นักองค์วัตถา
นักองค์วัตถา หรือ พระองค์เจ้าวัตถา (เขมร: វត្ថា; พ.ศ. 2385 – 30 ธันวาคม พ.ศ. 2434) บ้างออกพระนามว่า ศรีวัตถา (ស៊ីវត្ថា) หรือ ไวยวัตถา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี ประสูตินักขำ (หรือ คำ) เป็นพระอนุชาต่างพระชนนีของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร และพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ นักองค์วัตถาทรงมีความขัดแย้งกับพระเชษฐาทั้งสอง โดยมีเครือญาติร่วมในการก่อกบฏหวังชิงราชบัลลังก์ และได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น พระบันทูลวิเสดสมเดจ์องค์วัตถาบรมบพิตรผูเปนเจ้า (พระบัณฑูรวิเศษสมเด็จองค์วัตถาบรมบพิตรผู้เป็นเจ้า) อ้างสิทธิในราชบัลลังก์กัมพูชา ในเอกสารของกัมพูชามองว่าการกระทำของนักองค์วัตถาเป็นกบฏต่อราชสำนักเขมร และเอกสารกัมพูชาในยุคหลังมองว่าวัตถาได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายกษัตริย์สยามเพื่อก่อการกบฏ
นักองค์วัตถา | |
---|---|
หม่อม | แม่นางดอกบัว |
พระบุตร | ประดิษฐวงษ (หรือ ดิศวงษ์) |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์วรมัน
|
พระบิดา | สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี |
พระมารดา | นักขำ (หรือ คำ) |
ประสูติ | พ.ศ. 2385 กรุงเทพมหานคร หรือพระตะบอง อาณาจักรสยาม |
สิ้นพระชนม์ | 30 ธันวาคม พ.ศ. 2434 จังหวัดกำปงธม กัมพูชาในอารักขาของฝรั่งเศส |
พระประวัติ
ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา
นักองค์วัตถา หรือ ศรีวัตถา ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2385 เป็นพระโอรสในสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี หรือนักองค์ด้วง ประสูตินักขำ (หรือ นักนางคำ) ธิดาพระยาธรรมาเดโช กับยายแก้ว มีพระมาตุลาคนหนึ่งชื่อ สนองโสร์ (หรือ สนองโส) ต่อมาเป็นที่ ออกญามหาฤทธิณรงค์ (ในเอกสารเขมร) หรือ พระยามหาฤทธิรงค์ชาญไชย (เอกสารไทย) เป็นกรมการในเขตเมืองบาพนม (បាភ្នំ) ปัจจุบันเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดไพรแวง ประเทศกัมพูชา
ผังเครือญาติของนักองค์วัตถา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
ก่อนการประสูติกาล สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี ทรงขัดแย้งกับสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี หรือนักองค์จันทร์ ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระชนนี และกลุ่มขุนนางเขมรที่ฝักใฝ่ฝ่ายญวน ทำให้สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีพร้อมด้วยเจ้านายและขุนนางที่ฝักใฝ่สยาม เดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานคร และหนึ่งปีก่อนนักองค์วัตถาประสูติกาล สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีถูกส่งตัวไปยังเมืองพระตะบอง ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของสยาม จึงอาจเป็นไปได้ว่านักองค์วัตถาอาจประสูติที่พระตะบองหรือกรุงเทพมหานคร แต่เป็นที่แน่นอนว่ามีพระประสูติกาลในเขตอิทธิพลสยาม ในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้ากรุงสยาม ทรงออกพระนามใหม่แก่นักองค์วัตถาว่า วัดถาลงกร เพราะนามเดิมเป็นอิตถีลึงค์ ขณะที่ นิราสนครวัด ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอ้างคำอธิบายของออกญาพิพิธไอศูรย์ ข้าราชการเขมรรุ่นเก่าในพนมเปญว่าพระนามที่ถูกต้องคือ ไวยวัตถา เพื่อให้คล้องจองกับพระนามของพระเชษฐา คือ ราชาวดี ศรีสวัสดิ์ และไวยวัตถา
ต่อมานักองค์วัตถาตามเสด็จบิดาไปกรุงอุดงฦๅไชย ก่อนถูกส่งไปรับการศึกษาที่กรุงเทพมหานครตามพระราชธรรมเนียมของเจ้านายฝ่ายหน้ากรุงกัมพูชา พร้อมกับพระเชษฐาต่างพระชนนี คือ พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร หรือนักองค์ราชาวดี และพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ หรือนักองค์ศรีสวัสดิ์ นอกจากทรงศึกษาด้านอักขระและศิลปวิทยาจากสำนักเรียนต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครแล้ว ยังทรงศึกษาวิชาอาคมอยู่ยงคงกระพันด้วยเวทมนตร์และเครื่องรางของขลังต่าง ๆ ทั้งยังเคยเป็นอาจารย์สอนสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเมื่อครั้งยังบวชเป็นสามเณร คาดว่านักองค์วัตถาคงอ่านและเขียนภาษาไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งยังทรงมีความสนิทสนมกับเจ้านายและข้าราชการชาวสยามมากมายหลายคน หนึ่งในนั้นคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์เป็นอาจารย์-ศิษย์ และมีวังอยู่ตรงข้ามวังเจ้าเขมรที่พระองค์ประทับอยู่
ความขัดแย้งและการก่อกบฏ
นักองค์วัตถาถูกส่งตัวกลับไปปฏิบัติราชการในกรุงกัมพูชาก่อน พ.ศ. 2400 อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชานุญาตให้ นักองค์ราชาวดี เป็นที่พระมหาอุปราช และนักองค์ศรีสวัสดิ เป็นที่สมเด็จพระแก้วฟ้า กลับไปปฏิบัติราชการกรุงกัมพูชา และทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้ นักองค์ราชาวดีขึ้นเป็นที่สมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ มหาอุปราช และนักองค์ศรีสวัสดิเป็นที่สมเด็จพระหริราชรัตไนไกรแก้วฟ้า สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีก็ส่งตัวนักองค์เจ้าวัตถาไปรับใช้ราชกิจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่กรุงเทพมหานครแทน
หลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีเมื่อ พ.ศ. 2403 นักองค์วัตถาได้เข้าร่วมพระราชพิธีพระบรมศพด้วย สมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ มหาอุปราช ทรงปลูกพระตำหนักทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังในอุดงฦๅไชยแก่นักองค์วัตถา นักองค์วัตถาขอให้พระองค์เจ้าศิริวงษ์ พระอนุชาต่างพระชนนีไปประทับที่พระตำหนักด้วยกัน ครั้น พ.ศ. 2404 สนองโสร์ กรมการของเมืองบาพนมซึ่งเป็นพระมาตุลาหรือน้าชายของวัตถา เกลี้ยกล่อมชาวเมืองบาพนมเป็นพวกจำนวนมาก โดยยุยงให้ชาวเมืองกระด้างกระเดื่องต่อพระยาธรรมเดโชซึ่งเป็นเจ้าเมืองดังกล่าว ในเอกสารไทยระบุว่า สนองโสร์เห็นว่าสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์นั้น "...ไม่โอบอ้อมอารีต่อพี่น้อง..." ก็คุมสมัครพรรคพวกก่อกบฏขึ้น สมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์จึงตรัสให้เอาตัวสนองโสร์ไปไต่สวน แต่สนองโสร์ไม่ยินยอม กลับไปพักพิงอยู่กับนักองค์วัตถาและศิริวงษ์แทน ซึ่งนักองค์วัตถาก็ออกตัวปกป้องสนองโสร์ พร้อมกับกล่าวว่า ตนรับใช้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้มาดูแลน้ำใจของเหล่าเจ้านายเขมรและขุนนางเขมรมิให้เอาใจออกหาก หากใครประพฤติผิดไปจากนี้ก็จะนำความกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบความประพฤติของเจ้านายและขุนนางเขมรทุกประการ หลังจากเหตุการณ์นั้น ทั้งนักองค์วัตถาและศิริวงษ์ก็มิได้เฝ้าแหนสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ตามเคย และทั้งสองพระองค์นี้ก็มิได้เสด็จออกไปร่วมพระราชพิธีพระบรมศพของพระชนกเลย
ใน ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ระบุว่าพระยาราชประสิทธิไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาสังฆราช (เที่ยง สุวณฺณเกสโร) ที่วัดปราง เพื่อเชิญนักองค์วัตถาและศิริวงษ์เพื่อกราบทูลเจรจาเรื่องราวแต่ก็ล้มเหลว ในช่วงเวลาดังกล่าว นักองค์วัตถาได้แต่งตั้งให้สนองโสร์ ซึ่งเป็นพระมาตุลาขึ้นเป็นออกญามหาฤทธิรงค์ชาญไชย ครั้นใน พ.ศ. 2404 นั้นเอง สมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ ทรงให้ไพร่พลนำปืนไปยิงพระตำหนักนักองค์วัตถาและศิริวงษ์ เพื่อไล่ให้ตื่น จะได้หนีกลับไปยังกรุงเทพมหานครโดยเร็ว ฝ่ายออกญามหาฤทธิณรงค์ (โสร์) และออกญากำแหงโยธา (แก้ว) ก็พาสมัครพรรคพวกราว 40-50 คน ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กันไปมากับฝ่ายสมเด็จพระนโรดม จนฝ่ายของนักองค์วัตถาล้มตายไป 7-8 คน นักองค์วัตถาเห็นว่าสู้ไม่ได้จึงพาครอบครัว คือ นักขำ มารดา หม่อมดอกบัว ภรรยา และยายแก้ว พระอัยยิกา พร้อมด้วยบ่าวไพร่ ขี่ม้าหนีไปเมืองพระตะบอง ซึ่งเป็นเขตแดนของสยาม เพื่อมุ่งสู่กรุงเทพมหานครต่อไป พระบาทสมเด็จพระนโรดมตรัสให้ออกญาเสนาธิบดี (เล็ก) กับออกญาราชเดชะ (เอก) ยกไพร่พลไล่ตามพวกนักองค์วัตถาจนสุดเขตแดน แล้วให้จับพระแม่นางผลทิพย์สุวรรณ (เขียว) พระชนนีของพระองค์เจ้าศิริวงษ์ จำขังไว้ในพระราชวัง แม้ตัววัตถาจะลี้ภัยไปกรุงเทพมหานครแล้ว แต่ออกญามหาฤทธิณรงค์ (โสร์) และออกญากำแหงโยธา (แก้ว) ยังปฏิบัติการอยู่ในเขมรต่อไป ด้วยประสงค์จะให้นักองค์วัตถาเสวยราชสมบัติสืบต่อไป พวกเขาได้เกลี้ยกล่อมผู้คนตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้เข้าฝ่ายวัตถาเพิ่มขึ้น เมื่อมีทัพเป็นกระบวน ก็ก่อกำเริบลุกไปตีทัพของสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์แตกพ่าย กลุ่มกบฏยึดเมืองและตั้งทัพในพนมเปญและลาดปะเอียได้สำเร็จ ตัวสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ซึ่งล่าถอยกลับไปอุดงฦๅไชยก่อนหน้า จำต้องลี้ภัยเข้าไปกำปงชนัง พระตะบอง และกรุงเทพมหานคร ตามลำดับ เป็นการชั่วคราว ในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 9 (ตรงกับวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2404) พระยาราชวรานุกูลมีหนังสือบอกแต่งให้พระอินทร์เดช จมื่นรักษพิมานพานักองค์วัตถาไปส่งที่กรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้พระยามนตรีสุริวงษ์กับจมื่นศรีสรรักษ์ คุมไพร่พลสยาม 1,000 นาย เรือกลไฟสองลำ นำส่งสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ที่เมืองกำปอด แล้วเดินทางต่อไปจนถึงพระราชวังสระสารพรรณยุคในกรุงอุดงฦๅไชย ภายหลังทัพของออกญามหาฤทธิณรงค์ (โสร์) ถูกตีจนแตกพ่ายไป ก่อนจะถูกจับกุมและเนรเทศไปเกาะโปโลกนโดร์ (มลายู: Pulo Condore ปูโล กนโดร์, เวียดนาม: Côn Đảo โกนด๋าว) ส่วนออกญากำแหงโยธา (แก้ว) ถูกตัดศีรษะเสียบประจานริมถนนเบื้องตะวันออกของพระราชวัง
การต่อต้านอาณานิคมฝรั่งเศสและบั้นปลาย
สมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ ทรงลงนามในอนุสัญญากับฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2406 ส่งผลให้กัมพูชาตกอยู่ในการอารักขาของฝรั่งเศส และได้จัดพิธีราชาภิเษกโดยความยินยอมพร้อมใจของฝ่ายฝรั่งเศสและไทย ขณะนั้นวัตถายังคงอาศัยอยู่กรุงเทพมหานครนาน 20 ปี ก็ทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลังในสยาม ก่อนหนีเข้ากัมพูชาเพื่อก่อการกบฏต่อต้านพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร นักองค์วัตถาไม่เห็นชอบที่จะให้ฝรั่งเศสมาเป็นเจ้าอาณานิคมเพราะเห็นเป็นพวก มิจฉาทิฐิ เพราะเป็นคนนอกศาสนา และอ้างว่าฝรั่งเศสเป็นตัวบ่อนทำลายกัมพูชาอันเป็นแผ่นดินของบวรพุทธศาสนา พระองค์ทิ้งหัตถเลขาที่เขียนด้วยภาษาไทยไว้สองฉบับ ความว่า "...คำนับกราบเท้ามายังพี่ท่านพระยาศรีสิงหเทพ ด้วยตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ ออกไปหาได้ ทำการด้วยฝีมือตนเองไม่ บัดนี้ข้าพเจ้าจะออกทำเองฉลองพระเดชพระคุณให้สำเรจ ในชาตินี้ที่จะอยุดเลิกเสียยอมประทาน แล้วนอนฟังเสียงนกเสียงกากลางป่ากลางดงนั้นไม่ยอมแล้ว ขอท่านโปรดนำประดิษฐวงษเข้าถวายตัวให้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณแทนข้าพเจ้าด้วยเถิด...อ้ายประดิษฐวงษนั้นขอให้ท่านด่าว่าสั่งสอนเหมือนลูกในไส้ทีเดียว อย่าได้เกรงอกเกรงใจเลย ให้ท่านนึกว่าบุตรท่านเถิด แล้วกราบบังคมทูลให้จัดแจงบวชเสียด้วย..." ส่วนอีกฉบับหนึ่งเขียนว่า "ประดิษฐวงษ, รวมถึงลูกของประดิษฐวงศ์, นั้นที่สุดแล้วจะไปอยู่ในอุปถัมภ์ของกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทย"
ช่วงเวลาหลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระนโรดมถูกฝรั่งเศสบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาเมื่อ พ.ศ. 2427 ที่กำหนดให้อำนาจทั้งหมดของกัมพูชาตกเป็นของฝรั่งเศส ทำให้เจ้านายและขุนนางในระบอบเก่าต่อต้านอย่างหนัก โดยนักองค์วัตถามีส่วนร่วมในการต่อต้านนี้อย่างยิ่งยวด จนฝ่ายฝรั่งเศสยอมผ่อนปรนการปฏิรูปบางมาตราที่ส่งผลกระทบต่อเจ้านายและขุนนางระบอบเก่าออกไปก่อน ในการปฏิบัติการของนักองค์วัตถาช่วง พ.ศ. 2428–2429 ทรงตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ ออกพระนามตนเองว่า พระบันทูลวิเสดสมเดจ์องค์วัตถาบรมบพิตรผูเปนเจ้า (พระบัณฑูรวิเศษสมเด็จองค์วัตถาบรมบพิตรผู้เป็นเจ้า) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2404 และทรงแต่งตั้งสมณศักดิ์พระและขุนนางเขมรเมื่อคราวเสด็จไปเมืองพนมสารคามใน พ.ศ. 2408 เป็นอาทิ พระองค์มีอิทธิพลเหนือพื้นที่ของกลุ่มกบฏ คือบริเวณรอยต่อพรมแดนสยามกับฝรั่งเศส ได้แก่ เมืองสตึงแตรง (ស្ទឹងត្រែង) สันทุก (សន្ធុក) กระพงสวาย (កំពង់ស្វាយ) สะโทง (ស្ទោង) ชีแครง (ជីក្រែង) และเสียมราฐ (សៀមរាប) ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเมืองในเขตอาณานิคมของฝรั่งเศส ยกเว้นเมืองเสียมราฐที่ขณะนั้นยังขึ้นอยู่กับอาณาจักรสยาม พระองค์เคยใช้เมืองสตึงแตรงเป็นพื้นที่ปฏิบัติการ ก่อนย้ายไปเมืองสันทุก และกระพงธมหรือกำปงธม (កំពង់ធំ) ใกล้เมืองเสียมราฐตามลำดับ ดังปรากฏใน คำประกาศของวัตถา ลงวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2428 ซึ่งเป็นสำเนาเอกสารไม่มีชื่อที่กระทรวงการต่างประเทศเตรียมส่งไปยังสถานทูตสยามในปารีส ถูกเก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร ธิบดี บัวคำศรีเรียกสำเนาเอกสารนี้ว่า คำประกาศของวัตถา ภายในบันทึกเนื้อหาไว้ ความว่า
"นักองค์วัตถาอยู่บ้านโสนแขวงสันทุก ณ วัน 5 7ฯ 3 ค่ำจุลศักราช 1246 ปีวอกฉศก นักองค์วัตถาประกาศบอก พระยา พระ ขุน หลวง แขวงกำนัน กับบรรดาราษฎรเขมรจินยวนแขกชวาตพุ่นในแขวงเมืองกระพงสวาย เมืองสะโทง เมืองชีแครง ไปจนถึงแขวงกำนันทุกกันในแดนเมืองเสิยมราฐเท่าใด ๆ ให้รู้ด้วย
นักองค์วัตถาคิดถึงแผ่นดินแต่บูราณมา คงอยู่เปนแผ่นดินเมืองเขมรในบวรพุทธศาสนาบัดนี้ไม่ได้อยู่ เปนแผ่นดินเมืองเขมร แปลเปนแผ่นดินพวกมิศฉาทิฐิเหมือนบรรดาราษฎรได้รู้เหนแล้วว่า ดูไปบรรดาขุนนางกับบรรดาราษฎรต่างคนก็มีใจซื่อตรงต่อพุทธสาสนา ต่างคนก็หลงด้วยมิจฉาทิฐิโลภ อยากได้อาณาประโยชน์บังเกิดลาภ ไม่มีนักปราชกับขุนนางราษฎรเวทนาถึงสาสนาพระพุทธเจ้าช่วยทำนุบำรุงให้คงแผ่นดินในบวรพุทธศาสนาขึ้นอย่าให้สาปสูญต่อไปข้างน่า...นักองค์วัตถาคิดเอาแต่คุณบุญพระศรีรัตนไตรเปนที่พึ่ง แต่ไม่ได้ไปรวบรวมกับพี่กับน้อง ได้คิดกำจัดมิจฉาทิฐิออกจากนคร อย่านึกว่าแผ่นดินเมืองเขมรในบวรพุทธศาสนาจะสูญนั้นเลย"
พ.ศ. 2434 นักองค์วัตถาทรงดำรงพระชนม์ชีพอย่างกึ่งคนเถื่อนในป่านานถึง 15 ปีแล้ว พระองค์ขอเจรจายอมจำนนต่อทางการฝรั่งเศสแต่ไม่เป็นผล นักองค์วัตถาสิ้นพระชนม์กลางป่าในจังหวัดกำปงธม เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2434 อย่างไรก็ตามการก่อกำเริบของนักองค์วัตถาถูกมองว่าเป็นการกบฏและอ้างสิทธิธรรมเพื่อชิงราชบัลลังก์มากกว่าการต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส ขณะที่เอกสารเขมรที่ถูกสร้างขึ้นในชั้นหลัง คือ บ็อณฎำตาเมียะฮ์ ("คำสั่งตามาส") ที่มักถูกใช้อ้างอิงในการเรียนประวัติศาสตร์ ระบุว่าวัตถาได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายกษัตริย์สยามเพื่อก่อการกบฏ
ขณะที่เจ้านายกัมพูชาบางพระองค์ที่กระทำการสนับสนุนกลุ่มต่อต้านอาณานิคมฝรั่งเศสเช่นเดียวกันกับวัตถา ก็ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดินกัมพูชา เช่น พระองค์เจ้าดวงจักรถูกเนรเทศไปประเทศแอลจีเรียใน พ.ศ. 2436 ด้วยข้อหาพยายามลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร พระองค์เจ้ามยุราถูกเนรเทศไปเมืองไซ่ง่อนเมื่อ พ.ศ. 2440 ด้วยถูกกล่าวหาว่าสมคบพระยาคทาธรธรนินทร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ขุนนางสยามในพระตะบอง และพระองค์เจ้ายุคันธรถูกสั่งห้ามมิให้กลับกรุงพนมเปญใน พ.ศ. 2443 หลังมีพระนิพนธ์บทความ Deux civilisations ("สองวัฒนธรรม") ลงหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสซึ่งเนื้อหาได้วิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของข้าราชการอาณานิคมฝรั่งเศส
ทายาท
นักองค์วัตถา มีพระโอรสหนึ่งองค์หนึ่ง ชื่อองค์ประดิษฐวงษ บ้างออกพระนามว่า องค์ดิศวงษ์ หรือ แป๊ะ (ถึงแก่กรรมใน พ.ศ. 2446) ซึ่งนักองค์วัตถาได้ทำการฝากฝังให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเลี้ยงดูประดุจลูกในไส้ โดยนักองค์วัตถามีพระหัตถเลขาไว้ ความว่า "ประดิษฐวงษ, รวมถึงลูกของประดิษฐวงศ์, นั้นที่สุดแล้วจะไปอยู่ในอุปถัมภ์ของกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทย" ประดิษฐวงษ หรือดิศวงษ์ อาศัยอยู่ในวังเจ้าเขมร กรุงเทพมหานคร มีภรรยาสองคน ภรรยาคนแรกชื่อ เผื่อน มีธิดาสองคน คือ ถวิล และวิลาศ ส่วนภรรยาอีกคนชื่อจันทร์ มีธิดาสองคนและบุตรหนึ่งคน คือ พุมเรียง สังเวียน และพระอินทเบญญา (นักสะราคำ วัตถา) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ มีรับสั่งให้พระอินทเบญญาซึ่งขณะนั้นยังไม่มีนามสกุล ใช้นามสกุลว่า "วัตถา" ตามชื่อของปู่ จะได้ไม่ต้องทูลขอพระราชทานนามสกุล
พระอินทเบญญา (สะราคำ วัตถา) สมรสกับภักดิ์ ปิ่นทัษเฐียร มีบุตรด้วยกันสามคน คือ ธม วัตถา เธียด วัตถา และโอปอ วัตถา
พงศาวลี
พงศาวลีของนักองค์วัตถา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
เชิงอรรถ
- เอกสารบางแห่งสะกดว่า วัดถา หรือ วัฐา
อ้างอิง
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. "นิราสนครวัด (3. อยู่เมืองพนมเพ็ญครั้งแรก)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2565.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ธิบดี บัวคำศรี (มกราคม-มิถุนายน 2557). "ประเทศ" กัมพูชาของพระองค์มจะส์วัตถาและยุคนธร. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (10:1). p. 158-160.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ↑ ศานติ ภักดีคำ. เขมร "ถกสยาม". กรุงเทพฯ : มติชน, 2552, หน้า 121
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 237
- ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2560, หน้า 255
- ↑ เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 304-305
- ↑ ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 249
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 301
- ↑ ธิบดี บัวคำศรี (มกราคม-มิถุนายน 2557). "ประเทศ" กัมพูชาของพระองค์มจะส์วัตถาและยุคนธร. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (10:1). p. 150.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. "นิราสนครวัด (8. อยู่เมืองพนมเพ็ญครั้งหลัง)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2565.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ธิบดี บัวคำศรี (มกราคม-มิถุนายน 2557). "ประเทศ" กัมพูชาของพระองค์มจะส์วัตถาและยุคนธร. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (10:1). p. 161.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ธิบดี บัวคำศรี (มกราคม-มิถุนายน 2557). "ประเทศ" กัมพูชาของพระองค์มจะส์วัตถาและยุคนธร. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (10:1). p. 151.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 291-292
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 294
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 300
- ↑ เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 301-302
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 303
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 306
- ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 250
- ไกรฤกษ์ นานา. สยามรัฐท่ามกลางจักรวรรดินิยม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2563, หน้า 57-58
- ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 251
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 318
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563, หน้า 319-320
- ↑ ธิบดี บัวคำศรี (มกราคม-มิถุนายน 2557). "ประเทศ" กัมพูชาของพระองค์มจะส์วัตถาและยุคนธร. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (10:1). p. 152.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ธิบดี บัวคำศรี (มกราคม-มิถุนายน 2557). "ประเทศ" กัมพูชาของพระองค์มจะส์วัตถาและยุคนธร. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (10:1). p. 153.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ศานติ ภักดีคำ (15 มิถุนายน 2564). "เปิดวรรณกรรมชวนเชื่อ "บ็อณฎำตาเมียะฮ์" เล่าสภาพกัมพูชา หลังเป็นพื้นที่ไทยรบเวียดนาม". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2565.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ↑ ธิบดี บัวคำศรี (มกราคม-มิถุนายน 2557). "ประเทศ" กัมพูชาของพระองค์มจะส์วัตถาและยุคนธร. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (10:1). p. 154-155.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ธิบดี บัวคำศรี (มกราคม-มิถุนายน 2557). "ประเทศ" กัมพูชาของพระองค์มจะส์วัตถาและยุคนธร. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (10:1). p. 156.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานหอพระสมุด หอพระมณเฑียรธรรม หอวชิรญาณ หอพุทธสาสนสังคหะ แล หอสมุดสำหรับพระนคร. พระนคร : อักษรเจริญทัศน์, 2512, หน้า ก
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานหอพระสมุด หอพระมณเฑียรธรรม หอวชิรญาณ หอพุทธสาสนสังคหะ แล หอสมุดสำหรับพระนคร. พระนคร : อักษรเจริญทัศน์, 2512, หน้า ค
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานหอพระสมุด หอพระมณเฑียรธรรม หอวชิรญาณ หอพุทธสาสนสังคหะ แล หอสมุดสำหรับพระนคร. พระนคร : อักษรเจริญทัศน์, 2512, หน้า ง