พระเจ้าชาร์ลที่ 3 แห่งฝรั่งเศส
พระเจ้าชาร์ลที่ 3 แห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Charles III de France) (17 กันยายน 879 - 7 ตุลาคม 929) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งชนแฟรงค์ตะวันตก พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 10 ในราชวงศ์กาโรแล็งเชียง นอกจากนี้พระองค์ยังทรงพระอิสริยยศเป็นพระมหากษัตริย์แห่งโลทารินเจีย
พระเจ้าชาร์ลที่ 3 แห่งฝรั่งเศส | |
---|---|
พระปรมาภิไธย | พระเจ้าชาร์ลที่ 3 แห่งฝรั่งเศส |
พระอิสริยยศ | พระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์กาโรแล็งเชียง |
รัชกาล | 898 - 922 |
ข้อมูลส่วนพระองค์ | |
พระราชสมภพ | 17 กันยายน 879 |
สวรรคต | 7 ตุลาคม 929 (พระชนมายุ 50 พรรษา) |
พระราชบิดา | พระเจ้าหลุยส์ที่ 2 แห่งฝรั่งเศส |
พระราชมารดา | อเดลไอเดแห่งปารีส |
พระเจ้าชาร์ลที่ 3 เป็นพระโอรสในพระเจ้าหลุยส์ที่ 2 แห่งฝรั่งเศสและอเดลไอเดแห่งปารีสพระมเหสีองค์ที่สองของพระองค์ พระองค์ทรงประกาศอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสตั้งแต่ที่โอโด เคานต์แห่งปารีสขึ้นครองราชย์ แต่พระองค์ได้ปกครองฝรั่งเศสจริงๆ หลังจากที่โอโดสิ้นพระชนม์
ชีวิตช่วงแรก
ชาร์ลเป็นพระโอรสคนที่สามที่ประสูติหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าหลุยส์ผู้ติดอ่าง โดยประสูติจากพระมเหสีคนที่สอง อาเดเลดแห่งปารีส ในวัยเด็กชาร์ลถูกขัดขวางไม่ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ในปี ค.ศ. 884 เมื่อพระเชษฐาต่างมารดา พระเจ้าแกร์โลม็อง สิ้นพระชนม์ กลุ่มขุนนางแฟรงก์กลับขอให้ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ จักรพรรดิชาร์ลผู้ตัวอ้วน ขึ้นปกครองแทน จักรพรรดิชาร์ลผู้ตัวอ้วนไม่ใช่กษัตริย์ที่ดี พระองค์จึงถูกถอดออกจากตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 887 ทรงสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นไม่นานในเดือนมกราคม ค.ศ. 888 เหล่าขุนนางเลือกโอโด วีรบุรุษในการปิดล้อมปารีส เป็นกษัตริย์ ชาร์ลถูกส่งไปอยู่ในการคุ้มครองของรานูล์ฟที่ 2 แห่งอากีแตนที่ยึดเอาพระราชตำแหน่งมาใช้เสียเองจนกระทั่งทำสนธิสัญญาสันติภาพกับโอโด
กษัตริย์แห่งอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก
ในปี ค.ศ. 893 ขุนนางกลุ่มหนึ่งที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับโอโดสวมมงกุฎให้ชาร์ล พระองค์ได้รับการสวมมงกุฎที่อาสนวิหารแร็งส์ แต่ไม่ได้รับการยอมรับเป็นกษัตริย์อย่างเต็มรูปแบบจนกระทั่งโอโดสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 898
ในปี ค.ศ. 911 กลุ่มชาวไวกิงนำโดยรอลโลปิดล้อมปารีสและชาร์ตร์ส์ หลังได้ชัยชนะใกล้กับชาร์ตร์ส์ในวันที่ 26 สิงหาคม ชาร์ลตัดสินใจเจรจากับรอลโล การพูดคุยนำโดยเอียเว อาร์ชบิชอปแห่งแร็งส์ ส่งผลให้เกิดสนธิสัญญาแซ็งต์-แคลร์-ซูร์-เอปต์ที่มอบดินแดนทั้งหมดที่อยู่ระหว่างแม่น้ำเอปต์กับทะเลให้รอลโลกับคนของรอลโล และยังมอบบริตทานีไว้ให้ "ใช้ทำมาหากิน" ซึ่งในตอนนั้นบริตทานีเป็นดินแดนเอกราชที่ฝรั่งเศสไม่สามารถพิชิตได้ แลกกับการให้รอลโลสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อกษัตริย์และให้ความช่วยเหลือทางทหารในยามที่จำเป็น รอลโลยังยอมรับการทำพิธีศีลล้างบาปและแต่งงานกับจิเซลา พระธิดาของกษัตริย์ อาณาเขตที่มอบให้รอลโลนั้นใกล้เคียงกับอาณาเขตของนอร์ม็องดีบน ซึ่งจะเติบโตกลายเป็นนอร์ม็องดีภายใต้การปกครองของลูกหลานของรอลโล
ในปี ค.ศ. 911 เช่นกันที่พระเจ้าหลุยส์ผู้ยังเด็ก กษัตริย์แห่งเยอรมนี สิ้นพระชนม์ ขุนนางของโลธาริงเกียให้ชาร์ลเป็นกษัตริย์คนใหม่ของตนแม้ว่าบางส่วนจะเลือกคอนรัดแห่งฟรานโกเนียเป็นกษัตริย์ ชาร์ลพยายามเอาชนะใจคนกลุ่มนั้นอยู่หลายปี ในเดือนเมษายน ค.ศ. 907 พระองค์แต่งงานกับหญิงชนชั้นสูงชาวโลธาริงเกียนชื่อ เฟรเดรุน ทั้งยังปกป้องโลธาริงเกียจากการโจมตีของคอนรัด กษัตริย์ของชาวเยอรมัน สองครั้ง พระราชินีเฟรเดรุนสิ้นพระชนม์ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 917 โดยมีพระธิดาหกคนและไม่มีพระโอรส พระเจ้าชาร์ลจึงยังไม่มีทายาท ในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 919 ชาร์ลแต่งงานใหม่กับอีดจิฟูแห่งเวสเซ็กซ์ (อังกฤษ) พระธิดาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโส กษัตริย์แห่งอังกฤษ พระองค์มีพระโอรสให้ชาร์ลหนึ่งคน คือ อนาคตพระเจ้าหลุยส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส
ชาร์ลมีคนโปรดที่ราชสำนักเป็นชายชื่อฮากาโน เรื่องนี้ทำให้ขุนนางหันมาต่อต้านชาร์ล พระองค์มอบอารามมากมายที่เคยเป็นของบารอนคนอื่นให้ฮากาโน ทำให้บารอนเหล่านั้นโกรธ ชาร์ลยังทำให้ดยุคคนใหม่ จิลแบต์ ต่อต้านพระองค์หันไปสนับสนุนกษัตริย์เยอรมัน พระเจ้าเฮนรีผู้เป็นพรานล่านก ในปี ค.ศ. 919 แต่ใช่ว่าทุกคนในโลธาริงเกียจะต่อต้านชาร์ล วิเกอริชยังคงสนับสนุนพระองค์
การปฏิวัติของขุนนาง
สุดท้ายขุนนางก็ยึดอำนาจชาร์ลในปี ค.ศ. 920 พวกขุนนางเบื่อหน่ายการเมืองการปกครองและความโปรดปรานเคานต์ฮากาโนของชาร์ล แต่หลังการเจรจาข้อตกลงโดยอาร์ชบิชอปแอร์วิอุสแห่งแร็งส์ กษัตริย์ได้รับการปล่อยตัว ในปี ค.ศ. 922 กลุ่มขุนนางแฟรงก์ก่อปฏิวัติอีกครั้งนำโดยรอแบต์แห่งนูสเตรีย พระอนุชาของพระเจ้าโอโด กลุ่มกบฏเลือกรอแบต์เป็นกษัตริย์ ชาร์ลต้องหนีไปโลธาริงเกีย ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 922 ชาร์ลเสียผู้สนับสนุนที่ภักดีที่สุด แอร์เวอุสแห่งแร็งส์ ไป ชาร์ลกลับมาพร้อมกับกองทัพนอร์มันในปี ค.ศ. 923 แต่ต่อมาพ่ายแพ้ในวันที่ 15 มิถุนายน ใกล้กับซวยส์ซงส์ รอแบต์สิ้นพระชนม์ในสนามรบ ชาร์ลถูกจับกุมตัวและจองจำในปราสาทที่เปโรนภายใต้การเฝ้าดูของแอร์แบต์ที่ 2 แห่งแวร์ม็องดัวส์ พระมเหสีชาวอังกฤษของชาร์ล อีดจิฟู กับพระโอรส หลุยส์ หนีไปอังกฤษ บุตรเขยของรอแบต์ รูดอล์ฟแห่งเบอร์กันดี ได้รับเลือกให้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์ ในปี ค.ศ. 925 โลธาริงเกียกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเยอรมนี ชาร์ลสิ้นพระชนม์ในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 929 และถูกฝังใกล้ กับวิหารแซ็งต์-เฟอร์ซี พระโอรสคนเดียวของพระองค์ที่มีกับอีดจิฟูต่อมาจะได้รับการสวมมงกุฎในปี ค.ศ. 936 เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส
ครอบครัว
ชาร์ลแต่งงานครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 907 กับเฟรเดรุน พระธิดาของดีทริช เคานต์ในฮามาแลนด์ ทั้งคู่มีพระธิดาด้วยกันหกคน คือ
- เออร์เมนทรูด
- เฟรเดรุน
- อาเดเลด
- จิเซลา ภรรยาของรอลโลแห่งนอร์ม็องดี
- รอทรูด
- ฮิลเดอการ์ด
ในปี ค.ศ. 919 ชาร์ลแต่งงานครั้งที่สองกับอีดจิฟูแห่งเวสเซ็กซ์ ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกัน คือ
- พระเจ้าหลุยส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส สืบทอดต่อบัลลังก์ของอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตกในปี ค.ศ. 936
ชาร์ลยังมีบุตรนอกกฎหมายอีกหลายคน ได้แก่
- อาร์นูล์ฟ
- โดรโก
- รอริซ บิชอปแห่งล็อง
- อัลเปซ์ แต่งงานกับอีร์เลอโบลด์ เคานต์แห่งลมม์กู
อ้างอิง
- Michel Parisse, "Lotharingia", The New Cambridge Medieval History, III: c. 900–c. 1024, ed. Timothy Reuter (Cambridge: Cambridge University Press, 2005), 313–15.
- Genealogiæ Comitum Flandriæ, Witgeri Genealogica Arnulfi Comitis MGH SS IX, p. 303.
- Matilda's mother Reinhild or Reginlind was probably sister of Frederuna. Settipani (1993), p. 325 footnote 324.
- ↑ Detlev Schwennicke, Europäische Stammtafeln: Stammtafeln zur Geschichte der Europäischen Staaten, Neue Folge, Band II (Marburg, Germany: J. A. Stargardt, 1984), Tafel 1
- The Annals of Flodoard of Reims, 9919–966, ed. & trans. Steven Fanning; Bernard S. Bachrach (Toronto: University of Toronto Press, 2011), p. xv
- Pierre Riché, The Carolingians; A Family who Forged Europe, trans. Michael Idomir Allen (Philadelphia: University of Pennsylvania Press, 1993), p. 216
- ↑ Michel Parisse, "Lotharingia", The New Cambridge Medieval History, III: c. 900–c. 1024, ed. Timothy Reuter (Cambridge: Cambridge University Press, 2005), 313–15.
- Cambridge Medieval History, Vol. III—Germany and the Western Empire, eds. H. M. Gwatking; J. P. Whitney, et al. (New York: The Macmillan Company, 1922), p. 74
- Genealogiæ Comitum Flandriæ, Witgeri Genealogica Arnulfi Comitis MGH SS IX, p. 303.
- ↑ Pierre Riché, The Carolingians; A Family who Forged Europe, trans. Michael Idomir Allen (Philadelphia: University of Pennsylvania Press, 1993), p. 250
- Jean Dunbabin, "West Francia: The Kingdom", The New Cambridge Medieval History, III: c. 900–c. 1024, ed. Timothy Reuter (Cambridge: Cambridge University Press, 2005), 378–79.
- ↑ The Annals of Flodoard of Reims, 9919–966, ed. & trans. Steven Fanning; Bernard S. Bachrach (Toronto: University of Toronto Press, 2011), p. xvii
- The Annals of Flodoard of Reims, 9919–966, ed. & trans. Steven Fanning; Bernard S. Bachrach (Toronto: University of Toronto Press, 2011), p. xvi
- Orderic Vitalis, The Ecclesiastical History of Oderic Vitalis, ed. Marjorie Chibnall, Volume II, Books III And IV (Oxford: The Clarendon Press, 1993), p. 9