แคปพาโดเชีย
ภูมิภาคโบราณแห่งอานาโตเลีย แคปพาโดเชีย | |
ภูเขา Aktepe ไม่ไกลจากเกอเรเมและภูมิภาคเขาหินแห่งแคปพาโดเชีย (มรดกโลกยูเนสโก) | |
ที่ตั้ง | ตะวันออกของอานาโตเลีย |
ฐานะของภูมิภาค: | กึ่งอิสระในรูปแบบต่างๆ มาจนถึงปี ค.ศ. 17 |
อดีตเมืองหลวง | ฮัททุชา |
จังหวัดโรมัน | แคปพาโดเชีย |
แคปพาโดเชีย (กรีก: Καππαδοκία กัปปาโดเกีย; อังกฤษ: Cappadocia /kæpəˈdoʊʃə/) แผลงมาจากคำในภาษากรีก “Καππαδοκία” (Kappadokía) คือภูมิภาคตอนกลางของประเทศตุรกีที่ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดเนฟชีร์
อุทยานแห่งชาติเกอเรเม และ ภูมิภาคเขาหินแห่งแคปพาโดเชีย * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
ประเทศ | ตุรกี |
ภูมิภาค ** | รายชื่อแหล่งมรดกโลกในทวีปยุโรป |
ประเภท | ผสม |
เกณฑ์พิจารณา | i, iii, v, vii |
อ้างอิง | 357 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | ค.ศ. 1985 (คณะกรรมการสมัยที่ 9) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
“แคปพาโดเชีย” เป็นชื่อที่ปรากฏตลอดมาในประวัติศาสตร์ของคริสต์ศาสนาและเป็นชื่อที่ใช้โดยทั่วไปที่หมายถึงบริเวณที่เป็นที่น่าสนใจแก่นักท่องเที่ยว ในบริบทของภูมิภาคอันมีความน่าตื่นตาตื่นใจทางธรรมชาติ โดยเฉพาะภูมิสัณฐานที่มีลักษณะเป็นแท่งๆ คล้ายหอปล่องไฟ หรือ เห็ด (ปล่องไฟธรรมชาติ (fairy chimney)) และประวัติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคอานาโตเลีย
ในสมัยของเฮโรโดทัส กลุ่มชาติพันธุ์แคปพาโดเชียกล่าวว่าเป็นผู้ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในภูมิภาคตั้งแต่ภูเขาทอรัสไปจนถึงบริเวณยูซีน (ทะเลดำ) ฉะนั้นแคปพาโดเชียในกรณีนี้จึงมีบริเวณทางตอนใต้จรดเทือกเขาทอรัส ที่เป็นพรมแดนธรรมชาติที่แยกจากซิลิเคีย, ทางตะวันออกโดยแม่น้ำยูเฟรทีสตอนเหนือและ ที่ราบสูงอาร์มีเนีย, ทางตอนเหนือโดยภูมิภาคพอนทัส และทางตะวันตกโดยภูมิภาคไลเคาเนีย และ กาเลเชียตะวันออก
ที่มา
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานแรกที่กล่าวถึงแคปพาโดเชียเขียนขึ้นในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ที่ปรากฏในคำจารึกสามภาษา ของจักรพรรดิดาไรอัสมหาราช และ จักรพรรดิเซอร์ซีสแห่งจักรวรรดิอคีเมนียะห์ว่าเป็นอาณาจักร หรือ “dahyu-” หนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซีย ที่เรียกเป็นภาษาเปอร์เซียโบราณว่า “Katpatuka” ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ต้นรากของชื่อภาษาเปอร์เซียโดยทั่วไป ภาษาเอลาไมท์ และ ภาษาอัคคาเดียใช้ชื่อที่คล้ายคลึงกันจากภาษาอัคคาเดีย “katpa” “side” ที่แผลงมาจากชื่อบรรพบุรุษ “Tuka”
เฮโรโดทัสกล่าวว่าชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์แคปพาโดเชียเป็นชื่อที่ชาวเปอร์เซียใช้เรียกชนกลุ่มดังกล่าวนี้ ขณะที่ชาวกรีกเรียกว่า “ชาวซีเรีย” หรือ “ชาวซีเรียขาว” (Leucosyri) ชนเผ่าหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์แคปพาโดเชียที่เฮโรโดทัสกล่าวถึงคือโมสชอย ที่นักประวัติศาสตร์โจซีฟัสกล่าวว่ามีความเกี่ยวข้องกับบุคคลในพระคัมภีร์ไบเบิลชื่อเมเช็คบุตรของยาเฟ็ธ: “และโมโซเคนีก่อตั้งขึ้นโดยโมซอค; ที่ปัจจุบันคือกลุ่มชาติพันธุ์แคปพาโดเชีย”
แคปพาโดเชียปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิลใน “กิจการของอัครทูต” 2:9 กลุ่มชาติพันธุ์แคปพาโดเชียกล่าวว่าเป็นกลุ่มชนหนึ่งที่ได้รับการประกาศข่าวดีจากอัครทูตเป็นภาษาของตนเองในเทศกาลเพนเทคอสต์ไม่นานหลังจากการคืนพระชนม์ของพระเยซู ซึ่งเป็นนัยยะว่าชาวแคปพาโดเชียเป็น “ชาวยิวที่มีความเกรงกลัวในพระเจ้า”
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเปอร์เซียองค์ต่อๆ มาแคปพาโดเชียแบ่งออกเป็นสองแคว้น (Satrap) ที่มีศูนย์กลางหนึ่งที่ยังคงใช้ชื่อแคปพาโดเชียโดยนักประวัติศาสตร์กรีก แต่อีกแคว้นหนึ่งเรียกว่า “พอนทัส” การแบ่งแยกนี้เกิดขึ้นก่อนสมัยของเซเนโฟน หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิเปอร์เซียแคว้นสองแคว้นก็ยังคงแยกตัวเป็นอิสระจากกัน และ ยังคงดำรงความแตกต่างจากกันต่อมา แคปพาโดเชียมาหมายถึงจังหวัดลึกเข้าไปในแผ่นดิน ( inland province ที่บางครั้งก็เรียกว่า “แคปพาโดเชียใหญ่”) เท่านั้น และเป็นภูมิภาคที่เน้นถึงในบทความนี้
ราชอาณาจักรแคปพาโดเชียยังคงดำรงความเป็นราชอาณาจักรกึ่งอิสระมาจนถึงสมัยของสตราโบ ส่วนซิลิเคียเป็นชื่อที่ใช้สำหรับดิสตริคท์ที่เป็นที่ตั้งของ เซซาเรียซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักร เมืองสองเมืองในแคปพาโดเชียที่สตราโบเห็นว่ามีความสำคัญคือ The only two cities of Cappadocia considered by Strabo to deserve that appellation were เซซาเรีย (เดิมเรียกว่ามาซาคา) และ ทิยานา ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเชิงเขาทอรัส
ที่ตั้งและอากาศ
แคปพาโดเชียตั้งอยู่ทางตะวันออกของอานาโตเลียในบริเวณตอนกลางของประเทศตุรกีปัจจุบัน เนื้อที่ของภูมิภาคที่ราบสูงที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1000 เมตรประไปด้วยยอดภูเขาไฟ ที่มีภูเขา Erciyesเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดที่สูงราว 3,917 เมตร พรมแดนในประวัติศาสตร์ของแคปพาโดเชียเป็นพรมแดนที่คลุมเคลือโดยเฉพาะทางด้านตะวันตก ทางด้านใต้เป็นเทือกเขาทอรัสที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกับซิลิเคีย และแยกแคปพาโดเชียจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางด้านตะวันตกตั้งอยู่ติดกับภูมิภาคไลเคาเนียที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ และกาเลเชียทางตะวันตกเฉียงเหนือ เทือกเขาริมฝั่งทะเลดำแยกแคปพาโดเชียจากพอนทัสและทะเลดำ ขณะที่ทางตะวันออกเป็นแม่น้ำยูเฟรทีสตอนเหนือ ก่อนที่แม่น้ำจะเลี้ยวไปทางตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเมโสโปเตเมีย และ ที่ราบสูงอาร์มีเนีย ภูมิภาคนี้มีเนื้อที่ทั้งหมดที่ยาว 400 กิโลเมตรจากตะวันออกจรดตะวันตก และ 250 กิโลเมตรจากเหนือจรดใต้ เพราะที่ตั้งที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ภายในประเทศและมีระดับสูงจากระดับน้ำทะเลมากแคปพาโดเชียจึงมีภาวะอากาศแบบภาคพื้นทวีป (continental climate) ที่ร้อนแห้งในฤดูร้อน และ หนาวพอที่จะมีหิมะตกในช่วงฤดูหนาว อัตราการตกของฝนมีระดับต่ำและเป็นบริเวณที่จัดว่าเป็นบริเวณกึ่งแห้งแล้งถึงแล้ง (semi-arid ถึง arid)
ประวัติ
แคปพาโดเชียเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “ฮัตติ” ในปลายยุคสำริดและเป็นศูนย์กลางทางอำนาจของชนฮิทไทต์ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ฮัททุชา หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิฮิทไทท์และความเสื่อมโทรมของอารยธรรมซีเรีย-แคปพาโดเชียหลังจากความพ่ายแพ้ต่อกษัตริย์โครซัสแห่งลีเดียในคริสต์ศตวรรษที่ 6 แล้ว แคปพาโดเชียก็ปกครองโดยขุนนางกึ่งระบบศักดินา ที่อยู่อาศัยกันตามที่มั่นที่เป็นปราสาทต่างๆ โดยมีไพร่ติดแผ่นดินเป็นบริวาร ซึ่งต่อมาเป็นสภาวะที่เหมาะกับการวิวัฒนาการมาเป็นระบบทาสต่างประเทศ แคปพาโดเชียจัดเป็นแคว้นของจักรวรรดิเปอร์เซียสมัยที่สามที่ก่อตั้งขึ้นโดยจักรพรรดิดาไรอัสมหาราช แต่ยังคงได้รับการอนุญาตให้มีประมุขปกครองตนเอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่มีอำนาจมากพอที่จะปกครองได้ทั้งภูมิภาค
- ราชอาณาจักรแคปพาโดเชีย
หลังจากอเล็กซานเดอร์มหาราชนำมาซึ่งการล่มสลายของจักรวรรดิเปอร์เซียแล้ว พระองค์ก็ทรงพยายามที่จะปกครองแคปพาโดเชียโดยการส่งผู้แทนพระองค์มาปกครอง แต่อาเรียร์ทีสผู้เป็นขุนนางเปอร์เซียกลับกลายมาเป็นกษัตริย์แห่งแคปพาโดเชียแทนที่ อาเรียร์ทีสที่ 1 แห่งแคปพาโดเชีย (332—322 ก่อนคริสต์ศักราช) เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ และทรงทำการขยายดินแดนของราชอาณาจักรแคปพาโดเชียออกไปถึงทะเลดำ ราชอาณาจักรแคปพาโดเชียตั้อยู่ในความสงบสุขมาจนกระทั่งการเสด็จสวรรคตของอเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อจักรวรรดิถูกแบ่งย่อยออกไปเป็นส่วนๆ แคปพาโดเชียตกไปเป็นของยูเมนีส ยูเมนีสขึ้นมามีอำนาจโดยความช่วยเหลือของขุนพลเพอร์ดิคคัสผู้เป็นผู้สำเร็จราชการของอเล็กซานเดอร์มหาราชผู้จับอาเรียร์ทีสตรึงกางเขน แต่หลังจากที่เพอร์ดิคคัสถูกลอบสังหาร และยูเมนีสถูกประหารชีวิต บุตรชายของอาเรียร์ทีสก็ได้แคปพาโดเชียคืน และทำการปกครองต่อมาโดยกษัตริย์ที่สืบเชื้อสายต่อมา
เมื่อมาถึงรัชสมัยของอาเรียร์ทีสที่ 4 แห่งคาแคปพาโดเชีย (220—163 ก่อนคริสต์ศักราช) แคปพาโดเชียก็เริ่มมีความสัมพันธ์กับโรมที่เริ่มด้วยการเป็นศัตรูในการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าแอนทิโอคัสมหาราช และต่อมาหันมาเป็นพันธมิตรในการต่อต้านเพอร์เซียสแห่งมาซิดอน ซึ่งก็เท่ากับทรงวางตนเป็นศัตรูกับ จักรวรรดิเซลูซิดที่เคยทรงส่งบรรณาการเป็นครั้งคราวอย่างเต็มพระองค์
อาเรียร์ทีสที่ 5 แห่งแคปพาโดเชีย (163—130 ก่อนคริสต์ศักราช) ทรงนำทัพร่วมกับกงสุลโรมันพิวเบลียส ลิซิเนียส คราซัส ดิเวส มูเชียนัสในการต่อสู้กับยูเมนีสที่ 3 ผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์เพอร์กามอน แต่พระองค์ก็ทรงได้รับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินและสิ้นพระชนม์ในปี 130 ก่อนคริสต์ศักราช ภาวะของความสับสนวุ่นวายที่ตามมาหลังจากการเสียชีวิตของอาเรียร์ทีสที่ 5 นำไปสู่การแทรกแซงของพอนทัสที่รุ่งเรืองขึ้นมา และการสงครามที่เกิดขึ้นที่นำมาซึ่งความหายนะของราชวงศ์ที่ปกครองแคปพาโดเชีย
- มณฑลแคปพาโดเชียของโรมัน
ชาวแคปพาโดเชียได้รับการสนับสนุนจากโรมในการเป็นโค่นมิทราดีสที่ 4 แห่งพอนทัส และแทนที่ด้วยอริโอบาร์ซานีสที่ 1 ฟิลโลโรมาอิออสแห่งแคปพาโดเชีย ในปี 93 ก่อนคริสต์ศักราช แต่ในปีเดียวกันกองทัพอาร์มีเนียภายใต้การนำของพระเจ้าไทกราเนสมหาราชก็ทรงนำทัพเข้ามารุกรานแคปพาโดเชีย ทรงทำการถอดอริโอบาร์ซานีสจากราชบัลลังก์ และทรงแต่งตั้งให้กอร์เดียสแห่งแคปพาโดเชียขึ้นครองเป็นกษัตริย์บริวารแทนที่ การสร้างแคปพาโดเชียขึ้นเป็นอาณาจักรบริวารของพระเจ้าไทกราเนสก็เท่ากับเป็นการสร้างบริเวณฉนวนเพื่อยับยั้งความก้าวร้าวของสาธารณรัฐโรมันที่คืบเข้ามาในภูมิภาค
เมื่อโรมถอดกษัตริย์พอนทัสและกษัตริย์อาร์มีเนียจากราชบัลลังก์ อาริโอบาร์ซานีสที่ 1 ฟิลโลโรมาอิออสแห่งแคปพาโดเชียจึงได้กลับมาขึ้นครองแคปพาโดเชียอีกครั้งหนึ่งในปี 63 ก่อนคริสต์ศักราช ในระหว่างสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในโรมแคปพาโดเชียก็เปลี่ยนการสนับสนุนเรื่อยมาตั้งแต่สนับสนุนปอมเพย์, ต่อมาก็จูเลียส ซีซาร์, ต่อมามาร์ค แอนโทนี และหันมาเป็นปฏิปักษ์ท้ายที่สุด ราชวงศ์อริโอบาร์ซานีสมาสิ้นสุดลงในสมัยของอาร์คีลอสแห่งแคปพาโดเชียผู้หนุนหลังมาร์ค แอนโทนี และหันมาเป็นปฏิปักษ์ ผู้ปกครองเป็นอิสระมาจนกระทั่งปี 17 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อจักรพรรดิไทบีเรียสทรงลดฐานะของแคปพาโดเชียลงมาเป็นเพียงมณฑลของโรมันหลังจากการสิ้นพระชนม์ของอาร์คีลอสอย่างอัปยศ ต่อมาอีกเป็นเวลานานแคปพาโดเชียก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิไบแซนไทน์
แคปพาโดเชียประกอบด้วยเมืองใต้ดินหลายเมือง (ดูเมืองใต้ดินแห่งเคย์มาคลี) ที่ใช้โดยชาวคริสเตียนในยุคแรกในการเป็นที่หลบหนีภัยจากการเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเป็นศาสนาที่ได้รับการประกาศว่าเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิ ปิตาจารย์แห่งแคปพาโดเชียของคริสต์ศตวรรษที่ 4 เป็นองค์ประกอบสำคัญของประวัติศาสตร์เทววิทยาศาสนาคริสต์ยุคแรก นักเทววิทยาศาสนาคริสต์คนสำคัญก็รวมทั้งจอห์นแห่งแคปพาโดเชียผู้เป็นอัครบิดรแห่งคอนสแตนติโนเปิล ระหว่างปี ค.ศ. 517 ถึง ค.ศ. 520 ในช่วงการปกครองของจักรวรรดิไบแซนไทน์ แคปพาโดเชียปลอดจากความขัดแย้งของบริเวณนี้กับจักรวรรดิแซสซานิด แต่มาเป็นบริเวณดินแดนพรมแดนอันสำคัญต่อมาในสมัยการพิชิตดินแดนของมุสลิมต่อมา แคปพาโดเชียกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขตการปกครองไบแซนไทน์แห่งอาร์มีเนีย (Armeniac Theme) และต่อมาเขตการปกครองคาร์เซียนอน และในที่สุด เขตการปกครองไบแซนไทน์แห่งแคปพาโดเชีย (Cappadocia Theme)
ความสัมพันธ์ระหว่างแคปพาโดเชียและอาร์มีเนียที่ตั้งอยู่ติดกันเป็นความสัมพันธ์อันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นักประวัติศาสตร์อาหรับอบู อัล ฟารัจกล่าวถึงชาวอาร์มีเนียผู้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ซิวาสระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 10 ว่า “ซิวาสในแคปพาโดเชียเต็มไปด้วยชาวอาร์มีเนีย ที่มีจำนวนมากจนกระทั่งกลายเป็นส่วนสำคัญของกองทัพของราชอาณาจักร กองทหารอาร์มีเนียเหล่านี้มีหน้าที่เฝ้ายามตามป้อมที่สำคัญๆ ที่ยึดมาได้จากอาหรับ ทหารอาร์มีเนียมีชื่อเสียงจากการเป็นทหารราบผู้มีประสบการณ์และมักจะแสดงความสามารถในการต่อสู้อย่างกล้าหาญและประสบกับความสำเร็จเคียงข้างทหารโรมันหรือที่เรียกว่าทหารไบแซนไทน์” การรณรงค์ทางการทหารของไบแซนไทน์และการรุกรานของเซลจุคในอาร์มีเนียทำให้ชาวอาร์มีเนียขยายตัวเข้ามาในแคปพาโดเชียและออกไปทางตะวันออกจากซิลิเคียไปยังดินแดนที่เป็นหุบเขาทางตอนเหนือของซีเรีย และ เมโสโปเตเมีย จนกระทั่งได้ก่อตั้งราชอาณาจักรอาร์มีเนียแห่งซิลิเคียขึ้น การอพยพของชาวอาร์มีเนียเพิ่มจำนวนขึ้นหลังจากการเสื่อมโทรมอำนาจของจักรวรรดิไบแซนไทน์ และการขยายตัวของอาณาจักรครูเสดหลังสงครามครูเสดครั้งที่ 4 สำหรับนักรบครูเสดแล้วแคปพาโดเชียคือ “terra Hermeniorum” (ดินแดนของชาวอาร์มีเนีย) เพราะเป็นดินแดนที่ขณะนั้นเต็มไปด้วยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอาร์มีเนีย
หลังจากยุทธการมันที่ซิเคิร์ตในปี ค.ศ. 1071 แล้วกลุ่มตุรกีต่างๆ ภายใต้การนำของเซลจุคก็เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอานาโตเลีย การค่อยขยายตัวทางอำนาจของเซลจุคอย่างค่อยเป็นค่อยไปในที่สุดก็ทำให้แคปพาโดเชียกลายเป็นรัฐบริวารของรัฐตุรกีที่ก่อตั้งขึ้นทางตะวันออกและตะวันตกของภูมิภาค และประชากรบางส่วนของบริเวณนี้ก็เปลี่ยนไปถือศาสนาอิสลาม เมื่อมาถึงตอนปลายของต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 เซลจุคแห่งอานาโตเลียก็กลายเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดในภูมิภาคแคปพาโดเชีย ต่อมาเมื่ออำนาจของเซลจุคที่ตั้งอยู่ที่คอนยาอ่อนตัวลงในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 13 เบยิคตุรกีแห่งอานาโตเลียน (Anatolian Turkish Beyliks) ที่มีฐานอำนาจอยู่ที่คารามานก็เข้ามามีอำนาจแทนที่ และในที่สุดกลุ่มที่ว่านี้ก็มาแทนที่ด้วยจักรวรรดิออตโตมันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 แคปพาโดเชียก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมันเป็นเวลาอีกหลายร้อยปีต่อมา และในปัจจุบันก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐตุรกีปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของภูมิภาคนี้เกิดขึ้นเมื่อ บริเวณเมือง Nevşehir ได้รับการก่อตั้งขึ้นใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยมหาเสนาบดีผู้มีถิ่นฐานดั้งเดิมมาจากบริเวณนี้ก่อตั้งขึ้นเป็นเมืองหลวงของภูมิภาค และยังคงเป็นมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ในขณะเดียวกันชาวแคปพาโดเชียก็เริ่มเปลี่ยนไปพูดภาษาตุรกีที่เขียนด้วยอักษรกรีกที่เรียกว่า “Karamanlıca” และในบริเวณที่ยังคงพูดภาษากรีก อิทธิพลของภาษาตุรกีรอบข้างก็เริ่มจะเพิ่มขึ้น ภาษากรีกที่พูดกันในภูมิภาคแคปพาโดเชียเรียกกันว่า “ภาษากรีกแบบแคปพาโดเชีย” หลังจากการแลกเปลี่ยนประชากรระหว่างกรีซและตุรกีในปี ค.ศ. 1923 แล้วก็เหลือผู้พูดภาษากรีกแคปพาโดเชียอยู่เพียงไม่กี่คน
ภูมิสัณฐาน
ภูมิภาคแคปพาโดเชียที่มีชื่อเสียงว่ามีภูมิสัณฐานที่เป็นเอกลักษณ์ทั้งทางด้านภูมิศาสตร์, ประวัติศาสตร์ และ วัฒนธรรม ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองไคย์เซอรี
ฐานของธรณีสัณฐานของแคปพาโดเชียเป็นการทับถมของหินที่มาจากทะเลสาบและลำธาร และ จากการทับถมของวัตถุต่างๆ ที่ระเบิดจากภูเขาไฟ (Ignimbrite) โบราณเมื่อราว 9 ถึง 3 ล้านปีที่ผ่านมาในระหว่างสมัยไมโอซีนจนถึงสมัยไพลโอซีน
หินในภูมิภาคแคปพาโดเชียไม่ไกลจากเกอเรเมถูกกัดกร่อนจากธรรมชาติรายเป็นรูปทรงคล้ายแท่งหรือหอที่มีปลายแหลมบนยอดคล้ายเห็ดอันดูแปลกตา วัตถุที่ระเบิดจากภูเขาไฟเป็นหินที่มีคุณสมบัติที่ง่ายต่อการกัดกร่อนหรือสลักเสลา ที่ทำให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณแคปพาโดเชียใช้ในการขุดคว้านเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัย, ศาสนสถาน หรือ อารามได้ ซึ่งทำให้เกอเรเมกลายมาเป็นศูนย์กลางของอารามราวระหว่างปี ค.ศ. 300—ค.ศ. 1200
การตั้งถิ่นฐานในยุคแรกในเกอเรเมเริ่มขึ้นในสมัยโรมัน บริเวณนี้ที่ว่านี้เต็มไปด้วยบ้านเรือน, หมู่บ้าน, หมู่บ้านใต้ดิน และ คริสต์ศาสนสถานที่ขุดเข้าไปในโพรงหิน โบสถ์ในเกอเรเมมีด้วยกันกว่า 30 โบสถ์และโบสถ์นอ้ย บางโบสถ์ก็มีงานจิตรกรรมฝาผนังจากคริสต์ศตวรรษที่ 9 ถึง 11 ที่ยังมีความงดงามสดใสอยู่
ระเบียงภาพ
จิตรกรรมฝาผนัง
ในโบสถ์ในถ้ำ
อ้างอิง
- การออกเสียงคำว่า Καππαδοκία
- ↑ Van Dam, R. Kingdon of Snow: Roman rule and Greek culture in Cappadocia. Philadelphia: University of Pennsylvania Press, 2002, p.13. [1]
- Room, Adrian. (1997). Placenames of the World. London: MacFarland and Company.
- Antiquities of the Jews I:6
- Ketubah 13:11 in the Mishna
- Holy Zone for Christ: Acts 2:5[ลิงก์เสีย]
- Van Dam, R. Kingdom of Snow: Roman rule and Greek culture in Cappadocia. Philadelphia: University of Pennsylvania Press, 2002, p.14. [2]
- Schlumberger, Un Emperor byzantin au X siècle, Paris, Nicéphore Phocas, Paris, 1890, p. 251
- MacEvitt, Christopher (2008). The Crusades and the Christian World of the East: Rough Tolerance. Philadelphia: University of Pennsylvania Press. p. 56.
ดูเพิ่ม
- อานาโตเลีย
- ศิลปะและสถาปัตยกรรมคริสเตียนยุคแรก
- Kapadokya
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ แคปพาโดเชีย