fbpx
วิกิพีเดีย

บลาสเตอร์

บลาสเตอร์ เป็นเทคโนโลยีทางทหารอย่างหนึ่งในภาพยนตร์ นวนิยาย การ์ตูน หนังสือการ์ตูน เกม และสื่ออื่นๆ ของสตาร์ วอร์ส ในภาพยนตร์ บลาสเตอร์ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในความหวังใหม่

อี-11 บลาสเตอร์ไรเฟิลของอุตสาหกรรมบลาสเทคที่ใช้โดยสตอร์มทรูปเปอร์

ความเชื่อและอาวุธโบราณไม่มีทางเทียบกับบลาสเตอร์ดีๆ ไม่ได้หรอก เจ้าหนู— ฮัน โซโลพูดกับลุค สกายวอล์คเกอร์

บลาสเตอร์ (อังกฤษ: ภาษาอังกฤษ: blaster) หรือปืนเป็นอาวุธพิสัยไกลที่ยิงลำแสงพลังงานที่เรียกว่ากระสุนบลาสเตอร์ออกจากเซลล์พลังงานที่สามารถแทนที่ได้ มันเป็นอาวุธที่รู้จักกันไปทั่วกาแลกซี่ ลำแสงของบลาสเตอร์ประกอบด้วยอนุภาคของพลังงานสูงที่ถูกอัดแน่นและแสงเข้มข้นซึ่งสามารถสังหารหรือทำให้เป้าหมายเป็นอัมพาตได้ มันขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของปืน บลาสเตอร์มีขนาดตั้งแต่ปืนพกไปจนถึงขนาดใหญ่และปืนใหญ่บลาสเตอร์ที่ติดตั้งบนยาวอวกาศ บางคนก็ใช้บลาสเตอร์เป็นตั้งแต่ยังเด็ก อนาคิน สกายวอล์คเกอร์เป็นเจ้าของปืนบลาสเตอร์ไอออนขนาดเล็กในตอนที่เขายังเด็ก เลอา ออร์กานาได้รับบลาสเตอร์ล่าสัตว์ในตอนที่เธอเป็นวัยรุ่น และเด็กๆ ชาวแมนดาลอเรียนจะได้รับบลาสเตอร์และการฝึกเมื่อพวกเขามีอายุย่างเข้าปีที่สิบสาม

ข้อมูลทางด้านเทคนิค

คำว่าบลาสเตอร์มักถูกใช้สลับกับคำว่าเลเซอร์ เพราะทั้งสองก็หมายถึงอาวุธที่ยิงลำแสงอนุภาคเช่นเดีวกัน อย่างไรก็ตาม เลเซอร์เป็นอาวุธที่เก่าแก่กว่าบลาสเตอร์ และบลาสเตอร์นั้นมีการยิงที่มีอัตราการรีชาร์จที่ดีกว่า ทำให้พวกมันสามารถสร้างอัตราการยิงที่สูงกว่าเลเซอร์ได้ ถึงแม้ว่าจะลดความแม่นยำและพิสัยลง

มีการโต้เถียงกันถึงขนาดของอาวุธที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น"บลาสเตอร์" ตัวอย่างเช่น บลาสเตอร์มักเป็นที่รู้กันว่าเป็นอาวุธแบบถือได้เท่านั้น แต่ยานอวกาศก็มีปืนใหญ่บลาสเตอร์ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเดียวกันเช่นกัน

เลเซอร์

 
ปืนพกบลาสเตอร์ ดีเอช-17ที่ใช้โดยฝ่ายกบฏ

ลำแสงเลเซอร์คือเส้นทางเดินของลำแสงที่รวมตัวกัน เมื่ออ้างถึงแสง การรวมตัวกันหมายถึง"ความเหมือนกัน"ด้วยคลื่นมากมาย ในคำอื่น แต่ละคลื่นแสงจะส่งออกมาจากอุปกรณ์เลเซอร์จะมีความยาวคลื่นและความกว้างเหมือนกับคลื่นอื่นๆ ที่ส่งออกมาจากอุปกรณ์เดียวกัน และจะรวมตัวเข้าด้วยกัน

เลเซอร์กำเนิดโดยนำพลังงานมาใช้เป็นสื่อกลาง สสารที่ถูกใช้เพื่อสร้างลำแสง แก๊สทิบาน่าเป็นสื่อกลางที่นิยมากที่สุด เมื่ออะตอมของสื่อกลางถูกกระตุ้นด้วยพลังงาน อิเลคตรอนของมันจะ"กระโดด"ขึ้นไปเป็นพลังงานที่สูงขึ้นไปอีกระดับ เมื่ออะตอมเกิดเสถียรภาพ (จุดที่อิเลคตรอนกลับไปสู่ระดับพลังงานเดิม) โฟตอนก็จะถูกปล่อยออกมา โฟตอนเป็น"กล่องเล็กๆ"ของพลังงานที่เดินทางทั้งในรูปของคลื่นและรูปของอนุภาค ทำให้มันมีระดับพลังงานที่มาก พอๆ กับอัตราสร้างความเสียหาย ปืนซุ่มยิงบางรุ่นจะยิงประจุพลังงานโดยใช้แก๊สบลาสเตอร์แบบพิเศษ อาวุธนี้มีประโยชน์มากในการใช้แบบปกปิด โดยเฉพาะหากผู้ใช้สวมเครื่องทำให้ล่องหน

กลไกของบลาสเตอร์

 
บลาสเตอร์แบบคู่ที่ใช้กับดรอยด์เดก้า

บลาสเตอร์ถูกมองว่าเป็นการพัฒนาของเลเซอร์ที่เหนือชั้น แทนที่จะเป็นการรวมตัวของแสงและความร้อนอย่างเลเซอร์ธรรมดา บลาสเตอร์ยิงลำแสงอนุภาคที่บีบอัดเข้าด้วยกันจนเป็นพลังงานสูงที่อันตรายกับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ พลังงานที่เป็นกระสุนของบลาสเตอร์นั้นขึ้นอยู่กับชนิดของบลาสเตอร์ที่ใช้

บลาสเตอร์นอกนักที่จะใช้พลาสม่า เหมือนกับที่ใช้โดยกองทัพแห่งสาธารณรัฐ บลาสเตอร์พลาสม่านั้นมีประสิทธิภาพกับทุกๆ เป้าหมาย และมีมากกับดรอยด์เนื่องมาจากธรรมชาติของพลาสม่าที่เป็นความร้อนสูง เป็นแก๊สไอออน ดรอยด์นั้นอ่อนแอกับพลังงานไอออน ดังนั้นพลาสม่าจึงถูกใช้เป็นทางเลือกหลักเพื่อจัดการกับกองทัพดรอยด์ นี่อธิบายถึงการใช้ดีซีซีรีส์สของบ.บลาสเทคในสงครามโคลน

ในบลาสเตอร์พลาสม่านั้นจะใช้แก๊สที่มีพลังงานสูง (ของอุตสาหกรรมบลาสเทคใช้ทิบาน่าแก๊สในบลาสเตอร์ดีซีซีรีส์ส) จะเคลื่อนที่จากห้องแก๊สเข้าไปในอีกห้องหนึ่งที่ซึ่งมันจะเปลี่ยนเป็นสภาพแก๊ส จากนั้นมันจะถูกปล่อยออกจาก"ขวด"แม่เหล็กผ่านส่วนประกอบที่ขนานกัน สิ่งนี้จะเปลี่ยนแก๊สพลาสม่าและพลังงานจำนวนมากให้เป็นลำพลังงานที่รวมตัวกันเป็นกระสุนของแสงและพลาสม่า การผสมของแสงและพลาสม่าจะก่อให้เกิดกระสุนที่สุดอันตราย

บลาสเตอร์ส่วนใหญ่แล้วจะยิงลำแสงอนุภาคพลังงานสูงซึ่งอันตรายกับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มากว่าพลาสม่าที่เป็นความร้อน (ซึ่งก็อันตรายไม่แพ้กัน) แต่มันยังมีประสิทธิภาพมากพอที่จะจัดการดรอยด์อย่างดรอยด์รบ บี1ได้ ชนิดที่เป็นลำแสงอนุภาคยังมีประสิทธิภาพมากกว่าเนื่องจากพวกมันใช้แก๊สบลาสเตอร์น้อยในการสร้างลำแสง ไม่เหมือนกับแบบที่ใช้พลาสม่า (เพราะพลาสม่ามีสถานะเป็นแก๊ส)

ในบลาสเตอร์ลำแสงอนุภาค อย่างอี-11ที่ใช้โดยสตอร์มทรูปเปอร์ จะใช้แก๊สพลังงานสูงปริมาณน้อยเคลื่อนที่จากห้องแก๊สไปที่ห้องที่เรีกยว่าเอ็กซ์ไซเตอร์ (XCiter) ในห้องนี้ แก๊สจะถูกกระตุ้นโดยแพ็คพลังงาน จากนั้นจะผ่านเข้าไปในเครื่องกระตุ้น ซึ่งเมื่อรวมกับส่วนประกอบในลำกล้อง จะสร้างแก๊สพลังงานสูงสุดยอดให้เป็นลำแสงที่บีบอัดเข้าด้วยกัน ซึ่งจะสร้างลำแสงอนุภาคพลังงานสูงที่อันตรายในบลาสเตอร์ส่วนมาก ในบลาสเตอร์เหล่านี้ การผสมของแสงเลเซอร์ที่ร้อนมากกับกระสุนบีบอัดของพลังงานอนุภาคจะก่อให้เกิดพลังงานที่สุดอันตราย

 
ปืนพกบลาสเตอร์ ดีแอล-44ที่ถูกดัดแปลงอย่างผิดกฎหมายของฮัน โซโล

บลาสเตอร์บุคคลส่วนใหญ่จะใช้ยุทธภัณฑ์สองแบบ คือกระสุนแก๊สและเซลล์พลังงาน อาวุธที่ทรงพลังงานน้อยกว่าอย่างปืนกีฬาของเดียเรียน ดีเฟนซ์ คองโลเมอร์เรทใช้เซลล์พลังงานเสียส่วนใหญ่และใช้แก๊สในปริมาณน้อย ขณะที่อาวุธอันทรงพลังอย่างปืพกดีเอ็กซ์-2ของเทนลอส ใช้แก๊สในปริมาณมาก ในอาวุธอื่นๆ จะใช้เซลล์พลังงานที่สามารถเปลี่ยนได้ ซึ่งให้พลังงานมากพอ (แม้แต่ในระดับที่ต่ำ)

บลาสเตอร์บางชนิดอย่างหน้าไม้ของชาววูคกี้ จะยิงกระสุนบลาสเตอร์จำนวนมากซึ่งจะสะท้อนเมื่อกระทบพื้นผิวใดๆ เป็นการเพิ่มโอกาสที่มันจะยิงถูกอะไรสักอย่าง กระสุนบลาสเตอร์มักลดขนาดลง การระเบิดของความร้อนสูงและพลังที่กระทบจะพื้นผิวที่ไร้เกราะป้องกันก็เช่นกัน อาวุธอย่างปืนพกบลาสเตอร์ ดีแอล-44ของฮัน โซโลและอี-11 บลาสเตอร์ไรเฟิลสามารถสร้างความเสียหายที่เหลือเชื่อ และมีพลังที่สามารถสร้างรูบนเหล็กผสมได้ อย่างที่เห็นเมื่อฮัน โซโลและลุค สกายวอล์คเกอร์ทำการบุกห้องขังเพื่อช่วยเลอา ออร์กานาบนดาวมรณะดวงที่หนึ่ง ตัวเร่งไอออนจะถูกใช้เพื่อสังหารหรือทำให้ศัตรูหมดสติ


อุปกรณ์เสริม

บลาสเตอร์มากมายที่มีอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อช่วยในการเล็งเป้า ความแม่นยำ อัตราการยิง และการจับ อุปกรณ์เสริมที่เป็นที่นิยมคือเลเซอร์เล็งเป้า ตัวหาระยะ และแพ็คพลังงานขนาดใหญ่ ระบบปรับเปลี่ยนอาวุธ ดีซี-17เอ็มของหน่วยเดลต้า มีทั้งปืนซุ่มยิงและอุปกรณ์เจาะเกราะสำหรับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ อีอี-3 คาร์บินไรเฟิลของโบบา เฟทท์มีกล้องมองขนาดเล็กซึ่งสามารถมองผ่านทางหมวกของเฟทท์เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ปืนพกบลาสเตอร์ เวสทาร์-34ของแจงโก้ เฟทท์ทั้งสองกระบอกทำจากอัลลอยพิเศษที่ทำให้มันมีความร้อนที่ไม่สูงเกินจนไป

ความเป็นมาและการใช้งาน

ป่าเถื่อนที่สุดเลย— โอบีวัน เคโนบีหลังจากสังหารนายพลกรีวัสด้วยบลาสเตอร์

 
บลาสเตอร์รุ่นแรกสุดที่เป็นที่รู้จัก

บลาสเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดถูกใช้โดยดรอยด์ยุคโบราณที่ใช้งานโดยจักรวรรดิราคาทา อาวุธนี้ถูกพิจารณาว่ามีความทันสมัยเท่าๆ กับบลาสเตอร์ในปีที่ 3,956 ก่อนยุทธการยาวิน นอกจากนั้น เทคโนโลยีบลาสเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดคือทริปเปิลบลาสเตอร์ ซึ่งย้อนไปถึงสาธารณรัฐเก่า มันทำงานโดยใช้บลาสเตอร์สามกระบอกที่สามารถยิงใส่เป้าหมายเดียวกันได้ มักถูกวางสองหรือสี่จุดและยิงพร้อมกันเข้าใส่เป้าหมาย ในยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิ ทริปเปิลบลาสเตอร์นั้นหาได้ยากมาก ในยุคก่อนที่มีการนำทริปเปิลบลาสเตอร์มาใช้ ก็ได้มีการนำท่อลำแสงมาใช้ก่อน อุปกรณ์ทั้งหมดที่สร้างลำแสงบลาสเตอร์จะถูกบรรจุในเป้สะพายและยิงออกมาตามท่อ เมื่อสิ้นสุดความนิยม ทริปเปิลบลาสเตอร์ก็ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา

เทคโนโลยีทริปเปิลบลาสเตอร์เริ่มหายไปเมื่อ"บลาสเตอร์"ที่เป็นธรรมเนียมถูกสร้างขึ้นมา เนื่องมาจากมันมีตัวสร้างกระสุนในตัวมันเองโดยไม่ต้องการอุปกรณ์ใดๆ เพิ่มเติม

เทคโนโลยีบลาสเตอร์ในรุ่นต่อๆ มาก็คือออโต้บลาสเตอร์ มันถูกออกแบบมาสำหรับยานขับไล่ บี-วิงมันมีอัตราการยิงที่สูงกว่าบลาสเตอร์รุ่นอื่นๆ แต่มันก็ไม่สามารถใช้กับยานอื่นๆ ได้นกระทั่งยุทธการเอนดอร์

มันเป็นอาวุธบุคคลที่รู้จักกันไปทั่วกาแลกซี่ในยุคที่จักรวรรดิผงาดขึ้น บลาสเตอร์มักถูกใช้ทั้งทหารและพลเรือน พวกมันเป็นที่พบเห็นได้มากในเขตรอบนอก ถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก บลาสเตอร์ขนาดจิ๋วก็เป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง อย่างผู้จัดการแลนโด คาลริสเซียน ในสถานที่มากมายอย่างแคนทิน่าในมอส ไอส์ลีย์มีกฎห้ามนำบลาสเตอร์เข้ามา ถึงแม้ว่าจะมีการละเมิดอยู่บ่อยครั้งก็ตาม

บริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในช่วงสงครามกลางเมืองกาแลกติกคืออุตสาหกรรมบลาสเทค ซึ่งได้ทำสัญญาทั้งกับกองทัพของจักรวรรดิและกับพันธมิตรฟื้นฟูสาธารณรัฐ และยังผลิตอาวุธป้องกันตัวสำหรับพลเมืองอีกด้วย


แหล่งข้อมูลอื่น

  • BlasterในWookieepedia: The Star Wars Wiki

บลาสเตอร, เป, นเทคโนโลย, ทางทหารอย, างหน, งในภาพยนตร, นวน, ยาย, การ, หน, งส, อการ, เกม, และส, ออ, นๆ, ของสตาร, วอร, ในภาพยนตร, ได, ปรากฏต, วคร, งแรกในความหว, งใหม, ไรเฟ, ลของอ, ตสาหกรรมบลาสเทคท, ใช, โดยสตอร, มทร, ปเปอร, ความเช, อและอาว, ธโบราณไม, ทางเท, ยบก, บ. blasetxr epnethkhonolyithangthharxyanghnunginphaphyntr nwniyay kartun hnngsuxkartun ekm aelasuxxun khxngstar wxrs inphaphyntr blasetxridprakttwkhrngaerkinkhwamhwngihmxi 11 blasetxrirefilkhxngxutsahkrrmblasethkhthiichodystxrmthrupepxr khwamechuxaelaxawuthobranimmithangethiybkbblasetxrdi imidhrxk ecahnu hn osolphudkblukh skaywxlkhekxr blasetxr xngkvs phasaxngkvs blaster hruxpunepnxawuthphisyiklthiyinglaaesngphlngnganthieriykwakrasunblasetxrxxkcakesllphlngnganthisamarthaethnthiid mnepnxawuththiruckknipthwkaaelksi laaesngkhxngblasetxrprakxbdwyxnuphakhkhxngphlngngansungthithukxdaennaelaaesngekhmkhnsungsamarthsngharhruxthaihepahmayepnxmphatid mnkhunxyukbkartngkhakhxngpun blasetxrmikhnadtngaetpunphkipcnthungkhnadihyaelapunihyblasetxrthitidtngbnyawxwkas bangkhnkichblasetxrepntngaetyngedk xnakhin skaywxlkhekxrepnecakhxngpunblasetxrixxxnkhnadelkintxnthiekhayngedk elxa xxrkanaidrbblasetxrlastwintxnthiethxepnwyrun aelaedk chawaemndalxeriyncaidrbblasetxraelakarfukemuxphwkekhamixayuyangekhapithisibsam enuxha 1 khxmulthangdanethkhnikh 2 elesxr 2 1 klikkhxngblasetxr 3 xupkrnesrim 4 khwamepnmaaelakarichngan 5 aehlngkhxmulxunkhxmulthangdanethkhnikh aekikhkhawablasetxrmkthukichslbkbkhawaelesxr ephraathngsxngkhmaythungxawuththiyinglaaesngxnuphakhechnediwkn xyangirktam elesxrepnxawuththiekaaekkwablasetxr aelablasetxrnnmikaryingthimixtrakarricharcthidikwa thaihphwkmnsamarthsrangxtrakaryingthisungkwaelesxrid thungaemwacaldkhwamaemnyaaelaphisylngmikarotethiyngknthungkhnadkhxngxawuththisamartheriykidwaepn blasetxr twxyangechn blasetxrmkepnthiruknwaepnxawuthaebbthuxidethann aetyanxwkaskmipunihyblasetxrsungcdxyuinpraephthediywknechnknelesxr aekikh punphkblasetxr diexch 17thiichodyfaykbt laaesngelesxrkhuxesnthangedinkhxnglaaesngthirwmtwkn emuxxangthungaesng karrwmtwknhmaythung khwamehmuxnkn dwykhlunmakmay inkhaxun aetlakhlunaesngcasngxxkmacakxupkrnelesxrcamikhwamyawkhlunaelakhwamkwangehmuxnkbkhlunxun thisngxxkmacakxupkrnediywkn aelacarwmtwekhadwyknelesxrkaenidodynaphlngnganmaichepnsuxklang ssarthithukichephuxsranglaaesng aeksthibanaepnsuxklangthiniymakthisud emuxxatxmkhxngsuxklangthukkratundwyphlngngan xielkhtrxnkhxngmnca kraodd khunipepnphlngnganthisungkhunipxikradb emuxxatxmekidesthiyrphaph cudthixielkhtrxnklbipsuradbphlngnganedim oftxnkcathukplxyxxkma oftxnepn klxngelk khxngphlngnganthiedinthangthnginrupkhxngkhlunaelarupkhxngxnuphakh thaihmnmiradbphlngnganthimak phx kbxtrasrangkhwamesiyhay punsumyingbangruncayingpracuphlngnganodyichaeksblasetxraebbphiess xawuthnimipraoychnmakinkarichaebbpkpid odyechphaahakphuichswmekhruxngthaihlxnghn klikkhxngblasetxr aekikh blasetxraebbkhuthiichkbdrxydedka blasetxrthukmxngwaepnkarphthnakhxngelesxrthiehnuxchn aethnthicaepnkarrwmtwkhxngaesngaelakhwamrxnxyangelesxrthrrmda blasetxryinglaaesngxnuphakhthibibxdekhadwykncnepnphlngngansungthixntraykbsingmichiwitswnihy phlngnganthiepnkrasunkhxngblasetxrnnkhunxyukbchnidkhxngblasetxrthiichblasetxrnxknkthicaichphlasma ehmuxnkbthiichodykxngthphaehngsatharnrth blasetxrphlasmannmiprasiththiphaphkbthuk epahmay aelamimakkbdrxydenuxngmacakthrrmchatikhxngphlasmathiepnkhwamrxnsung epnaeksixxxn drxydnnxxnaexkbphlngnganixxxn dngnnphlasmacungthukichepnthangeluxkhlkephuxcdkarkbkxngthphdrxyd nixthibaythungkarichdisisirisskhxngb blasethkhinsngkhramokhlninblasetxrphlasmanncaichaeksthimiphlngngansung khxngxutsahkrrmblasethkhichthibanaaeksinblasetxrdisisiriss caekhluxnthicakhxngaeksekhaipinxikhxnghnungthisungmncaepliynepnsphaphaeks caknnmncathukplxyxxkcak khwd aemehlkphanswnprakxbthikhnankn singnicaepliynaeksphlasmaaelaphlngngancanwnmakihepnlaphlngnganthirwmtwknepnkrasunkhxngaesngaelaphlasma karphsmkhxngaesngaelaphlasmacakxihekidkrasunthisudxntrayblasetxrswnihyaelwcayinglaaesngxnuphakhphlngngansungsungxntraykbmnusyaelasingmichiwitxun makwaphlasmathiepnkhwamrxn sungkxntrayimaephkn aetmnyngmiprasiththiphaphmakphxthicacdkardrxydxyangdrxydrb bi1id chnidthiepnlaaesngxnuphakhyngmiprasiththiphaphmakkwaenuxngcakphwkmnichaeksblasetxrnxyinkarsranglaaesng imehmuxnkbaebbthiichphlasma ephraaphlasmamisthanaepnaeks inblasetxrlaaesngxnuphakh xyangxi 11thiichodystxrmthrupepxr caichaeksphlngngansungprimannxyekhluxnthicakhxngaeksipthihxngthierikywaexksisetxr XCiter inhxngni aekscathukkratunodyaephkhphlngngan caknncaphanekhaipinekhruxngkratun sungemuxrwmkbswnprakxbinlaklxng casrangaeksphlngngansungsudyxdihepnlaaesngthibibxdekhadwykn sungcasranglaaesngxnuphakhphlngngansungthixntrayinblasetxrswnmak inblasetxrehlani karphsmkhxngaesngelesxrthirxnmakkbkrasunbibxdkhxngphlngnganxnuphakhcakxihekidphlngnganthisudxntray punphkblasetxr diaexl 44thithukddaeplngxyangphidkdhmaykhxnghn osol blasetxrbukhkhlswnihycaichyuththphnthsxngaebb khuxkrasunaeksaelaesllphlngngan xawuththithrngphlngngannxykwaxyangpunkilakhxngediyeriyn diefns khxngolemxrerthichesllphlngnganesiyswnihyaelaichaeksinprimannxy khnathixawuthxnthrngphlngxyangpuphkdiexks 2khxngethnlxs ichaeksinprimanmak inxawuthxun caichesllphlngnganthisamarthepliynid sungihphlngnganmakphx aemaetinradbthita blasetxrbangchnidxyanghnaimkhxngchawwukhki cayingkrasunblasetxrcanwnmaksungcasathxnemuxkrathbphunphiwid epnkarephimoxkasthimncayingthukxairskxyang krasunblasetxrmkldkhnadlng karraebidkhxngkhwamrxnsungaelaphlngthikrathbcaphunphiwthiirekraapxngknkechnkn xawuthxyangpunphkblasetxr diaexl 44khxnghn osolaelaxi 11 blasetxrirefilsamarthsrangkhwamesiyhaythiehluxechux aelamiphlngthisamarthsrangrubnehlkphsmid xyangthiehnemuxhn osolaelalukh skaywxlkhekxrthakarbukhxngkhngephuxchwyelxa xxrkanabndawmrnadwngthihnung twerngixxxncathukichephuxsngharhruxthaihstruhmdstixupkrnesrim aekikhblasetxrmakmaythimixupkrnesrimtang ephuxchwyinkarelngepa khwamaemnya xtrakarying aelakarcb xupkrnesrimthiepnthiniymkhuxelesxrelngepa twharaya aelaaephkhphlngngankhnadihy rabbprbepliynxawuth disi 17exmkhxnghnwyedltamithngpunsumyingaelaxupkrnecaaekraasahrbsthankarnthikhadedaimid xixi 3 kharbinirefilkhxngobba efththmiklxngmxngkhnadelksungsamarthmxngphanthanghmwkkhxngefththephuxephimkhwamaemnya punphkblasetxr ewsthar 34khxngaecngok efthththngsxngkrabxkthacakxllxyphiessthithaihmnmikhwamrxnthiimsungekincnipkhwamepnmaaelakarichngan aekikhpaethuxnthisudely oxbiwn ekhonbihlngcaksngharnayphlkriwsdwyblasetxr blasetxrrunaerksudthiepnthiruck blasetxrthiekaaekthisudthukichodydrxydyukhobranthiichnganodyckrwrrdirakhatha xawuthnithukphicarnawamikhwamthnsmyetha kbblasetxrinpithi 3 956 kxnyuththkaryawin nxkcaknn ethkhonolyiblasetxrthiekaaekthisudkhuxthripepilblasetxr sungyxnipthungsatharnrtheka mnthanganodyichblasetxrsamkrabxkthisamarthyingisepahmayediywknid mkthukwangsxnghruxsicudaelayingphrxmknekhaisepahmay inyukhrungeruxngkhxngckrwrrdi thripepilblasetxrnnhaidyakmak inyukhkxnthimikarnathripepilblasetxrmaich kidmikarnathxlaaesngmaichkxn xupkrnthnghmdthisranglaaesngblasetxrcathukbrrcuinepsaphayaelayingxxkmatamthx emuxsinsudkhwamniym thripepilblasetxrkthukpradisthkhunmaethkhonolyithripepilblasetxrerimhayipemux blasetxr thiepnthrrmeniymthuksrangkhunma enuxngmacakmnmitwsrangkrasunintwmnexngodyimtxngkarxupkrnid ephimetimethkhonolyiblasetxrinruntx makkhuxxxotblasetxr mnthukxxkaebbmasahrbyankhbil bi wingmnmixtrakaryingthisungkwablasetxrrunxun aetmnkimsamarthichkbyanxun idnkrathngyuththkarexndxrmnepnxawuthbukhkhlthiruckknipthwkaaelksiinyukhthickrwrrdiphngadkhun blasetxrmkthukichthngthharaelaphleruxn phwkmnepnthiphbehnidmakinekhtrxbnxk thungaemwacamikhnadelk blasetxrkhnadciwkepnthiniyminhmuchnchnsung xyangphucdkaraelnod khalrisesiyn insthanthimakmayxyangaekhnthinainmxs ixsliymikdhamnablasetxrekhama thungaemwacamikarlaemidxyubxykhrngktambristhphuphlitthimichuxesiyngmakthisudinchwngsngkhramklangemuxngkaaelktikkhuxxutsahkrrmblasethkh sungidthasyyathngkbkxngthphkhxngckrwrrdiaelakbphnthmitrfunfusatharnrth aelayngphlitxawuthpxngkntwsahrbphlemuxngxikdwyaehlngkhxmulxun aekikhBlasterinWookieepedia The Star Wars Wikiekhathungcak https th wikipedia org w index php title blasetxr amp oldid 9269211, wikipedia, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด,

บทความ

, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม