ทวิวิภาคตะวันออก–ตะวันตก
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ในวิชาสังคมวิทยา ทวิวิภาคตะวันออก–ตะวันตก เป็นความแตกต่างที่รับรู้ระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก เขตแดนของตะวันออกและตะวันตกไม่มีการเจาะจง แต่เป็นการแบ่งทางวัฒนธรรมมากกว่าทางภูมิศาสตร์ ซึ่งแตกต่างกันตามเกณฑ์ที่แต่ละคนใช้ ในอดีต ทวีปเอเชีย (ยกเว้นไซบีเรีย) ถือเป็นตะวันออก และทวีปยุโรปถือเป็นตะวันตก ทุกวันนี้ "ตะวันตก" มักหมายถึงออสตราเลเซีย ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกา มโนทัศน์ดังกล่าวมีอภิปรายในการศึกษาอย่างการจัดการ เศรษฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และภาษาศาสตร์ แนวคิดนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากละเลยความเป็นลูกผสมของภูมิภาค
การแบ่ง
เขตแดนตามแนวคิดเป็นเขตแดนทางวัฒนธรรมมากกว่าภูมิศาสตร์ ผลคือ ออสเตรเลียตรงแบบได้รับการจัดกลุ่มเป็นตะวันตก แม้ในทางภูมิศาสตร์อยู่ในซีกโลกตะวันออก ส่วนชาติอิสลามไม่ว่าอยู่ที่ใดจะจัดเป็นตะวันออก เส้นแบ่งวัฒนธรรมอาจจัดวางได้ยากในที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งพลเมืองอาจระบุตนเองว่าเป็นตะวันออกหรือตะวันตกขึ้นอยู่กับภูมิหลังทางชาติพันธุ์หรือศาสนา ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อยู่อาศัยในส่วนต่าง ๆ ของโลกอาจรับรู้เขตแดนต่างออกไป เช่น นักวิชาการยุโรปนิยามรัสเซียว่าเป็นตะวันออก แต่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าเป็นส่วนเติมเต็มที่สองของตะวันตก และชาติอิสลามถือว่าตนและชาติที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์เป็นตะวันตก คำถามที่ยังไม่มีคำตอบอีกคำาถามหนึ่งคือไซบีเรีย (เอเชียเหนือ) เป็น "ตะวันออก" หรือ "ตะวันตก"
ความแตกต่างในประวัติศาสตร์ระหว่างตะวันออกและตะวันตก
ระหว่างยุคกลาง อารยธรรมมากมายที่ปรากฏทั้งในโลกตะวันออกและตะวันตกมีความคล้ายคลึงกันในหลายแง่ แต่บางแง่ก็แตกต่างกันมากจนเข้ากันไม่ได้ ประเด็นสำคัญหนึ่งได้แก่ข้อแตกต่างในระบบชนชั้นทางสังคมซึ่งมีผลต่อชีวิตหลายด้านเมื่อสังคมทั้งสองมีอันตรกิริยา การแบ่งแยกระหว่างระบบเจ้าขุนมูลนายและระบบสังคมแบบตะวันออก วิธีการค้าและเกษตรกรรมที่แข่งขันกัน และเสถียรภาพของรัฐบาลที่ต่างกันทำให้เกิดช่องว่างกว่าขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างวิถีชีวิตทั้งสองแบบ อารยธรรมตะวันตกและตะวันออกไม่เพียงแตกต่างกันเพราะที่ตั้งเท่านั้น แต่ยังเพราะระบบชนชั้นทางสังคม วิธีทำกินและลีลาความเป็นผู้นำ
ชีวิตประจำวันของสามัญชนในอารยธรรมตะวันตกและตะวันออกนั้นแตกต่างกันอย่างมากตามวิธีดำเนินการสังคมของพวกตน และสิ่งที่สังคมมุ่งเน้น ข้อแตกต่างสำคัญหนึ่งระหว่างอารยธรรมตะวันตกและตะวันออกได้แก่ระบบเจ้าขุนมูลนายและระบบถือครองที่ดินสมัยฟิวดัล (manorialism) ทั้งสองก่อให้เกิดชนการจัดช่วงชั้นทางสังคม และชีวิตในภาพรวมของสามัญชนในโลกตะวันออก ระบบถือครองที่ดินสมัยฟิวดัลตั้งขึ้นโดยมีเจ้า (lord) อยู่บนสุดที่เป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ เขามีทาสติดที่ดิน (serf) และชาวนาที่เขาว่าจ้าง ชาวนาจ่ายค่าเช่าเป็นธัญพืชเพื่อเป็นการตอบแทนที่ดินที่พวกเขาได้ทำงาน สังคมระบบเจ้าขุนมูลนายนี้เป็นระบบแก่งแย่งกันและไม่ช่วยขยายอารยธรรม
ระบบสังคมของโลกตะวันตกและตะวันออกต่างกัน มองโกเลียเจริญขึ้นมาจากเผ่าเร่ร่อนที่เจงกีสข่านรวมเป็นหนึ่งเดียว เขาพิชิตดินแดนแวดล้อมกว้างใหญ่และตั้งจักรวรรดิไพศาล ชาวมองโกลให้ผู้ป้องกันมีทางเลือกระหว่างเข้าร่วมหรือตาย ทัศนะที่โหดเหี้ยมนี้แสดงออกมาเมื่อพวกเขาพิชิตทวีปเอเชียส่วนใหญ่และทวีปยุโรปและตะวันออกกลางบางส่วน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ราชวงศ์ถังของจีนต่างจากราชวงศ์อื่น ๆ ได้แก่ การเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมที่เพิ่มขึ้น มีชุดการทดสอบซึ่งสามารถเข้ารับเพื่อให้ยกสถานภาพทางสังคม แทนที่จะสงวนตำแหน่งระดับสูงไว้สำหรับชนชั้นผู้ดีโดยเฉพาะ คนยากจนสามารถเข้าถึงตำแหน่งดังกล่าวได้ง่ายขึ้น ในมองโกเลีย บุคคลสามารถได้ยศในกองทัพได้ผ่านทักษะทางทหารเพราะสังคมตั้งอยู่บนทักษะทางทหาร ในอารยธรรมตะวันตก การเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมเป็นไปได้ยากกว่า
อารยธรรมตะวันตกและตะวันออกมีความแตกต่างทางการเมืองเพราะสามัญชนในอารยธรรมตะวันออกไม่พอใจกับผู้นำของตนเสมอไป แม้อารยธรรมตะวันตกมีผู้ปกครองมากมายในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ไม่มีความไม่สงบในหมู่ประชาชน อารยธรรมตะวันออกมีกบฎและช่องว่างยาวระหว่างผู้ปกครองที่ทำให้เกิดความไม่สงบ ระหว่างสงครามใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 15 ประเทศอังกฤษมีการแย่งชิงบัลลังก์ซึ่งทำให้เกิดการนองเลือดหลายครั้ง ประเทศฝรั่งเศสก็มีปัญหาในการปกครองของตนเช่นกัน ตลอดเวลาดังกล่าว ประเทศอังกฤษยังสามารถต่อสู้ชาวฝรั่งเศสและเกือบชนะสงครามร้อยปี ในอารยธรรมตะวันออก รัฐบาลไม่มั่นคงเสมอไป ในประเทศจีน เหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่งเกิดระหว่างราชวงศ์ถัง กบฏอันลูซันแสดงถึงความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลจีน
ด้านเศรษฐกิจ อารยธรรมตะวันตกและตะวันออกแตกต่างกันมากเพราะวิธีทำกินต่างกัน ในประเทศจีน ปัจจัยทางเศรษฐกิจสำคัญหนึ่งคือการค้า ประเทศจีนเชื่อมโยงกับทวีปยุโรปผ่านเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นชุดเส้นทางการค้าจากเอเชียตะวันออกสู่ทวีปยุโรป เส้นทางสายไหมไม่ได้ใช้ค้าขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นทางแลกเปลี่ยนสำหรับความคิดหรือศาสนาด้วย ชาวอังกฤษใช้ระบบเจ้าขุนมูลนายแบบพิเศษเรียก ระบบเจ้าขุนมูลนายปลอม (bastard feudalism) ระบบนี้ซึ่งโดดเด่นในสงครามดอกกุหลาบ แตกต่างจากระบบเจ้าขุนมูลนายปกติเพราะระบบริเริ่มเงินเข้าสู่ลำดับชั้นทางสังคม ขุนนางสามารถจ่ายเงินอัศวินสำหรับการรับใช้แทนการมอบที่ดิน การนี้ทำให้ระบบเจ้าขุนมูลนายเข้มแข็งขึ้นเพราะหากมีผู้ปกครองอ่อนแอ รัฐบาลขุนนางใหม่ที่เข้มแข็งจะสนับสนุนประชาชน ขุนนางบริติชยังสร้างมหากฎบัตรเพื่อลดพระราชอำนาจอีก การนำเงินเข้าสู่ระบบชนชั้นเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองของอังกฤษและทำให้มันต่างจากอารยธรรมตะวันออกมาก
มโนทัศน์ทางประวัติศาสตร์
มโนทัศน์นี้มีใช้ทั้งในชาติ "ตะวันออก" และ "ตะวันตก" นักจีนศึกษาชาวญี่ปุ่น ทาชิบานะ ชิรากิ ในคริสต์ทศวรรษ 1920 เขียนถึงความจำเป็นในการรวมทวีปเอเชียให้เป็นหนึ่ง อันประกอบด้วยเอเชียตะวันออก เอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่รวมเอเชียกลางและตะวันออกกลาง และตั้ง "ตะวันออกใหม่" ซึ่งอาจรวมกันทางวัฒนธรรมเพื่อถ่วงดุลตะวันตก ญี่ปุ่นยังคงใช้แนวคิดซึ่งเรียก แนวคิดรวมเอเชีย (Pan-Asianism) ตลอดสงครามโลกครั้งที่สอง ใน โฆษณาชวนเชื่อ ในประเทศจีนระหว่างสงครามเย็น ในสุนทรพจน์ปี 1957 ของเหมาเจ๋อตง ที่เปิดตัวคำขวัญเมื่อเขากล่าวว่า "นี่เป็นสงครามระหว่างสองโลก ลมตะวันตกไม่อาจชนะลมตะวันออก ลมตะวันออกถูกกำหนดมาให้ชนะลมตะวันตก"
สำหรับนักเขียนตะวันตกในคริสต์ทศวรรษ 1940 ทวิวิภาคดังกล่าวผูกมัดกับความคิดก้าวร้าว "ชาตินิยมไม่สำเร็จ" (frustrated nationalism) ซึ่งถูกมองว่า "ต่อต้านหรือไม่เป็นตะวันตกด้วยตัวมันเอง" นักสังคมนิยม แฟรงก์ ฟูเรดีเขียนว่า "การประเมินทางปัญญาที่มีอยู่แล้วของชาตินิยมยุโรปได้รับการดัดแปลงให้เข้ากับการเติบโตของชาตินิยมโลกที่สามโดยการพัฒนาคู่ชาตินิยมตะวันตกที่เติบโตเต็มที่กับชาตินิยมตะวันออกที่ยังไม่โตเต็มที่ ทวิวิภาคตะวันออก–ตะวันตกแบบนี้กลายเป็นทฤษฎีการเมืองตะวันตกที่ได้รับการยอมรับ"
หนังสือ โอเรียนทัลลิซึม (Orientalism) ปี 1978 โดย เอ็ดเวิร์ด ซาอิด มีอิทธิพลอย่างสูงในการตั้งมโนทัศน์ทวิวิภาคตะวันออก–ตะวันตกเพิ่มเติมในโลกตะวันตก โดยนำญัตติตะวันออกที่ "มีลักษณะโดยสภาพสัมผัสได้ของศาสนา ระเบียบสังคมแบบครอบครัวและประเพณีไม่เคยแก่" ตรงข้ามกับ "ความเป็นเหตุผล พลวัติทางวัตถุและเทคนิค และปัจเจกชนนิยม" แบบตะวันตกเข้าสู่เล็กเชอร์มหาวิทยาลัย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการวางการแบ่งว่าอิสลามเป็น "ตะวันออก" และอเมริกาและยุโรป "ตะวันตก" นักวิจารณ์หมายเหตุว่าทวิวิภาคตะวันออก–ตะวันตกระหว่างอิสลามกับศาสนาอื่นมีความยุ่งยากจากการแพร่กระจายของลัทธิมูลฐานนิยมอิสลามและความหลากหลายทางวัฒนธรรมในชาติอิสลาม โดยเคลื่อนการให้เหตุผล "นอกเหนือจากทวิวิภาคตะวันออก–ตะวันตกและเข้าสู่สถานการณ์สามฝ่าย"
การประยุกต์
ทวิวิภาคตะวันออก–ตะวันตกมีใช้ในการศึกษาหัวข้อต่าง ๆ รวมถึงการจัดการ เศรษฐศาสตร์และภาษาศาสตร์ การสร้างสรรค์ละการจัดการ (ค.ศ. 2007) พิจารณาทวิวิภาคดังกล่าวว่าเป็นความแตกต่างในการเรียนรู้เชิงองค์การระหว่างวัฒนธรมตะวันตกและตะวันออก มีการใช้อย่างกว้างขวางในการสำรวจช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่เรียก "ปาฏิหารย์เอเชียตะวันออก" ในบางส่วนของเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสือเอเชีย หลัง สงครามโลกครั้งที่สอง นักสังคมวิทยาบางคนรับรู้การขยายตัวทางเศรษฐกิจว่าเป็นสัญญาณว่าภูมิภาคนั้น "กลายเป็นตะวันตก" ตามแนวกับโลกตะวันตกเป็นแบบจำลองความทันสมัยที่วางโดย อาร์โนลด์ เจ. ทอยน์บี แต่คนอื่นมองหาคำอธิบายในคุณลักษณะทางวัฒนธรรมหรือเชื้อชาติในโลกตะวันออก โดยรับมโนทัศน์อัตลักษณ์วัฒนธรรมตะวันออกที่คงที่ในปรากฏการณ์ที่อธิบายว่าเป็น "คตินิยมแบบตะวันออกใหม่" (New Orientalism) แนวทางการเข้าสู่ทวิวิภาคตะวันออก–ตะวันตกทั้งสองแนวได้รับคำวิจารณ์ว่าไม่ได้นำความเป็นลูกผสมทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคดังกล่าวมาคิดด้วย
มโนทัศน์ดังกล่าวยังหยิบยกขึ้นมาเพื่อให้สัมพันธ์กับการพิจารณาการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม มีการอธิบายอย่างกว้างขวางว่าชาวเอเชียรับ "รูปแบบคำพูดอุปนัย" ซึ่งจะเลี่ยงการพูดประเด็นหลักตรง ๆ แต่กล่าวกันว่าสังคมตะวันตกใช้ "คำพูดนิรนัย" ซึ่งผู้พูดสร้างประเด็นของพวกตนในทันที สิ่งนี้มีการยกว่ามีความสำคัญสูงกว่าในหมู่ชาวเอเชียในความสัมพันธ์แบบสมานฉันท์ แต่ชาวตะวันตกกล่าวกันว่าให้ความสำคัญกับการสื่อสารโดยตรง หนังสือ Intercultural Communication: A Discourse Approach ในปี 2001 อธิบายทวิวิภาคตะวันออก–ตะวันตกทางภาษาศาสตร์ว่าเป็น "ทวิวิภาคเท็จ" โดยสังเกตว่าผู้พูดชาวเอเชียและตะวันตกใช้การสื่อสารทั้งสองแบบ
อ้างอิง
- ↑ Empty citation (help)
- https://www.academia.edu/616571/Metaphorical_politics_Is_Russia_western
- François Louis Ganshof (1944). Qu'est-ce que la féodalité. Translated into English by Philip Grierson as Feudalism, with a foreword by F. M. Stenton, 1st ed.: New York and London, 1952; 2nd ed: 1961; 3d ed: 1976.
- Andrew Jones, "The Rise and Fall of the Manorial System: A Critical Comment" The Journal of Economic History 32.4 (December 1972:938–944) p. 938; a comment on D. North and R. Thomas, "The rise and fall of the manorial system: a theoretical model", The Journal of Economic History 31 (December 1971:777–803).
- William Stubbs. The Constitutional History of England. Oxford: 1875.
- G. McMullan and D. Matthews, Reading the medieval in early modern England (Cambridge: Cambridge University Press, 2007), p. 231.
- Empty citation (help)
- H. Damico, J. B. Zavadil, D. Fennema, and K. Lenz, Medieval Scholarship: Philosophy and the arts: biographical studies on the formation of a discipline (Taylor & Francis, 1995), p. 80.
- Empty citation (help)
- Livery and Maintenance, Encyclopedia of The Wars of the Roses, ed. John A. Wagner, (ABC-CLIO, 2001), 145.
- "Feudalism", by Elizabeth A. R. Brown. Encyclopædia Britannica Online.
- "Feudalism?", by Paul Halsall. Internet Medieval Sourcebook.
- , by Robert Harbison, 1996, Western Kentucky University.
- Empty citation (help)
- Empty citation (help)
- Empty citation (help)
- Empty citation (help)
- Empty citation (help)
- Empty citation (help)
- Meštrovic, 63.
- See also Empty citation (help)
- Empty citation (help)
- Empty citation (help)
- Empty citation (help)
- Berger, 275.
- Empty citation (help)
- Cheng, 53.
- Empty citation (help)
ดูเพิ่ม
Balancing the East, Upgrading the West; U.S. Grand Strategy in an Age of Upheaval by Zbigniew Brzezinski January/February 2012 Foreign Affairs