อาชญากรรมสงครามของรัสเซีย เป็นการละเมิดที่ครอบคลุมถึง(อาชญากรรมสงคราม) (อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ) และอาชญากรรม(การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์) ซึ่ง(กองกำลังติดอาวุธทางการ)และ(กองกำลังรบกึ่งทหาร)ของ(รัสเซีย)ถูกกล่าวโทษว่าก่อขึ้นตั้งแต่(การล่มสลายของสหภาพโซเวียต)ใน ค.ศ. 1991 ข้อกล่าวโทษนี้ยังหมายรวมถึงการช่วยเหลือและการสนับสนุนอาชญากรรมที่ก่อขึ้นโดย(รัฐหุ่นเชิด)หรือที่ได้รับอาวุธและเงินทุนจากรัสเซียซึ่งรวมถึง(สาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์)และ(สาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์) (อาชญากรรมสงคราม)เหล่านี้ได้แก่(การฆ่าคน) (การทรมาน) (การก่อการร้าย) หรือ (การข่มขืนกระทำชำเรา) (การฉกชิงทรัพย์) การกักขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การโจมตีทางอากาศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือการโจมตีวัตถุพลเรือน และการทำลายล้างโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ
(แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) และ(ฮิวแมนไรตส์วอตช์)ได้บันทึกอาชญากรรมสงครามของรัสเซียใน(เชชเนีย)(จอร์เจีย)(ยูเครน) และ(ซีเรีย)องค์การแพทย์ไร้พรมแดนยังได้บันทึกอาชญากรรมสงครามในเชชเนียด้วย ใน ค.ศ. 2017 (สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ) (โอเอชซีเอชอาร์) รายงานว่ารัสเซียใช้(ระเบิดลูกปราย)และ(อาวุธเพลิง)ในซีเรีย ซึ่งก่อให้เกิดอาชญากรรมสงครามจากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ โอเอชซีเอชอาร์ยังพบว่ารัสเซียกระทำความผิดฐานก่ออาชญากรรมสงครามในยูเครนใน ค.ศ. 2022 และ 2023 เมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2022 (องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป) (โอเอสซีอี) เผยแพร่รายงานที่พบว่ารัสเซียกระทำความผิดฐานก่ออาชญากรรมสงครามจาก(การโจมตีทางอากาศใส่โรงพยาบาลในเมืองมารีอูปอล) ในขณะที่การฆ่าโดยเลือกเป้าหมายและ(การบังคับให้สูญหาย)หรือการลักพาตัวพลเรือน (รวมถึงนักข่าวและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น) ที่รัสเซียก่อขึ้นอาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติด้วย
เมื่อถึง ค.ศ. 2009 ได้ออกคำตัดสินในคดี 115 คดี (รวมถึงคำตัดสินใน) โดยตัดสินว่ารัฐบาลรัสเซียมีความผิดฐานบังคับให้สูญหาย ฆ่าคน ทรมาน และไม่สอบสวนอาชญากรรมเหล่านั้นอย่างเหมาะสมในเชชเนีย ใน ค.ศ. 2021 ศาลฯ ยังตัดสินให้รัสเซียมีความผิดฐานฆ่าคน ทรมาน ฉกชิงทรัพย์ และทำลายบ้านเรือนในจอร์เจีย รวมทั้งขัดขวางไม่ให้ชาวจอร์เจียพลัดถิ่นจำนวน 20,000 คนกลับไปยังดินแดนของตน
บรรดาประเทศตะวันตกได้บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศในวงกว้างต่อเจ้าหน้าที่รัสเซียสองครั้งใน ค.ศ. 2014 และ 2022 อันเป็นผลมาจากการที่รัสเซียเข้าไปมีส่วนพัวพันกับสงครามในยูเครน ใน ค.ศ. 2016 รัสเซียถอนการลงนามของตนออกจาก(ศาลอาญาระหว่างประเทศ) (ไอซีซี) เมื่อไอซีซีเริ่มสอบสวนการละเมิด(กฎหมายระหว่างประเทศ)ที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง(การผนวกไครเมียเข้ากับรัสเซีย) จากนั้นใน ค.ศ. 2022 (สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ)ผ่าน ให้ระงับรัสเซียจากการเป็นสมาชิก(คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ) (ยูเอ็นเอชอาร์ซี) อย่างเป็นทางการเนื่องจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบของรัสเซียในยูเครน เจ้าหน้าที่รัสเซียหลายคนถูกศาลท้องถิ่นตัดสินว่ามีความผิดฐานก่ออาชญากรรมสงครามทั้งในเชชเนียและยูเครน ในที่สุดใน ค.ศ. 2023 ไอซีซีออกหมายจับ(วลาดีมีร์ ปูติน) ผู้นำรัสเซีย ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามในยูเครน
เชชเนีย
หลัง(การล่มสลายของสหภาพโซเวียต)ใน ค.ศ. 1991 (เชชเนีย)ประกาศเอกราชจากรัสเซีย รัสเซียไม่ยอมรับการประกาศเอกราชดังกล่าวและพยายามกลับเข้าไปควบคุมเชชเนียอีกครั้ง จุดประกายความตึงเครียดซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นเมื่อทหารรัสเซีย 25,000 นายข้ามเข้าสู่เชชเนียเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1994 สงครามสิ้นสุดลงด้วยความเป็นอิสระโดยพฤตินัยของเชชเนียและการถอนทหารของรัสเซียใน ค.ศ. 1996 อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับเชชเนียยังคงปรากฏอยู่และบานปลายต่อไปจนกระทั่ง(สงครามครั้งที่สอง)ปะทุขึ้นใน ค.ศ. 1999 รัสเซียปราบปรามการก่อความไม่สงบจนกระทั่ง ค.ศ. 2009 สงครามจึงสิ้นสุดเมื่อรัสเซียสามารถควบคุมเชชเนียได้อย่างสมบูรณ์และจัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่นที่สนับสนุนรัสเซีย ระหว่างนี้เกิดอาชญากรรมสงครามขึ้นหลายครั้งซึ่งส่วนใหญ่(กองทัพรัสเซีย)เป็นผู้ก่อ นักวิชาการบางคนประเมินว่าความโหดร้ายของการโจมตีกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดเล็กเช่นนั้นถือเป็นอาชญากรรม(การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
ระหว่างสงครามทั้งสองครั้ง ถูกและ(โฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย)เรียกพวกเขาว่า "พวกไอ้มืด" "พวกโจรเถื่อน" "พวกก่อการร้าย" "พวกแมลงสาบ" และ "พวกเรือด" กองทัพรัสเซียก่ออาชญากรรมสงครามจำนวนมากในเชชเนีย
สงครามเชเชนครั้งที่หนึ่ง
ตลอดช่วง องค์การสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ กล่าวโทษกองกำลังรัสเซียว่าเริ่มทำสงครามอันโหดร้ายโดยปราศจากการคำนึงถึง(กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ)อย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้พลเรือนเชเชนได้รับบาดเจ็บโดยไม่จำเป็นนับหมื่นคน กลยุทธ์หลักในความพยายามทำสงครามของรัสเซียคือการใช้ปืนใหญ่หนักและการโจมตีทางอากาศซึ่งนำไปสู่หลายครั้ง รายงานของ(ฮิวแมนไรตส์วอตช์)ระบุว่า การรบครั้งนี้ "เหนือกว่าการรบครั้งใด ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งในแง่ขอบข่ายและในแง่การทำลายล้าง ตามมาด้วยการโจมตีพลเรือนทั้งโดยเจาะจงและไม่เจาะจงเป้าหมายเป็นเวลาหลายเดือน"
อาชญากรรมเหล่านั้นรวมถึงการใช้อาวุธต้องห้ามอย่าง(ระเบิดลูกปราย)ใน ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่ตลาด สถานีบริการน้ำมัน และโรงพยาบาล และในในเดือนเมษายน ค.ศ. 1995 ซึ่งมีการประเมินไว้ว่ามีพลเรือนเสียชีวิตระหว่างการโจมตีมากถึง 300 คน กองกำลังรัสเซียดำเนินปฏิบัติการหรือการตรวจค้นบ้านเรือนหลังต่อหลังทั่วทั้งหมู่บ้าน ทหารของรัฐบาลกลางโจมตีพลเรือนและที่อยู่อาศัยของพลเรือนในซามัชกีอย่างจงใจและตามอำเภอใจโดยยิงชาวบ้านและเผาบ้านเรือนด้วย พวกเขาเปิดฉากยิงหรือขว้าง(ระเบิดมือ)เข้าไปในห้องใต้ดินซึ่งมีชาวบ้าน (ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง คนชรา และเด็ก) ซ่อนตัวอยู่ กองทหารรัสเซียยังจงใจเผาศพจำนวนมากทั้งโดยการโยนศพเข้าไปในบ้านที่กำลังลุกไหม้และการจุดไฟเผาโดยตรง
ระหว่าง และการยิงระเบิดจากปืนใหญ่ของรัสเซียได้รับการอธิบายว่าเป็นปฏิบัติการทิ้งระเบิดที่หนักหน่วงที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่(การทิ้งระเบิดที่เดรสเดินในสงครามโลกครั้งที่สอง) นักประวัติศาสตร์และนายพลชาวรัสเซีย กล่าวว่าการโจมตี(กรอซนืย)ของกองทัพรัสเซียได้คร่าชีวิตพลเรือนไปประมาณ 35,000 คน ในจำนวนนี้มีเด็กรวมอยู่ 5,000 คน พฤติการณ์นี้ส่งผลให้แหล่งข่าวจากโลกตะวันตกและจากเชชเนียบรรยายยุทธวิธีของรัสเซียว่าเป็นการใช้ระเบิดข่มขวัญโดยเจตนา การสังหารนองเลือดในกรอซนืยทำให้ทั้งรัสเซียและโลกภายนอกตกตะลึง ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์สงครามอย่างรุนแรง ผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศจาก(องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป) (โอเอสซีอี) บรรยายภาพเหตุการณ์ดังกล่าวว่าไม่ต่างอะไรจาก "หายนะที่ไม่อาจจินตนาการได้" ในขณะที่(มีฮาอิล กอร์บาชอฟ) อดีตผู้นำสหภาพโซเวียต เรียกสงครามครั้งนี้ว่าเป็น "เหตุนองเลือดที่น่าอดสู" ส่วน(เฮ็ลมูท โคล) นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เรียกสงครามครั้งนี้ว่าเป็น "ความบ้าคลั่งล้วน ๆ"
ในรายงานเดือนมีนาคม ค.ศ. 1996 (คณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน)กล่าวโทษกองทหารรัสเซียว่ายิงสังหารพลเรือนที่(จุดตรวจพลเรือน)และประหารชีวิตทั้งพลเรือนและเชลยศึกเชเชนอย่างรวบรัด มีสองกรณีที่เกี่ยวข้องกับการที่ทหารรัสเซียยิงสังหารเจ้าหน้าที่(ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม)ที่พยายามช่วยชีวิตพลเรือนจากการถูกประหารบนถนนสายหนึ่งในกรอซนืย เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังยิงใส่ทหารกลุ่มหนึ่งที่ปฏิเสธที่จะฆ่าประชากรพลเรือน
สงครามเชเชนครั้งที่สอง
สงครามเชเชนครั้งที่สองซึ่งเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1999 นั้นมีความโหดร้ายยิ่งกว่าสงครามครั้งก่อน นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่ากองทัพรัสเซียก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ในเชชเนียอย่างเป็นระบบ ได้แก่ การทำลายเมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรด้านความจำเป็นทางทหาร, การยิงและการทิ้งระเบิดใส่ถิ่นฐานที่ไม่มีระบบป้องกันภัย, (การประหารชีวิตอย่างรวบรัด)นอกกระบวนการยุติธรรมและการฆ่าพลเรือน, (การทรมาน) การปฏิบัติอย่างทารุณ และการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์, การก่ออันตรายทางร่างกายอย่างร้ายแรงโดยเจตนาต่อบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสู้รบโดยตรง, การจงใจโจมตีประชากรพลเรือนรวมทั้งยานพาหนะของพลเรือนและทางการแพทย์, การกักขังประชากรพลเรือนอย่างผิดกฎหมาย, (การบังคับบุคคลให้สูญหาย), (การฉกชิงทรัพย์)และการทำลายทรัพย์สินของพลเรือนและสาธารณะ, , การจับตัวประกันเรียกค่าไถ่ และการค้าศพ นอกจากนี้ยังมี(การข่มขืนกระทำชำเรา) โดยมีผู้เสียหายเป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
อาชญากรรมบางประการที่รัสเซียก่อขึ้นต่อประชากรพลเรือนในเชชเนีย ได้แก่ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1999 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก;เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม (กองทัพอากาศรัสเซีย)ยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง 10 ลูกใส่เมืองโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าและพุ่งเป้าไปที่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ ที่ทำการไปรษณีย์ มัสยิด และตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่าน ประมาณกันว่าการโจมตีครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คนในทันที และบาดเจ็บอีกถึง 400 คน; เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม กองทัพอากาศรัสเซียโจมตีกระหน่ำด้วยจรวดใส่ขบวนรถผู้ลี้ภัยขนาดใหญ่ที่พยายามเดินทางสู่(อิงกูเชเตีย)โดยใช้ "ทางออกที่ปลอดภัย"; เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1999 เมื่อทหารรัสเซีย
ระหว่าง ทหารรัสเซียก่อเหตุไล่ฆ่าชาวบ้านอย่างบ้าคลั่ง รวมทั้งประหารชีวิตอย่างรวบรัด ข่มขืนกระทำชำเรา ทรมาน ฉกชิงทรัพย์ เผาทำลาย และฆ่าใครก็ตามที่ขวางทางพวกเขา การสังหารเกือบทั้งหมดกระทำโดยทหารรัสเซียที่กำลังฉกชิงทรัพย์สิน ความพยายามของพลเรือนที่จะหยุดยั้งความบ้าคลั่งมักต้องพบกับความตาย ทางการรัสเซียไม่มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะนำตัวผู้ก่ออาชญากรรมที่อัลคัน-ยูร์ตเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คำให้การของพยานที่น่าเชื่อถือบ่งชี้ว่าผู้นำรัสเซียในพื้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เลือกที่จะเพิกเฉยเสีย ผู้นำทหารรัสเซียมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียง "เทพนิยาย" โดยอ้างว่าศพถูกนำไปวางไว้และอ้างว่าเหตุไล่ฆ่าคนที่นั่นเป็นเรื่องที่กุขึ้นเพื่อทำลายชื่อเสียงของกองทัพรัสเซีย นายพลของรัสเซีย ปฏิเสธความคิดที่จะให้ทหารในบังคับบัญชารับผิดชอบต่อการล่วงละเมิดในอัลคัน-ยูร์ตโดยกล่าวกับนักข่าวว่า "อย่าบังอาจแตะต้องทหารกับเจ้าหน้าที่กองทัพรัสเซีย การกระทำของพวกเขาทุกวันนี้เป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นั่นคือการปกป้องรัสเซีย และอย่าบังอาจทำให้ทหารรัสเซียแปดเปื้อนด้วยมือสกปรก [เจตนาไม่บริสุทธิ์] ของพวกคุณ!"
ในซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดระหว่างสงคราม กองกำลังรัสเซียดำเนินปฏิบัติการกวาดล้างหมู่บ้านซึ่งประกอบด้วยการฉกชิงทรัพย์ (การลอบวางเพลิง) การประหารชีวิตอย่างรวบรัด การฆ่า และการข่มขืนกระทำชำเราพลเรือนเชเชน โดยหนึ่งวันก่อนหน้านั้น ทหารรัสเซียได้โจมตีหมู่บ้านด้วยระเบิดลูกปรายแล้วบอกให้ชาวบ้านออกจากห้องใต้ดินในวันรุ่งขึ้นเพื่อเข้ารับการตรวจเอกสารประจำตัว แต่เมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน ทหารรัสเซียกลับยิงชาวบ้านในระยะเผาขนอย่างเลือดเย็นด้วยอาวุธอัตโนมัติ เหยื่อมีตั้งแต่ทารกชายอายุ 1 ปีไปจนถึงหญิงชราอายุ 82 ปี เหยื่อบางรายถูกทหารรัสเซียเรียกเอาเงินหรือเครื่องประดับซึ่งถูกใช้เป็นข้ออ้างในการประหารหากจำนวนที่ได้มาไม่เพียงพอ ทหารรัฐบาลกลางเลาะฟันทองและฉกชิงทรัพย์สินอื่น ๆ จากศพเหยื่อ การสังหารเกิดขึ้นร่วมกับการเผาศพเพื่อทำลายหลักฐานการประหารชีวิตอย่างรวบรัดและการสังหารประเภทอื่น ๆ มีการข่มขืนกระทำชำเราหลายกรณี ในกรณีหนึ่ง ทหารรัสเซียรุมโทรมหญิงหลายรายก่อนจะบีบคอพวกเธอจนเสียชีวิต การปล้นสะดมขนานใหญ่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน โดยทหารรัสเซียบุกปล้นบ้านพลเรือนในเวลากลางวันแสก ๆ ความพยายามใด ๆ ที่จะทำให้ทางการรัสเซียรับผิดชอบต่อเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ถูกปฏิเสธอย่างขุ่นเคือง ฮิวแมนไรตส์วอตช์บรรยายลักษณะการตอบสนองของทางการรัสเซียว่า "เป็นไปตามสูตร" โฆษกคนหนึ่งของ(กระทรวงกลาโหมรัสเซีย)ประกาศว่า "คำกล่าวยืนยันเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเสริมแต่งที่ไม่มีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานใด ๆ มาสนับสนุน ... [และ] ควรถูกมองว่าเป็นการยั่วยุโดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความเสื่อมเสียแก่ปฏิบัติการปราบปรามผู้ก่อการร้ายในเชชเนียของกองกำลังรัฐบาลกลาง" พยานผู้เห็นเหตุการณ์รายหนึ่งยังกล่าวอีกว่าเจ้าหน้าที่สืบสวนจาก(หน่วยความมั่นคงกลาง)ของรัสเซียบอกเธอว่าผู้ก่อเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้น่าจะเป็นนักรบเชเชน "ที่ปลอมตัวเป็นทหารของรัฐบาลกลาง"
ระหว่างของเมือง(กรอซนืย)ตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1999 ถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 2000 เป็นที่ปรากฏชัดว่าทหารรัสเซียได้ก่ออาชญากรรมอย่างบ้าคลั่ง โดยต้อนจับพลเรือนและประหารชีวิตพวกเขาอย่างรวบรัด อาชญากรรมที่เกิดขึ้นยังรวมถึงการฉกชิงทรัพย์และการลอบวางเพลิงอย่างกว้างขวาง ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรวมถึงสมาชิกทั้งเก้าของทั้งครอบครัวซูบาเยฟซึ่งมีรายงานว่าถูกยิงเสียชีวิตบนถนนด้วยปืนกลหนัก (น่าจะมาจากยานพาหนะหุ้มเกราะ) ในกรณีหนึ่ง ทหารรัสเซียกราดยิงพลเรือนที่หลบซ่อนอยู่ในห้องใต้ดิน ผู้รอดชีวิตรายหนึ่งเล่าว่า หลังจากที่พลเรือนตะโกนบอกทหารว่า "อย่ายิงพวกเรา พวกเราเป็นชาวบ้าน" ทหารก็สั่งให้พวกเขาออกจากห้องใต้ดินโดยยกมือขึ้น แต่เมื่อออกมาแล้วทหารก็สั่งให้พวกเขากลับลงไปอีก จากนั้นทหารก็ปาระเบิดมือหลายลูกใส่พวกเขา ผู้ที่รอดชีวิตถูกสั่งให้ออกมาจากห้องใต้ดินอีกครั้ง จากนั้นทหารรัสเซียก็ใช้ปืนกลกราดยิงพวกเขาในระยะเผาขน ผู้มีส่วนร่วมในการก่อเหตุครั้งนี้ไม่ได้รับการลงโทษใด ๆ จากทางการรัสเซีย
ทำให้พลเรือนหลายหมื่นคนเสียชีวิต กองทัพรัสเซียยื่นคำขาดระหว่างการปิดล้อมโดยเรียกร้องให้ชาวเชเชนออกจากเมืองไม่เช่นนั้นจะถูกโจมตีอย่างไม่ปรานี มีผู้เสียชีวิตประมาณ 300 คนขณะพยายามหลบหนีในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1999 ร่างของพวกเขาถูกฝังในหลุมศพหมู่แห่งหนึ่งในเวลาต่อมา(วลาดีมีร์ ปูติน) ประธานาธิบดีรัสเซีย ให้คำมั่นว่ากองทัพจะไม่หยุดทิ้งระเบิดใส่กรอซนืยจนกว่าทหารรัสเซียจะ "ปฏิบัติภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น" ใน ค.ศ. 2003 สหประชาชาติขนานนามกรอซนืยว่าเป็นเมืองที่ถูกทำลายมากที่สุดในโลก ระเบิดที่ใช้โจมตีกรอซนืยรวมถึงระเบิดที่ถูกห้ามใช้อย่างและซึ่งจุดชนวนอากาศของพลเรือนที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดิน นอกจากนี้ยังมีรายงานการใช้อาวุธเคมีที่ถูกห้ามใช้ตามกฎหมายเจนีวาด้วย
มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศถูกทหารรัสเซียฆ่าระหว่างสงครามในเชชเนียด้วย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1996 ผู้แทน 6 คนจาก(คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ)ถูกกลุ่มมือปืนสวมหน้ากากยิงสังหารขณะนอนหลับที่โรงพยาบาลสนามของคณะกรรมการฯ ในเมืองใกล้เมืองกรอซนืย ใน ค.ศ. 2010 พันตรี อะเลคเซย์ โปติออมกิน เจ้าหน้าที่กองกำลังพิเศษของรัสเซีย อ้างว่าผู้ก่อเหตุฆาตกรรมดังกล่าวคือเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงกลาง รายงานฉบับหนึ่งใน ค.ศ. 2004 ระบุว่าทหารรัสเซียใช้การข่มขืนกระทำชำเราเป็นเครื่องมือในการทรมานชาวเชเชน หมู่บ้าน 380 แห่งจากทั้งหมด 428 แห่งในเชชเนียถูกโจมตีด้วยระเบิดระหว่างการสู้รบ ส่งผลให้ครัวเรือนร้อยละ 70 ถูกทำลาย
ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมด
(แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) ประเมินว่าพลเรือน 20,000–30,000 คนถูกฆ่าไปแล้วเฉพาะในเพียงสงครามเดียว โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากของกองกำลังรัสเซียในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น และประเมินว่าพลเรือนอีก 25,000 คนเสียชีวิตใน(สงครามเชเชนครั้งที่สอง) แหล่งข้อมูลอีกแหล่งหนึ่งสันนิษฐานว่ามีพลเรือน 40,000–45,000 คนเสียชีวิตในความขัดแย้งครั้งที่สอง ในขณะเดียวกัน ใน ค.ศ. 1996 เลขาธิการสภาความมั่นคงรัสเซียในขณะนั้น กล่าวว่ามีผู้เสียชีวิต 80,000 คนในสงครามครั้งแรก เมื่อรวมกับกองกำลังทหารแล้ว นักประวัติศาสตร์ประเมินว่าประชากรเชเชนมากถึงหนึ่งในสิบเสียชีวิตในสงครามครั้งแรก (กล่าวคือ 100,000 คนจาก 1,000,000 คน) การประมาณการอย่างรัดกุมสันนิษฐานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 100,000–150,000 คนระหว่างความขัดแย้งทั้งสองครั้ง ในขณะที่การประมาณการโดยเจ้าหน้าที่เชเชนและชาวเชเชนสันนิษฐานว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 200,000–300,000 คนในสงครามทั้งสองครั้ง
นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง มีหลุมศพหมู่ในเชชเนียที่ได้รับการบันทึกไว้ถึง 57 แห่ง
นอกจากนี้ ฮิวแมนไรตส์วอตช์ยังได้บันทึกกรณีบังคับบุคคลให้สูญหายในเชชเนียระหว่าง ค.ศ. 1999–2005 ไว้ถึง 3,000–5,000 กรณี และจัดว่าเป็น(อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ)
ซึ่งเป็นองค์การนอกภาครัฐที่ตั้งอยู่ในเยอรมนีกล่าวโทษทางการรัสเซียว่าได้ดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรายงานว่าด้วยเชชเนียของสมาคมฯ เมื่อ ค.ศ. 2005
จอร์เจีย
ภายหลังการยกระดับความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2008 ระหว่าง(จอร์เจีย)กับ(เซาท์ออสซีเชีย)ซึ่งประกาศแยกตัวเป็นอิสระ กองกำลังรัสเซียได้บุกข้ามพรมแดนระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม และโจมตีทหารจอร์เจียเพื่อสนับสนุนเซาท์ออสซีเชีย ทหารรัสเซียยังบุกข้ามพรมแดนมายัง(อับคาเซีย)ซึ่งเป็นอีกภูมิภาคที่ประกาศแยกตัวจากจอร์เจียและบุกยึดครองเมืองต่าง ๆ ของจอร์เจียนอกเขตพิพาทได้จำนวนหนึ่ง สงครามสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ด้วยข้อตกลงหยุดยิงที่มีนักการทูตระหว่างประเทศเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย รัสเซียถอนทหารออกจากจอร์เจียนอกเขตพิพาทและดำเนินการรับรองเซาท์ออสซีเชียและอับคาเซียเป็นประเทศเอกราช แต่นักวิชาการบางคนอธิบายว่าแท้จริงแล้วทั้งสองภูมิภาคได้กลายเป็น(ดินแดนในอารักขา)ของรัสเซียเท่านั้น
(ฮิวแมนไรตส์วอตช์)รายงานว่าไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่ากองทัพจอร์เจียจงใจโจมตี(ผู้ไม่มีหน้าที่ทำการรบ)ในความขัดแย้งครั้งนี้
เครื่องบินรบของรัสเซียทิ้งระเบิดใส่ศูนย์กลางประชากรทั้งในจอร์เจียนอกเขตพิพาทและในหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์จอร์เจียที่เซาท์ออสซีเชีย กองกำลังติดอาวุธออสซีเชียมีส่วนร่วมใน (การลอบวางเพลิง) และพลเรือนชาติพันธุ์จอร์เจียในพื้นที่ดังกล่าว ส่งผลให้พลเรือนชาติพันธุ์จอร์เจียต้องหนีออกจากบ้านเรือนของพวกเขา แต่รัสเซียก็ยังโจมตีขบวนรถพลเรือนที่พยายามหลบหนีจากพื้นที่สู้รบในเซาท์ออสซีเชียและเขตเทศบาล(กอรี)ของจอร์เจีย
การใช้(ระเบิดลูกปราย)ของทหารรัสเซียทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต(แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) กล่าวโทษรัสเซียว่าจงใจทิ้งระเบิดและโจมตีพื้นที่พลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนซึ่งถือเป็นอาชญากรรมสงคราม แต่รัสเซียปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้ระเบิดลูกปราย พลเรือนชาวจอร์เจีย 228 คนเสียชีวิตในความขัดแย้งครั้งนี้
นอกจากนี้ กองทัพรัสเซียยังไม่ดำเนินมาตรการใด ๆ เพื่อยับยั้งส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตน
ยูเครน
ค.ศ. 2014–2021
หลัง ประธานาธิบดียูเครนที่นิยมรัสเซีย ถูกขับออกจากตำแหน่งและหลบหนีไปยังรัสเซีย และรัฐบาลยูเครนชุดใหม่แสดงจุดยืนสนับสนุนการรวมกลุ่ม(สหภาพยุโรป) รัสเซียตอบโต้ด้วย(การผนวกไครเมีย)ซึ่ง(สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ)ประกาศว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายใน ส่วนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่นิยมรัสเซียก็ประกาศจัดตั้งหน่วยการเมืองคล้ายรัฐ(โนโวรอสซียา)ซึ่งไม่มีชาติใดรับรองโดยมีเจตนาแยกตัวออกจากยูเครน จุดประกายการก่อการกำเริบซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่สงครามในภูมิภาค(ดอนบัส)ทางตะวันออกของ(ยูเครน) รัสเซียปฏิเสธว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามในดอนบัส แต่หลักฐานหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่ารัสเซียคอยหนุนหลังกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่นิยมรัสเซีย (แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) กล่าวโทษรัสเซียว่า "สุมไฟให้เกิดอาชญากรรมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน" และเรียกร้องให้ "ทุกฝ่ายรวมทั้งรัสเซียหยุดการละเมิดกฎแห่งสงคราม"
(ฮิวแมนไรตส์วอตช์)ระบุว่ากลุ่มผู้ก่อการกำเริบที่นิยมรัสเซีย "ล้มเหลวในการใช้มาตรการป้องกันที่เป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงการวางกำลังในพื้นที่พลเรือน" และในกรณีหนึ่ง "พวกเขายังเคลื่อนกำลังเข้าไปใกล้พื้นที่ที่มีประชากรมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการยิงของกองกำลังรัฐบาล" ฮิวแมนไรตส์วอตช์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเลิกใช้ระบบยิงจรวด(กราด)ซึ่ง "ขึ้นชื่อเรื่องความไม่แม่นยำ"
รายงานอีกฉบับหนึ่งของฮิวแมนไรตส์วอตช์กล่าวว่ากลุ่มผู้ก่อการกำเริบ "มีพฤติการณ์บ้าคลั่ง ... จับตัว ทุบตี และทรมานตัวประกัน รวมทั้งข่มขู่และทุบตีผู้นิยมยูเครนอย่างไม่ยั้งมือ" รายงานฉบับเดียวกันยังกล่าวด้วยว่ากลุ่มผู้ก่อการกำเริบได้ทำลายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ข่มขู่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และยึดครองโรงพยาบาล สมาชิกคนหนึ่งของฮิวแมนไรตส์วอตช์ร่วมเป็นสักขีพยานในการขุดศพขึ้นจาก "หลุมศพหมู่" แห่งหนึ่งในเมือง(สลอวิยันสก์)ซึ่งได้รับการเปิดเผยหลังจากที่ผู้ก่อการกำเริบถอยออกจากเมือง
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2014 ซึ่งเป็น กลุ่มผู้ก่อการกำเริบที่มี(ปืนเล็กยาว)ติด(ดาบปลายปืน)บังคับให้เชลยศึกยูเครนหลายสิบคนเดินขบวนไปตามถนนสายต่าง ๆ ในเมือง(ดอแนตสก์) เชลยศึกถูกมัดมือไพล่หลัง เนื้อตัวมีรอยฟกช้ำ ตลอดการเดินขบวนมีการเล่นเพลงชาตินิยมรัสเซียจากลำโพงขยายเสียงและมีคนในฝูงชนตะโกนเย้ยหยันเชลยศึกด้วยคำเสื่อมเสียอย่าง "ไอ้พวกฟาสซิสต์" หลังขบวนเชลยศึกมีรถทำความสะอาดถนนขับตามเพื่อ "ชำระล้าง" พื้นถนนที่พวกเขาเพิ่งเดินเหยียบไป ฮิวแมนไรตส์วอตช์กล่าวว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดมาตรา 3 ร่วมของ(อนุสัญญาเจนีวา)อย่างชัดเจน มาตราดังกล่าวห้าม "การประทุษร้ายต่อศักดิ์ศรีของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้อับอายหรือการปฏิบัติที่ลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ฮิวแมนไรตส์วอตช์ยังกล่าวด้วยการเดินขบวนดังกล่าว "อาจถือเป็นอาชญากรรมสงคราม" ด้วย
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 (แอสแบอู) เผยแพร่แผนที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนก่อขึ้นซึ่งเรียกว่า "แผนที่แห่งความตาย" กรณีการละเมิดที่มีรายงานไว้ในแผนที่ดังกล่าวรวมถึงค่ายกักกันและหลุมศพหมู่ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม แอสแบอูเปิดคดีว่าด้วย "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" ที่เกิดจากกองกำลังของผู้ก่อการกำเริบ
รายงานฉบับหนึ่งที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยแพร่ในช่วงกลางเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 ได้บันทึกกรณี(การประหารชีวิตอย่างรวบรัด)โดยกองกำลังนิยมรัสเซีย รายงานฉบับหนึ่งของฮิวแมนไรตส์วอตช์ได้บันทึกการใช้(ระเบิดลูกปราย)โดยกองกำลังต่อต้านรัฐบาลยูเครน
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 ผู้บัญชาการของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ได้จัดตั้ง "ศาลประชาชน" ขึ้นในเมืองซึ่งตัดสินประหารชีวิตชายคนหนึ่งที่ถูกกล่าวโทษว่าข่มขืนกระทำชำเราโดยให้ฝูงชนยกมือออกเสียง
ในงานแถลงข่าวที่กรุง(เคียฟ)เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน ระบุว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นระหว่างความขัดแย้งครั้งนี้ส่วนใหญ่ก่อขึ้นโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2015 หนังสือพิมพ์ ได้เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์กับชายคนหนึ่งซึ่งทางหนังสือพิมพ์ระบุว่าเป็น ผู้บัญชาการของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ชายในคลิปกล่าวว่าตนได้ฆ่าเชลยศึกยูเครนไป 15 คน และไม่สนใจว่าตนจะถูกกล่าวโทษว่าอย่างไร ต่อมาเมื่อวันที่ 9 เมษายน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานว่าพบ "หลักฐานใหม่" ของการฆ่าทหารยูเครนอย่างรวบรัด โดยจากการตรวจสอบคลิปวิดีโอและภาพถ่ายพบว่าทหารยูเครนอย่างน้อย 4 นายถูกกลุ่มติดอาวุธที่นิยมรัสเซียยิง "ในลักษณะประหารชีวิต" เดนิส ครีโวเชเยฟ รองผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำยุโรปและเอเชียกลาง กล่าวว่า "หลักฐานใหม่ของการฆ่าอย่างรวบรัดเหล่านี้ได้ยืนยันสิ่งที่เราสงสัยมานาน" แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังกล่าวถึงคลิปเสียงที่ คีฟโพสต์ นำมาเผยแพร่ว่าเป็น "คำสารภาพที่น่าขนลุก" และเน้นย้ำถึง "ความจำเป็นเร่งด่วนของการสอบสวนโดยอิสระเกี่ยวกับกรณีนี้และข้อกล่าวโทษว่ามีการละเมิดอื่น ๆ ทั้งหมด" การกระทำต่าง ๆ ของรัสเซียในยูเครนได้รับการบรรยายว่าเป็นและ(อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ) (เช่น การยิง(เครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 17))
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้รับรอง โดยส่วนใหญ่เห็นพ้องและระบุว่า(ไครเมีย)อยู่ภายใต้ "การยึดครองชั่วคราว" ระหว่างการปราศรัยที่สหประชาชาติในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 (แปตรอ ปอรอแชนกอ) ประธานาธิบดียูเครน ระบุว่าดินแดนยูเครนร้อยละ 7 กำลังถูกยึดครองชั่วคราว
สหประชาชาติบันทึกว่าเมื่อถึง ค.ศ. 2018 (สงครามในดอนบัส)ได้คร่าชีวิตพลเรือนไปแล้วกว่า 3,000 คน
- อาคารอยู่อาศัยที่เสียหายในเมือง(ดอแนตสก์) วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2014
- บ้านที่ถูกทำลายในภูมิภาค(ดอนบัส) เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2014
- อาคารอยู่อาศัยที่เสียหายในเมือง เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2014
- อาคารอยู่อาศัยที่เสียหายในเมือง(ลือซือชันสก์) วันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 2014
- อาคารอยู่อาศัยที่กำลังลุกไหม้ในเมือง วันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2014
- อาคารที่เสียหายในเมืองดอแนตสก์ วันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2014
- ทหารยูเครนระหว่างการรักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารเคียฟ ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2015
ค.ศ. 2022–ปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 กองกำลังรัสเซีย(บุกโจมตียูเครน)จากทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศใต้ การกระทำดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของ(ฮิวแมนไรตส์วอตช์)และ(แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) กล่าวโทษรัสเซียว่าใช้(ระเบิดลูกปราย)ซึ่งไม่แม่นยำต่อเป้าหมายในพื้นที่พลเรือนรวมถึงพื้นที่ใกล้กับโรงพยาบาลและโรงเรียน ซึ่งถือเป็นการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยอาวุธที่ฆ่าและทำให้ทุพพลภาพโดยไม่เลือกเป้าหมาย ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประณามการกระทำทางทหารของรัสเซียว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่าเป็นซึ่งถือเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ มีการบันทึก(อาชญากรรมสงคราม)จำนวนมากซึ่งรวมถึง(การฆ่าคน) (การทรมาน) (การฉกชิงทรัพย์) (การก่อการร้าย) การโจมตีพลเรือน โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือการโจมตีวัตถุพลเรือน การทำลายล้างโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ การกักขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรง และการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมต่อ(เชลยศึก)
หนึ่งในเป้าหมายของการโจมตีทางอากาศของรัสเซียคือกรุง(เคียฟ) เมืองหลวงของยูเครนซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรประมาณ 3 ล้านคน โรงเรียนอนุบาลและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ถูกยิงใส่เช่นกัน กองกำลังรัสเซียถูกกล่าวโทษว่าดำเนินการรณรงค์ขู่ขวัญชาวยูเครน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2022 มีรายงานว่ากองกำลังรัสเซียได้ปล้นสะดมทั่วเมือง(แคร์ซอน) ระหว่าง(การปิดล้อมเมืองมารีอูปอล) เมืองถูกทำลายจากกระสุนปืนใหญ่และถูกตัดขาดจากไฟฟ้า อาหาร และน้ำ มีรายงานว่าเด็กหญิงอายุ 6 ปีคนหนึ่งเสียชีวิตจาก(ภาวะขาดน้ำ)ใต้ซากปรักหักพังของบ้านเธอเองใน(มารีอูปอล)เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ระหว่าง กองกำลังรัสเซียระดมยิงใส่กลุ่มผู้ลี้ภัยที่วิ่งออกจากใต้สะพานข้ามแม่น้ำเพื่อหนีเข้ากรุงเคียฟโดยไม่เลือกหน้า ผู้ลี้ภัยกลุ่มหนึ่งที่ประกอบด้วยสามแม่ลูกและเพื่อนของครอบครัวถูกกระสุน(ปืนครก)รัสเซียสังหารกลางทาง
ระหว่าง เมืองถูกทำลายจากการยิงปืนใหญ่ของรัสเซีย รวมถึงโรงเรียนประจำสอนคนตาบอดแห่งหนึ่งด้วย จากจำนวนประชากร 1.8 ล้านคน เหลือเพียง 500,000 คนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในเมืองเมื่อถึงวันที่ 7 มีนาคม เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 การโจมตีด้วยระเบิดลูกปรายของรัสเซียได้คร่าชีวิตพลเรือน 9 คนและทำให้มีพลเรือนบาดเจ็บอีก 37 คนใน(คาร์กิว) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พลเรือน 47 คนถูกสังหารในเมือง(แชร์นีฮิว) ส่วนใหญ่ในจำนวนนี้กำลังยืนต่อแถวหน้าร้านขายอาหารเพื่อรอซื้อขนมปัง เมื่อรัสเซียโจมตีทางอากาศด้วย 8 ลูกใส่พวกเขา ระหว่าง(การโจมตีทางอากาศใส่โรงพยาบาลในเมืองมารีอูปอล) มีผู้เสียชีวิต 4 คนซึ่งมีเด็กหญิง 1 คนรวมอยู่ด้วย ในขณะที่(การโจมตีทางอากาศใส่โรงละคร)ซึ่งใช้เป็นที่หลบภัยในเมืองเดียวกันส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน หลังจากที่กองทัพรัสเซียถอนกำลังออกจากทางหลวงสาย E-40 รอบนอกกรุงเคียฟ พบศพ 13 ศพอยู่บนช่วงหนึ่งของทางหลวง มีเพียง 2 ศพเท่านั้นที่สวมเครื่องแบบทหารยูเครน มีหลักฐานบ่งชี้ว่าทหารรัสเซียได้ฆ่าพลเรือนที่พยายามหลบหนีเหล่านี้
เมื่อรัสเซียถอยทัพออกจากเมือง(บูชา)หลังจากที่ยึดครองไว้ตลอดหนึ่งเดือน ในช่วงวันที่ 1–3 เมษายน ก็ปรากฏภาพถ่ายและวิดีโอเผยให้เห็นศพชาวเมืองที่ถูกสังหารหลายร้อยศพกระจัดกระจายตามท้องถนนหรือในหลุมศพหมู่ เหตุการณ์นี้ได้รับการรายงานในสื่อต่าง ๆ ในชื่อ(การสังหารหมู่ที่เมืองบูชา) และกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาจากนานาชาติอย่างกว้างขวาง
พลเรือนหลายพันคนถูกสังหารจากการโจมตีพื้นที่พลเรือนด้วยกระสุนปืนใหญ่และขีปนาวุธโดยไม่เลือกเป้าหมายของรัสเซีย เช่นที่นิคม เมือง(กรามาตอสก์) เมือง(วินนึตเซีย) เมือง นิคม(แซร์ฮียิวกา) เป็นต้น เจ้าหน้าที่ยูเครนคนหนึ่งกล่าวว่ารัสเซียใช้เตาเผาศพเคลื่อนที่ในการกำจัดศพในเมืองมารีอูปอลเพื่อปกปิดหลักฐานอาชญากรรมสงครามและจำนวนผู้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 ได้คร่าชีวิตผู้คนหลายสิบคนที่กำลังหลบภัยอยู่ในห้องใต้ดิน เมือง(ออแดซา)ถูกทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 2022 (สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ)แสดงความกังวลเกี่ยวกับรายงานที่ว่ามีเด็กชาวยูเครนถูกบังคับให้ย้ายถิ่นไปยังรัสเซียที่ซึ่งพวกเขาถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวบุญธรรมอย่างรีบเร่ง สำนักงานฯ ระบุว่าพฤติการณ์เหล่านี้ "ดูจะไม่เป็นไปตามขั้นตอนการรวมญาติหรือไม่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก" (ยูนิเซฟ)ประกาศในทำนองเดียวกันว่า "การรับบุตรบุญธรรมไม่ควรเกิดขึ้นระหว่างหรือหลังเกิดเหตุฉุกเฉินทันที"
(แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023
รัสเซียได้ตั้งขึ้นเพื่อกักขังหน่วงเหนี่ยว สอบปากคำ และทรมานชาวยูเครนที่ต้องสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 (องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป) (โอเอสซีอี) เผยแพร่รายงานฉบับหนึ่งที่พบว่ารัสเซียมีความผิดฐานฆ่า ข่มขืนกระทำชำเรา ลักพาตัว และเนรเทศพลเรือนยูเครน รวมทั้ง(ส่งเด็ก 2,000 คนจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและสถาบันต่าง ๆ ไปยังรัสเซีย)ทั้งที่เด็กหลายคนก็มีญาติอยู่ในยูเครน การกระทำเหล่านี้จัดว่าเป็นการโจมตีประชากรพลเรือนอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ และจัดเป็น(อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ)
วิดีโอ และวิดีโอ(การตอนอวัยวะเพศเชลยศึกชาวยูเครนอีกคนหนึ่งในเมืองปรือวิลเลีย) ถูกประชาคมระหว่างประเทศประณามอย่างกว้างขวาง นักวิชาการหลายคนประกาศว่ารัสเซียกำลังดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยูเครน คำกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากรายงานร่วมระหว่างกับ ซึ่งสรุปว่ารัสเซียได้ละเมิดมาตรา 2 มาตราของ(อนุสัญญาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ค.ศ. 1948)
เมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2022 ทางการยูเครนพบหลุมศพหมู่ที่มีศพ 440 ศพในเมือง(อีซุม)หลังจากที่กองทัพรัสเซียถอนกำลังออกจากพื้นที่ เหตุการณ์นี้ได้รับการบรรยายว่าเป็น ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ค.ศ. 2022 กองกำลังรัสเซียใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตี(โครงข่ายสายส่งไฟฟ้า)ของยูเครนอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้พลเรือนหลายล้านคนขาด ไฟฟ้า น้ำ หรือสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่น ๆ ในฤดูหนาว การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของพลเรือนเหล่านี้ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและถือเป็นอาชญากรรมสงคราม การจ่ายไฟและน้ำประปาให้แก่บ้านเรือนชาวยูเครน 10,700,000 หลังต้องหยุดชะงัก ณ ช่วงเวลาหนึ่งในฤดูหนาว เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2023 รัสเซีย(ยิงขีปนาวุธใส่อาคารพักอาศัยสูง 9 ชั้นในเมืองดนีปรอ) คร่าชีวิตพลเรือนไปกว่า 40 คน และทำให้ผู้คนมากกว่า 1,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย เมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2023 ของรัสเซีย(โจมตีอาคารอยู่อาศัยในเมืองสลอวิยันสก์ในวันศุกร์อีสเตอร์) ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต 15 คน เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 รัสเซีย(โจมตีสถานีรถไฟและซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองแคร์ซอนในช่วงเวลาเร่งด่วนที่สุดของวัน) คร่าชีวิตพลเรือนไปกว่า 20 คน
กองทัพรัสเซียยังก่อเหตุทำลายเมืองต่าง ๆ ของยูเครนและทำลายวัฒนธรรมอย่างขาดความยับยั้ง เช่น ยึดและเผาหนังสือและจดหมายเหตุของยูเครน สร้างความเสียหายแก่แหล่งมรดกของยูเครนกว่า 240 แห่ง มีการบรรยายพฤติการณ์ดังกล่าวว่าเป็น "" ร้อยละ 90 ของเมืองมารีอูปอลถูกทำลายจากการปิดล้อมของรัสเซียใน ค.ศ. 2022 เมืองและเมืองถูกทำลายโดยสิ้นเชิงในทำนองเดียวกันและถูกบรรยายว่าเป็น "แดนรกร้างหลังหายนะ" และ "เมืองร้าง"สหประชาชาติระบุว่าการทิ้งระเบิดใส่แหล่งมรดกโลกยูเนสโกในเมืองออแดซาโดยรัสเซียอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม(การทำลายเขื่อนกาคอว์กา)เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2023 ก่อให้เกิดน้ำท่วมและหายนะต่อสิ่งแวดล้อม บางคนกล่าวโทษรัสเซียว่าได้กระทำ ""
ผู้ประสานงานด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติประจำยูเครนประณามการโจมตีด้วยระเบิดของรัสเซียหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงในเมือง(กรามาตอสก์) และเมือง(แชร์นีฮิว) ใน ค.ศ. 2023 ฮิวแมนไรตส์วอตช์ประณาม(การโจมตีเมืองลือมันด้วยระเบิดลูกปราย)ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม
เมื่อถึงวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2022 สหประชาชาติรายงานว่ามีผู้ลี้ภัย 4 ล้านคนหนีออกจากยูเครน โรงพยาบาล 50 แห่งในประเทศตกเป็นเป้าการโจมตี และรัสเซียใช้ระเบิดลูกปราย (ซึ่งถูกห้ามใช้) อย่างน้อยใน 24 กรณี การโจมตียูเครนโดยรัสเซียส่งผลให้ผู้คน 14 ล้านคนต้องหนีออกจากบ้านเรือน โดย 7.8 ล้านคนในจำนวนนี้หนีออกนอกประเทศ ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 21 เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2022 สหประชาชาติบันทึกว่ามีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 2,343 คน โดยร้อยละ 92.3 ในจำนวนนี้เป็นผลจากการกระทำของกองทัพรัสเซีย เมื่อถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 ซึ่งครบรอบหนึ่งปีของการรุกรานยูเครน สหประชาชาติบันทึกว่ามีพลเรือนเสียชีวิต 8,006 คน รวมถึงเด็ก 487 คน เมื่อถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 2023 จำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตที่สหประชาชาติบันทึกไว้มีมากกว่า 9,500 คน ในขณะที่แหล่งข้อมูลในยูเครนรายงานว่ามีพลเรือนเสียชีวิต 16,500 คนประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 81,000 คนใน ค.ศ. 2022
ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2033 สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประเมินว่าการเสียชีวิตของพลเรือนร้อยละ 90.5 เป็นผลมาจากอาวุธระเบิดที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และร้อยละ 84.2 เกิดขึ้นในดินแดนที่ยูเครนควบคุม
ณ วันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 2023 มีการย้ายเด็กจากพื้นที่ความขัดแย้งในยูเครนไปยังดินแดนรัสเซียแล้วประมาณ 700,000 คน ตามคำกล่าวของสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งของรัสเซีย ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับและการเนรเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- พลเรือนที่ถูกสังหารที่โรงเรียนในเมือง(ออคตือร์กา) วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022
- พลเรือนที่ถูกสังหารที่บ้านใน(แคว้นแชร์นีฮิว) วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022
- อาคารอยู่อาศัยที่เสียหายในเมือง(บอรอเดียนกา) วันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2022
- พลเรือนที่ถูกสังหารขณะหนีออกจากเมือง(อีร์ปิญ) วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2022
- อาศรมออร์ทอดอกซ์ที่เสียหายในเมือง(สเวียตอฮีสก์) เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2022
- บ้านเรือนที่เสียหายในหมู่บ้านหลังการรบในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2022
- พลเรือนที่ถูกสังหารที่ตลาดในเมือง(เอาดียิวกา) วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2022
- หอผู้ป่วยสูติกรรมที่เสียหายในเมือง วันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022
- สะพานข้ามแม่น้ำที่เสียหายในเมือง เดือนธันวาคม ค.ศ. 2022
- โรงเรียนอนุบาลที่เสียหายในเมือง(แคร์ซอน) วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023
- ทำนบอ่างเก็บน้ำที่เสียหายในหมู่บ้าน วันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2023
- โรงพยาบาลที่เสียหายในเมือง(ดนีปรอ) วันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2023
- อาสนวิหารที่เสียหายในเมือง(ออแดซา) วันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2023
- ยุ้งฉางที่เสียหายในเมืองออแดซา วันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2023
ซีเรีย
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2015 กองทัพรัสเซียเข้าแทรกแซงโดยตรงใน(สงครามกลางเมืองซีเรีย)เพื่อหนุนหลังรัฐบาล(บัชชาร อัลอะซัด) ซึ่งสนับสนุนรัสเซีย ตามข้อมูลของ(แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 เครื่องบินรบของรัสเซียดำเนินปฏิบัติการทิ้งระเบิดโดยมุ่งเป้าไปที่พลเรือนและ(เจ้าหน้าที่กู้ชีพฉุกเฉิน) กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้บันทึกเหตุโจมตีโรงเรียน โรงพยาบาล และบ้านเรือนของพลเรือน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังกล่าวด้วยว่า "รัสเซียกระทำความผิดในคดีอาชญากรรมสงครามที่ร้ายแรงที่สุดบางคดี" เท่าที่องค์การพบเห็นมาในรอบหลายทศวรรษ ทิรานา ฮัสซาน ผู้อำนวยการโครงการตอบโต้วิกฤตของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่าหลังจากทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายพลเรือนแล้ว เครื่องบินรบของรัสเซียจะ "บินวน" กลับมาโจมตีครั้งที่สองโดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมและพลเรือนที่กำลังพยายามช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บจากการถูกโจมตีครั้งแรก
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 (ฮิวแมนไรตส์วอตช์)รายงานว่าซีเรียและรัสเซียใช้(ระเบิดลูกปราย)อย่างกว้างขวาง ถือเป็นการละเมิด เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ซึ่งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติ "การใช้อาวุธแบบไม่เลือกเป้าหมายในพื้นที่ที่มีประชากร" ฮิวแมนไรตส์วอตช์กล่าวว่า "กองกำลังรัสเซียหรือซีเรียต้องรับผิดชอบต่อการโจมตีในลักษณะดังกล่าว" และกล่าวว่าระเบิดลูกปรายเหล่านั้น "ผลิตขึ้นในอดีตสหภาพโซเวียตหรือรัสเซีย" โดยที่บางส่วนในจำนวนนั้นเป็นชนิดที่ "ไม่มีการบันทึกว่าเคยใช้ในซีเรีย" มาก่อนที่รัสเซียจะเข้ามามีส่วนร่วมในสงคราม ฮิวแมนไรตส์วอตช์จึงสันนิษฐานว่า "อากาศยานรัสเซียเป็นผู้ทิ้งระเบิดเหล่านั้น หรือไม่ทางการรัสเซียก็เพิ่งจัดหาระเบิดลูกปรายเพิ่มเติมให้แก่รัฐบาลซีเรีย หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง" ฮิวแมนไรตส์วอตช์ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าแม้ทั้งรัสเซียและซีเรียจะไม่ได้เป็นภาคีของ(อนุสัญญาว่าด้วยระเบิดลูกปราย) แต่การใช้อาวุธดังกล่าวขัดแย้งกับแถลงการณ์ของรัฐบาลซีเรียที่ระบุว่าพวกเขาจะงดเว้นจากการใช้อาวุธเหล่านั้น การโจมตีพลเรือนแบบไม่เลือกเป้าหมายของรัสเซียโดยใช้ระเบิดลูกปรายหรือมักถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง และ มีการเปรียบเทียบให้เห็นความคล้ายคลึงกันหลายประการระหว่างการทำลายล้างเมืองอะเลปโปใน ค.ศ. 2016 กับการทำลายล้างเมือง(กรอซนืย)ใน ค.ศ. 2000 ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนอธิบายว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงนโยบาย "ไม่จับเชลย" ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ค.ศ. 2019 การทิ้งระเบิดอย่างหนักของรัสเซียได้ค่ราชีวิตพลเรือนไป 544 คนระหว่าง เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 ได้คร่าชีวิตพลเรือนไป 43 คน และเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 2019 เครื่องบินรบรัสเซียยัง ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 20 คน
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2018 (คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ)เผยแพร่รายงานฉบับหนึ่งที่ยืนยันว่าผู้ก่อคือกองทัพรัสเซีย อากาศยานปีกติดลำตัวของรัสเซียที่ใช้ (ซึ่งรวมถึงอาวุธระเบิด) ถูกนำมาใช้โจมตีตลาดแห่งนั้น รายงานฉบับดังกล่าวสรุปว่าการใช้อาวุธหนักเช่นนั้นในพื้นที่ที่มีพลเรือนจำนวนมากอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 (สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ)เผยแพร่รายงานว่าด้วยยุทธการที่เมืองอะเลปโป โดยยืนยันว่ารัสเซียใช้ระเบิดลูกปรายและ(อาวุธเพลิง)และสรุปว่าการใช้อาวุธดังกล่าวในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นทางตะวันออกของอะเลปโป "ถือเป็นการใช้อาวุธแบบไม่เลือกเป้าหมายโดยธรรมชาติ ก่อให้เกิดอาชญากรรมสงครามจากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่"
อ้างว่าการโจมตีทางอากาศและการโจมตีด้วยปืนใหญ่ของรัสเซียได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 18,000 คน ซึ่งรวมถึงพลเรือนเกือบ 8,000 คนในซีเรียเมื่อถึงวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2018
ลิเบีย
ตามรายงานของ (กลุ่มกำลังรบกึ่งทหารวากเนอร์)ของรัสเซียตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าพลเรือน 3 คนอย่างรวบรัดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2019 ในหมู่บ้านอัสบีอะฮ์ซึ่งอยู่ห่างจากกรุง(ตริโปลี) (เมืองหลวงของ(ลิเบีย)) ไปทางทิศใต้ 45 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีหลักฐานบ่งชี้ว่าพลเรือนประมาณ 10 คนอาจถูกสมาชิกกลุ่มวากเนอร์ฆ่าระหว่างใน ด้วย
สาธารณรัฐแอฟริกากลาง
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2021 ผู้เชี่ยวชาญของ(คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ)เตือนว่า(กลุ่มวากเนอร์) "ก่อกวนและข่มขู่โดยใช้ความรุนแรงกับพลเรือนซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ นักข่าว เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือ และชนกลุ่มน้อยใน(สาธารณรัฐแอฟริกากลาง)" คณะมนตรีฯ เรียกร้องให้รัฐบาลสาธารณรัฐแอฟริกากลางตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับกลุ่มวากเนอร์
ตัวอย่างอาชญากรรมที่เชื่อกันว่าสมาชิกกลุ่มวากเนอร์ได้ก่อขึ้นในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ได้แก่ ระหว่างวันที่ 16–17 มกราคม ค.ศ. 2022,เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 และการทุบตีและการกักขังผู้ต้องสงสัยว่าเป็นกบฏในสภาพไร้มนุษยธรรมในหลุมเปิดที่ฐานทัพแห่งหนึ่งในเมืองระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม ค.ศ. 2021
มาลี
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2022 (ฮิวแมนไรตส์วอตช์)รายงานว่าทหารรับจ้างชาวรัสเซียซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสมาชิก(กลุ่มวากเนอร์)ได้ร่วมกับสมาชิกก่อเหตุรุนแรงโหดร้ายต่อพลเรือนหลายร้อยคนใน(มาลี) ตามรายงานของ (องค์การนอกภาครัฐ) มีพลเรือนมากถึง 456 คนเสียชีวิตในเหตุการณ์ 9 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังมาลีและนักรบวากเนอร์ระหว่างเดือนมกราคมถึงกลางเดือนเมษายน ค.ศ. 2022 เหตุรุนแรงโหดร้ายครั้งใหญ่ที่สุดที่กองกำลังรัสเซียและมาลีก่อขึ้นคือซึ่งคร่าชีวิตพลเรือนไปประมาณ 300 คนเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2022
กระบวนพิจารณาตามกฎหมาย
ระดับภูมิภาคและท้องถิ่น
รัฐบาลรัสเซียปฏิเสธพันธะรับผิดชอบในศาลท้องถิ่นของตน แม้จะมีการสอบสวนคดีอาชญากรรมหลายพันคดี แต่ก็มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ถูกพิพากษาลงโทษในความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อระหว่างสงครามเชเชนทั้งสองครั้ง เช่น ซึ่งถูกศาลรัสเซียตัดสินจำคุก 10 ปีใน ค.ศ. 2003 ในความผิดฐานลักพาตัวและฆ่า หญิงชาวเชเชน; ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 11 ปีเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2005 ในความผิดฐานทรมานเซลิมคัน มูร์ดาลอฟ นักศึกษาชาวเชเชนที่หลังจากนั้นหายตัวไปขณะที่ถูกตำรวจคุมขัง; ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 17 และ 15 ปีในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 ในความผิดฐานฆ่าคนงานก่อสร้างชาวเชเชน 3 คนใกล้จุดตรวจพลเรือนที่เมือง(กรอซนืย)ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 เป็นต้น การนำตัวผู้กระทำความผิดมารับผิดชอบน้อยครั้งเช่นนี้ทำให้(แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) สรุปในรายงานเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007 ว่า "ไม่มีการรับผิดรับชอบ" และ "การขาดการดำเนินคดีอย่างมีประสิทธิผล [ของรัสเซีย] ส่งผลให้เกิดบรรยากาศของการไม่ต้องถูกลงโทษ"
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 หลังจากการสอบสวนเปรียบเทียบอย่างกว้างขวาง ทีมสืบสวนร่วมของ(เนเธอร์แลนด์)ได้ข้อสรุปว่าขีปนาวุธบุคที่ใช้ยิงเครื่องบินของ(สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 17) ตกในภาคตะวันออกของยูเครนเมื่อ ค.ศ. 2014 นั้นมาจาก ในเมือง(คูสค์)ของรัสเซีย ในแถลงการณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 มีการประกาศว่าหลายประเทศจะดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยคนใดก็ตามที่ถูกระบุตัวตนจากเหตุดังกล่าวในเนเธอร์แลนด์และตามกฎหมายของเนเธอร์แลนด์ สนธิสัญญาในอนาคตระหว่างเนเธอร์แลนด์กับยูเครนจะทำให้เนเธอร์แลนด์สามารถพิจารณาคดีของผู้เสียชีวิตทั้ง 298 คนได้ไม่ว่าผู้เสียชีวิตคนนั้นจะมีสัญชาติใด สนธิสัญญานี้ลงนามเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2019 อัยการเนเธอร์แลนด์ตั้งข้อหาฆาตกรรมกับชาย 4 คนจากการมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุดังกล่าว ประกอบด้วยชาวรัสเซีย 3 คน คือ อดีตเจ้าหน้าที่(หน่วยความมั่นคงกลาง)ของรัสเซีย, เซียร์เกย์ ดูบินสกี และโอเลก ปูลาตอฟ อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยอำนวยการข่าวกรองหลักของรัสเซีย และชาวยูเครน 1 คน คือ แลออนิด คาร์แชนกอ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 ศาลเนเธอร์แลนด์ตัดสินว่ากีร์กิน, ดูบินสกี และคาร์แชนกอมีความผิดฐานฆาตกรรมและให้จำคุกตลอดชีวิต
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2003 ศาลเนเธอร์แลนด์ตัดสินว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 ทางการยูเครนจับกุมเดนิส คูลีคอฟสกี ผู้คุมอาวุโสของ(ศูนย์กักกันอีซอเลียตซียา)ใน(สาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์) ซึ่งเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีการทรมานนักโทษ
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2022 (วุฒิสภาสหรัฐ)มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ประกาศว่า(วลาดีมีร์ ปูติน) ผู้นำรัสเซีย เป็นอาชญากรสงคราม
ใน ค.ศ. 2022 รัฐสภาของประเทศต่าง ๆ ได้แก่ (โปแลนด์) (ยูเครน) แคนาดา (เอสโตเนีย) (ลัตเวีย) (ลิทัวเนีย) และไอร์แลนด์ ประกาศว่ากำลังเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นในยูเครน
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 ทางการยูเครนเริ่มการพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ค.ศ. 2022 เมื่อ(วาดิม ชีชีมาริน) ทหารรัสเซีย ถูกฟ้องในข้อหาฆ่าพลเรือนที่ไม่มีอาวุธใน(แคว้นซูมือ) เขาถูกตัดสินจำคุก 15 ปี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ศาลในกรุง(เคียฟ) ในความผิดฐานยิงปืนใหญ่ใส่หมู่บ้าน 2 แห่งใน(แคว้นคาร์กิว) เมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2022 ร้อยโท เซียร์เกย์ ชไตเนอร์ ของรัสเซีย ถูกศาลยูเครนพิพากษาลับหลังให้จำคุก 9 ปี ในความผิดฐานฉกชิงทรัพย์และทำลายทรัพย์สินพลเรือนในหมู่บ้าน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 2022 ศาลยูเครนพิพากษาจำคุกทหารรัสเซีย 4 นายคนละ 11 ปี ในความผิดฐานลักพาตัวและทรมานชาวนิคม 3 คนที่จัดตั้งหน่วยต่อต้านการก่อการร้าย เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2023 ศาลยูเครนพิพากษาจำคุกนักบินรัสเซีย 12 ปี ในความผิดฐานทิ้งระเบิด 8 ลูกใส่สถานีโทรทัศน์และวิทยุคาร์กิว เมื่อถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. 2022 ยูเครนได้ระบุตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นอาชญากรสงครามได้มากกว่า 600 คนจากรัสเซีย ซึ่งรวมถึง(เซียร์เกย์ ชอยกู) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซีย
ระดับนานาชาติ
รัฐบาลรัสเซียได้พยายามปิดกั้นหรือขัดขวางการฟ้องร้องระหว่างประเทศต่อบทบาทของตนในอาชญากรรมสงครามต้องสงสัย โดยใช้ที่นั่งของตนใน(คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ)ในการยับยั้งมติที่เรียกร้องให้มีการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบต่อการยิง(เครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 17) และเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบต่อการก่ออาชญากรรมในซีเรีย โดยรัฐบาลรัสเซียปฏิเสธว่า(ไม่มีการโจมตีด้วยสารเคมีเกิดขึ้นในเมืองดูมา)เมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 2018 แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการยืนยันว่าเกิดขึ้นจริงในรายงานของ(องค์การห้ามอาวุธเคมี)ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ
เมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 2022 ได้ระงับสมาชิกภาพของรัสเซียใน(คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ)เนื่องจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและเป็นระบบที่รัสเซียก่อขึ้นในยูเครน
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 (รัฐสภายุโรป)กำหนดให้รัสเซียเป็น โดยประกาศว่าการโจมตีทางทหารอย่างกว้างขวางของรัสเซียต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน โรงพยาบาล โรงเรียน และที่พักพิงของยูเครนเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นอันตรายต่อพลเรือนยูเครนในฤดูหนาว เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2023 รัฐสภายุโรปยังมีมติเสนอแนะให้จัดตั้งศาลระหว่างประเทศเพื่อดำเนินคดีกับ(วลาดีมีร์ ปูติน) และ(อาเลียกซันดร์ ลูกาแชนกา) ประธานาธิบดีเบลารุส ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม
ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป
เนื่องจากทหารรัสเซียที่ก่ออาชญากรรมแทบไม่ถูกลงโทษในรัสเซีย ผู้เสียหายจากการละเมิดหลายร้อยคนจึงได้ยื่นคำร้องต่อ เมื่อถึง ค.ศ. 2009 ศาลฯ ได้ออกคำตัดสินในคดี 115 คดี (รวมถึงคำตัดสินใน) ที่ระบุว่ารัสเซียมีความผิดฐาน(บังคับให้สูญหาย) (สังหารนอกกระบวนการยุติธรรม) และ(ทรมาน) ทั้งยังไม่สอบสวนอาชญากรรมดังกล่าวในเชชเนียอย่างเหมาะสม
เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2021 ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปยังตัดสินแยกว่ารัสเซียมีความผิดฐานฆ่าคน ทรมาน (ฉกชิงทรัพย์) และทำลายบ้านเรือนในจอร์เจีย รวมทั้งขัดขวางไม่ให้ชาวจอร์เจียพลัดถิ่น 20,000 คนกลับคืนสู่ดินแดนของพวกเขา
ศาลอาญาระหว่างประเทศ
เมื่อ(ศาลอาญาระหว่างประเทศ)เริ่มสอบสวน(การผนวกไครเมียเข้ากับรัสเซีย)ว่าอาจเข้าข่ายการละเมิด(กฎหมายระหว่างประเทศ) รัสเซียก็ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ถึงกระนั้น ในรายงานเบื้องต้นที่เผยแพร่เมื่อ ค.ศ. 2017 ศาลฯ พบว่า "สถานการณ์ภายในดินแดน(ไครเมีย)และ(แซวัสตอปอล)อาจเทียบเท่ากับการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศระหว่างยูเครนกับสหพันธรัฐรัสเซีย" และ "ตามข้อเท็จจริงก็เทียบเท่ากับสถานะที่ยังคงดำเนินอยู่" นอกจากนี้ ศาลฯ ยังพบอีกว่ามีหลักฐานน่าเชื่อถือว่ามีคนอย่างน้อย 10 คนได้หายตัวไปและเชื่อว่าถูกฆ่าในไครเมียเนื่องจากคัดค้านการเปลี่ยนสถานะดินแดน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2016 ศาลฯ ยังเปิดการสอบสวนเกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง(สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย)ใน ค.ศ. 2008 ด้วย
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ประกาศว่าเขาจะเริ่มการสอบสวนข้อกล่าวโทษเรื่องอาชญากรรมสงครามในยูเครน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2023 ศาลฯ ได้ออกหมายจับวลาดีมีร์ ปูติน และ กรรมาธิการสิทธิเด็กของรัสเซีย ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามด้วยการเนรเทศและการโยกย้ายพลเรือน (เด็ก) จากพื้นที่ยึดครองในยูเครนไปยังรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย(ฮิวแมนไรตส์วอตช์)แสดงความยินดีกับการฟ้องร้องครั้งนี้โดยระบุว่าเป็น "ก้าวแรกไปสู่ความยุติธรรม"(แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล) ยกย่องการตัดสินใจของศาลฯ เช่นกันโดยแนะนำว่าควรขยายคำฟ้องให้ครอบคลุมอาชญากรรมสงครามอื่น ๆ อีกหลายคดีด้วย
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 2023 มีรายงานว่า(โจ ไบเดิน) ประธานาธิบดีสหรัฐ อนุญาตให้สหรัฐร่วมมือกับศาลอาญาระหว่างประเทศในการแบ่งปันหลักฐานอาชญากรรมสงครามของรัสเซียในยูเครน
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 ยูเครนยื่นฟ้องรัสเซียต่อ(ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ) (ศาลโลก) หลัง(การรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย) และเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2022 ศาลฯ ตัดสินว่ารัสเซียต้อง "ระงับปฏิบัติการทางทหารทันที" ในยูเครน
คณะกรรมการสอบสวนอิสระระหว่างประเทศในยูเครน
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2022 คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติลงมติเห็นชอบ 32 เสียง (ไม่เห็นด้วย 2 เสียง และงดออกเสียง 13 เสียง) ในการจัดตั้งซึ่งเป็นคณะกรรมการอิสระระหว่างประเทศที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน 3 คน โดยมีหน้าที่สืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการละเมิด(กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ)ในบริบทของการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียใน ค.ศ. 2022
อ้างอิง
- Oksana Dudko (2022). "A conceptual limbo of genocide: Russian rhetoric, mass atrocities in Ukraine, and the current definition's limits". . 64 (2–3): 133–145. doi:10.1080/00085006.2022.2106691.
Sergeitsev’s article is a significant example of how the Kremlin’s claims that it is preventing genocide against Russian Ukrainians have transformed into open admissions about perpetrating genocide in Ukraine. As Susan Smith-Peter points out, we have now encountered a kind of twenty-first-century “postmodern genocide”: while accusing Ukraine of perpetrating genocide, Russia uses genocidal rhetoric and commits genocidal crimes itself, and, moreover, it “does not feel the need to hide [them].” Indeed, Sergeitsev’s explicit call for Russians to destroy Ukraine is shocking. Siding with Russia’s state propaganda rhetoric about “Nazi Ukraine,” Sergeitsev proposes to liquidate Ukraine as a state, including the very usage of the name “Ukraine,” because “Ukraine, as history has shown, is impossible as a nation-state, and attempts to ‘build’ one naturally lead to Nazism.
- "No progress in Chechnya without accountability". (Amnesty International). 17 April 2009. จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2018. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
- "Worse Than a War: "Disappearances" in Chechnya—a Crime Against Humanity". (Human Rights Watch). March 2005. จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 March 2020. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
- "NO HAPPINESS REMAINS" CIVILIAN KILLINGS, PILLAGE, AND RAPE IN ALKHAN-YURT, CHECHNYA 13 มีนาคม 2022 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (Human Rights Watch) investigation report, April 2000
- "Georgia: International Groups Should Send Missions". (Human Rights Watch). 18 August 2008. จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 October 2014. สืบค้นเมื่อ 25 December 2018.
- Amnesty International 2009, p. 25—26.
- "Ukraine: Rebel Forces Detain, Torture Civilians – Dire Concern for Safety of Captives". Human Rights Watch. 28 August 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2022. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
- "Ukraine: Mounting evidence of war crimes and Russian involvement". Amnesty International. 7 September 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 January 2016. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
- "Russia/Ukraine: Invasion of Ukraine is an act of aggression and human rights catastrophe". Amnesty International. 1 March 2022. จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2022. สืบค้นเมื่อ 9 March 2022.
- Hugh Williamson (23 February 2023). "Ukraine: Human Cost of Brutal Russian Invasion". Human Rights Watch.
- "Syria: Russia's shameful failure to acknowledge civilian killings". Amnesty International. 23 December 2015. จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2019. สืบค้นเมื่อ 20 December 2016.
- "Russia/Syria: Extensive Recent Use of Cluster Munitions | Human Rights Watch". Hrw.org. 20 December 2015. จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2020. สืบค้นเมื่อ 28 February 2016.
- "Syria/Russia: Incendiary Weapons Burn in Aleppo, Idlib". Human Rights Watch. 16 August 2016. จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 December 2016. สืบค้นเมื่อ 14 December 2016.
- "Russia/Syria: War Crimes in Month of Bombing Aleppo". Human Rights Watch. 1 December 2016. จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2019. สืบค้นเมื่อ 14 December 2016.
- Binet 2016, p. 29—31, 97, 136.
- OHCHR & 2 February 2017, p. 12... «Between July and December 2016, Syrian and Russian forces carried out daily air strikes, claiming hundreds of lives and reducing hospitals, schools and markets to rubble... Syrian and Russian air forces conducted daily air strikes in Aleppo throughout most of the period under review, exclusively employing, as far as the Commission could determine, »...
- "War crimes have been committed in Ukraine conflict, top UN human rights inquiry reveals". UN News. 23 September 2022.
- "War crimes, indiscriminate attacks on infrastructure, systematic and widespread torture show disregard for civilians, says UN Commission of Inquiry on Ukraine". (Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights) (OHCHR). 16 March 2023.
- Madeline Halpert (13 April 2022). "Russia Committed 'Clear' Violations Of Humanitarian Law And War Crimes, OSCE Says". Forbes. จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 April 2022. สืบค้นเมื่อ 18 April 2022.
- ""Who Will Tell Me What Happened to My Son?" – Russia's Implementation of European Court of Human Rights Judgments on Chechnya". Human Rights Watch. 27 September 2009. จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 September 2019. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
- (21 January 2021). "Russia committed human rights violation in Georgia war, ECHR rules". (The Guardian). จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 January 2021. สืบค้นเมื่อ 23 January 2021.
- "Court Condemns Russia for Violating Human Rights After 2008 Georgia War". . 21 January 2021. จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 January 2021. สืบค้นเมื่อ 23 January 2021.
- "European court: Russia must answer for abuses in 2008 Georgia war". (Reuters). 21 January 2021. จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 January 2021. สืบค้นเมื่อ 23 January 2021.
- "EU restrictive measures in response to the crisis in Ukraine". Council of the European Union. จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 August 2019. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
- Michelle Toh, Junko Ogura, Hira Humayun, Isaac Yee, Eric Cheung, Sam Fossum, Ramishah Maruf (28 February 2022). "The list of global sanctions on Russia for the war in Ukraine". . จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2022. สืบค้นเมื่อ 19 April 2022.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - "Russia withdraws from International Criminal Court treaty". BBC News. 16 November 2016. จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2018. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
- "Russia's withdrawal from International Criminal Court statute is 'completely cynical'". Amnesty International. 16 November 2016. จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2018. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
- Binet 2016, p. 19.
- "War Crimes In Chechnya and the Response of the West". Human Rights Watch. 29 February 2000. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2 January 2019. สืบค้นเมื่อ 18 November 2018.
- The situation of human rights in the Republic of Chechnya of the Russian Federation – Report of the Secretary-General UNCHR (26 March 1996) 20 กรกฎาคม 1997 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Haque, Mozammel (1999). "Genocide in Chechnya and the World Community". Pakistan Institute of International Affairs. 52 (4): 15–29. (JSTOR) 41394437.
- Jones, Adam (2011). "Let Our Fame Be Great: Journeys Among the Defiant People of the Caucasus". Journal of Genocide Research. 13 (1): 199–202. doi:10.1080/14623528.2011.554083. (S2CID) 71276051.
- Gilligan 2009, p. 6.
- "Human Rights Developments". Human Rights Watch. สืบค้นเมื่อ 14 May 2022.
- Russia: Three Months of War in Chechnya 10 มกราคม 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (Human Rights Watch), February 1995
- Yeltsin Orders Bombing Halt On Rebel City 16 มีนาคม 2022 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (The New York Times), 5 January 1995
- 'These People Can Never Be Pacified': A Report From The Besieged City, Where Russian Bombs Haven't Dented Chechen Resolve 16 ตุลาคม 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (Newsweek), 16 January 1995
- "Mothers' March to Grozny". War Resisters' International. 1 June 1995. สืบค้นเมื่อ 14 May 2022.
- The situation of human rights in the Republic of Chechnya of the Russian Federation – Report of the Secretary-General UNCHR 11 กุมภาพันธ์ 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- DETAILS OF SAMASHKI MASSACRE EMERGE., , 5 May 1995 25 มิถุนายน 2007 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Williams, Bryan Glyn (2001).The Russo-Chechen War: A Threat to Stability in the Middle East and Eurasia? 16 มีนาคม 2022 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. 8.1.
- Faurby, Ib; Märta-Lisa Magnusson (1999). . Baltic Defence Review (2): 75–87. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 July 2011.
- Blank, Stephen J. (PDF). dtic.mil. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 8 March 2008.
- "The First Bloody Battle". The Chechen Conflict. BBC News. 16 March 2000.
- Obrecht, Th. (2006). Russie, la loi du pouvoir: Enquête sur une parodie démocratique (ภาษาฝรั่งเศส). Paris: Autrement. pp. 71, 104. (ISBN) .
- Allaman 2000, pp. 2, 59.
- Le Huérou, A.; Regamey, A. (11 October 2012). "Massacres de civils en Tchétchénie". SciencesPo (ภาษาฝรั่งเศส). สืบค้นเมื่อ 8 August 2022.
- Divac Öberg, M. (2004). "Le suivi par le Conseil de l'Europe du conflit en Tchétchénie". Annuaire français de droit international (ภาษาฝรั่งเศส). Vol. 50. Paris: CNRS Éditions. pp. 758–759, 762.
- Дмитриевский, С. М.; Гварели, Б. И.; Челышева, О. А. (2009b). Международный трибунал для Чечни: Правовые перспективы привлечения к индивидуальной уголовной ответственности лиц, подозреваемых в совершении военных преступлений и преступлений против человечности в ходе вооруженного конфликта в Чеченской Республике (PDF) (ภาษารัสเซีย). Vol. 2. Нижний Новгород. pp. 16–17, 22–26, 29–35, 55–56, 58–60, 62–65, 67, 104–105, 113, 130, 161, 175, 206, 226, 230, 339, 349–350, 378, 380, 388, 405, 474–475, 508.
- Дмитриевский, Гварели & Челышева 2009b, pp. 23, 71, 73, 74, 76, 325–329, 339.
- ; และคณะ (with Ruth et Nicholas Daniloff) (2005). Le serment tchétchène: Un chirurgien dans la guerre (ภาษาฝรั่งเศส). แปลโดย Baranger, L. Paris: Jean-Claude Lattès. pp. 167, 312–313, 325, 413. (ISBN) .
- Чечня: без средств для жизни: Оценка нарушения экономических, социальных и культурных прав в Чеченской республике (PDF) (ภาษารัสเซีย). Женева: Всемирная организация против пыток. 2004. p. 35. (ISBN) .
- Мандевиль, Л. (25 March 2002). "Глухое молчание Запада в ответ на геноцид чеченского народа: Запад изменяет отношение к Чечне". ИноСМИ (ภาษารัสเซีย). สืบค้นเมื่อ 8 August 2022.
- Sylvaine, P.; Alexandra, S. (23 March 2000). "Grozny, ville fantôme". L'Express (ภาษาฝรั่งเศส). สืบค้นเมื่อ 8 August 2022.
- Allaman, J. (2000). La guerre de Tchétchénie ou l'irrésistible ascension de Vladimir Poutine (ภาษาฝรั่งเศส). Genève: Georg Éditeur. p. 114. (ISBN) .
- Бовкун, Е. (25 February 2000). "Видеозапись зверств российских войск в Чечне и реакция на неё в Германии". Радио Свобода (ภาษารัสเซีย). สืบค้นเมื่อ 8 August 2022.
- (6 February 2001). "Концлагерь с коммерческим уклоном: Отчёт о командировке в зону". Новая газета (ภาษารัสเซีย). สืบค้นเมื่อ 8 August 2022.
- (6 August 2001). "Кавказские хроники". Радио Свобода (ภาษารัสเซีย). สืบค้นเมื่อ 8 August 2022.
- CARPET BOMBARDMENT OF THE ELISTANJI VILLAGE, OCTOBER 7, 1999 29 กรกฎาคม 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (Memorial), 26 October 1999
- , (Amnesty International), 1 December 1999
- Russians at odds over market attack, (BBC News), 22 October 1999
- Russians in disarray over Grozny strike 24 สิงหาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (The Guardian), 23 October 1999
- Russian rockets hit Grozny market, (The Guardian), 22 October 1999
- Russian Federation (Chechnya): For the motherland: Reported grave breaches of international humanitarian law. Attack on a civilian convoy near Shami-Yurt (29 October) 11 พฤษภาคม 2005 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (Amnesty International), 1 December 1999
- 'Russians fired on refugees' 24 กุมภาพันธ์ 2022 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (BBC News), 4 December 1999
- "NO HAPPINESS REMAINS" CIVILIAN KILLINGS, PILLAGE, AND RAPE IN ALKHAN-YURT, CHECHNYA". Human Rights Watch. สืบค้นเมื่อ 10 December 2022.
- Bush Meets Russian Faulted For Atrocities 15 มิถุนายน 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, , 29 March 2007
- . Washington post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2021. สืบค้นเมื่อ 12 December 2022.
- "Russia Condemned for Chechnya Killings". Human Rights Watch. 12 October 2006. สืบค้นเมื่อ 12 December 2022.
- "February 5: A Day of Slaughter in Novye Aldi". Human Rights Watch. สืบค้นเมื่อ 15 May 2022.
- European court assails Russia over killings in Chechnya, , 26 July 2007
- . Reliefweb. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 April 2007. สืบค้นเมื่อ 12 December 2022.
- , , 11 July 2000
- "Russian Forces Execute Grozny Residents". Human Rights Watch. สืบค้นเมื่อ 13 December 2022.
- Civilian killings in Staropromyslovski district of Grozny 14 ธันวาคม 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (Human Rights Watch) / (United Nations High Commissioner for Refugees) report, February 2000
- Putin Urged to Act on Summary Executions: Deaths of Sixteen More Civilians Confirmed, Total now Thirty-Eight 17 กุมภาพันธ์ 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, (Human Rights Watch), 10 February 2000
- "What Putin's destruction of Grozny in 1999 means for Ukraine now". wbur. สืบค้นเมื่อ 13 December 2022.
- "Russia Warns Civilians in Chechnya". AP NEWS (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2 March 2022.
- Watchdog alleges mass grave in Russia's Chechnya, (Reuters), 1 July 2008
- Scars remain amid Chechen revival, BBC News, 3 March 2007
- "Grozny and Aleppo: a look at the historical parallels". The National. 24 November 2016. จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2018. สืบค้นเมื่อ 18 November 2018.
- Galeotti, Mark (29 September 2016). "Putin Is Playing by Grozny Rules in Aleppo". Foreign Policy. จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 October 2016. สืบค้นเมื่อ 18 November 2018.
- "Welcome to Chechnya. Welcome to hell". The Guardian. 10 December 1999. สืบค้นเมื่อ 13 December 2022.
- "17 December 1996 : Six ICRC delegates assassinated in Chechnya". International Committee of the Red Cross. 30 April 1997. จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2018. สืบค้นเมื่อ 26 December 2018.
- Nicoll, Ruaridh (25 November 2010). "How the Chechnyan Red Cross murders affected central Africa". The Guardian. จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2018. สืบค้นเมื่อ 26 December 2018.
- Parfitt, Tom (2004). "Russian soldiers blamed for civilian rape in Chechnya". (The Lancet). 363 (9417): 1291. doi:10.1016/S0140-6736(04)16036-4. (PMID) 15101379. (S2CID) 30551028.
- Callaway & Harrelson-Stephens 2010, p. 85.
- "Brief summary of concerns about human rights violations in the Chechen Republic" (PDF). Amnesty International. April 1996. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 November 2018. สืบค้นเมื่อ 18 November 2018.
- "Russian Federation: What justice for Chechnya's disappeared?" (PDF). Amnesty International. 2007. p. 1. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 30 October 2021. สืบค้นเมื่อ 29 October 2021.
- Kramer, Mark (2005). "Guerrilla Warfare, Counterinsurgency and Terrorism in the North Caucasus: The Military Dimension of the Russian-Chechen Conflict". Europe-Asia Studies. 57 (2): 210. doi:10.1080/09668130500051833. (JSTOR) 30043870. (S2CID) 129651210.
- (4 September 1996). "Chechnya Toll Is Far Higher, 80,000 Dead, Lebed Asserts". New York Times. จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2021. สืบค้นเมื่อ 17 September 2020.
- Moorcraft & Taylor 2008, p. 145.
- Reardon & Hans 2018, p. 201.
- Hawkins 2016, p. 27.
- "200,000 killed in Chechnya in 10 years". . 29 November 2004. จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2021. สืบค้นเมื่อ 3 September 2020.
- "Official: Chechen wars killed 300,000". Al Jazeera. 26 June 2005. จากแหล่งเดิมเมื่อ 7 August 2020. สืบค้นเมื่อ 3 September 2020.
- . New York Times. Agence France-Presse. 21 June 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 October 2015. สืบค้นเมื่อ 21 September 2020.
- Sarah Reinke: Schleichender Völkermord in Tschetschenien. Verschwindenlassen – ethnische Verfolgung in Russland – Scheitern der internationalen Politik. Gesellschaft für bedrohte Völker, 2005, page 8 (PDF 12 สิงหาคม 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน)
- Karlsson, Håkan (22 January 2017). "Competing Powers: U.S.-RussianRelations, 2006–2016" (PDF). (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 January 2017. สืบค้นเมื่อ 9 April 2021.
- CHIFU, Nantoi, Sushko, Iulian, Oazu, Oleksandr (2009). The Russian Georgian War A trilateral cognitive institutional approach of the crisis decision-making process.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - "2008 Georgia Russia Conflict Fast Facts". CNN. 3 April 2018. จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2018. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
- Gerrits, Andre W. M.; Bader, Max (2016). "Russian patronage over Abkhazia and South Ossetia: implications for conflict resolution". . 32 (3): 297–313. doi:10.1080/21599165.2016.1166104.
- "Executive Summary". Up in Flames. Human Rights Watch. 23 January 2009. จากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2012. สืบค้นเมื่อ 25 December 2018.
- Thomas Hammarberg (8 September 2008). "Human Rights in Areas Affected by the South Ossetia Conflict. Special Mission to Georgia and Russian Federation". Council of Europe. จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 October 2009. สืบค้นเมื่อ 25 December 2018.
- . Amnesty International. 1 October 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 October 2008.
- Kim Sengupta, Shaun Walker (20 August 2008). "Georgians tell of ethnic cleansing". The Independent. จากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2022. สืบค้นเมื่อ 10 May 2020.
- . Council of Europe. 22 November 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 November 2009.
- Crawford, Emily (2014). "Introductory Note to United Nations General Assembly Resolution on the Territorial Integrity of Ukraine". International Legal Materials. 53 (5): 927–932. doi:10.5305/intelegamate.53.5.0927. (JSTOR) 10.5305/intelegamate.53.5.0927. (S2CID) 218720652.
- "Ukraine: Unguided Rockets Killing Civilians" (Press release). Human Rights Watch. 24 July 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2014. สืบค้นเมื่อ 27 July 2014.
- "Ukraine: Russia Must Recognize Ukraine Rebels' Human Rights Abuses" (Press release). Human Rights Watch. 6 August 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 August 2014. สืบค้นเมื่อ 7 August 2014.
- "Marking Ukrainian Independence Day with a Laws-of-War Violation" (Press release). Human Rights Watch. 24 August 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 August 2014. สืบค้นเมื่อ 25 August 2014.
- "In Eastern Ukraine, Rebel Mockery Amid Independence Celebration". The New York Times. 24 August 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 August 2014. สืบค้นเมื่อ 25 August 2014.
- СБУ показала карту преступлений российских боевиков в Донбассе [SBU published a list of war crimes of Russian insurgents in Donetsk] (ภาษารัสเซีย). Liga.net. 3 October 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 October 2014. สืบค้นเมื่อ 3 October 2014.
- [Crimes against humanity in the Luhansk and Donetsk regions from April 14 to October 1, 2014] (ภาษายูเครน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 January 2015. สืบค้นเมื่อ 5 March 2015.
- "Security Service to Create "Death Map" of Mass Graves and Terrorist Concentration Camps". Censor.net. 3 October 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 October 2014. สืบค้นเมื่อ 13 June 2015.
- СБУ розслідує злочини терористів проти людяності [SBU is investigating terrorist crimes against humanity]. (ภาษายูเครน). 15 October 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2015. สืบค้นเมื่อ 13 June 2015.
- "Eastern Ukraine conflict: Summary killings, misrecorded and misreported" (Press release). Amnesty International. 20 October 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 April 2022. สืบค้นเมื่อ 20 October 2014.
- "Ukraine: Widespread Use of Cluster Munitions" (Press release). Human Rights Watch. 20 October 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2016. สืบค้นเมื่อ 21 October 2014.
- "Rebels in Ukraine 'post video of people's court sentencing man to death'". Telegraph. 31 October 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2018. สืบค้นเมื่อ 5 November 2014.
- "UN accuses Ukraine forces, pro-Russia rebels of 'torture'". Yahoo News. 15 December 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2018. สืบค้นเมื่อ 22 December 2018.
- Oleg Sukhov (6 April 2015). "Russian fighter's confession of killing prisoners might become evidence of war crimes (AUDIO)". Kyiv Post. จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 April 2015. สืบค้นเมื่อ 25 December 2018.
- "New evidence of summary killings of Ukrainian soldiers must spark urgent investigations" (Press release). Amnesty International. 9 April 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 October 2016. สืบค้นเมื่อ 9 April 2015.
- Merezhko 2018, p. 118.
- "General Assembly Adopts Resolution Urging Russian Federation to Withdraw Its Armed Forces from Crimea, Expressing Grave Concern about Rising Military Presence". United Nations. 17 December 2018. จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 April 2019. สืบค้นเมื่อ 19 May 2019.
- "Speakers Urge Peaceful Settlement to Conflict in Ukraine, Underline Support for Sovereignty, Territorial Integrity of Crimea, Donbas Region". United Nations. 20 February 2019. จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 February 2022. สืบค้นเมื่อ 16 May 2019.
- "Ukraine: Temperatures plunge amid rising humanitarian needs". UN News. 15 November 2018. จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2018. สืบค้นเมื่อ 22 December 2018.
- Andrew Lichterman (2022). "The Peace Movement and the Ukraine War: Where to Now?". Journal for Peace and Nuclear Disarmament. 5: 185–197. doi:10.1080/25751654.2022.2060634. (S2CID) 248116270.
- Illia Ilin, Olena Nihmatova (2023). "The "Brotherly People" Metaphor and the Russian-Ukrainian Irredentist War: A Corpus-Based Study". Czech Journal of International Relations. 58 (2). doi:10.32422/mv-cjir.504. (S2CID) 257448711.
- "Ukraine: Russian Cluster Munition Hits Hospital". Human Rights Watch. 25 February 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2022. สืบค้นเมื่อ 26 February 2022.
- "Russian military commits indiscriminate attacks during the invasion of Ukraine". Amnesty International. 25 February 2022. จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2022. สืบค้นเมื่อ 26 February 2022.
- . OHCHR. 25 February 2022. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2022. สืบค้นเมื่อ 26 February 2022.
- "Ukraine: Apparent War Crimes in Russia-Controlled Areas: Summary Executions, Other Grave Abuses by Russian Forces". Human Rights Watch. 3 April 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 April 2022. สืบค้นเมื่อ 18 April 2022. "Ukraine: Russian forces extrajudicially executing civilians in apparent war crimes – new testimony". Amnesty International. 7 April 2022. จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2022. สืบค้นเมื่อ 18 April 2022. "Ukraine: Russian forces must face justice for war crimes in Kyiv Oblast". Amnesty International. 6 May 2022. จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 May 2022. สืบค้นเมื่อ 6 May 2022. "Ukraine: UN rights office probe spotlights harrowing plight of civilians". UN News. 12 May 2022. จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 May 2022. สืบค้นเมื่อ 10 May 2022. "UN's Bachelet concerned over Ukraine orphans 'deported' to Russia for adoption". UN News. 15 June 2022. จากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2022. สืบค้นเมื่อ 20 June 2022. ""We Had No Choice": "Filtration" and the Crime of Forcibly Transferring Ukrainian Civilians to Russia". Human Rights Watch. 1 September 2022. จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 September 2022. สืบค้นเมื่อ 15 September 2022.
- Joshua Zitser, Sophia Ankel, Bill Bostock, Bethany Dawson (24 February 2022), "People in Ukraine describe the moment they awoke in a war zone as Russian forces bombed the cities where they live", Business Insider, จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 March 2022, สืบค้นเมื่อ 28 February 2022
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Claire Gilbody-Dickerson (25 February 2022), "Russia accused of war crimes in Ukraine after 'shelling kindergarten and orphanage' during invasion", i news, จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2022, สืบค้นเมื่อ 28 February 2022
- Natalia Liubchenkova (27 February 2022), "Ukraine war: Distress and destruction as Russia continues its assault", Euronews, จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2022, สืบค้นเมื่อ 28 February 2022
- Liza Rozovsky (3 March 2022). "Panic in First Captured Ukrainian City: 'Russians Are Entering Houses, There's Looting'". Haaretz. จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 March 2022. สืบค้นเมื่อ 6 March 2022.
- AFP (8 March 2022). "Ukrainian Girl Dies of Thirst Under Rubble of Home: Mayor". The Moscow Times. จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2022. สืบค้นเมื่อ 9 March 2022.
- Lynsey Addario, Andrew E. Kramer (6 March 2022). "Ukrainian Family's Dash for Safety Ends in Death". The New York Times. จากแหล่งเดิมเมื่อ 9 March 2022. สืบค้นเมื่อ 9 March 2022.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์