอร์เจีย)และ(ทีมชาติเอสโตเนีย) โดยปราศจากผู้เล่นตัวหลักหลายรายและต้องใช้ผู้เล่นดาวรุ่ง ในวันที่ 12 ตุลาคม 2566 ทีมชาติไทยต้องพบความพ่ายแพ้ที่มากที่สุดในศตวรรษที่ 21 โดยแพ้จอร์เจียด้วยผลประตู 0–8 ณ เมือง(ทบิลีซี) ต่อมา ทีมชาติไทยลงแข่งขัน(ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2) โดยมีทีมร่วมกลุ่มได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และจีน ทีมไทยมีเป้าหมายคือการจบอันดับสองของกลุ่มเพื่อผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบที่ 3 แต่พวกเขาลงประเดิมสนามนัดแรกด้วยการเปิดบ้านแพ้จีนด้วยผลประตู 1–2 แม้จะแก้ตัวได้ในนัดต่อมาจากการบุกไปชนะสิงคโปร์ด้วยผลประตู 3–1 และขึ้นไปอยู่อันดับสองของกลุ่มด้วยผลต่างประตูได้–เสียที่ดีกว่าจีน แต่ปอลกิงก็ถูกปลด
มาซาตาดะ อิชิอิ
สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยแต่งตั้ง(มาซาตาดะ อิชิอิ) เป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ โดยอิชิอิถือเป็นผู้ฝึกสอนชาวญี่ปุ่นคนที่สองต่อจากนิชิโนะที่ได้คุมทีมชาติไทย เขาพาทีมลงแข่งขันนัดแรกในเกมกระชับมิตรพบทีมชาติญี่ปุ่น และแพ้ไปอย่างขาดลอยด้วยผลประตู 0–5 ตามด้วย(เอเชียนคัพ 2023) ที่ประเทศกาตาร์ โดยทีมไทยอยู่ร่วมกลุ่มกับ(คีร์กีซสถาน), (โอมาน) และซาอุดีอาระเบีย ทีมชาติไทยลงประเดิมสนามนัดแรกด้วยการเอาชนะคีร์กีซสถานด้วยผลประตู 2–0 ซึ่งถือเป็นชัยชนะในนัดเปิดสนามเป็นครั้งแรกในรายการนี้ ต่อมา ทีมไทยพบกับทีมที่แข็งแกร่งกว่าอย่างโอมานซึ่งคุมทีมโดย ผู้ฝึกสอน ผู้มีประสบการณ์ในด้านการคุมทีมในทวีปเอเชีย และไม่เคยแพ้ทีมไทยตลอดอาชีพการคุมทีม และการแข่งขันจบลงด้วยผลเสมอ 0–0 และในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ทีมไทยทำผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งในการแข่งขันเอเชียนคัพสมัยใหม่ โดยเสมอทีมใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบีย 0–0 รวมทั้งรอดพ้นการเสียประตูจากการป้องกันลูกโทษโดย(สรานนท์ อนุอินทร์) ยุติการแพ้ซาอุดีอาระเบียอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 อย่างไรก็ตาม ทีมไทยต้องยุติเส้นทางด้วยการแพ้(อุซเบกิสถาน)ในรอบ 16 ทีมด้วยผลประตู 1–2 แม้จะตกรอบแต่ทีมชุดนี้ก็ได้รับเสียงชื่นชมในด้านวิธีการเล่น และผู้ฝึกสอนอย่างอิชิอิได้รับการยกย่องในด้านการวางรูปแบบการเล่น อิชิอิได้รับสัญญาระยะยาวเพื่อช่วยทีมผ่านเข้ารอบสองรายการสำคัญ ได้แก่ ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และ (เอเชียน คัพ 2027) ก่อนที่ทีมไทยจะตกรอบการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 จากการมี 8 คะแนนเท่ากับจีนแต่ไทยมีผลงานการพบกันที่เป็นรอง (เสมอ 1 และ แพ้ 1) แม้ทีมไทยจะเอาชนะสิงคโปร์ในนัดสุดท้ายด้วยผลประตู 3–1
ภาพลักษณ์ทีม
ชุดแข่งขัน
![image](https://www.wiki3.th-th.nina.az/image/aHR0cHM6Ly93d3cud2lraTMudGgtdGgubmluYS5hei9pbWFnZS9hSFIwY0hNNkx5OTFjR3h2WVdRdWQybHJhVzFsWkdsaExtOXlaeTkzYVd0cGNHVmthV0V2WTI5dGJXOXVjeTkwYUhWdFlpOWpMMk0xTHpFNU5qaGZkR1ZoYlY5emFHbHlkQzVxY0djdk1qSXdjSGd0TVRrMk9GOTBaV0Z0WDNOb2FYSjBMbXB3Wnc9PS5qcGc=.jpg)
แต่เดิมชุดแข่งขันของฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดที่หนึ่งประกอบด้วย เสื้อสีแดง กางเกงสีแดง และถุงเท้าสีแดง ส่วนชุดที่สองประกอบด้วย เสื้อ(สีน้ำเงิน) กางเกงสีน้ำเงิน และ ถุงเท้าสีน้ำเงิน (เอฟบีที)เป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันตั้งแต่ปี 2545–2550 ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 (ไนกี้) เข้ามาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันของทีมชาติไทย และในเดือนตุลาคม (สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ) ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่งไปยัง (สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ) (ฟีฟ่า) เป็นเสื้อ(สีเหลือง) กางเกงสีเหลือง และถุงเท้าสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาส (พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา) ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ประชุมกรรมการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มีมติให้ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่งไปยังฟีฟ่า กลับมาเป็นเสื้อสีแดง กางเกงสีแดงและถุงเท้าสีแดงอีกครั้ง
ทีมชาติไทยเซ็นสัญญากับ(แกรนด์สปอร์ต)ด้วยสัญญามูลค่า 96 ล้านบาทในการเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันตั้งแต่ปี 2555–2559 และในปี 2560 (วอริกซ์ สปอร์ต)เข้ามาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันรายล่าสุดจนถึงปัจจุบัน โดยในปีนั้น สมาคมฯ ได้ขอทางฟีฟ่าเปลี่ยนสีเสื้อทั้งเหย้าและเยือนเป็นสีดำและขาว เพื่อเป็นการถวายความอาลัยต่อ(การสวรรคต)ของรัชกาลที่ 9 เป็นเวลา 1 ปี
ถัดมาในปี 2561 ทีมชาติไทยทำการเปิดตัวชุดแข่งขันทีมเหย้าสีน้ำเงิน, ชุดทีมเยือนสีแดง รวมถึงชุดแข่งขันที่สามซึ่งเป็นสีขาว/ดำ เพื่อใช้ในการแข่งขัน(เอเชียนคัพ 2019) รวมถึง(ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47) และในปีเดียวกันนั้น วอริกซ์ได้เปิดตัวชุดแข่งขันใหม่อีกครั้งเป็นเสื้อสีเหลืองและกางเกงสีขาว เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) เนื่องในโอกาส(พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562).
สัญลักษณ์บนอกเสื้อของนักฟุตบอลทีมชาติอย่าง “โลโก้ช้างศึก” เป็นภาพลักษณ์สำคัญอีกประการหนึ่ง โดยสัญลักษณ์นี้ออกแบบมาด้วยความเรียบง่ายแต่ทันสมัย ตัวช้างศึกมีสัณฐานที่สง่างาม แข็งแรง และน่าเกรงขาม แต่ก่อนที่จะมีโลโก้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทีมชาติไทยเคยใช้ตราสัญลักษณ์แบบอื่นมาก่อน โลโก้แรกสุดคือ “ตราพระมหามงกุฎ” ที่ได้รับพระราชทานเมื่อปี พ.ศ. 2458 ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “ธงไตรรงค์” ในปี พ.ศ. 2475 และก็ได้เปลี่ยนมาใช้สัญลักษณ์ “ช้างศึก (ช้างน้อย)” ในปี พ.ศ. 2545 เพื่อให้มีความเป็นสากลมากขึ้นผนวกกับความต้องการให้สื่อถึงประเทศไทยและมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นก็มีการปรับปรุงโลโก้อยู่หลายครั้ง เช่น การเพิ่มงา การปรับแถบสีธงชาติ การปรับตัวอักษร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2560 ก็มีการออกแบบตราสัญลักษณ์ช้างศึกอันโดดเด่นขึ้นมาใหม่ และด้วยเหตุนี้เองที่นักเตะทุกคนได้รับฉายานามว่าเป็นช้างศึกหรือขุนพลของไทย
นอกจากนี้ทีมชาติไทยยังมีภาพลักษณ์ที่เป็นสีสีนท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดอย่าง “มาสคอตไทยลีก” ซึ่งล่าสุดในปี พ.ศ. 2565 ได้ออกแบบให้มีรูปร่างเป็นช้างน้อยสุดน่ารักสอดคล้องกับฉายาขุนพลช้างศึกที่มีชื่อเล่นว่า “น้องจอมทัพ” โดยจะปรากฏตัวด้วยรอยยิ้มทุกครั้งก่อนนักกีฬาลงสนามเพื่อมอบความสุขให้กับบรรดาแฟน ๆ กีฬาทุกคน มาสคอตตัวนี้กลายเป็นลายเซ็นอันโดดเด่นของฟุตบอลทีมชาติไทยที่คอยมอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสร้างเสียงเชียร์อยู่เบื้องหลัง และจะกลายเป็นตัวแทนจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งและความสำเร็จของทีมไทยไม่ต่างจากมาสคอตฟุตบอลโลกที่เป็นตำนานมาแล้ว
สนามเหย้า
ปัจจุบันทีมชาติไทยใช้(ราชมังคลากีฬาสถาน)เป็นสนามเหย้า ความจุ 49,722 ที่นั่ง เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2541 เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬา(เอเชียนเกมส์ 1998) โดยทีมชาติไทยลงแข่งขัน ณ สนามแห่งนี้เป็นครั้งแรกในนัดที่เสมอกับทีมชาติคาซัคสถาน 1–1 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ซึ่งในยุคนั้นยังมีการใช้สนามเหย้าทั้ง(กรีฑาสถานแห่งชาติ) และราชมังคลากีฬาสถานสำหรับเกมนานาชาติสลับหมุนเวียนไป ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ราชมังคลากีฬาสถานเป็นสนามเหย้าของทีมชาติไทยในเกมระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการเพียงแห่งเดียว (อาจใช้สนามแห่งอื่นในบางโอกาส)
สนามที่ฟุตบอลทีมชาติไทยเคยใช้งาน | ||||
---|---|---|---|---|
รูปภาพ | สนาม | ความจุ | ที่ตั้ง | เกมล่าสุดที่ใช้งาน |
![]() | (ราชมังคลากีฬาสถาน) | 49,722 | (เขตบางกะปิ) กรุงเทพมหานคร (สนามของการกีฬาแห่งประเทศไทย) | v ![]() (26 มีนาคม 2567; (ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2)) |
![]() | (สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี) | 25,000 | อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ (สนามเหย้าของ(เชียงใหม่)) | v ![]() |
![]() | (สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ รังสิต) | 25,000 | (อำเภอคลองหลวง) จังหวัดปทุมธานี (สนามเหย้าของ(ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด)) | v ![]() (16 มกราคม 2566; (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2022)) |
![]() | (บีจีสเตเดียม) | 10,114 | (อำเภอธัญบุรี) จังหวัดปทุมธานี (สนามเหย้าของ(บีจี ปทุม ยูไนเต็ด)) | v ![]() (31 พฤษภาคม 2565; (เกมกระชับมิตร)) |
![]() | 9,773 | อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ (สนามของการกีฬาแห่งประเทศไทย) | v ![]() (27 พฤษภาคม 2565; เกมกระชับมิตร) | |
![]() | (ชลบุรี ยูทีเอ สเตเดียม) | 8,600 | (อำเภอเมืองชลบุรี) จังหวัดชลบุรี (สนามเหย้าของ ชลบุรี) | v ![]() (24 มีนาคม 2565; เกมกระชับมิตร) |
![]() | (ช้างอารีนา) | 32,600 | อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ (สนามเหย้าของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) | v ![]() (8 มิถุนายน 2562; (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47)) |
![]() | (สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี) | 15,000 | อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี (สนามเหย้าของ(สุพรรณบุรี)) | v ![]() (14 ตุลาคม 2561; (เกมกระชับมิตร)) |
![]() | (ธันเดอร์โดม สเตเดียม) | 15,000 | (อำเภอปากเกร็ด) จังหวัดนนทบุรี (สนามเหย้าของ(เมืองทอง ยูไนเต็ด)) | v ![]() (8 ตุลาคม 2560; เกมกระชับมิตร) |
![]() | (กรีฑาสถานแห่งชาติ) | 19,793 | เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร (ภายใต้การดูแลของ(กรมพลศึกษา)) | v ![]() (27 มีนาคม 2559; เกมกระชับมิตร) |
(สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวา 2550) | 24,641 | (อำเภอเมืองนครราชสีมา) จังหวัดนครราชสีมา (สนามเหย้าของ(นครราชสีมา มาสด้า)) | v ![]() (26 มีนาคม 2558; เกมกระชับมิตร) | |
(สนามสุระกุล) | 15,000 | (อำเภอเมืองภูเก็ต) จังหวัดภูเก็ต (สนามเหย้าของ (ภูเก็ต)) | v ![]() (10 ธันวาคม 2551; (เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2008)) | |
![]() | (สนามกีฬาติณสูลานนท์) | 45,000 | (อำเภอเมืองสงขลา) จังหวัดสงขลา (สนามเหย้าของ (สงขลา)) | v ![]() (19 ธันวาคม 2541; (เอเชียนเกมส์ 1998)) |
ศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ
ในปี 2565 สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เตรียมการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติแบบครบวงจรแห่งใหม่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 300 ไร่ ในโครงการ FIFA Forward 3.0 ต่อ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ภายในจะพื้นที่ศูนย์ฝึกจะประกอบไปด้วยสนามฟุตบอลมาตรฐานระดับฟีฟ่าตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ อาคารที่พัก อาคารสำนักงาน อาคารสำหรับวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬา และพื้นที่สาธารณะให้กับชุมชน เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมความสามารถ สนับสนุนกิจกรรมทุกด้าน และเตรียมความพร้อมให้นักฟุตบอลทีมชาติไทยทั้งชายและหญิง นักกีฬาเยาวชน ผู้ฝึกสอน กรรมการผู้ตัดสิน นักกายภาพบำบัด และการฝึกอบรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนากีฬาฟุตบอลในระดับภูมิภาค
คู่แข่งสำคัญ
ทีม | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ได้ | เสีย | ผลต่าง | เปอร์เซ็นต์ชนะ |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
![]() | 29 | 5 | 5 | 19 | 25 | 63 | −38 | 17.24 |
![]() | 97 | 29 | 31 | 37 | 136 | 140 | −4 | 29.90 |
![]() | 71 | 34 | 19 | 18 | 127 | 84 | +43 | 47.89 |
![]() | 63 | 34 | 17 | 12 | 109 | 62 | +47 | 53.97 |
![]() | 50 | 22 | 14 | 14 | 99 | 62 | +37 | 44.00 |
![]() | 27 | 4 | 3 | 20 | 27 | 58 | −31 | 14.81 |
![]() | 11 | 6 | 0 | 5 | 23 | 20 | +3 | 54.55 |
![]() | 26 | 15 | 8 | 3 | 45 | 19 | +26 | 57.69 |
ทีมชาติไทยมีคู่ปรับสำคัญใน(สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (เวียดนาม), (มาเลเซีย), (อินโดนีเซีย), (สิงคโปร์) และ(พม่า)
มาเลเซียเป็นชาติที่มีสถิติการพบกับทีมชาติไทยมากที่สุดจำนวน 97 ครั้ง โดยก่อนที่มาเลเซียจะประสบเหตุการณ์อื้อฉาวจากการติดสินบนการแข่งขันภายในประเทศในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งทำให้วงการฟุตบอลมาเลเซียตกต่ำลงนั้น พวกเขาถือเป็นคู่แข่งสำคัญที่ทีมไทยเอาชนะได้ยากที่สุด และไทยไม่สามารถบุกไปชนะที่ประเทศมาเลเซียได้เลยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา และมาเลเซียยังมีสถิติการพบกันในทุกรายการที่เหนือกว่าทีมชาติไทย โดยเอาชนะไปได้ 37 ครั้ง, เสมอ 31 ครั้ง และแพ้ 29 ครั้ง
สิงคโปร์ถือเป็นชาติคู่แข่งของทีมชาติไทยมาหลายทศวรรษเช่นกัน โดยสิงคโปร์เป็นชาติที่ชนะเลิศรายการ(ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน)มากที่สุดเป็นอันดับสอง (4 สมัย) รองจากไทย (7 สมัย) และทั้งคู่ต่างก็เป็นหนึ่งในมหาอำนาจในภูมิภาคตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 ทีมไทยมีสถิติการพบกันที่เหนือกว่า โดยชนะ 39 ครั้ง, เสมอ 18 ครั้ง และแพ้ 11 ครั้ง นโยบายการพัฒนาทีมฟุตบอลของทั้งสองชาตินั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง โดยทีมไทยอาศัยการพัฒนาผู้เล่นในประเทศเป็นหลัก ในขณะที่สิงคโปร์เน้นนโยบายการพึ่งพานักเตะต่างชาติซึ่งโอนสัญชาติ
(การแข่งขันฟุตบอลระหว่างไทยกับเวียดนาม) ได้ยกระดับความเข้มข้นขึ้นตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ในอดีตตั้งแต่ช่วงที่เวียดนามแยกประเทศ และมีทีมฟุตบอลสองทีมคือ(เวียดนามเหนือ) และ(เวียดนามใต้) ไทยมีสถิติการพบกันที่เป็นรองเวียดนามใต้อย่างมาก โดยเอาชนะได้เพียง 4 ครั้งเท่านั้นจาก 27 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ทีมไทยมีสถิติที่เหนือกว่าเวียดนามมากนับตั้งแต่มีการรวมประเทศเวียดนาม โดยเอาชนะได้ 15 ครั้ง แพ้เพียง 3 ครั้ง แต่เวียดนามก็ถือเป็นชาติที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อแย่งความสำเร็จจากทีมชาติไทยในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนได้ รวมทั้งแย่งการเป็นทีมอันดับหนึ่งในภูมิภาคในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชัยชนะที่สำคัญที่เวียดนามมีต่อทีมชาติไทยคือรอบชิงชนะเลิศ(ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2008)
(สงครามพม่า–สยาม) ส่งผลให้การแข่งขันระหว่างทีมชาติไทยและพม่ามีความเข้มข้นมาถึงปัจจุบัน พม่าเคยเป็นทีมมหาอำนาจในภูมิภาคในช่วงทศวรรษ 1960–70 ก่อนจะตกต่ำลงจากสถานการณ์ในประเทศในยุคของ(เนวี่น) การพัฒนากีฬาฟุตบอลของพม่าก็ชะงักลง ทำให้ทีมไทยมีผลงานที่เหนือกว่ามากในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของความสำเร็จและผลการแข่งขันระหว่างสองทีม
อินโดนีเซียพบกับทีมชาติไทยในรายการสำคัญหลายครั้ง โดยเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศ(ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2000), (2002), (2016) และ (2020) ซึ่งทีมชาติไทยสามารถเอาชนะและคว้าแชมป์ไปได้ทั้ง 4 ครั้ง และไทยมีสถิติที่เหนือกว่าในการพบกันทุกรายการ โดยชนะ 34 ครั้ง, เสมอ 19 ครั้ง และแพ้ 18 ครั้ง
จีนกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของทีมชาติไทยหลังหมดยุคทองของทีมชาติจีนในทศวรรษที่ 2000 และหลังจากที่ไทยลีกได้โควตาสัมประสิทธิ์อัตโนมัติในศึก(เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก)ในระดับสโมสร จีนกลายเป็นคู่ปรับสำคัญในการแย่งชิงโควตาระดับสโมสรเอเชีย ประกอบกับปัญหาการจัดการภายในของ(สมาคมฟุตบอลจีน) ทำให้ทั้งสองชาติร่นระดับกลายเป็นคู่แข่งที่สูสีกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จีนยังคงมีผลงานที่ดีกว่าในการแข่งขันระดับทางการ แต่ไทยก็สามารถเอาชนะจีนในการแข่งขันฟุตบอลอุ่นเครื่องระดับทางการในวันฟีฟ่าเดย์ได้หลายครั้งเช่นกัน
หลัง(การล่มสลายของสหภาพโซเวียต) (อุซเบกิสถาน)กลายเป็นประเทศที่พัฒนาในด้านฟุตบอลก้าวหน้าได้ไวที่สุดเมื่อเทียบกับทีมฟุตบอลในภูมิภาคเอเชียกลางทั้งหมด พวกเขาได้เหรียญทองใน(เอเชียนเกมส์ 1994) ที่(ฮิโรชิมา) ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ทีมชาติไทยก้าวกระโดดขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1990 จึงทำให้อุซเบกิสถานกลายเป็นคู่ปรับกลาย ๆ ต่อกันกับทีมชาติไทย แม้จะไม่มีความขัดแย้งกันทางประวัติศาสตร์ก็ตาม โดยไทยมีสถิติชนะมากกว่าหนึ่งนัด คือชนะ 6 แพ้ 5 เมื่อพบกับอุซเบกิสถาน
บุคลากร
ผู้ฝึกสอนปัจจุบัน
- ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2567
ผู้เล่น
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
รายชื่อผู้เล่น 27 คน สำหรับการแข่งขัน(ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2) พบกับ (จีน) และ
(สิงคโปร์) ในวันที่ 6 และ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2567
จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ทีมชาติและจำนวนประตูที่ยิงได้นับถึงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2567 หลังแข่งขันกับ (สิงคโปร์)
# | ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | GK | (ปฏิวัติ คำไหม) | 24 ธันวาคม ค.ศ. 1994 | 13 | 0 | ![]() |
20 | GK | (สรานนท์ อนุอินทร์) | 24 มีนาคม ค.ศ. 1994 | 2 | 0 | ![]() |
GK | (สมพร ยศ) | 23 มิถุนายน ค.ศ. 1993 | 0 | 0 | ![]() | |
3 | DF | (ธีราทร บุญมาทัน) ((กัปตันทีม)) | 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 | 105 | 7 | ![]() |
15 | DF | (ธนบูรณ์ เกษารัตน์) | 21 กันยายน ค.ศ. 1993 | 55 | 1 | ![]() |
21 | DF | (ศุภนันท์ บุรีรัตน์) | 10 ตุลาคม ค.ศ. 1993 | 22 | 1 | ![]() |
4 | DF | (เอเลียส ดอเลาะ) | 24 เมษายน ค.ศ. 1993 | 17 | 1 | ![]() |
16 | DF | (สุพรรณ ทองสงค์) | 26 สิงหาคม ค.ศ. 1994 | 16 | 0 | ![]() |
19 | DF | (เฉลิมศักดิ์ อักขี) | 25 สิงหาคม ค.ศ. 1994 | 9 | 0 | ![]() |
2 | DF | (สันติภาพ จันทร์หง่อม) | 23 กันยายน ค.ศ. 1996 | 3 | 0 | ![]() |
DF | (ชัยวัฒน์ บุราณ ) | 26 ตุลาคม ค.ศ. 1996 | 1 | 0 | ![]() | |
6 | MF | (สารัช อยู่เย็น) | 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 | 83 | 6 | ![]() |
18 | MF | (ชนาธิป สรงกระสินธ์) | 5 ตุลาคม ค.ศ. 1993 | 66 | 12 | ![]() |
7 | MF | (สุภโชค สารชาติ) | 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 | 36 | 9 | ![]() |
5 | MF | (กฤษดา กาแมน) | 18 มีนาคม ค.ศ. 1999 | 34 | 0 | ![]() |
22 | MF | (วีระเทพ ป้อมพันธุ์) | 19 กันยายน ค.ศ. 1996 | 33 | 0 | ![]() |
8 | MF | (พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี) | 15 กันยายน ค.ศ. 1992 | 24 | 2 | ![]() |
14 | MF | (ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว) | 17 เมษายน ค.ศ. 2001 | 14 | 1 | ![]() |
13 | MF | (เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์) | 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 | 14 | 0 | ![]() |
12 | MF | (อิรฟาน ดอเลาะ) | 26 มกราคม ค.ศ. 2001 | 0 | 0 | ![]() |
MF | (อัครพงศ์ พุ่มวิเศษ) | 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1995 | 0 | 0 | ![]() | |
10 | FW | (ธีรศิลป์ แดงดา) | 6 มิถุนายน ค.ศ. 1988 | 127 | 64 | ![]() |
9 | FW | (ศุภชัย ใจเด็ด) | 1 ธันวาคม ค.ศ. 1998 | 39 | 7 | ![]() |
17 | FW | (ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา) | 2 สิงหาคม ค.ศ. 2002 | 21 | 7 | ![]() |
FW | (ปรเมศย์ อาจวิไล) | 20 ตุลาคม ค.ศ. 1998 | 11 | 1 | ![]() | |
FW | (ธีรศักดิ์ เผยพิมาย) | 21 กันยายน ค.ศ. 2002 | 9 | 0 | ![]() | |
11 | FW | (อนันต์ ยอดสังวาลย์) | 9 กรกฎาคม ค.ศ. 2001 | 0 | 0 | ![]() |
ที่เคยถูกเรียกตัว
รายชื่อผู้เล่นที่เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติไทยในรอบ 12 เดือนล่าสุด:
ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร | ถูกเรียกครั้งล่าสุด |
---|---|---|---|---|---|---|
GK | (บุญเกียรติ วงค์ษาแจ่ม) | 29 มิถุนายน ค.ศ. 1994 | 0 | 0 | ![]() | v. ![]() |
GK | (ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน) | 20 เมษายน ค.ศ. 1984 | 33 | 0 | ![]() | (เอเชียนคัพ 2023) |
GK | (กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล) | 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1992 | 10 | 0 | ![]() | v. ![]() |
GK | จิรวัฒน์ วังทะพันธ์ | 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1998 | 0 | 0 | ![]() | v. ![]() |
GK | สุเมธี โคกโพธิ์ | 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1998 | 0 | 0 | ![]() | v. ![]() |
GK | (ฉัตรชัย บุตรพรม) | 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 | 19 | 0 | ![]() | (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49) |
DF | (พรรษา เหมวิบูลย์) | 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 | 46 | 6 | ![]() | v. ![]() |
DF | (นิโคลัส มิคเกลสัน) | 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 | 12 | 1 | ![]() | v. ![]() |
DF | จักพัน ไพรสุวรรณ | 16 สิงหาคม ค.ศ. 1994 | 12 | 1 | ![]() | (เอเชียนคัพ 2023) |
DF | (ทริสตอง โด) | 31 มกราคม ค.ศ. 1993 | 51 | 0 | ![]() | v. ![]() |
DF | (นิติพงษ์ เสลานนท์) | 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1993 | 6 | 0 | ![]() | v. ![]() |
DF | (เควิน ดีรมรัมย์) | 11 กันยายน ค.ศ. 1997 | 4 | 0 | ![]() | v. ![]() |
DF | (มานูเอล บีร์) | 17 กันยายน ค.ศ. 1993 | 20 | 0 | ![]() | v. ![]() |
DF | (เจมส์ เบอร์เรสฟอร์ด) | 17 เมษายน ค.ศ. 2002 | 1 | 0 | ![]() | v. ![]() |
DF | (ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์) | 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2002 | 4 | 0 | ![]() | v. ![]() |
DF | (อดิศร พรหมรักษ์) | 21 ตุลาคม ค.ศ. 1993 | 32 | 0 | ![]() | v. ![]() |
DF | (พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา) | 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 | 36 | 1 | ![]() | (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49) |
MF | (ปกเกล้า อนันต์) | 4 มีนาคม ค.ศ. 1991 | 47 | 6 | ![]() | v. ![]() |
MF | (รุ่งรัฐ ภูมิจันทึก) | 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 | 7 | 0 | ![]() | v. ![]() |
MF | (ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์) | 21 เมษายน ค.ศ. 1994 | 24 | 1 | ![]() | (เอเชียนคัพ 2023) |
MF | (วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ) | 24 สิงหาคม ค.ศ. 1997 | 17 | 2 | ![]() | (เอเชียนคัพ 2023) |
MF | (บดินทร์ ผาลา ) | 20 ธันวาคม ค.ศ. 1994 | 41 | 6 | ![]() | v. ![]() |
MF | (พิชา อุทรา) | 7 มกราคม ค.ศ. 1996 | 9 | 0 | ![]() | (เอเชียนคัพ 2023) |
MF | (เอกนิษฐ์ ปัญญา) | 21 ตุลาคม ค.ศ. 1999 | 20 | 1 | ![]() | (เอเชียนคัพ 2023)WD |
MF | (พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล) | 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1995 | 26 | 0 | ![]() | v. ![]() |
MF | (เบน เดวิส) | 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 | 1 | 0 | ![]() | v. ![]() |
MF | (ชานุกูล ก๋ารินทร์) | 24 เมษายน ค.ศ. 1997 | 3 | 0 | ![]() | v. ![]() |
MF | (จักรกฤษ ลาภตระกูล) | 2 ธันวาคม ค.ศ. 1994 | 3 | 0 | ![]() | v. ![]() |
MF | (ปุรเชษฐ์ ทอดสนิท) | 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 | 1 | 0 | ![]() | v. ![]() |
MF | อาทิตย์ เบิร์ก | 11 มกราคม ค.ศ. 1998 | 2 | 0 | ![]() | v. ![]() |
MF | (ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์) | 1 กันยายน ค.ศ. 1993 | 56 | 7 | ![]() | (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49) |
FW | (ยศกร บูรพา) | 8 มิถุนายน ค.ศ. 2005 | 2 | 0 | ![]() | v. ![]() |
INJ ผู้เล่นที่ถูกเรียกแต่ถอนตัวเนื่องจากอาการบาดเจ็บ |
กัปตันทีม
หมายเลขเสื้อ | ผู้เล่น | ดำรงตำแหน่ง |
---|---|---|
5 | (กฤษดา กาแมน) | พ.ศ. 2566– ฟุตบอลกระชับมิตร อุ่นเครื่อง ฟีฟ่า เดย์ พบ (ทีมชาติจอร์เจีย) และ (ทีมชาติเอสโตเนีย) |
18 | (ชนาธิป สรงกระสินธ์) | พ.ศ. 2564 (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020), พ.ศ. 2565– |
10 | (ธีรศิลป์ แดงดา) | พ.ศ. 2564 (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020) |
23 | (ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน) | พ.ศ. 2562-2564 ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก |
4 | (เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว) | (รายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018) |
1 | (กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์) | พ.ศ. 2560–2561 |
10 | (ธีรศิลป์ แดงดา) | พ.ศ. 2559–รายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016, พ.ศ. 2562– |
3 | (ธีราทร บุญมาทัน) | พ.ศ. 2558– ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย |
19 | (อดุลย์ หละโสะ) | พ.ศ. 2557–2558 |
18 | (สินทวีชัย หทัยรัตนกุล) | พ.ศ. 2556–2557 |
2 | (ภานุพงศ์ วงศ์ษา) | พ.ศ. 2555–2556 |
6 | (ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์) | พ.ศ. 2553–2554 |
7 | (ดัสกร ทองเหลา) | พ.ศ. 2551–2552 |
10 | (ตะวัน ศรีปาน) | พ.ศ. 2550–2551 |
17 | (สุธี สุขสมกิจ) | พ.ศ. 2549 |
1 5 | (กิตติศักดิ์ ระวังป่า) (นิเวส ศิริวงศ์) | พ.ศ. 2549, พ.ศ. 2551 |
6 | (รุ่งโรจน์ สว่างศรี) | พ.ศ. 2547–2548 |
8 | (เทิดศักดิ์ ใจมั่น) | พ.ศ. 2546 |
12 | พ.ศ. 2545 | |
13 | (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) | พ.ศ. 2544–พ.ศ. 2545, พ.ศ. 2547, พ.ศ. 2550 |
5 | (โชคทวี พรหมรัตน์) | พ.ศ. 2542–พ.ศ. 2543, พ.ศ. 2546 |
7 | (นที ทองสุขแก้ว) | พ.ศ. 2539–พ.ศ. 2541 |
14 | (วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์) | พ.ศ. 2538 |
9 | (ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน) | พ.ศ. 2536 |
ทำเนียบผู้ฝึกสอน
หัวหน้าผู้ฝึกสอนตั้งแต่ พ.ศ. 2499–ปัจจุบัน
ชื่อ | สัญชาติ | ช่วงเวลา | สถิติ | ผลงาน | ||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แข่ง | ชนะ | เสมอ | แพ้ | Win % | ||||
บุญชู สมุทรโคจร | ![]() | 2499–2507 | ? | ? | ? | ? | ? | |
(ประเทียบ เทศวิศาล) | ![]() | 2508–2511 | ? | ? | ? | ? | ? | |
(กึนเทอร์ กลอมบ์) | ![]() | 2511–2518 | ? | ? | ? | ? | ? | (โอลิมปิกฤดูร้อน 1968) - รอบแบ่งกลุ่ม (เอเชียนคัพ 1972) - อันดับ 3 |
เนาวรัตน์ ปทานนท์ | ![]() | 2518 | ? | ? | ? | ? | ? | |
เพเทอร์ ชนิทเกอร์ | ![]() | 2519–2521 | ? | ? | ? | ? | ? | |
แวร์เนอร์ บิคเคลเฮาพท์ | ![]() | 2522 | ? | ? | ? | ? | ? | |
(วิชิต แย้มบุญเรือง) | ![]() | 2522 | ? | ? | ? | ? | ? | |
ศุภกิจ มีลาภกิจ | ![]() | 2523 | ? | ? | ? | ? | ? | |
ประวิทย์ ไชยสาม | ![]() | 2524–2526 | ? | 2 | 3 | ? | ? | |
ยรรยง ณ หนองคาย | ![]() | 2526 | ? | 2 | 3 | ? | ? | |
เสนอ ไชยยงค์ | ![]() | 2527 | ? | 2 | 3 | ? | ? | |
บัวร์กฮาร์ด ซีเซอ | ![]() | 2528–2529 | ? | ? | ? | ? | ? | |
เชิดศักดิ์ ชัยบุตร | ![]() | 2530 | ? | ? | ? | ? | ? | |
ประวิทย์ ไชยสาม | ![]() | 2531–2532 | ? | ? | ? | ? | ? | |
(การ์ลูส โรเบร์ตู จี การ์วัลยู) | ![]() | 2532–2534 | ? | ? | ? | ? | ? | – ชนะเลิศ (เอเชียนเกมส์ 1990) - อันดับ 4 |
ปีเตอร์ สตัปป์ | ![]() | 2534–2537 | ? | 6 | 2 | 1 | ? | เอเชียนคัพ 1992 - รอบแบ่งกลุ่ม (ซีเกมส์ 1993) - ชนะเลิศ |
วรวิทย์ สัมปชัญญสถิตย์ | ![]() | 2537 | ? | 2 | 3 | ? | ? | |
(ชัชชัย พหลแพทย์) | ![]() | 2537–2538 | ? | ? | ? | ? | ? | (ซีเกมส์ 1995) - ชนะเลิศ |
(ธวัชชัย สัจจกุล) | ![]() | 2539 | ? | ? | ? | ? | ? | (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 1996) - ชนะเลิศ |
(อาจหาญ ทรงงามทรัพย์) | ![]() | 2539 | 15 | 9 | 3 | 3 | 60.0 | เอเชียนคัพ 1996 - รอบแบ่งกลุ่ม |
(เด็ทมาร์ คราเมอร์) | ![]() | 2540 | ? | ? | ? | ? | ? | |
(วิทยา เลาหกุล) | ![]() | 2540–2541 | 24 | 10 | 9 | 5 | 41.7 | (ซีเกมส์ 1997) - ชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 1998) - อันดับ 4 |
(ปีเตอร์ วิธ) | ![]() | 2541–2546 | 101 | 46 | 25 | 30 | 45.5 | (เอเชียนเกมส์ 1998) - อันดับ 4 (ซีเกมส์ 1999) - ชนะเลิศ เอเชียนคัพ 2000 - รอบแบ่งกลุ่ม (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2000) - ชนะเลิศ (คิงส์คัพ 2000) - ชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2002) - ชนะเลิศ (เอเชียนเกมส์ 2002) - อันดับ 4 |
(การ์ลูส โรเบร์ตู จี การ์วัลยู) | ![]() | 2546–2547 | 13 | 6 | 2 | 5 | 46.1 | |
(ชัชชัย พหลแพทย์) | ![]() | มิถุนายน – สิงหาคม 2547 | 8 | 2 | 1 | 5 | 25.0 | เอเชียนคัพ 2004 - รอบแบ่งกลุ่ม |
(ซีคฟรีท เฮ็ลท์) | ![]() | สิงหาคม 2547–2548 | 11 | 4 | 4 | 3 | 36.4 | (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2004) - รอบแบ่งกลุ่ม |
ชาญวิทย์ ผลชีวิน | ![]() | 2548–มิถุนายน 2551 | 39 | 18 | 11 | 10 | 46.1 | (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 37) - ชนะเลิศ - ชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 38) - ชนะเลิศ (เอเชียนคัพ 2007) - รอบแบ่งกลุ่ม (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2007)- รองชนะเลิศ |
(ปีเตอร์ รีด) | ![]() | กันยายน 2551–กันยายน 2552 | 15 | 8 | 4 | 3 | 53.3 | - ชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2008) - รองชนะเลิศ |
(ไบรอัน ร็อบสัน) | ![]() | กันยายน 2552–มิถุนายน 2554 | 18 | 7 | 4 | 7 | 38.8 | ภูเก็ต กะตะกรุ๊ป คัพ 2009 (รายการการแข่งขันกระชับมิตรกับทีมสโมสร) (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2010) – รอบแบ่งกลุ่ม |
(วินฟรีท เชเฟอร์) | ![]() | กรกฎาคม 2554–มิถุนายน 2556 | 28 | 14 | 6 | 8 | 50.0 | (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 41) – อันดับ 4 (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2012) – รองชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 42) – อันดับ 3 |
(เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) | ![]() | กรกฎาคม 2556–31 มีนาคม 2560 | 42 | 21 | 7 | 14 | 50.0 | (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43) – รองชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2014) – ชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 44) – ชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2016) – ชนะเลิศ (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ) – รอบ 12 ทีม |
(มิลอวัน ราเยวัตส์) | ![]() | 5 พฤษภาคม 2560–7 มกราคม 2562 | 20 | 8 | 7 | 5 | 40.0 | (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 45) – ชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 46) – รองชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2018) – รอบรองชนะเลิศ (เอเชียนคัพ 2019) (นัดที่ 1) |
(ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย) | ![]() | 7 มกราคม 2562–14 มิถุนายน 2562 | 7 | 2 | 1 | 4 | 28.0 | (เอเชียนคัพ 2019) – รอบ 16 ทีม (ไชนาคัพ 2019) – รองชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47) – อันดับ 4 |
(อากิระ นิชิโนะ) | ![]() | 17 กรกฎาคม 2562–29 กรกฎาคม 2564 | 11 | 2 | 5 | 4 | 18.2 | (ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย) – รอบที่ 2 |
(อาเลชังดรี ปอลกิง) | ![]() | 28 กันยายน 2564–22 พฤศจิกายน 2566 | 37 | 21 | 8 | 8 | 56.8 | (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020) – ชนะเลิศ (ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 48) – อันดับ 3 |
(มาซาตาดะ อิชิอิ) | ![]() | 22 พฤศจิกายน 2566– | 9 | 2 | 4 | 3 | 22.2 | (ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย) – รอบที่ 2 (เอเชียนคัพ 2023) – รอบ 16 ทีม |
การแข่งขัน
![image](https://www.wiki3.th-th.nina.az/image/aHR0cHM6Ly93d3cud2lraTMudGgtdGgubmluYS5hei9pbWFnZS9hSFIwY0hNNkx5OTFjR3h2WVdRdWQybHJhVzFsWkdsaExtOXlaeTkzYVd0cGNHVmthV0V2WTI5dGJXOXVjeTkwYUhWdFlpOW1MMlppTDFSb1lXbHNZVzVrWDBaSlJrRmZiM0J3YjI1bGJuUmZiV0Z3TG5CdVp5ODRNREJ3ZUMxVWFHRnBiR0Z1WkY5R1NVWkJYMjl3Y0c5dVpXNTBYMjFoY0M1d2JtYz0ucG5n.png)
สถิติการแข่งขันแบบเฮดทูเฮด
ผลการแข่งขันเฮดทูเฮดของทีมชาติไทย | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ทีม | ตั้งแต่ | ถึง | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ได้ | เสีย | ต่าง | สมาพันธ์ | |
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์