อินทรีฮาสท์
อินทรีฮาสท์ ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: Pleistocene to Late Holocene | |
---|---|
Skull at the Canterbury Museum, Christchurch | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Accipitriformes |
วงศ์: | Accipitridae |
สกุล: | Hieraaetus |
สปีชีส์: | †H. moorei |
ชื่อทวินาม | |
Hieraaetus moorei Haast, 1872 | |
ชื่อพ้อง | |
Harpagornis moorei Haast, 1872 |
อินทรีฮาสท์ (อังกฤษ: Haast's Eagle; (ชื่อวิทยาศาสตร์: Hieraaetus moorei) คืออินทรีสายพันธุ์หนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว ครั้งหนึ่งมันเคยอาศัยอยู่ที่เกาะใต้ของนิวซีแลนด์ เป็นสายพันธุ์อินทรีที่เชื่อกันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมา
อินทรีฮาสท์มีถิ่นกำเนิดในนิวซีแลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นนกอินทรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมันมีความยาวจากปลายปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งกว่า 10 ฟุต หรือสามเมตร น้ำหนักราว 15 -20 กิโลกรัม กรงเล็บของอินทรีฮาสท์มีขนาดพอ ๆ กับเล็บเสือโคร่ง จัดว่าเป็นนักล่าที่น่ากลัวที่สุดของนิวซีแลนด์ เนื่องจากนกอินทรีชนิดนี้อาศัยอยู่ในเกาะใต้ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยป่าหนาทึบ มันจึงมีปีกที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบตามสัดส่วนร่างกาย ทั้งนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์ขณะที่บินล่าเหยื่อในป่า ช่วงปีกค่อนข้างสั้นและแผ่กว้างทำให้อินทรีฮาสท์ไม่ร่อนหาเหยื่อจากที่สูงเหมือนอย่างพวกแร้ง แต่มักจะบินไปตามแนวป่ามากกว่า
เหยื่อสำคัญของอินทรีฮาสท์คือบรรดานกโมอาชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะนกโมอายักษ์ที่หนักกว่า 250 กิโลกรัม แม้ว่าโมอายักษ์จะใหญ่กว่าอินทรีฮาสท์หลายเท่า แต่มันก็ค่อนข้างเชื่องช้าและยังมีคอและศีรษะขนาดเล็กทำให้ง่ายต่อการโจมตี โดยอินทรีฮาสต์จะโฉบลงที่ลำคอหรือไม่ก็ศีรษะของเหยื่อ ก่อนใช้กรงเล็บสังหารเหยื่อของมัน เนื่องจากเหยื่อของมันมีขนาดใหญ่มาก อินทรีฮาสต์จึงมักกินเหยื่อที่พื้นและอยู่กับซากเป็นเวลาหลายวัน การที่อินทรีฮาสต์ล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอายักษ์ ก็เพราะว่าในนิวซีแลนด์ มันเป็นนักล่าที่ใหญ่ที่สุดของดินแดนแห่งนี้ ตามปกติสัตว์จำพวกเหยี่ยวและนกอินทรีจะล่าเหยื่อที่มีขนาดเล็กกว่าพวกมันเพื่อให้ง่ายต่อการนำขึ้นไปกินบนกิ่งไม้สูงทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ถูกสัตว์นักล่าบนพื้นดินชนิดอื่นที่แข็งแรงกว่ามาแย่งเหยื่อไป แต่ในนิวซีแลนด์ไม่มีสัตว์นักล่าบนพื้นดิน ที่แข็งแกร่งกว่าอินทรีฮาสท์ ทำให้พวกมันสามารถกินเหยื่อบนพื้นดินได้โดยไม่ต้องกลัวถูกแย่งไป ไม่เคยมีชาวผิวขาวคนใดได้เห็น นกอินทรีฮาสท์ คงมีเพียงชาวมาวรีเท่านั้นที่เคยเห็นมัน
พวกมาวรีเรียกนกอินทรีชนิดนี้ว่า "โปวาไก" (Pouakai) ในตำนานพื้นบ้านเล่าว่า มันจะเกาะอยู่บนยอดไม้สูง เมื่อมนุษย์เดินผ่าน มันจะพุ่งเข้าจู่โจมโดยใช้กรงเล็บขยุ้มที่ศีรษะเหยื่อ และเมื่อเหยื่อตายแล้วมันจะนำกลับไปที่รัง เมื่อดูจากกรงเล็บและขนาดของมันแล้ว ก็พอจะกล่าวได้ว่า ตำนานนี้ไม่เกินจริงนัก
กระดูกของอินทรียักษ์ ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1871 ระหว่างการขุดค้นกระดูกนกโมอาที่บึงเกลมมาร์ก (Glemmark) ในแคนเทอร์บรี (Canterbury) จากนั้นได้มีการศึกษา และตั้งชื่อในปีต่อมา กระดูกของอินทรีฮาสท์ไม่ได้พบทั่วไป แต่มีอยู่เฉพาะในเกาะใต้ และทางตอนใต้ของเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านกอินทรีฮาสท์เป็นนกนักล่าที่น่ากลัวที่สุดของนิวซีแลนด์ พวกมันสามารถล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอาที่หนักกว่า 250 กิโลกรัมได้ โดยนกอินทรีฮาสท์จะใช้วิธีพุ่งเข้าชนเหยื่อ แรงปะทะของมันจะทำให้นกโมอาเสียหลักล้มลง จากนั้นมันจึงเล่นงานด้วยกรงเล็บ นอกจากนี้พวกมันก็อาจเล่นงานชาวพื้นเมืองเหมือนดังในตำนานก็ได้
จากหลักฐานที่พบ สรุปได้ว่าอินทรีฮาสท์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 500 ปีก่อน สาเหตุของการสูญพันธุ์น่าจะเกี่ยวเนื่องกับการเข้ามาของชาวมาวรี ทั้งนี้เมื่อเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอาถูกมนุษย์ล่า ทำให้นกอินทรีขาดแหล่งอาหาร นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า ชาวมาวรีล่าอินทรีเหล่านี้เพื่อใช้ขนทำเสื้อด้วย อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 1800 มีผู้อ้างว่า ได้ยิงอินทรียักษ์สองตัว แม้ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็พอจะพูดได้ว่านั่นเป็นข่าวการพบเห็นครั้งสุดท้าย เพราะนับแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีใครพบนกอินทรีชนิดนี้อีกเลย
อ้างอิง
- Lerner, H. R., & Mindell, D. P. (2005). Phylogeny of eagles, Old World vultures, and other Accipitridae based on nuclear and mitochondrial DNA. Molecular phylogenetics and evolution, 37(2), 327-346.
- Ladyguin, Alexander (2000). The morphology of the bill apparatus in the Steller’s Sea Eagle. First Symposium on Steller’s and White-tailed Sea Eagles in East Asia pp. 1–10; Ueta, M. & McGrady, M.J. (eds.) Wild Bird Society of Japan
- Blas R. Tabaranza Jr. "Haribon – Ha ring mga Ibon, King of Birds". Haring Ibon’s Flight…. สืบค้นเมื่อ 2013. Check date values in:
|accessdate=
(help) - Lerner, H. R., & Mindell, D. P. (2005). Phylogeny of eagles, Old World vultures, and other Accipitridae based on nuclear and mitochondrial DNA. Molecular phylogenetics and evolution, 37(2), 327-346.
- Giant eagle (Aquila moorei), Haast’s eagle, or Pouakai. Museum of New Zealand: Te Papa Tongarewa. Retrieved 27 October 2010.
- Lerner, H. R., & Mindell, D. P. (2005). Phylogeny of eagles, Old World vultures, and other Accipitridae based on nuclear and mitochondrial DNA. Molecular phylogenetics and evolution, 37(2), 327-346.
- Bunce, M. (2005). "Ancient DNA Provides New Insights into the Evolutionary History of New Zealand's Extinct Giant Eagle". PLoS Biology. 3 (1): e9. doi:10.1371/journal.pbio.0030009. PMC 539324. PMID 15660162. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - Brathwaite, D. H. (1992). "Notes on the weight, flying ability, habitat, and prey of Haast's Eagle (Harpagornis moorei)" (PDF). Notornis. 39 (4): 239–247.
Ornithology of the Southern Pacific
Unknown parameter|month=
ignored (help) - Braithwaite, D.H. "NOTES ON THE WEIGHT, FLYING ABILITY, HABITAT, AND PREY OF HAAST'S EAGLE (Harpagornis moorei)" (PDF). Notornis, journal of the Ornithological Society of New Zealand (Inc.). สืบค้นเมื่อ 2013-03-28.
- Maas, P. . The Sixth Extinction. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2013-01-20. สืบค้นเมื่อ 2013-04-19.
- . Paleobiology and Biodiversity Research Group. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2014-05-05. สืบค้นเมื่อ 2013-04-19.
- Wood, Gerald (1983). The Guinness Book of Animal Facts and Feats. ISBN 978-0-85112-235-9.
- Eagles, Hawks and Falcons of the World by Leslie Brown & Dean Amadon. The Wellfleet Press (1986), ISBN 978-1555214722.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Martinson, Paul (2006). "Haast's Eagle. Harpagornis moorei". Wellington: Te Papa Press.
Artwork produced for the book Extinct Birds of New Zealand by Alan Tennyson
- Wingspan Birds of Prey Trust
- "Haast Eagle". New Zealand Birds Limited.
- "New Zealand Eagle". NZ Conservation Trust.
Charles Douglas' reputed sighting
- "Harpagornis Moorei". Te Papa Tongarewa: Museum of New Zealand.