แฟร์ไชลด์รีพับลิค เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2
เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2 (อังกฤษ: A-10 Thunderbolt II) เอ-10 บินครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 และเริ่มประจำการในกองบินกองทัพอากาศสหรัฐเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1976[ต้องการอ้างอิง]
บทบาท | เครื่องบินโจมตีภาคพื้นดินและสนับสนุนโดยใกล้ชิด |
---|---|
ชาติกำเนิด | สหรัฐ |
บริษัทผู้ผลิต | แฟร์ไชลด์ แอร์คราฟท์ |
บินครั้งแรก | 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 |
เริ่มใช้ | พ.ศ. 2520 |
สถานะ | อยู่ในประจำการ |
ผู้ใช้งานหลัก | กองทัพอากาศสหรัฐ |
จำนวนที่ผลิต | 715 ลำ |
มูลค่า | 18.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ |
เอ-10 เป็นเจ๊ตโจมตีแบบแรกของสหรัฐฯ ที่สนับสนุนหน่วยภาคพื้นดิน โดยเฉพาะการปราบรถถัง ด้วยปืนกลขนาดใหญ่ เอ-10 สามารถบรรทุกอาวุธได้มาก สามารถบินลาดตระเวณได้เป็นเวลานาน มีความคล่องตัวสูงสามารถบินเข้าโจมตีด้วยอัตราเร็วต่ำ มีเกราะป้องกันหัองนักบินเครื่องยนต์และระบบบังคับการบิน เดิมทีชื่อของเอ-10 "ธันเดอร์โบลท์" มาจากพี-47 ธันเดอร์โบลท์ที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเนื่องจากเครื่องบินทั้งสองมีประสิทธิภาพในการทำลายภาคพื้น จึงมีชื่อเหมือนกัน มันเป็นเครื่องบินรบที่ให้การสนับสนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอ-10 มีชื่อเล่นว่า"วอร์ธอง" (Warthog) หรือเรียกสั้นๆ ว่า"ฮอค" (Hog) ภารกิจรองลงมาคือมันจะทำหน้าที่นำอากาศยานลำอื่นๆ เข้าสู่เป้าหมายบนพื้นดิน เอ-10 ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นหลักจะถูกเรียกว่าโอเอ-10
การพัฒนา
ภูมิหลัง
การวิจารณ์พบว่ากองทัพอากาศสหรัฐฯ ไม่ได้ใช้การสนับสนุนทางอากาศอย่างฉับไวจริงๆ สมาชิกบางคนเริ่มมองหาอากาศยานจู่โจมพิเศษ ในสงครามเวียดนามอากาศยานโจมตีพื้นดินจำนวนมากถูกยิงตกโดยอาวุธขนาดเล็ก ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ และปืนต่อต้านอากาศยานระดับต่ำ ส่งผลให้เร่งการพัฒนาอากาศยานให้ดีขึ้นจนสามารถรอดจากการยิงของอาวุธดังกล่าวได้ นอกจากนี้เฮลิคอปเตอร์ในสมัยนั้นอย่างยูเอช-1 ไอโรควอยส์และเอเอช-1 คอบราซึ่งผู้บัญชาการกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้กล่าวว่ามันเหมาะกับการสนับสนุนระยะใกล้ แต่มันก็ไม่เหมาะกับการจัดการยานเกราะ ปืนกล และจรวดจึงทำให้มันเป็นเป้าหมายที่บอบบาง เอฟ-4 แฟนทอม 2 ถูกใช้ในการสนับสนุนระยะใกล้แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้นเนื่องจากมันมีการร่อนที่รวดเร็วและใช้น้ำมันไม่คุ้ม ด้วยการที่เอฟ-4 ส่วนมากไม่มีปืน แต่มีเอฟ-4อีที่ติดตั้งปืนเอ็ม61 วัลแคนขนาด 20 ม.ม.เพื่อจัดการเป้าหมายที่ยาก
A-10 Thunderbolt II
ในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2510 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ร้องขอข้อมูลผู้ทำสัญญาป้องกัน เป้าหมายของพวกเขาคือเพื่อสร้างแบบอากาศยานโจมตีราคาถูกโดยเรียกว่าเอ-เอ็กซ์หรือ"Attack Experimental" เจ้าหน้าที่ที่ดูแลโครงการคือผู้การเอเวอร์รี เคย์ ในปีพ.ศ. 2512 รัฐมนตรีของกองทัพอากาศได้ขอปิแอร์ สเปรย์ให้เขียนรายละเอียดเฉพาะสำหรับโครงการเอ-เอ็กซ์ อย่างไรก็ตามการมีส่วนร่วมของเขาถูกเก็บเป็นความลับเพราะว่าก่อนหน้านี้สเปรย์มีส่วเกี่ยวข้องในโครงการของเอฟ-15 อีเกิล การหารือของสเปรย์กับนักบินเอ-1 สกายไรเดอร์ในเวียดนามและประเมินความมีประสิทธิภาพของเครื่องบินปัจจุบันและพบว่าต้องการการร่อนที่นานขึ้น ความสามารถในระดับความเร็วต่ำ อำนาจการยิงปืนใหญ่อย่างมาก และความคงทนสูง
เครื่องบินที่มีส่วนองค์ประกอบชั้นยอดจากอิลยูชิน อิล-2 เฮนส์เชล เอชเอส 129 และเอ-1 สกายไรเดอร์ ข้อจำกัดยังรวมทั้งความต้องการให้เครื่องบินมีราคาต่ำกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤษภาคมพ.ศ. 2513 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ทำการดัดแปลงและมีการเสนอรายละเอียดเพิ่มเมื่อภัยคุกคามของกองกำลังติดอาวุธโซเวียตและปฏิบัติการโจมตีทุกสภาพอากาศกลายมาเป็นเรื่องสำคัญ บริษัททั้งหกยื่นข้อเสนอให้กับกองทัพอากาศสหรัฐฯ ด้วยนอร์ทธรอปและแฟร์ไชลด์ รีพับลิกได้เลือกที่จะสร้างต้นแบบ คือ วายเอ-9เอและวายเอ-10เอตามลำดับ
วายเอ-10เอทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 หลังจากทดสอบกองทัพอากาศก็เลือกวายเอ-10เอของแฟร์ไชลด์ รีพับลิกในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2516 เพื่อทำการผลิต นอกจากนั้นยังมีการแข่งขันกับเอ-7ดี คอร์แซร์ 2 ซึ่งเป็นเครื่องบินจู่โจมของกองทัพอากาศในตอนนั้นเพื่อที่จะพิสูจน์ความต้องการในการซื้อเครื่องบินแบบใหม่ เอ-10 ที่ผลิตลำแรกทำการบินในเดือนตุลาคมพ.ศ. 2518 และส่งให้กับกองทัพอากาศในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2519 ให้กับฐานบินเดวิส มอนแธนในรัฐแอริโซนา ฝูงบินแรกที่ใช้เอ-10 เข้าประจำการในเดือนตุลาคมพ.ศ. 2520 โดยรวมแล้วมีเครื่องบินทั้งหมด 715 ลำที่ถูกผลิตและลำสุดท้ายในพ.ศ. 2527
เอ-10 รุ่นทดลองที่มีสองที่นั่งถูกสร้างโดยดัดแปลงมาจากเอ-10เอ รุ่นนี้เรียกว่าเอ็น/เอดับบลิว (Night Adverse Weather) ถูกพัฒนาโดยแฟร์ไชลด์จากการทดลองเอ-10 ให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ พิจารณา มันรวมทั้งที่นั่งที่สองสำหรับผู้ควบคุมอาวุธ แบบอื่นๆ นั้นถูกยกเลิกและมีเพียงแบบสองที่นั่งเท่านั้นที่ยังอยู่ในฐานบินและรอเข้าพิพิธภัณฑ์ ข้อเสนอของเอ-10 สองที่นั่งสำหรับฝึกไม่ถูกนำเข้าสายผลิต ด้วยการที่เอ-10 นั้นบินง่ายพอจนไม่จำเป็นต้องใช้แบบสำหรับการฝึก
การพัฒนา
เอ-10 ได้รับการพัฒนามากมายตลอดหลายปี เครื่องบินถูกพัฒนาด้วยระบบนำร่องภายในและเซ็นเซอร์เลเซอร์แบบเพฟเพนนี (สำหรับชี้เป้า) เพฟเพนนีเป็นตัวหาเป้าแบบไร้ปฏิกิริยาและไม่สามารถกำหนดเป้าหมายได้เองให้กับระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ ต่อมาระบบความปลอดภัยเมื่อบินต่ำและระบบหาเป้าที่พัฒนาได้นำมาซึ่งอาวุธที่เล็งเป้าด้วยคอมพิวเตอร์ และนักบินอัตโนมัติ และระบบเตือนเมื่อบินใกล้พื้นมากเกินไป เอ-10 มีกล้องมองกลางคืนสำหรับปฏิบัติการในตอนกลางคืน ในปีพ.ศ. 2542 เครื่องบินเริ่มได้รับระบบนำร่องแบบจีพีเอสและในพ.ศ. 2548 ก็เริ่มมีการติดตั้งระบบจับเป้าที่พัฒนาด้วยระบบไอเอฟเอฟซีซี ( Integrated Flight & Fire Control Computers)
เอ-10 ถูกกำหนดว่าจะเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ จนถึงปีพ.ศ. 2571 ในพ.ศ. 2548 กองบินเอ-10 ทั้งกองเริ่มได้รับการพัฒนาซึ่งทำให้มันมีชื่อใหม่ว่าแบบ"ซี"ซึ่งรวมทั้งระบบควบคุมการยิงที่พัฒนาและความสามารถในการใช้สมาร์ทบอมบ์ เอ-10 จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการยืดอายุการใช้งานด้วยการเปลี่ยนปีกใหม่ สัญญาที่สั่งสร้างปีกเอ-10 ใหม่เพิ่มอีก 242 ปีกถูกมอบให้กับโบอิงในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 การดัดแปลงเพื่อพัฒนาอาวุธกำลังอยู่ในการดำเนินการ แบบซีนั้นจะพัฒนาเสร็นสิ้นในปีพ.ศ. 2554
การออกแบบ
เอ-10 มีความเหนือการในระดับความสูงต่ำซึ่งต้องขอบคุณปีกที่ตรงและกว้างของมัน สิ่งเหล่านี้ทำให้มันใช้พื้นที่ในการบินขึ้นและลงจอดน้อยเหมาะกับการใช้งานในสนามบินของแนวหน้า เครื่องบินสามารถร่อนได้นานและทำงานในระดับต่ำกว่า 1,000 ฟุตได้โดยมีเพดานบินที่ 2.4 กิโลเมตร โดยทั่วไปมันจะบินเดียวความเร็วต่ำประมาณ 555 ก.ม./ช.ม.ซึ่งทำให้มันเหมาะกับการทำหน้าที่โจมตีภาคพื้นดินมากกว่าเครื่องบินรบทิ้งระเบิดที่รวดเร็วซึ่งมักยากที่จะทำการจับเป้าขนาดเล็กและเป้าหมายที่เคลื่อนที่ช้า
ท่อไอเสียของเครื่องยนต์อยู่บนปีกแนวนอนส่วนหลังและระหว่างปีกคู่ที่ส่วนท้าย มันลดสัญญาณอินฟราเรดของเอ-10 และลดความเป็นไปได้ที่เครื่องบินจะถูกล็อกเป้าโดยขีปนาวุธหาความร้อน การวางเครื่องยนต์ไว้ที่ด้านหลังทำให้บางส่วนของปีกป้องกันมันจากการยิงได้ ส่วนลำตัวหลักมีลักษณะคล้ายรังผึ้งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแต่มีน้ำหนักเบา
เอ-10 มีเครื่องจักรที่ควบคุมอย่างครบถ้วน เพราะว่าปีกเสริมของมันเป็นแบบที่ไม่มีรอยเชื่อมหรือเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด แผงเหล่านี้เป็นวัสดุผสมที่ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมเครื่องจักรเพื่อลดเวลาและราคาในการผลิต ในการรบได้แสดงให้เห็นว่าแผงแบบนี้ทนทานมากกว่า นอกจากนี้หากได้รับความเสียหายมันยังเปลี่ยนได้ง่ายด้วยวัสดุชั่วคราวหากจำเป็น
ธันเดอร์โบลท์ 2 สามารถเข้าประจำการและปฏิบัติการได้จากฐานที่ขาดการอำนวยความสะดวก จุดเด่นที่ไม่ธรรมดาคือมันมีหลายส่วนของเครื่องบินสามารถสับเปลี่ยนกันได้ระหว่างซ้ายกับขวา ซึ่งรวมทั้งเครื่องยนต์ อุปกรณ์ลงจอด และปีกแนวตั้งที่ด้านหลัง อุปกรณ์ลงจอดที่แข็งแรงและปีกที่กว้างตรงทำให้มันสามารถขึ้นเครื่องได้ในระยะสั้นพร้อมกับอาวุธหนัก นั้นเลยทำให้เครื่องบินสามารถทำงานในสนามบินที่รับความเสียหายได้ เครื่องบินถูกออกแบบให้เติมเชื้อเพลิง เติมกระสุน และเข้าประจำการได้โดยใช้อุปกรณ์น้อยมาก
เนื่องจากว่าล้อลงจอดด้านหน้าที่ใกล้กับปืนใหญ่หลักของเอ-10 ทำให้ล้อยื่นไปทางขวาและปืนยื่นไปทางซ้าย มันทำให้เอ-10 มีรัศมีการเลี้ยวที่ไม่เหมือนใคร การเลี้ยวขวาบนพื้นจะใช้เนื้อที่น้อยกว่าการเลี้ยวซ้าย
ความทนทาน
เอ-10 มีความคงทนที่ดีเยี่ยม เพราะมันมีโครงสร้างที่แข็งแรงจนสามารถรอดจากกระสุนเจาะเกราะและระเบิดแรงสูงขนาด 23 ม.ม.ที่ยิงเข้ามาตรงๆ ได้ เครื่องบินมีความซับซ้อนถึงสามชั้นในระบบการบินของมัน ด้วยระบบกลไกที่คอยช่วยเหลือระบบไฮดรอลิกทั้งสอง สิ่งนี้ทำให้นักบินทำการบินและลงจอดได้เมื่อระบบหรือกำลังของไฮดรอลิกหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของปีกหายไป ในการบินโดยปราศจากกำลังของไฮดรอลิกมักจะใช้ระบบควบคุมด้วยมือ ในโหมดนี้เอ-10 จะสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สภาพที่เหมาะสมเพื่อบินกลับฐานและลงจอดถึงแม้ว่าพลังในการควบคุมจะต้องใช้มากกว่าปกติก็ตาม เครื่องบินถูกออกแบบให้บินได้ด้วยเครื่องยนต์เดียว หางเดียว และปีกที่เหลือครึ่งเดียวได้ ถังเชื้อเพลิงที่ผนึกตัวถูกป้องกันโดยโฟมที่ลดการจุดติดไฟ นอกจากนี้ล้อลงจอดหลักยังถูกออกแบบให้ลงจอดได้ถึงแม้ว่ามันจะกางออกมาได้เพียงครึ่งเดียวซึ่งทำให้มันต้องลงจอดด้วยท้องหรือแบบที่ไม่กางล้อนั่นเอง แต่ระบบของมันทำให้การลงจอดแบบดังกล่าวทำความเสียหายต่อส่วนท้องเครื่องบินให้น้อยที่สุด พวกมันยังมีบานพับที่ด้านหลังของเครื่องบินเผื่อหากว่ากำลังของไฮดรอลิกเสียหายนักบินจะได้ปล่อยล้อออกและผสมผสานแรงดึงดูดเข้ากับแรงต้านลมเพื่อเปิดล้อและล็อกมันให้เข้าตำแหน่ง
ห้องนักบินและส่วนของระบบควบคุมการบินถูกป้องกันโดยเกราะไทเทเนียมน้ำหนัก 408 กิโลกรัม มันถูกเรียกว่า"ถังไทเทเนียม ถังแบบนี้ถูกทดสอบให้ทนทานต่อการโจมตีจากปืนใหญ่ขนาด 23 ม.ม.และกระสุนขนาด 57 ม.ม.ได้ มันทำมาจากแผ่นไทเทเนียมที่มีความหนาตั้งแต่ครึ่งนิ้วจนถึงหนึ่งนิ้วครึ่ง การป้องกันนี้ต้องแลกด้วยบางอย่าง ตัวเกราะเองนั้นมีน้ำหนักถึง 6% ของเครื่องบินทั้งลำ เพื่อป้องกันนักบินจากสะเก็ดระเบิดจากการปะทะของกระสุนที่กระทบเข้ากับตัวเกราะ นักบินจึงถูกหุมด้วยเกราะเคฟลาร์ กระจกครอบประกอบด้วยอาร์คริลิกแบบกันกระสุนที่สามารถทนทานต่ออาวุธขนาดเบาและป้องกันสะเก็ดระเบิด
การพิสูจน์ล่าสุดถึงความทนทานของเอ-10 นั้นเกิดขึ้นเมื่อร้อยเอกคิม แคมพ์เบลล์แห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ทำการบินสนับสนุนภาคพื้นดินเหนือแบกแดดในช่วงบุกอิรักเมื่อปีพ.ศ. 2546 เครื่องบินของเธอได้รับความเสียหายจากปืนต่อต้านอากาศยาน การยิงของข้าศึกสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์เครื่องหนึ่งและทำให้ระบบไฮดรอลิกหยุดทำงาน บังคับให้ระบบกลไกสำรองทำหน้าที่ควบคุมความเสถียรของเครื่องบินและควบคุมการบิน ถึงกระนั้นแคมพ์เบลล์ก็สามารถบินได้อยู่หนึ่งชั่วโมงและลงจอดอย่างปลอดภัย
ขุมกำลัง
มีเหตุผลมากมายสำหรับตำแหน่งที่ไม่ปกติของเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนรุ่นทีเอฟ34-จีอี-100 ของเอ-10 ในตอนแรกนั้นเอ-10 ถูกคาดว่าจะบินออกจากฐานบินในแนวหน้าซึ่งมักจะเป็นทางวิ่งที่ไม่ได้มาตรฐานซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการที่มีสิ่งของเข้าไปทำลายเครื่องยนต์ ตำแหน่งที่สูงของเครื่องยนต์ลดโอกาสการที่ทรายหรือหินเข้าไปในเครื่องยนต์ มันยังทำให้เครื่องยนต์ทำงานตลอดทำให้ใช้เวลาในการซ่อมแซมหรือเติมกระสุนรวดเร็วขึ้น การบำรุงรักษาและการเติมกระสุนง่ายขึ้นด้วยปีกที่ต่ำซึ่งเป็นเพราะไม่มีเครื่องยนต์อยู่บนปีก ตำแหน่งดังกล่าวยังลดสัญญาณอินฟราเรด เพราะตำแหน่งที่สูงเครื่องยนต์จึงทำมุมได้ 90 องศาสร้างความสมดุลกับศูนย์กลางของอากาศพลศาสตร์ของเครื่องบิน เครื่องยนต์ทั้งสองตัวต้องการการยึดเกาะที่มากดังนั้นพวกมันจึงมีสลักสี่ตัวยึดเอาไว้กับโครงสร้าง
ถังเชื้อเพลิงทั้งสี่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางของเครื่องบินเพื่อลดความเป็นไปได้ที่มันจะถูกยิงหรือแยกออกจากเครื่องยนต์ ถังถูกป้องกันโดยเครื่องมือมากมาย ถังแยกออกจากลำตัวเครื่องบิน ดังนั้นกระสุนจะต้องเจาะทะลุผิวก่อนที่จะเข้าถึงถัง ระบบเติมเชื้อเพลิงถูกกำจัดหลังจากไม่มีเชื้อเพลิงส่วนใดที่ไม่ได้รับการปกป้อง ส่วนประกอบของระบบเชื้อเพลิงถังหมดอยู่ในถังดังนั้นหากน้ำมันรั่วมันก็จะไม่ไปไหน หากถังได้รับความเสียหายระบบวาล์วก็จะทำให้มั่นใจว่าเชื้อเพลิงจะไม่ไหลเข้าไปในส่วนบอบบาง ที่สำคัญไปกว่านั้นจะมีตาข่ายโฟมพิเศษอยู่ถังด้านในและด้านนอกของถังเพื่อกันเศษซากหล่นหากได้รับความเสียหาย ส่วนเครื่องยนต์ที่อาจติดไฟได้นั้นถูกป้องกันโดยระบบเชื้อเพลิงและส่วนที่เหลือก็จะติดตั้งด้วยอุปกรณ์ดับไฟและกันไฟ
ระบบอาวุธ
ถึงแม้ว่าเอ-10 จะสามารถบรรทุกอาวุธแบบใช้แล้วทิ้งไป แต่อาวุธหลักของมันก็คือปืนแกทลิ่งจีเอยู-8 อเวนเจอร์ขนาด 30 ม.ม. หนึ่งในปืนใหญ่อากาศยานที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันกระสุนเจาะเกราะแบบไร้ยูเรเนียม ในการออกแบบเบื้องต้นนักบินสามารถสับเปลี่ยนอัตราการยิงระหว่าง 2,100 หรือ 4,200 นัดต่อนาที ซึ่งภายหลังถูกเปลี่ยนเป็นอัตราการยิงตายตัวที่ 3,900 นัดต่อนาที ปืนใหญ่ยังเร็วขึ้นดังนั้น 50 นัดแรกจึงยิงออกไปในวินาที นัดที่ 65 หรือ 70 จะเร็วขึ้นหลังจากนั้น ปืนมีความแม่นยำที่สอดคล้องกัน มันสามารถยิงได้แม่นยำถึง 80% ภายในระยะ 12.4 เมตรขณะบิน จีเอยู-8 ถูกใช้ในแนวเอียงในระยะ 1,220 เมตรโดยทำมุม 90 องศา
ลำตัวของเครื่องบินถูกสร้างขึ้นรอบๆ ปืน ตัวอย่างเช่น ล้อส่วนหน้าที่ยื่นไปทางขวาซึ่งทำให้ลำกล้องของปืนที่ยิงในตำแหน่ง 9 นาฬิกาเป็นแนวเดียวกับตัวเครื่องบิน ทั้งนั่นมันสามารถบรรจุ กระสุนขนาด 30 ม.ม.ได้ 1,175 นัด เอ-10 รุ่นแรกนั้นจะบรรทุกกระสุน 1,350 นัดแต่ถูกแทนที่เนื่องจากแบบขดนั้นเสียหายง่ายในตอนบรรจุกระสุน กระสุนแบบกลมที่มีจำนวน 1,174 นัดจึงถูกนำมาใช้แทน การเสียหายจะเกิดขึ้นโดยบางส่วนของกระสุนที่ยิงก่อนกำหนดเนื่องจากการปะทะของกระสุนระเบิดจะสร้างความหายนะ ด้วยเหตุผลนี้เองความเหมาะสมจึงตกมาที่แพ็กกระสุนแบบกลมแทน มีแผ่นมากมายที่แตกต่างกันในความหนาระหว่างส่วนกลมและผิว แผ่นเหล่านี้ถูกเรียกว่าแผ่นจุดชนวนเพราะว่าเมื่อกระสุนระเบิดเข้าชนเป้าหมายมันก็จะเจาะทะลุเกราะก่อนที่จะจุดชนวนระเบิด ตามที่แบบกลมมีชั้นมากมายการจุดระเบิดของกระสุนจึงถูกจุดชนวนก่อนที่มันจะถึงส่วนกลม ชั้นสุดท้ายของเกราะรอบๆ ส่วนกลมก็คือการป้องกันมันจากสะเก็ดระเบิด
อาวุธอีกอย่างของมันก็คือขีปนาวุธอากาศสู่พื้นดินแบบเอจีเอ็ม-65 มาเวอร์ริกด้วยแบบที่แตกต่างกันไปทั้งนำวิถีด้วยโทรทัศน์หรืออินฟราเรด มาเวอร์ริกสามารถเข้าปะทะเป้าหมายได้ในระยะที่ไกลกว่าปืนใหญ่ได้มากทำเครื่องบินอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยจากระบบต่อต้านอากาศยานสมัยใหม่ ในพายุทะเลทรายกล้องอินฟราเรดของมาเวอร์ริกถูกใช้ในภารกิจกลางคืน อาวุธอื่นๆ ก็รวมทั้งคลัสเตอร์บอมบ์และจรวดไฮดรา แม้ว่าเอ-10 จะบรรทุกระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ พวกมันก็ใช้งานในแบบที่ไม่ปกติ ในระดับความสูงต่ำและความเร็วปกติของเอ-10 ระเบิดแบบธรรมดาก็มีความแม่นยำเพียงพอแล้ว ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตามอาวุธนำวิถีจะเพิ่มข้อได้เปรียบเพียงเล็กน้อย ด้วยการที่บางครั้งก็แทบไม่มีเวลาสำหรับการหาวิถี เอ-10 มักบินพร้อมกับกระเปาะอีซีเอ็มรุ่นเอแอลคิว-131 ที่อยู่ใต้บินข้างใดข้างหนึ่งและขีปนาวุธอากาศสู่อากาศแบบเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์สองลูกที่ใต้ปีกอีกข้างหนึ่งสำหรับป้องกันตัวเอง
การพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น
โครงการปรับแต่งของเอ-10 มีมูลค่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเอ-10 จำนวน 356 ลำจะได้รับคอมพิวเตอร์การบินแบบใหม่ ฝาครอบแบบใหม่ จอสีแสดงผลขนาด 5.5 นิ้วแบบใหม่พร้อมแผนที่เคลื่อนที่
ทุนอื่นๆ เข้าการพัฒนากองบินเอ-10 ที่รวมทั้งการเชื่อมข้อมูลแบบใหม่ ความสามารถในการใช้อาวุธอัจฉริยะอย่างเจแดมและความสามารถในการบรรทุกกระเปาะล็อกเป้าอย่างไลท์เทนนิ่งของนอร์ทธรอป กรัมแมนหรือเอทีพีของล็อกฮีด มาร์ติน นอกจากนั้นยังมีระบบสำหรับส่งข้อมูลเซ็นเซอร์ให้กับคนที่อยู่บนพื้นอีกด้วย
การพัฒนาด้านโครงสร้างจะเป็นการเปลี่ยนปีกใหม่ทั้งหมดให้กับเอ-10 จำนวน 242 ลำซึ่งเดิมทีเป็นปีกแบบบาง มีการให้ทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาแรงขับของเครื่องยนต์ให้มากขึ้น
ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.ทางสำนักงานบัญชีของรัฐบาลได้ประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนา บำรุงรักษา และแผนในการยืดอายุการใช้งานของเอ-10 สูงขึ้นถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประวัติการใช้งาน
หน่วยแรกที่ได้รับเอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2 คือฝูงบินที่ 355 ที่ประจำการอยู่ที่ฐานทัพอากาศเดวิส-มอนแธนในแอริโซนาเมื่อเดือนมีนาคมพ.ศ. 2519 หน่วยแรกที่ใช้มันเข้าทำการต่อสู้คือฝูงบินที่ 354 ที่ฐานทัพอากาศไมเทิล บีชในเซาท์แคลิฟอร์เนียเมื่อพ.ศ. 2521
ในตอนแรกนั้นเอ-10 ถูกต้อนรับไม่ค่อยดีนักจากมุมมองของคนใหญ่คนโตในกองทัพอากาศ เมื่อผู้นำอาวุโสของกองทัพอากาศส่วนมากเพิ่มขึ้นมาจากสังคมของนักบินขับไล่ กองทัพอากาศชอบเครื่องเอฟ-15 อีเกิลและเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอนมากกว่าและดื้อดึงที่จะทิ้งงานสกปรกในการเข้าสนับสนุนระยะใกล้ให้กับเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก (การสร้างขีปนาวุธต่อต้านยานเกราะเอจีเอ็ม-114 เฮลไฟร์และเฮลิคอปเตอร์จู่โจมแบบเอเอช-64 อาพาชี่ทำให้กองทัพอากาศมีอากาศยานต่อต้านรถถัง) การพยายามย้ายเอ-10 เข้ากองทัพบกและนาวิกโยธินถูกห้ามในตอนแรกและจากนั้นมันก็ถูกยอมรับด้วยความน่าประทับใจของมันในสงครามอ่าวเมื่อปีพ.ศ. 2534
เอ-10 ได้แสดงการรบครั้งแรกในสงครามอ่าวเมื่อพ.ศ. 2534 มันได้ทำลายรถถังอิรักมากกว่า 900 คัน พาหนะทางทหาร 2,000 คัน และปืนใหญ่ 1,200 แห่ง เอ-10 ได้ยิงเฮลิคอปเตอร์ของอิรักสองลำตกด้วยปืนจีเอยู-8 อเวนเจอร์ หนึ่งในนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 เมื่อร้อยเอกโรเบิร์ต สเวนยิงเฮลิคอปเตอร์หนึ่งลำของอิรักตกเหนือคูเวต เอ-10 สี่ลำถูกยิงตกในสงครามซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเพราะขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ เอ-10 มีภารกิจ 95.7% บินอีก 8,100 เที่ยว และยิงขีปนาวุธเอจีเอ็ม-65 มาเวอร์ริกไป 90% ไม่นานหลังจากสงครามอ่าวกองทัพอากาศได้ล้มเลิกความคิดที่จะแทนที่เอ-10 ด้วยเอฟ-16 รุ่นใหม่
ในปีพ.ศ. 2533 เอ-10 หลายลำถูกเปลี่ยนให้ทำหน้าที่ควบคุมแนวหน้าทางอากาศและได้รับชื่อใหม่ว่าโอเอ-10 ในบทบาทนี้เอ-10 มักจะติดตั้งจรวดไฮดราขนาด 70 ม.ม. 6 ตำแหน่งซึ่งมักเป็นหัวรบควันหรือฟอสฟอรัสขาวเพื่อทำตำแหน่งของเป้าหมาย โอเอ-10 ยังคงอยู่ในประจำการถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อไปก็ตาม
เอ-10 ได้เข้าประจำการอีกครั้งในพ.ศ. 2542 ในสงครามคอซอวอ ในสงครามอัฟกานิสถาน ในปฏิบัติการอานาคอนดาในอัฟกานิสถานเมื่อเดือนมีนาคมพ.ศ. 2545 และในสงครามอิรักปีพ.ศ. 2546 ในอัฟกานิสถานเอ-10 ตั้งฐานอบู่ที่บาแกรม
ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2546 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ส่วนกลางได้ประกาศอย่างเปิดเผยถึงภารกิจทางอากาศในสงคราม มีเอ-10 จำนวนหกสิบลำถูกใช้ในอิรัก มีหนึ่งลำถูกยิงตกใกล้กับสนามบินนานาชาติของแบกแดด ในเอ-10 ทั้งหมดที่ถูกวางพลมี 47 ลำเป็นเครื่องบินของกองกำลังป้องกันชาติและ 12 ลำมาจากกองกำลังสำรองของกองทัพอากาศ เอ-10 ทำภารกิจ 80% ของสงครามและยิงกระสุนขนาด 30 ม.ม.ไป 311,597 นัด เอ-10 ยังได้ทำภารกิจอีก 32 ภารกิจซึ่งได้ทิ้งใบปลิวประชาสัมพันธ์เหนืออิรัก
เอ-10 ถูกวางกำลังครั้งแรกในอิรักในไตรมาสที่สามของปีพ.ศ. 2550 พร้อมกับฝูงบินที่ 104 จากกองกำลังรักษาดินแดนของแมรี่แลนด์ เครื่องเจ็ทยังรวมทั้งการพัฒนาแบบใหม่มาด้วย ระบบดิจิตอลและการสื่อสารของเอ-10 ได้ลดเวลาในการเข้าโจมตีเป้าหมายลงไปมาก
เอ-10 ถูกกำหนดให้อยู่ในประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ จนกระทั่งปี 2571 และอาจต่อจากนั้น เมื่อมันอาจถูกแทนที่โดยเอฟ-35 ไลท์นิ่ง 1 เอ-10 ทั้งกองบินในปัจจุบันยังคงอยู่ภายใต้การพัฒนา เอ-10 อาจอยู่ในกระจำการนานขึ้นเนื่องมาจากมันมีราคาถูกและความสามารถที่ไม่เหมือนใคร อย่างปืนใหญ่ของมัน ความทนทาน และความสามารถในการบินเป็นเวลานาน
แบบต่างๆ
- วายเอ-10เอ
- รุ่นต้นแบบสองลำแรก
- เอ-10เอ
- แบบที่นั่งเดียวสำหรับการสนับสนุนทางอากาศและโจมตีภาคพื้นดิน
- เอ-10เอ+ (พลัส)
- แบบที่นั่งเดียวสำหรับการสนับสนุนทางอากาศและโจมตีภาคพื้นดิน รวมทั้งการพัฒนาทั้งหมด
- โอเอ-10เอ
- แบบที่นั่งเดียวสำหรับการควบคุมทางอากาศในแนวหน้า
- วายเอ-10บี ไนท์/แอดเวิร์ส เวทเธอร์
- แบบสองที่นั่งที่เป็นรุ่นทดลองสำหรับการทำงานตอนกลางคืนและสภาพอากาศที่เลวร้าย ต่อมามันมีชื่อใหม่ว่าวายเอ-10บี มีแบบนี้เพียงหนึ่งลำเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาซึ่งปัจจุบันถูกนำไปแสดงเพียงอย่างเดียว
- เอ-10ซี
- เอ-10 ที่ได้เข้าโครงการพัฒนาด้านอาวุธโดยมีฝาครอบแบบใหม่ การเชื่อมข้อมูล และอาวุธหลากสภาพอากาศและความสามารถในการใช้เลเซอร์ล็อกเป้า
รายละเอียด เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2
- ผู้สร้าง:บริษัทแฟร์ไชลด์ รีพับลิก (สหรัฐอเมริกา)
- ประเภท:เจ๊ตโจมตีสนับสนุนหน่วยทหารภาคพื้นดิน
- เครื่องยนต์:เทอร์โบแฟน เยเนอรัล อีเล็คตริค ทีเอฟ-34 ยีอี-100 ให้แรงขับสถิตเครื่องละ 4,112 กิโลกรัม 2 เครื่อง
- กางปีก:17.53 เมตร
- ยาว:16.25 เมตร
- สูง:4.47 เมตร
- พื้นที่ปีก:47.01 ตารางเมตร
- น้ำหนักเปล่า: 9,176 กิโลกรัม
- น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด: 21,148 กิโลกรัม
- อัตราเร็วขั้นสูง: ไม่เกิน 834 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- อัตราเร็วในการรบ 721 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ระยะสูง 3,050 เมตร และ 697 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ระดับน้ำทะเล
- อัตราเร็วเดินทาง 555 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- อัตราไต่สูงสุด 1,826 เมตร/นาที
- รัศมีทำการรบ: 463 กิโลเมตร เมื่อบรรทุกลูกระเบิดหนัก 4,327 กิโลกรัม
- พิสัยบินไกลสุด: 4,647 กิโลเมตร
- อาวุธ:ปืนใหญ่อากาศ เยเนลรัล อีเล็กตริค จีเอยู-8 อเวนเจอร์ ขนาด 30 มม ชนิดลำกล้องหมุนได้ 7 ลำกล้อง อัตรายิงเร็ว 4,200 นัด/นาที 1 กระบอก ที่ใต้ลำตัวส่วนหัว พร้อมกระสุน 1,350 นัด
- สามารถติดตั้งอาวุธใต้ลำตัว 3 ตำแหน่งและ ใต้ปีกข้างละ 4 ตำแหน่ง รวม 11 ตำแหน่ง
- รวมคิดเป็นน้ำหนักกว่า 7,257 กิโลกร้ม
อ้างอิง
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: แฟร์ไชลด์รีพับลิค เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2 |
- A-10 history, GlobalSecurity.org
- "A-10 Thunderbolt II". U.S. Air Force. Air Combat Command. สืบค้นเมื่อ 29 September 2015.
- ↑ อภิวัตน์ โควินทรานนท์,อากาศยาน1979ฉบับเครื่องบิน,เอวิเอชั่น ออบเซิร์ฟเวอร์,กรุงเทพ,2522
- Jenkins 1998, pp. 4, backcover.
- Jenkins 1998.
- ↑ Coram 2004.
- ↑ A-10/OA-10 Thunderbolt II History
- Republic Night/Adverse Weather A-10, USAF National Museum
- Photos an information on N/AW A-10B
- ↑ Making the Best of the Fighter Force, Air Force magazine, March 2007.
- "Boeing Awarded $2 Billion A-10 Wing Contract", Boeing, 29 June 2007.
- ↑ Schanz, Marc V. "Not Fade Away". Air Force Magazine, June 2008.
- Drendel 1981, p. 12.
- Henderson, Breck W. "เอ-10 'วอร์ธอง' เสียหายอย่างหนักในสงครามอ่าวแต่ก็รอดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง" Aviation Week and Space Technology, 5 สิงหาคม พ.ศ. 2534
- ↑ Jenkins 1998, pp. 47, 49.
- Bell, Dana (1986). A-10 Warthog in Detail & Scale. Blue Ridge Summit, Pennsylvania: TAB Books. p. 64. ISBN 0816850305.
- Stephens, Rick (1995). A-10 Thunderbolt II. World Air Power Journal. p. 18. ISBN 1874023549.
- TCTO 1A-10-1089, Flight manual TO 1A-10A-1 (20 February 2003, Change 8), page vi, 1-150A.
- Sweetman, Bill (1987). The Great Book of Modern Warplanes. New York City: Portland House. p. 46. ISBN 0517633671.
- ↑ Jenkins 1998, pp. 64–73.
- The A-10, Plane-Crazy.net
- GAO-07-415 Tactical Aircraft, DOD Needs a Joint and Integrated Investment Strategy, US Government Accountability Office, April 2007. text version
- ↑ A Higher-Tech Hog: The A-10C PE Program, Defense Industry Daily, 30 มิถุนายน 2551
- "Total Storm", Air Force magazine, June 1992.
- Fixed-wing Combat Aircraft attrition in Desert Storm
- A-10/OA-10 fact sheet, USAF
- A-16 Close Air Support
- Iraq, GlobalSecurity.org
- "Upgraded A-10s prove worth in Iraq", U.S. Air Force, 7 November 2007.
- Doscher, Staff Sgt. Thomas J. "A-10C revolutionizes close air support", กองทัพอากาศสหรัฐฯ, 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
- "กองทัพอากาศสหรัฐฯ อาจยืดอายุการใช้งานเอ-10 ของแฟร์ไชลด์นานถึงปีพ.ศ. 2571", Flight International, 29 สิงหาคม 2550