สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (อังกฤษ: Manchester United Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลตั้งอยู่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในเกรเทอร์แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันแข่งขันในพรีเมียร์ลีกซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ สโมสรมีฉายา "ปีศาจแดง" ก่อตั้งในชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์ใน ค.ศ. 1878 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดใน ค.ศ. 1902 และย้ายไปเล่นที่สนามเหย้าปัจจุบันอย่างโอลด์แทรฟฟอร์ดใน ค.ศ. 1910
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | ปีศาจแดง ผีแดง (ในภาษาไทย) | |||
ชื่อย่อ | แมนยูไนเต็ด ยูไนเต็ด | |||
ก่อตั้ง | 1878 1902 ในชื่อ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | ในชื่อ สโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์|||
สนาม | โอลด์แทรฟฟอร์ด | |||
ความจุ | 74,140 | |||
เจ้าของ | บริษัท แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) (NYSE: MANU) | |||
ประธานร่วม | โจเอล และ อัฟราม เกลเซอร์ | |||
ผู้จัดการ | อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ | |||
ลีก | พรีเมียร์ลีก | |||
2020–21 | พรีเมียร์ลีก อันดับที่ 2 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศถ้วยรางวัลมากกว่าสโมสรอื่นในฟุตบอลอังกฤษ โดยชนะเลิศลีก 20 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด, เอฟเอคัพ 12 สมัย, ลีกคัพ 5 สมัย และเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 21 สมัย ซึ่งก็เป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน ยูไนเต็ดยังชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย, ยูฟ่ายูโรปาลีก 1 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย, อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย โดยในฤดูกาล 1998–99 สโมสรกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่คว้าทริปเปิลแชมป์ระดับทวีปยุโรป และในฤดูกาล 2016–17 หลังจากที่ชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก พวกเขากลายเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่ชนะเลิศการแข่งขันของยูฟ่าครบทั้งสามรายการ
ภัยพิบัติทางอากาศมิวนิกเมื่อ ค.ศ. 1958 คร่าชีวิตผู้เล่นแปดคน ต่อมาใน ค.ศ. 1968 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรฟุตบอลแรกของอังกฤษที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพภายใต้การคุมทีมของแมตต์ บัสบี ต่อมาอเล็กซ์ เฟอร์กูสันพาทีมชนะเลิศถ้วยรางวัล 38 ใบในฐานะผู้จัดการทีม ซึ่งรวมพรีเมียร์ลีก 13 สมัย, เอฟเอคัพ 5 สมัย และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัยในระหว่าง ค.ศ. 1986 ถึง 2013 ซึ่งเป็นปีที่เขาประกาศเกษียณตัวเอง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีสโมสรคู่ปรับคือ ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ซิตี, อาร์เซนอล และลีดส์ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกในฤดูกาล 2016–17 ด้วยรายได้ต่อปีเป็นจำนวน 676.3 ล้านยูโร และเป็นสโมสรที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่สามของโลกใน ค.ศ. 2019 เป็นมูลค่า 3.15 พันล้านปอนด์ (3.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ณ ค.ศ. 2015 สโมสรเป็นเครื่องหมายการค้าฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คาดว่ามีมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ได้มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเมื่อ ค.ศ. 1991 สโมสรได้กลับมาเป็นบริษัทเอกชนจากการที่มัลคอม เกลเซอร์ซื้อกิจการเมื่อ ค.ศ. 2005 ด้วยมูลค่าเกือบ 800 ล้านปอนด์ ซึ่งเงินที่ถูกกู้กว่า 500 ล้านปอนด์นี้กลายเป็นหนี้ของสโมสร และตั้งแต่ ค.ศ. 2012 หุ้นบางส่วนของสโมสรถูกเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก แม้ว่าตระกูลเกลเซอร์จะยังคงมีบทบาทเป็นเจ้าของและควบคุมสโมสร
ประวัติ
ช่วงแรก (1878–1945)
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1878 ในชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์ (อังกฤษ: Newton Heath LYR Football Club) โดยพนักงานแผนกตู้โดยสารและตู้สินค้าของโรงซ่อมบำรุงรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์กเชียร์ที่นิวตันฮีต ในช่วงแรก ทีมแข่งขันกับแผนกและบริษัทรถไฟอื่น ๆ แต่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1880 พวกเขาแข่งขันในนัดแรกที่มีการบันทึกไว้ โดยสวมเสื้อสีประจำบริษัทอย่างสีเขียวและสีทอง นัดนั้น พวกเขาพ่ายแพ้ต่อทีมสำรองของโบลตันวอนเดอเรอส์ด้วยผลประตู 6–0 ต่อมาใน ค.ศ. 1888 สโมสรกลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของเดอะคอมบิเนชัน ลีกฟุตบอลระดับภูมิภาค แต่หลังจากยุบลีกในช่วงเวลาผ่านไปเพียงฤดูกาลเดียว นิวตันฮีทเข้าร่วมฟุตบอลอัลไลแอนซ์ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ โดยแข่งขันสามฤดูกาลก่อนที่ลีกจะถูกรวมเข้ากับฟุตบอลลีก ส่งผลให้สโมสรเริ่มต้นฤดูกาล 1892–93 ในเฟิสต์ดิวิชัน ณ เวลานั้น พวกเขาแยกตัวออกจากบริษัทรถไฟและนำคำว่า "แอลวายอาร์" ออกจากชื่อ สองฤดูกาลถัดมา สโมสรตกชั้นสู่เซคันด์ดิวิชัน
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1902 สโมสรติดหนี้เป็นจำนวน 2,670 ปอนด์ หรือเท่ากับ 290,000 ปอนด์ใน ค.ศ. 2020 จนมีคำสั่งให้เลิกกิจการ กัปตันทีม แฮร์รี สแตฟเฟิร์ด ได้ไปพบกับนักธุรกิจท้องถิ่นสี่คน ซึ่งรวมถึงจอห์น เฮนรี เดวีส์ (ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นประธานสโมสร) ทุกคนยินดีที่จะลงทุนเงิน 500 ปอนด์เพื่อแลกกับผลประโยชน์โดยตรงในการบริหารสโมสร พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อสโมสรในภายหลัง ทำให้ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1920 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ เออร์เนสต์ มังแนล ผู้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1903 พาทีมจบรองชนะเลิศในเซคันด์ดิวิชันใน ค.ศ. 1906 จนได้เลื่อนชั้นสู่เฟิสต์ดิวิชัน ซึ่งพวกเขาชนะเลิศใน ค.ศ. 1908 นับเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกของสโมสร พวกเขาเริ่มต้นฤดูกาลถัดมาด้วยการชนะเลิศแชริตีชีลด์เป็นสมัยแรกเป็นสโมสร ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยการชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยแรกของสโมสรเช่นเดียวกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเฟิสต์ดิวิชันเป็นสมัยที่สองใน ค.ศ. 1911 แต่หลังจบฤดูกาลถัดมา มังแนลออกจากสโมสรและเข้าร่วมแมนเชสเตอร์ซิตี
ใน ค.ศ. 1922 ซึ่งมีการแข่งขันฟุตบอลใหม่มาแล้วสามปีหลังจากที่หยุดไปเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สโมสรตกชั้นสู่เซคันด์ดิวิชัน และได้เลื่อนชั้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1925 พวกเขาตกชั้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1931 ทำให้สโมสรจึงกลายเป็นโยโย่คลับ สโมสรจบอันดับที่ 20 ในเซคันด์ดิวิชันเมื่อ ค.ศ. ค.ศ. 1934 นับเป็นอันดับต่ำที่สุดตลอดกาล ต่อมาเมื่อจอห์น เฮนรี เดวีส์ ผู้อุปการคุณหลัก เสียชีวิตในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1927 สถานะการเงินของสโมสรย่ำแย่จนอาจล้มละลายหากไม่ได้เจมส์ ดับเบิลยู. กิบสัน ผู้ซึ่งลงทุนเงิน 2,000 ปอนด์และเข้าควบคุมกิจการสโมสรในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931 ต่อมาในฤดูกาล 1938–39 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มีการแข่งขันฟุตบอลก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง สโมสรจบอันดับที่ 14 ในเฟิสต์ดิวิชัน
ยุคของบัสบี (1945–1969)
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 การกลับมาแข่งขันฟุตบอลอีกครั้งทำให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ แมตต์ บัสบี ผู้เรียกร้องอำนาจการคุมทีมสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งการเลือกผู้เล่น การซื้อขายผู้เล่น และการฝึกซ้อม บัสบีพาทีมจบอันดับที่สองในลีกใน ค.ศ. 1947, 1948 และ 1949 และชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1948 ต่อมาใน ค.ศ. 1952 สโมสรชนะเลิศเฟิสต์ดิวิชันเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปี พวกเขายังชนะเลิศลีกสองสมัยติดต่อกันใน ค.ศ. 1956 และ 1957 โดยผู้เล่นชุดนั้นมีอายุเฉลี่ยเพียง 22 ปี สื่อมวลชนได้ขนานนามทีมว่า "เดอะบัสบีเบปส์" เพื่อเป็นเกียรติแก่บัสบีที่ให้โอกาสผู้เล่นเยาวชนของเขา ต่อมาใน ค.ศ. 1957 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่เข้าร่วมแข่งขันยูโรเปียนคัพ แม้ว่าจะมีการคัดค้านจากฟุตบอลลีกซึ่งปฏิเสธการเข้าร่วมของเชลซีในฤดูกาลก่อนหน้า ยูโรเปียนคัพครั้งนั้น ยูไนเต็ดตกรอบรองชนะเลิศหลังจากที่แพ้เรอัลมาดริด โดยก่อนหน้านี้ พวกเขาเอาชนะอันเดอร์เลคต์ ทีมชนะเลิศลีกเบลเยียม ด้วยผลประตู 10–0 นับเป็นผลชนะสูงสุดตลอดกาลของสโมสร
ในฤดูกาลถัดมา ระหว่างเดินทางกลับจากการแข่งขันยูโรเปียนคัพรอบก่อนรองชนะเลิศที่เอาชนะเรดสตาร์ เบลเกรด เครื่องบินที่มีผู้เล่นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เจ้าหน้าที่ และนักข่าว เกิดอุบัติเหตุในตอนที่บินขึ้นหลังเติมเชื้อเพลิงที่มิวนิกในเยอรมนี จนเกิดภัยพิบัติทางอากาศมิวนิกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958 ภัยพิบัตินี้มีผู้เสียชีวิต 23 คน โดยมีผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแปดคน ได้แก่ เจฟฟ์ เบนต์, โรเจอร์ ไบร์น, เอ็ดดี โคลแมน, ดังคัน เอดเวิดส์, มาร์ก โจนส์, เดวิด เพ็กก์, ทอมมี เทย์เลอร์ และบิลลี วีลัน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม จิมมี เมอร์ฟี รับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมในช่วงที่บัสบีรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ เขาพาทีมซึ่งประกอบด้วยผู้เล่นตัวสำรองเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพซึ่งพวกเขาพ่ายแพ้ต่อโบลตันวอนเดอเรอส์ ในช่วงเหตุการณ์ร้ายแรงนี้เอง ยูฟ่าได้เชิญสโมสรเข้าร่วมการแข่งขันยูโรเปียนคัพ ฤดูกาล 1958–59 พร้อมกับวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ แม้ว่าสมาคมฟุตบอลจะอนุมัติให้เข้าร่วม แต่ฟุตบอลลีกตัดสินว่าสโมสรไม่ควรเข้าร่วมแข่งขันเพราะไม่ผ่านการคัดเลือก บัสบีสร้างทีมขึ้นใหม่ในช่วงทศวรรษ 1960 โดยซื้อผู้เล่นอย่างเดนิส ลอว์และแพต เครแรนด์ ที่จะมาเล่นร่วมกันกับผู้เล่นดาวรุ่งหลายคนซึ่งรวมถึงจอร์จ เบสต์ พวกเขาชนะเลิศเอฟเอคัพได้ใน ค.ศ. 1963 ฤดูกาลถัดมา พวกเขาจบอันดับที่สองในลีก จากนั้นชนะเลิศลีกใน ค.ศ. 1965 และ 1967 ต่อมาใน ค.ศ. 1968 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษ (และสโมสรที่สองของบริติช) ที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพหลังเอาชนะไบฟีกาด้วยผลประตู 4–1 ในนัดชิงชนะเลิศ โดยทีมชุดนั้นมีผู้เล่นที่ได้รางวัลผู้เล่นแห่งปีของยุโรปสามคน ได้แก่ บ็อบบี ชาร์ลตัน, เดนิส ลอว์ และจอร์จ เบสต์ พวกเขาเป็นตัวแทนจากยุโรปในการแข่งขันอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1968 ที่พบกับเอสตูเดียนเตสจากอาร์เจนตินา พวกเขาพ่ายแพ้ด้วยผลประตูรวม หลังจากที่แพ้ในเลกแรกที่บัวโนสไอเรส ก่อนที่จะเสมอด้วยผลประตู 1–1 ที่โอล์ดแทรฟฟอร์ดในอีกสามสัปดาห์ถัดมา บัสบีลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1969 และวิล์ฟ์ แมคควินเนสส์ ผู้ฝึกสอนทีมสำรองและอดีตผู้เล่นของสโมสร เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน
1969–1986
หลังจากจบอันดับที่แปดในฤดูกาล 1969–70 และเริ่มต้นฤดูกาล 1970–71 ได้อย่างย่ำแย่ สโมสรเกลี้ยกล่อมให้บัสบีกลับมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราว ส่วนแม็กกินเนสส์กลับไปเป็นผู้จัดการทีมสำรอง ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1971 แฟรงก์ โอแฟร์เรลล์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีม แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่ถึง 18 เดือน ทอมมี ดอเชอร์ตีก็เข้ารับตำแหน่งแทนในเดือนธันวาคม ค.ศ.1972 ดอเชอร์ตีช่วยให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรอดจากการตกชั้นได้ในฤดูกาลนั้น แต่ใน ค.ศ. ค.ศ. 1974 ทีมก็ต้องตกชั้นไป ทำให้ผู้เล่นสามประสานอันได้แก่ เบสต์, ลอว์ และชาร์ลตัน ย้ายออกจากสโมสร ทีมเลื่อนชั้นกลับมาได้ภายในฤดูกาลเดียวและยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1976 แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับเซาแทมป์ตัน พวกเขาเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งใน ค.ศ. 1977 โดยสามารถเอาชนะลิเวอร์พูล ด้วยผลประตู 2–1 อย่างไรก็ตาม สโมสรปลดดอเชอร์ตีออกจากตำแหน่งหลังมีข่าวเชิงชู้สาวกับภรรยาของนักกายภาพสโมสร
เดฟ เซ็กตันเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทนดอเชอร์ตีในฤดูร้อน ค.ศ.1977 แม้ว่าเขาจะเซ็นสัญญาผู้เล่นหลายคน รวมทั้งโจ จอร์แดน, กอร์ดอน แม็กควีน, แกรี เบลีย์ และเรย์ วิลกินส์ แต่ทีมก็ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จ พวกเขาจบอันดับที่สองในฤดูกาล 1979–80 และแพ้อาร์เซนอลในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1979 สโมสรปลดเซ็กตันออกจากตำแหน่งใน ค.ศ. 1981 แม้ว่าเขาจะพาทีมชนะเจ็ดนัดสุดท้ายของฤดูกาลก็ตาม สโมสรแต่งตั้งรอน แอตกินสันเป็นผู้จัดการทีม เขาทำลายสถิติซื้อตัวผู้เล่นในบริติชด้วยการเซ็นสัญญากับไบรอัน ร็อบสันจากเวสต์บรอมมิชอัลเบียน ภายใต้การคุมทีมของแอตกินสัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเอฟเอคัพสองครั้งในช่วงสามปี คือใน ค.ศ. 1983 และ 1985 ต่อมาในฤดูกาล 1985–86 หลังจากชนะ 13 นัดและเสมอ 2 นัดใน 15 นัดแรกของฤดูกาล สโมสรมีความหวังที่จะชนะเลิศลีก แต่สุดท้ายต้องจบเพียงอันดับสี่เท่านั้น ฤดูกาลถัดมา ในช่วงเดือนพฤศจิกายน สโมสรอยู่ในอันดับที่สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้น ทำให้สโมสรปลดแอตกินสันออกจากตำแหน่ง
ยุคของเฟอร์กูสัน (1986–2013)
อเล็กซ์ เฟอร์กูสันและผู้ช่วยของเขา อาร์ชี น็อกซ์ ที่มาจากแอเบอร์ดีน เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันเดียวกันกับที่แอตกินสันถูกปลดออก และพาสโมสรจบอันดับที่ 11 ในลีก แม้ว่าสโมสรจะจบอันดับที่ 2 ในฤดูกาล 1987–88 แต่ในฤดูกาลถัดมา สโมสรกลับไปจบอันดับที่ 11 เหมือนเดิม มีรายงานว่าเฟอร์กูสันจะถูกไล่ออก ก่อนที่ใน ค.ศ. 1990 สโมสรจะชนะเลิศเอฟเอคัพเหนือคริสตัลพาเลซในนัดชิงชนะเลิศที่แข่งใหม่ (หลังจากที่เสมอกัน 3–3) ทำให้เฟอร์กูสันได้ทำหน้าที่ต่อ ฤดูกาลถัดมา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพเป็นสมัยแรก ทำให้ได้เข้าร่วมแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1991 และสามารถเอาชนะเรดสตาร์ เบลเกรด ทีมชนะเลิศยูโรเปียนคัพ ด้วยผลประตู 1–0 ในนัดชิงชนะเลิศที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ต่อมาใน ค.ศ. 1992 สโมสรเข้าชิงชนะเลิศลีกคัพเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน โดยทีมเอาชนะนอตทิงแฮมฟอเรสต์ด้วยผลประตู 1–0 ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ ต่อมาใน ค.ศ. 1993 สโมสรชนะเลิศลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1967 และในปีถัดมา สโมสรชนะเลิศลีกสองสมัยติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1957 และยังชนะเลิศเอฟเอคัพ นับเป็นดับเบิลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้สองครั้งหลังจากที่พวกเขาชนะเลิศทั้งสองรายการอีกครั้งในฤดูกาล 1995–96 ก่อนที่ป้องกันแชมป์ลีกอีกหนึ่งสมัยในฤดูกาล 1996–97 ขณะที่ยังมีการแข่งขันเหลือเพียงนัดเดียว
ในฤดูกาล 1998–99 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หรือ "ทริปเปิลแชมป์" ได้ในฤดูกาลเดียวกัน โดยในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 1999 ยูไนเต็ดตามหลังอยู่ 1–0 แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เท็ดดี เชอริงงัมและอูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ ทำประตูแซงเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกได้อย่างปาฏิหาริย์ ถือเป็นหนึ่งในการกลับมาเอาชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล สโมสรยังชนะเลิศอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพหลังจากที่เอาชนะปัลเมย์รัสด้วยผลประตู 1–0 ที่โตเกียว เฟอร์กูสันได้รับยศอัศวินจากคุณประโยชน์ของเขาที่มีต่อฟุตบอล
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศลีกอีกครั้งในฤดูกาล 1999–2000 และ 2000–01 และจบอันดับที่สามในฤดูกาล 2001–02 ก่อนที่จะกลับมาชนะเลิศอีกครั้งในฤดูกาล 2002–03 พวกเขาชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 11 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด ในฤดูกาล 2003–04 ด้วยการชนะมิลล์วอลล์ด้วยผลประตู 3–0 ในนัดชิงชนะเลิศที่มิลเลนเนียมสเตเดียมในคาร์ดิฟฟ์ ต่อมาในฤดูกาล 2005–06 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ กว่าทศวรรษ อย่างไรก็ตาม สโมสรสามารถจบอันดับที่สองในลีกและเอาชนะวีแกนแอทเลติกในฟุตบอลลีกคัพนัดชิงชนะเลิศ สโมสรชนะเลิศพรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2006–07 และในฤดูกาลถัดมา สโมสรชนะเลิศลีกอังกฤษเป็นสมัยที่ 17 ก่อนที่จะคว้ายูโรเปียนดับเบิลแชมป์ด้วยการยิงลูกโทษเอาชนะเชลซีด้วยผลประตู 6–5 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2008 ที่มอสโก โดยไรอัน กิกส์ลงเล่นเป็นนัดที่ 759 ให้กับสโมสรในนัดนี้ ทำลายสถิติลงเล่นมากที่สุดให้กับสโมสรที่บ็อบบี ชาร์ลตัน เคยทำไว้ ต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 สโมสรชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2008 และฟุตบอลลีกคัพ ฤดูกาล 2008–09 อีกทั้งยังชนะเลิศพรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน ในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 2009 สโมสรขายคริสเตียโน โรนัลโดให้กับเรอัลมาดริดด้วยค่าตัวสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ ต่อมาใน ค.ศ. 2010 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเอาชนะแอสตันวิลลาในลีกคัพที่เวมบลีย์ด้วยผลประตู 2–1 ทำให้สโมสรป้องกันแชมป์ฟุตบอลถ้วยแบบแพ้คัดออกได้เป็นครั้งแรก
หลังจบอันดับที่สองรองจากเชลซีในฤดูกาล 2009–10 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลับมาชนะเลิศลีกเป็นสมัยที่ 19 ได้ในฤดูกาล 2010–11 หลังจากที่บุกไปเสมอกับแบล็กเบิร์นโรเวอส์ด้วยผลประตู 1–1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ต่อมาสโมสรชนะเลิศลีกเป็นสมัยที่ 20 ในฤดูกาล 2012–13 หลังจากที่เปิดบ้านเอาชนะแอสตันวิลลาด้วยผลประตู 3–0 เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2013
2013–ปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 เฟอร์กูสันประกาศว่าเขาจะเกษียณจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจบฤดูกาล แต่จะยังคงเป็นผู้อำนวยการและทูตของสโมสร วันถัดมา สโมสรประกาศว่า เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมของเอฟเวอร์ตัน จะรับหน้าที่ต่อจากเขาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ด้วยสัญญาหกปี สิบเดือนถัดมา เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2014 ไรอัน กิกส์รับหน้าที่เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมชั่วคราวหลังจากที่มอยส์ถูกปลดออกเนื่องจากผลงานอันย่ำแย่ โดยสโมสรไม่สามารถป้องกันแชมป์ลีกและไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1995–96 อีกทั้งยังไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูโรปาลีก ถือเป็นครั้งแรกที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในการแข่งขันระดับทวีปยุโรปนับตั้งแต่ ค.ศ. 1990 วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 มีการยืนยันว่าลูวี ฟัน คาลจะเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแทนมอยส์ด้วยสัญญาสามปี โดยมีกิกส์เป็นผู้ช่วย มัลคอล เกลเซอร์ หัวหน้าตระกูลเกลเซอร์ผู้เป็นเจ้าของสโมสรได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2014
ในฤดูกาลแรกของฟัน คาล แม้ว่าเขาจะพายูไนเต็ดกลับไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้งจากการจบอันดับที่สี่ในลีก แต่ในฤดูกาลที่สองของเขา ยูไนเต็ดกลับตกรอบแบ่งกลุ่ม อีกทั้งยังจบเพียงอันดับที่ห้า ไม่สามารถลุ้นแชมป์ลีกได้เป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน แม้ว่าเขาจะเซ็นสัญญาผู้เล่นค่าตัวแพงเข้ามาก็ตาม ในฤดูกาลเดียวกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 12 นับเป็นถ้วยรางวัลแรกของพวกเขานับตั้งแต่ ค.ศ. 2013 แม้ว่าทีมจะชนะเลิศ สโมสรกลับปลดฟัน คาล ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในอีกสองวันต่อมา โดยโชเซ มูรีนโย เข้ารับตำแหน่งแทนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ด้วยสัญญาสามปี ในฤดูกาลนั้น ยูไนเต็ดจบอันดับที่หกพร้อมกับชนะเลิศอีเอฟแอลคัพเป็นสมัยที่ห้า และชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีกเป็นสมัยแรก เช่นเดียวกับการชนะเลิศเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์เป็นสมัยที่ 21 ในนัดแรกที่มูรีนโยคุมทีม แม้ว่าจะไม่จบในสี่อันดับแรก แต่ยูไนเต็ดสามารถผ่านเข้าสู่แชมเปียนส์ลีกได้จากการชนะเลิศยูโรปาลีก เวย์น รูนีย์ทำประตูที่ 250 ให้กับยูไนเต็ด แซงหน้าเซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ก่อนที่เขาจะออกจากสโมสรหลังจบฤดูกาลเพื่อย้ายกลับเอฟเวอร์ตัน ฤดูกาลถัดมา ยูไนเต็ดจบอันดับที่สองในลีก นับเป็นอันดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 2013 แต่ทีมมีคะแนนตามหลังคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ซิตีถึง 19 แต้ม มูรีนโยพาสโมสรเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นครั้งที่ 19 ก่อนที่จะแพ้ให้กับเชลซี 1–0 ต่อมาในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ซึ่งยูไนเต็ดอยู่อันดับที่หกของตารางโดยมีคะแนนตามหลังอันดับที่หนึ่งอย่างลิเวอร์พูล 19 แต้ม และตามหลังพื้นที่แชมเปียนส์ลีก 11 แต้ม สโมสรปลดมูรีนโยออกจากตำแหน่งหลังจากที่เขาคุมทีมได้ 144 นัด วันถัดมา อดีตผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าของสโมสร อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมรักษาการจนจบฤดูกาล ต่อมาในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2019 ซูลชาร์รับตำแหน่งผู้จัดการทีมถาวรด้วยสัญญาสามปี หลังจากทำผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการชนะ 14 จาก 19 นัดแรก อีกทั้งยังพลิกเอาชนะปารีแซ็ง-แฌร์แม็งในแชมเปียนส์ลีกทั้งที่แพ้ในเลกแรกด้วยผลประตู 2–0
ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2021 ยูไนเต็ดได้ประกาศว่าจะเข้าร่วมการแข่งขันเดอะซูเปอร์ลีก ร่วมกับสโมรสรชั้นนำในยุโรปอีก 11 ทีม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคานอำนาจกับสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากแฟนบอล, สปอนเซอร์, สโมรสรชั้นนำบางสโมสร และรัฐบาลอังกฤษ ส่งผลให้พวกเขาต้องยกเลิกแผนดังกล่าวในสองวันถัดมา ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่การลาออกของ เอ็ด วู้ดวาร์ด ประธานกรรมการบริหารของสโมสร และตามมาด้วยการประท้วงของแฟนบอลบริเวณสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดในวันที่ 2 พฤษภาคม ส่งผลให้การแข่งขันระหว่างยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลต้องถูกเลื่อนออกไป
ยูไนเต็ดสิ้นสุดการแข่งขันในฤดูกาล 2020-21 ด้วยการคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก ภายหลังจากแพ้การดวลจุดโทษให้กับบิยาร์เรอัลจากสเปน ซึ่งเป็นการจบฤดูกาลโดยไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใดมาครองได้เลยเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่สโมสรตกชั้นครั้งล่าสุดในฤดูกาล 1973-74
ตราสโมสรและสีชุดแข่งขัน
ตราสัญลักษณ์ของสโมสรมีที่มาจากตราประจำสภานครแมนเชสเตอร์ ส่วนที่ยังคงอยู่จากตราดั้งเดิมที่ปรากฏในตราปัจจุบันคือรูปเรือใบเต็มลำ รูปปีศาจมาจากฉายาของสโมสร "ปีศาจแดง" ปีศาจนี้ปรากฏบนรายการโทรทัศน์ของสโมสรและผ้าพันคอในทศวรรษ 1960 และถูกนำไปใส่ในตราสโมสรเมื่อ ค.ศ. 1970 อย่างไรก็ตาม ตรานี้ยังไม่ปรากฏบนอกเสื้อจนกระทั่งใน ค.ศ. 1971
เครื่องแบบของนิวตันฮีตเมื่อ ค.ศ. 1879 สี่ปีก่อนที่สโมสรจะลงแข่งขันครั้งแรก มีบันทึกว่าเป็น 'ชุดสีขาวและสีน้ำเงิน' ภาพถ่ายของทีมนิวตันฮีตใน ค.ศ. 1892 แสดงให้เห็นว่าผู้เล่นสวมเสื้อสี่ส่วนสีแดงและขาวและกางเกงนิกเกอร์บอกเกอส์สีน้ำเงินเข้ม ต่อมาระหว่าง ค.ศ. 1894 และ 1896 ผู้เล่นสวมเสื้อสีเขียวและสีทอง ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นเสื้อสีขาวและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้มใน ค.ศ. 1896
หลังจากเปลี่ยนชื่อสโมสรใน ค.ศ. 1902 สีชุดแข่งของสโมสรเปลี่ยนเป็นเสื้อสีแดง กางเกงสีขาว และถุงเท้าสีดำ ซึ่งกลายเป็นชุดเหย้ามาตรฐานของทีม มีการเปลี่ยนแปลงของชุดเล็กน้อยจนกระทั่งใน ค.ศ. 1922 เมื่อสโมสรนำเสื้อสีขาวที่มีรูปตัว "วี" สีแดงเข้มรอบคอ คล้ายกับเสื้อที่สวมในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1909 พวกเขาคงไว้เป็นส่วนหนึ่งของชุดเหย้าจนถึง ค.ศ. 1927 สำหรับช่วงเวลาใน ค.ศ. 1934 เสื้อชุดเหย้ากลายเป็นเสื้อลายขวางสีเชอร์รีสลับขาว แต่ในฤดูกาลถัดมาสโมสรนำเสื้อสีแดงกลับมาใช้อีกครั้งหลังจากที่สโมสรจบอันดับที่ 20 ในเซคันด์ดิวิชันซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดของสโมสร ส่วนเสื้อลายทางถูกลดบทบาทเป็นเพียงชุดตัวเลือก ถุงเท้าสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาวตั้งแต่ ค.ศ. 1959 ถึง 1965 ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่สีขาวใช้ในบางโอกาส และใน ค.ศ. 1971 สโมสรกลับไปใช้ถุงเท้าสีดำ กางเกงสีดำและถุงเท้าสีขาวจะสวมคู่กับเสื้อเหย้าเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่ใส่ในนัดเยือนกรณีที่ชุดของทีมตรงกับชุดของคู่แข่ง สำหรับฤดูกาล 2018–19 กางเกงสีดำและถุงเท้าสีแดงกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับชุดเหย้า ตั้งแต่ฤดูกาล 1997–98 สโมสรใช้ถุงเท้าสีขาวในเกมยุโรปที่มักแข่งขันในคืนกลางสัปดาห์ เพื่อช่วยในการมองเห็นของผู้เล่น ชุดเหย้าในปัจจุบันประกอบด้วยเสื้อสีแดงพร้อมเครื่องหมายสามแถบของอาดิดาสบนไหล่ กางเกงสีขาว และถุงเท้าสีดำ
ชุดเยือนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมักเป็นเสื้อสีขาว กางเกงสีดำและถุงเท้าสีขาว ยกเว้นในบางครั้งที่มีการใช้ชุดสีดำล้วนตัดด้วยสีน้ำเงินและสีทองระหว่าง ค.ศ. 1993 ถึง 1995 กับเสื้อสีกรมท่าที่มีแถบสีเงินแนวนอนในช่วงฤดูกาล 1999–2000 และชุดเยือนในฤดูกาล 2011–12 ซึ่งใช้เสื้อสีฟ้าที่มีแขนเสื้อแถบลายเส้นสีกรมท่าและสีดำ พร้อมกับกางเกงสีดำ และถุงเท้าสีน้ำเงิน ชุดเยือนสีเทาล้วนที่ใช้ในช่วงฤดูกาล 1995–96 ถูกยกเลิกหลังจากที่ได้สวมเพียงห้านัด นัดสุดท้ายที่ใช้ชุดนี้คือนัดที่พบกับเซาแทมป์ตัน โดยอเล็กซ์ เฟอร์กูสันบังคับให้ทีมเปลี่ยนไปสวมชุดที่สามในช่วงครึ่งหลัง เพราะผู้เล่นอ้างว่ามีปัญหาในการมองหาเพื่อนร่วมทีม จนทำให้ยูไนเต็ดไม่สามารถเอาชนะในนัดที่สวมชุดนี้ ใน ค.ศ. 2001 ซึ่งมีการฉลองครบรอบ 100 ปีในชื่อ "แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" มีการจำหน่ายชุดเยือนสีขาวและทองแบบกลับด้านได้ แม้ว่าในนัดแข่งขันจริงจะไม่สามารถกลับด้านเสื้อได้
ชุดที่สามของสโมสรมักเป็นสีน้ำเงินล้วน โดยครั้งล่าสุดที่ใช้คือฤดูกาล 2014–15 บางครั้งชุดที่สามเป็นสีอื่น เช่น เสื้อแบ่งครึ่งสีเขียวและสีทองที่ใช้ระหว่าง ค.ศ. 1992 ถึง 1994 เสื้อลายทางสีน้ำเงินและสีขาวที่ใส่ในฤดูกาล 1994–95, 1995–96 และ 1996–97 ชุดสีดำที่ล้วนใส่ในฤดูกาล 1998–99 ที่ได้ทริปเปิลแชมป์ และเสื้อสีขาวแถบแนวนอนสีดำและสีแดงที่ใส่ในฤดูกาล 2003–04 และ 2005–06 ตั้งแต่ฤดูกาล 2006–07 ถึง 2013–14 ชุดที่สามจะเป็นชุดเยือนของฤดูกาลก่อนหน้า แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนผู้สนับสนุนของสโมสรในฤดูกาล 2006–07 และ 2010–11 ก็ตาม ชุดที่สามในฤดูกาล 2008–09 เป็นชุดสีฟ้าล้วนที่ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของความสำเร็จในยูโรเปียนคัพ ฤดูกาล 1967–68
วิวัฒนาการของชุด
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: ชุดแข่งขันของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด |
- หมายเหตุ
สนาม
1878–1893: นอร์ทโรด
ในช่วงแรก นิวตันฮีตเล่นที่สนามนอร์ทโรดใกล้กับย่านรถไฟ เดิมมีความจุประมาณ 12,000 ที่นั่ง แต่เจ้าหน้าที่ของสโมสรเห็นว่าสิ่งอำนวยความสะดวกนั้นไม่เพียงพอต่อสโมสรในการเข้าร่วมฟุตบอลลีก ทำให้มีการขยายสนามใน ค.ศ. 1887 และ 1891 นิวตันฮีตใช้เงินสำรองขั้นต่ำเพื่อซื้ออัฒจันทร์สองฝั่ง โดยแต่ละฝั่งจุผู้ชมได้ 1,000 คน แม้ในนัดแรก ๆ จะยังไม่มีการบันทึกจำนวนผู้เข้าชมที่นอร์ทโรด แต่สถิติผู้เข้าชมสูงสุดที่มีการบันทึกไว้อยู่ที่ประมาณ 15,000 คนในนัดการแข่งขันเฟิสต์ดิวิชันที่พบกับซันเดอร์แลนด์เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1893 นอกจากนี้ ยังมีการบันทึกจำนวนผู้เข้าชมที่ใกล้เคียงกันในนัดกระชับมิตรที่พบกอร์ตันวิลลาเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1889
1893–1910: สนามแบงก์สตรีต
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1893 หลังจากที่เจ้าของนอร์ทโรดอย่างดีนและแคนอนแห่งแมนเชสเตอร์ที่รู้สึกว่าการที่สโมสรคิดค่าเข้าสนามนั้นไม่เหมาะสม ได้ขับไล่สโมสรออกไป เลขานุการ เอ. เอช. อัลบัต ได้จัดหาสนามแบงก์สตรีตในเคลย์ตัน ในช่วงแรก สนามยังไม่มีอัฒจันทร์ จนกระทั่งในช่วงต้นฤดูกาล 1893–94 ได้มีการก่อสร้างอัฒจันทร์สองฝั่งแรก ฝั่งหนึ่งอยู่ในแนวตามยาวของสนาม ส่วนอีกฝั่งตั้งอยู่ที่ปลายสนามฝั่ง "แบรดฟอร์ดเอนด์" ซึ่งอยู่หลังประตู ในฝั่งตรงข้ามซึ่งก็คือ "เคลย์ตันเอนด์" ได้มีการก่อสร้างอัฒจันทร์ที่รองรับได้หนึ่งพันคน การแข่งขันในลีกนัดแรกของนิวตันฮีตที่แบงก์สตรีตในนัดที่พบกับเบิร์นลีย์เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1893 มีผู้เข้าชม 10,000 คนที่เห็นอัลฟ์ ฟาร์มันทำแฮตทริกช่วยให้ทีมเอาชนะด้วยผลประตู 3–2 อัฒจันทร์ฝั่งที่เหลือสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเกมลีกนัดถัดมาที่พบกับนอตทิงแฮมฟอเรสต์ในอีกสามสัปดาห์ถัดมา ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1895 ในนัดที่ก่อนที่จะพบกับแมนเชสเตอร์ซิตี สโมสรได้ซื้ออัฒจันทร์ความจุ 2,000 ที่นั่งจากสโมสรบรอตันเรนเจอส์ในลีกรักบี้ และสร้างอัฒจันทร์อีกฝั่งบน "รีเซิร์ฟไซด์" (ตั้งชื่อให้แยกออกจาก "ป็อปปูลาร์ไซด์") อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดทางสภาพอากาศทำให้มีผู้เข้าชมในนัดของแมนเชสเตอร์ซิตีเพียง 12,000 คน
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งปิดสนามแบงก์สตรีตชั่วคราวใน ค.ศ. 1902 กัปตันทีม แฮร์รี สแตฟฟอร์ต ระดมทุนให้กับสโมสรในนัดเยือนถัดไปที่จะพบกับบริสตอลซิตี และหาสนามชั่วคราวที่ฮาร์ปูร์เฮย์ในนัดถัดไปของทีมสำรองที่จะพบกับพาดิแฮม ต่อมาเมื่อมีการลงทุนด้านการเงิน ประธานสโมสรคนใหม่ จอห์น เฮนรี เดวีส์ จ่ายเงิน 500 ปอนด์เพื่อสร้างอัฒจันทร์แห่งใหม่ความจุ 1,000 ที่นั่งที่แบงก์สตรีต ภายในสี่ปี สนามมีอัฒจันทร์ครบทั้งสี่ด้าน ทำให้รองรับผู้เข้าชมได้ประมาณ 50,000 คน ผู้เข้าชมบางส่วนสามารถรับชมเกมได้จากระเบียงบนอัฒจันทร์หลัก
1910–ปัจจุบัน: โอลด์แทรฟฟอร์ด
หลังจากที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศลีกสมัยแรกใน ค.ศ. 1908 และชนะเลิศเอฟเอคัพในปีถัดมา มีความเห็นว่าแบงก์ตรีตนั้นมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับความทะเยอทะยานของเดวีส์ ทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1909 หกสัปดาห์หลังจากที่สโมสรชนะเลิศเอฟเอคัพสมัยแรก มีการตั้งชื่อสนามเหย้าแห่งใหม่ของสโมสรว่าโอลด์แทรฟฟอร์ดโดยมีการซื้อที่ดินราคา 60,000 ปอนด์ อาร์คิบัลด์ ลีตช์ ผู้เป็นสถาปนิก ได้รับงบประมาณ 30,000 ปอนด์ในการก่อสร้าง แผนดั้งเดิมคือการสร้างสนามให้มีความจุ 100,000 ที่นั่ง แต่งบประมาณที่จำกัดทำให้ต้องลดความจุเหลือเพียง 77,000 ที่นั่ง ตัวอาคารสนามก่อสร้างโดยเมสเซอร์ เบรเมลด์ และสมิทออฟแมนเชสเตอร์ สถิติผู้เข้าชมสูงสุดที่สนามแห่งนี้บันทึกไว้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1939 ในการแข่งขันเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศที่วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์พบกับกริมส์บีทาวน์ โดยมีผู้เข้าชม 76,962 คน
การทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่สองสร้างความเสียหายให้กับสนามเป็นส่วนมาก โดยอุโมงค์กลางในอัฒจันทร์ฝั่งทิศใต้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่หลงเหลือในพื้นที่ส่วนนั้น หลังสงคราม สโมสรได้รับค่าบูรณะจากคณะกรรมาธิการความเสียหายจากสงครามด้วยจำนวนเงิน 22,278 ปอนด์ ในขณะที่มีการซ่อมแซมสนาม ทีมลงเล่นนัดเหย้าที่สนามเมนโรดของแมนเชสเตอร์ซิตี โดยยูไนเต็ดต้องจ่ายค่าเช่าสนาม 5,000 ปอนด์ต่อปีพร้อมกับส่วนแบ่งเงินค่าเข้าสนามคิดเป็นร้อยละที่กำหนดไว้ การปรับปรุงสนามในขั้นต่อมารวมถึงการประกอบหลังคา โดยประกอบครั้งแรกที่อัฒจันทร์ฝั่งสเตรตฟอร์ด ต่อมาจึงประกอบที่อัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือและทิศตะวันออก เดิมหลังคาค้ำจุนด้วยเสาซึ่งบดบังการมองเห็นของผู้สนับสนุน ทำให้มีการเปลี่ยนโครงสร้างค้ำจุนเป็นคานแทน อัฒจันทร์ฝั่งสเตรตฟอร์ดเป็นอัฒจันทร์ฝั่งสุดท้ายที่เปลี่ยนโครงสร้างค้ำจุนเป็นคาน โดยปรับปรุงเสร็จในฤดูกาล 1993–94 เสาสี่เสาความสูง 180-ฟุต (55-เมตร) สร้างขึ้นด้วยงบประมาณ 40,000 ปอนด์และเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 แต่ละเสาติดตั้งไฟสองสว่าง 54 ดวง โครงสร้างเหล่านี้ถูกรื้อถอนใน ค.ศ. 1987 และแทนที่ด้วยระบบไฟส่องสว่างที่ฝังในหลังคาของแต่ละอัฒจันทร์ ซึ่งใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
ข้อกำหนดของเทย์เลอร์รีพอร์ตที่กำหนดให้สนามต้องติดตั้งเก้าอี้ครบทุกที่นั่ง ทำให้ความจุของโอลด์แทรฟฟอร์ดลดลงเหลือเพียง 44,000 ที่นั่งใน ค.ศ. 1993 ต่อมาใน ค.ศ. 1995 อัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือได้ปรับปรุงใหม่เป็นแบบสามชั้น ทำให้ความจุของสนามเพิ่มขึ้นเป็น 55,000 ที่นั่ง หลังจบฤดูกาล 1998–99 มีการเพิ่มชั้นที่สองให้กับอัฒจันทร์ฝั่งทิศตะวันออกและฝั่งทิศตะวันตก ทำให้ความจุของสนามเพิ่มขึ้นเป็น 67,000 ที่นั่ง ต่อมาระหว่างเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2005 ถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 มีการเพิ่มเก้าอี้ 8,000 ที่นั่งบนชั้นที่สองของมุมอัฒจันทร์ฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือและฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นั่งใหม่บางส่วนเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2006 โดยมีผู้เข้าชมในสนาม 69,070 คน กลายเป็นสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีก สถิตินี้ถูกทำลายลงเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2007 เมื่อมีผู้เข้าชม 76,098 คน รับชมเกมที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเอาชนะแบล็กเบิร์นโรเวอส์ด้วยผลประตู 4–1 ในนัดนั้นมีเพียง 114 ที่นั่ง (ร้อยละ 0.15 ของความจุทั้งสนามที่ 76,212 ที่นั่ง) ที่ไม่มีผู้ชม ต่อมาใน ค.ศ. 2009 มีการปรับปรุงที่นั่งจนทำให้ความจุของสนามลดลง 255 ที่นั่ง จนเหลือเพียง 75,957 ที่นั่ง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีผู้เข้าชมโดยเฉลี่ยสูงเป็นอันดับที่สองของทวีปยุโรปรองจากโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์
การสนับสนุน
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีจำนวนผู้เข้าชมเกมเหย้าโดยเฉลี่ยสูงที่สุดในยุโรป สโมสรมีฐานสนับสนุนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้สนับสนุนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมากกว่า 200 แห่งที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในอย่างน้อย 24 ประเทศ สโมสรใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนนี้ผ่านการทัวร์ฤดูร้อนทั่วโลก บริษัทการบัญชีและกลุ่มที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมกีฬาอย่างดีลอยต์ประมาณการว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีผู้สนับสนุน 75 ล้านคนทั่วโลก สโมสรเป็นทีมกีฬาที่มีผู้ติดตามบัญชีเครือข่ายสังคมสูงเป็นอันดับที่สามของโลก (รองจากบาร์เซโลนาและเรอัลมาดริด) โดยมีผู้ติดตามเฟซบุ๊กมากกว่า 72 ล้านคน ณ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2020 การศึกษาใน ค.ศ. 2014 เปิดเผยว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีผู้สนับสนุนที่ส่งเสียงดังที่สุดในพรีเมียร์ลีก
ผู้สนับสนุนมีตัวแทนจากสองหน่วยงานอิสระ ได้แก่ สมาคมผู้สนับสนุนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอิสระ (อังกฤษ: Independent Manchester United Supporters' Association; IMUSA) ซึ่งเชื่อมโยงกับสโมสรอย่างใกล้ชิดผ่านทางฟอรัมผู้สนับสนุน และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซัพพอร์เทอส์ทรัสต์ (อังกฤษ: Manchester United Supporters' Trust; MUST) หลังจากการเข้าซื้อกิจการของตระกูลเกลเซอร์ใน ค.ศ. 2005 กลุ่มผู้สนับสนุนได้ก่อตั้งสโมสรแยกออกมาคือ สโมสรฟุตบอลยูไนเต็ดออฟแมนเชสเตอร์ อัฒจันทร์ฝั่งทิศตะวันตกของโอลด์แทรฟฟอร์ด "สเตรตฟอร์ดเอนด์" เป็นอัฒจันทร์ฝั่งเหย้าและเป็นอัฒจันทร์ดั้งเดิมของกลุ่มผู้สนับสนุนสโมสรที่ส่งเสียงดังที่สุด
คู่แข่ง
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีทีมคู่แข่งคือ อาร์เซนอล, ลีดส์ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ซิตี ซึ่งนัดที่พวกเขาพบกันเรียกว่าแมนเชสเตอร์ดาร์บี
การแข่งขันกับลิเวอร์พูลมีรากฐานจากการแข่งขันระหว่างเมืองในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งแมนเชสเตอร์มีชื่อเสียงในด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ ขณะที่ลิเวอร์พูลเป็นเมืองท่าสำคัญ ทั้งสองสโมสรเป็นทีมจากอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทั้งการแข่งขันระดับประเทศและระดับนานาชาติ ถ้วยรางวัลที่พวกเขาชนะเลิศเมื่อนำมารวมกัน ได้แก่ ลีก 39 สมัย, ยูโรเปียนคัพ 9 สมัย, ยูฟ่าคัพ 4 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 5 สมัย, เอฟเอคัพ 19 สมัย, อีเอฟแอลคัพ 13 สมัย, ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2 สมัย, อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย และเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 36 สมัย การพบกันของทั้งคู่ถือเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอลและนัดการแข่งขันที่มีชื่อเสียงที่สุดในฟุตบอลอังกฤษ อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวใน ค.ศ. 2002 ว่า "ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมคือการสกัดลิเวอร์พูลออกจากความสำเร็จ"
"ศึกกุหลาบ" กับลีดส์ มีสาเหตุจากสงครามแห่งดอกกุหลาบที่ต่อสู้กันระหว่างราชวงศ์แลงคัสเตอร์กับราชวงศ์ยอร์ก โดยแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นตัวแทนของแลงคาเชียร์และลีดส์เป็นตัวแทนของยอร์กเชียร์
ความเป็นคู่แข่งกับอาร์เซนอลเป็นผลมาจากการแข่งขันหลายนัดระหว่างทั้งสองทีม โดยผู้จัดการทีม อเล็กซ์ เฟอร์กูสันและอาร์แซน แวงแกร์ต่างต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวนแชมป์ 33 สมัยของทั้งสองทีมรวมกัน (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 20 สมัยและอาร์เซนอล 13 สมัย) การแข่งขันนี้จึงกลายเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในนัดการแข่งขันพรีเมียร์ลีกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์
ตราสินค้าระดับโลก
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้รับการขนานนามว่าเป็นตราสินค้าระดับโลก โดยใน ค.ศ. 2011 แบรนด์ไฟแนนซ์ประเมินมูลค่าเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องของสโมสรไว้ที่ 412 ล้านปอนด์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 39 ล้านปอนด์ และยังประเมินมูลค่ามากกว่าตราสินค้าอันดับที่สองอย่างเรอัลมาดริด 11 ล้านปอนด์ นอกจากนี้ ยังให้คะแนนความแข็งแกร่งของตราสินค้าไว้ที่ระดับ AAA (แข็งแกร่งมาก) ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 นิตยสารฟอบส์จัดอันดับให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่อันดับที่หนึ่งในรายชื่อทีมกีฬาที่มีมูลค่าตราสินค้ามากที่สุดสิบอันดับแรก โดยให้มูลค่าเครื่องหมายการค้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่ที่ 2.23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ดีลอยต์ฟุตบอลมันนีลีกจัดอันดับให้สโมสรอยู่อันดับที่สาม (รองจากเรอัลมาดริดและบาร์เซโลนา) ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 สโมสรกลายเป็นทีมกีฬาทีมแรกของโลกที่มีมูลค่าถึง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นิตยสารฟอบส์ระบุว่าสโมสรมีมูลค่าสูงถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าทีมกีฬาที่มีมูลค่าเป็นอันดับที่สองถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สี่ปีถัดมา มูลค่าของสโมสรเรอัลมาดริดสูงกว่ายูไนเต็ด แต่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลับสู่อันดับสูงสุดในรายชื่อของฟอบส์ด้วยมูลค่า 3.689 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
จุดแข็งหลักของตราสินค้าระดับโลกของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาจากการสร้างทีมขึ้นใหม่ของแมตต์ บัสบี และความสำเร็จที่เกิดขึ้นหลังภัยพิบัติทางอากาศที่มิวนิก จนทำให้เกิดการสรรเสริญทั่วโลก ทีม "ที่เป็นเอกลักษณ์" ซึ่งรวมผู้เล่นอย่างบ็อบบี ชาร์ลตัน และน็อบบี สติลส์ (ผู้เล่นทีมชาติอังกฤษชุดชนะเลิศฟุตบอลโลก), เดนิส ลอว์ และจอร์จ เบสต์ ได้นำการเล่นเกมรุก (ตรงข้ามกับการเล่นเกมรับอย่าง "คาเตนัชโช" ที่ทีมชั้นนำของอิตาลีในยุคนั้นนิยมใช้) ซึ่ง "เป็นที่จับใจของมหาชนชาวอังกฤษ" มาใช้ ทีมของบัสบีเริ่มเกี่ยวข้องกับการเปิดเสรีของสังคมตะวันตกในช่วงทศวรรษ 1960 จอร์จ เบสต์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "ฟิฟท์บีเทิล" จากทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เป็นนักฟุตบอลคนแรกที่มีภาพลักษณ์นอกสนามจากสื่ออย่างมีนัยสำคัญ
ในฐานะสโมสรฟุตบอลอังกฤษแห่งที่สองที่ได้มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเมื่อ ค.ศ. 1991 สโมสรได้ระดมทุนอย่างมีนัยสำคัญซึ่งจะนำไปพัฒนากลยุทธ์เชิงพาณิชย์ของสโมสรต่อไป การมุ่งเน้นของสโมสรในการประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์และกีฬา ทำให้เกิดผลกำไรในอุตสาหกรรมที่มักจะขาดทุนอย่างหนัก ความแข็งแกร่งของตราสินค้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเกิดจากความสนใจจากสื่อนอกสนามที่มีต่อผู้เล่นรายบุคคลอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะเดวิด เบคแคม (ผู้ซึ่งพัฒนาตราสินค้าระดับโลกของตนเองอย่างรวดเร็ว) ความสนใจนี้ก่อให้เกิดความสนใจที่มากขึ้นในกิจกรรมที่สนาม และสร้างโอกาสที่จะมีผู้สนับสนุน ซึ่งมูลค่าที่ได้มาจากการรับชมโทรทัศน์ ในช่วงที่เบคแคมอยู่กับสโมสร ความนิยมในเอเชียของเขานำไปสู่ความสำเร็จเชิงพาณิชย์ของสโมสรในภูมิภาคนั้นของโลก
เนื่องจากอันดับในลีกที่สูงขึ้นส่งผลให้สโมสรได้รับค่าลิขสิทธิ์ทางโทรทัศน์มากขึ้น ผลงานความสำเร็จในสนามจึงสร้างรายได้ให้กับสโมสรมากขึ้นเช่นกัน นับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้รับส่วนแบ่งรายได้จากข้อตกลงการออกอากาศของบีสกายบีมากที่สุด แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยังเป็นสโมสรอังกฤษที่มีรายได้เชิงพาณิชย์สูงที่สุดตลอดมา โดยในฤดูกาล 2005–06 กลุ่มการค้าของสโมสรทำรายได้ 51 ล้านปอนด์ ในขณะที่เชลซีทำรายได้ 42.5 ล้านปอนด์ ลิเวอร์พูลทำรายได้ 39.3 ล้านปอนด์ อาร์เซนอลทำรายได้ 34 ล้านปอนด์ และนิวคาสเซิลยูไนเต็ดทำรายได้ 27.9 ล้านปอนด์ ผู้สนับสนุนหลักใกล้ชิดที่สำคัญคือบริษัทอุปกรณ์กีฬาอย่างไนกี้ ซึ่งดำเนินการขายสินค้าของสโมสรโดยเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นส่วนมูลค่า 303 ล้านปอนด์ตลอดเวลา 13 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ถึง 2015 ในแผนการเงินและการรับสมาชิกสโมสรของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด วันยูไนเต็ด ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสโมสร สามารถซื้อสินค้าและบริการได้หลายอย่าง นอกจากนี้ยังมีสื่อของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อย่างเช่น รายการโทรทัศน์เฉพาะของสโมสร เอ็มยูทีวี ที่ขยายฐานผู้สนับสนุนไปยังพื้นที่ที่อยู่ไกลกว่าสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด
ผู้สนับสนุน
ช่วงปี | ผู้ผลิตชุดแข่งขัน | ผู้สนับสนุนบนเสื้อ (อก) | ผู้สนับสนุนบนเสื้อ (แขน) |
---|---|---|---|
1945–1975 | อัมโบร | — | — |
1975–1980 | แอดไมรัล | ||
1980–1982 | อาดิดาส | ||
1982–1992 | ชาร์ปอิเล็กทรอนิกส์ | ||
1992–2000 | อัมโบร | ||
2000–2002 | โวดาโฟน | ||
2002–2006 | ไนกี้ | ||
2006–2010 | เอไอจี | ||
2010–2014 | เอออน | ||
2014–2015 | เชฟโรเลต | ||
2015–2018 | อาดิดาส | ||
2018–2021 | โคเลอร์ | ||
2021– | ทีมวีเวอร์ |
ในช่วงต้นฤดูกาล 1982–83 ชาร์ปอิเล็กทรอนิกส์ เป็นผู้สนับสนุนรายแรกที่ปรากฏบนเสื้อแข่งของสโมสร โดยทำสัญญามูลค่า 500,000 ปอนด์ เป็นระยะเวลาห้าปี สัญญานี้สิ้นสุดลงหลังจบฤดูกาล 1999–2000 เมื่อโวดาโฟนทำสัญญากับสโมสร 30 ล้านปอนด์เป็นระยะเวลาสี่ปี โวดาโฟนยินดีที่จ่ายเงิน 36 ล้านปอนด์ ในการขยายสัญญาอีกสี่ปี แต่หลังจากผ่านไปสองฤดูกาล มีการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดเพื่อที่จะเน้นการสนับสนุนในแชมเปียนส์ลีก
ในช่วงต้นฤดูกาล 2006–07 บริษัทประกันภัยอเมริกัน เอไอจีทำสัญญาสี่ปีด้วยมูลค่า 56.5 ล้านปอนด์ ทำให้เป็นสัญญาที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลกเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 ต่อมาในช่วงต้นฤดูกาล 2010–11 บริษัทประกันภัยต่ออเมริกา เอออน กลายเป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสร โดยทำสัญญาสี่ปีด้วยมูลค่าประมาณ 80 ล้านปอนด์ ทำให้เป็นสัญญาผู้สนับสนุนบนเสื้อแข่งที่ได้รับผลตอบแทนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดประกาศว่าได้ทำสัญญาผู้สนับสนุนบนเสื้อซ้อมเป็นครั้งแรก โดยทำสัญญาสี่ปีกับดีเอชแอลด้วยค่ามูลค่าที่ได้รับรายงานอยู่ที่ 40 ล้านปอนด์ สัญญานี้เชื่อกันว่าทำให้มีผู้สนับสนุนบนเสื้อซ้อมเป็นครั้งแรกในฟุตบอลอังกฤษ สัญญากับดีเอชแอล มีระยะเวลาปีกว่าก่อนที่สโมสรจะซื้อสัญญาคืนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 แม้ว่าบริษัทจะยังเป็นหุ้นส่วนโลจิสติกส์อย่างเป็นทางการของสโมสร เอออนทำสัญญาเป็นผู้สนับสนุนบนเสื้อซ้อมในเดือนเมษายน ค.ศ. 2013 ด้วยมูลค่า 180 ล้านปอนด์ เป็นระยะเวลากว่าแปดปี โดยยังรวมถึงการซื้อสิทธิ์ในการตั้งชื่อศูนย์ฝึกซ้อมแทรฟฟอร์ด
ผู้ผลิตชุดแข่งรายแรกของสโมสรคืออัมโบร ต่อมาใน ค.ศ. 1975 แอดไมรัลสปอตส์แวร์เข้ามาแทนที่ในฐานะผู้ผลิตชุดแข่งด้วยสัญญาห้าปี อาดิดาสเซ็นสัญญาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งใน ค.ศ. 1980 ก่อนที่อัมโบรจะกลับมาผลิตชุดแข่งเป็นครั้งที่สองใน ค.ศ. 1992 อัมโบรผลิตชุดแข่งให้กับสโมสรเป็นเวลาสิบปี ก่อนที่ไนกี้จะเซ็นสัญญาด้วยมูลค่าอันเป็นสถิติโลกที่ 302.9 ล้านปอนด์โดยมีผลถึง ค.ศ. 2015 บริษัทขายเสื้อจำลองได้ถึง 3.8 ล้านตัวในช่วง 22 เดือนแรก นอกจากไนกี้และเชฟโรเลตแล้ว สโมสรยังมีผู้สนับสนุนในระดับรองลงมาอย่างเอออนและบัดไวเซอร์
วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 ยูไนเต็ดเซ็นสัญญาเจ็ดปีกับบริษัทรถยนต์อเมริกันอย่างเจเนรัลมอเตอร์ ซึ่งเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนบนเสื้อแทนเอออนตั้งแต่ฤดูกาล 2014–15 สัญญาการสนับสนุนบนเสื้อแข่งมีมูลค่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (หรือมีมูลค่าประมาณ 559 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลากว่าเจ็ดปี) โดยแสดงสัญลักษณ์ของเชฟโรเลตซึ่งเป็นตราสินค้าของเจเนรัลมอเตอร์ ไนกี้ประกาศว่าพวกเขาจะไม่ขยายสัญญาในการผลิตชุดให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดหลังจบฤดูกาล 2014–15 โดยให้เหตุผลว่ามีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น นับตั้งแต่เริ่มฤดูกาล 2015–16 อาดิดาสได้ผลิตชุดแข่งให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยสัญญาอันมีระยะเวลาเป็นสถิติโลกที่ 10 ปี พร้อมมูลค่าอย่างน้อย 750 ล้านปอนด์ บริษัทสุขภัณฑ์ห้องน้ำอย่างโคเลอร์กลายเป็นผู้สนับสนุนแรกที่ปรากฏบนแขนเสื้อแข่งของสโมสรนับตั้งแต่ฤดูกาล 2018–19
ความเป็นเจ้าของและฐานะทางการเงิน
บริษัทรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์กเชียร์เป็นผู้จัดหาเงินทุนให้กับสโมสรในช่วงที่เพิ่งก่อตั้ง ต่อมาสโมสรกลายเป็นบริษัทจำกัดใน ค.ศ. 1892 และขายหุ้นส่วนมูลค่าหนึ่งปอนด์ให้กับผู้สนับสนุนท้องถิ่นผ่านการสมัคร ต่อมาใน ค.ศ. 1902 นักธุรกิจท้องถิ่นสี่คนผู้ลงทุนเงิน 500 ปอนด์ เพื่อกอบกู้สโมสรจากการล้มละลาย กลายเป็นเจ้าของหลัก โดยหนึ่งในนั้นเป็นประธานสโมสรคนถัดไปอย่างจอห์น เฮนรี เดวีส์ เมื่อเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1927 สโมสรต้องพบกับภาวะล้มละลายอีกครั้ง แต่ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931 เจมส์ ดับเบิลยู. กิบสัน ได้เข้ามากอบกู้สโมสรด้วยเงินลงทุน 2,000 ปอนด์ และได้สิทธิ์ควบคุมสโมสร กิบสันแต่งตั้งให้อลัน บุตรชายของเขา ขึ้นเป็นคณะกรรมการบริหารใน ค.ศ. 1948 แต่อลันเสียชีวิตในอีกสามปีถัดมา ตระกูลกิบสันยังคงสถานะความเป็นเจ้าของสโมสรผ่านทางลิลเลียน ภรรยาของเจมส์ แต่อดีตนักฟุตบอลอย่างฮาโรลด์ ฮาร์ดมัน ได้รับตำแหน่งเป็นประธานสโมสร
หลังจากที่สโมสรแต่งตั้งหลุยส์ เอ็ดเวิดส์ เพื่อนของแมตต์ บัสบี ขึ้นเป็นคณะกรรมการบริหารเพียงไม่กี่วันหลังจากภัยพิบัติทางอากาศมิวนิก เขาเริ่มซื้อหุ้นสโมสรด้วยการลงทุนเงินประมาณ 40,000 ปอนด์ และรวบรวมหุ้นได้ร้อยละ 54 จนได้ถือหุ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1964 เมื่อลิลเลียน กิบสันเสียชีวิตในเดือนมกราคม ค.ศ. 1971 อลัน กิบสัน ได้รับหุ้นของเธอ และขายหุ้นของเขาให้กับมาร์ติน บุตรชายของหลุยส์ เอ็ดเวิดส์ใน ค.ศ. 1978 ต่อมา มาร์ติน เอ็ดเวิดส์กลายเป็นประธานสโมสรหลังจากที่บิดาของเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1980 ผู้ประกอบการสื่ออย่างโรเบิร์ต แม็กซ์เวลล์ พยายามซื้อสโมสรใน ค.ศ. 1984 แต่ราคาที่เสนอไม่ตรงกับที่เอ็ดเวิดส์ต้องการ ต่อมาใน ค.ศ. 1989 ประธานสโมสร มาร์ติน เอ็ดเวิดส์ พยายามขายสโมสรให้กับมิชาเอล ไนตัน ด้วยมูลค่า 20 ล้านปอนด์ แต่การขายไม่สำเร็จและไนตันเข้าร่วมคณะกรรมการบริหารแทน
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 (ระดมเงินได้ 6.7 ล้านปอนด์) ต่อมาใน ค.ศ. 1998 มีการเสนอซื้อกิจการอีกครั้งโดยบริษัทถ่ายทอดสดบริติชสกายของรูเปิร์ต เมอร์ดอช จนทำให้เกิดการก่อตั้ง กลุ่มหุ้นส่วนยูไนเต็ดต่อต้านเมอร์ดอช (อังกฤษ: Shareholders United Against Murdoch) ซึ่งปัจจุบันคือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซัพพอร์เทอส์ทรัสต์ กลุ่มนี้ส่งเสริมให้ผู้สนับสนุนซื้อหุ้นส่วนของสโมสรเพื่อพยายามป้องกันการครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร คณะกรรมการของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยอมรับข้อเสนอซื้อกิจการมูลค่า 623 ล้านปอนด์ แต่การซื้อกิจการครั้งนี้ถูกสั่งห้ามโดยคณะกรรมาธิการการผูกขาดและการควบรวมกิจการในขั้นตอนสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1999 อีกไม่กี่ปีถัดมา เกิดการแย่งชิงอำนาจขึ้นระหว่างอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการสโมสร กับจอห์น แมกเนียร์และเจ. พี. แมกมานัส พันธมิตรแข่งม้าที่ค่อย ๆ กลายเป็นผู้ถือหุ้นส่วนหลัก ในกรณีพิพาทอันเกิดจากการแก่งแย่งชิงม้าร็อกออฟยิบรอลตาร์ แมกเนียร์กับแมกมานัสพยายามขับไล่เฟอร์กูสันออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และคณะกรรมการตอบสนองด้วยการเข้าหานักลงทุนเพื่อพยายามลดการครอบครองหุ้นส่วนใหญ่ของชาวไอริชทั้งสอง
ความเป็นเจ้าของของเกลเซอร์
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2005 มัลคอล์ม เกลเซอร์ซื้อหุ้นร้อยละ 28.7 ที่ถือโดยแมกมานัสและแมกเนียร์ ต่อมาเขาถือครองส่วนได้เสียที่มีอำนาจควบคุมผ่านเครื่องมือในการลงทุนบริษัทเรดฟุตบอลเพื่อซื้อกิจการสโมสรด้วยการกู้ยืมเงินประมาณ 800 ล้านปอนด์ (หรือ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อการซื้อกิจการเสร็จสมบูรณ์ สโมสรจึงออกจากตลาดหลักทรัพย์ เงินที่ซื้อกิจการส่วนใหญ่เป็นเงินที่ตระกูลเกลเซอร์กู้มา หนี้สินจึงถูกโอนมาเป็นหนี้ของสโมสร จนสโมสรมีหนี้ติดตัวถึง 540 ล้านปอนด์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ถึง 20
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 สโมสรได้ทำการรีไฟแนนซ์ส่งผลให้หนี้สินเพิ่มขึ้นเป็น 660 ล้านปอนด์ แต่ดอกเบี้ยที่จ่ายประจำปีลดลงร้อยละ 30 เหลือเพียง 62 ล้านปอนด์ต่อปี ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 สโมสรติดหนี้ 716.5 ล้านปอนด์ (1.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และได้รีไฟแนนซ์เพิ่มเติมผ่านการออกตราสารหนี้มูลค่า 504 ล้านปอนด์ ทำให้พวกเขาสามารถชำระหนี้สินแทบทั้งหมดที่ติดค้างธนาคารนานาชาติเป็นจำนวนเงิน 509 ล้านปอนด์ ดอกเบี้ยรายปีที่ต้องชำระให้กับผู้ถือตราสารหนี้ ซึ่งจะครบกำหนดชำระในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 มีมูลค่าประมาณ 45 ล้านปอนด์ต่อปี แม้ว่าจะมีการปรับโครงสร้าง แต่หนี้ของสโมสรทำให้ผู้สนับสนุนที่จะไปรับชมที่สนามรวมกลุ่มประท้วงที่โอลด์แทรฟฟอร์ดและศูนย์ฝึกซ้อมแทรฟฟอร์ดเมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2010 กลุ่มผู้สนับสนุนแนะนำให้ผู้สนับสนุนที่ประท้วงสวมเสื้อสีเขียวและสีทอง อันเป็นสีของนิวตันฮีต ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม มีรายงานว่า กลุ่มแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซัพพอร์เทอส์ทรัสต์จัดประชุมกับกลุ่ม "อัศวินสีแดง" ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนที่ร่ำรวย โดยวางแผนเพื่อซื้อการถือครองส่วนได้เสียที่มีอำนาจควบคุมของตระกูลเกลเซอร์คืน หนี้ของสโมสรพุ่งสูงถึง 777 ล้านปอนด์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 เชื่อกันว่าตระกูลเกลเซอร์ได้เข้าไปทาบทามเครดิตสวิสในการเตรียมการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ด้วยมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 600 ล้านปอนด์) ซึ่งจะช่วยให้สโมสรมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 สโมสรประกาศว่ามีแผนเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแทน ในช่วงแรก มีการตั้งเป้าขายในราคาระหว่าง 16 ถึง 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น แต่ในช่วงที่เริ่มเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ราคาลดลงเหลือ 14 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีผลหลังจากได้รับเสียงวิจารณ์แง่ลบจากนักวิเคราะห์ของวอลล์สตรีตและการเปิดตัวอันน่าผิดหวังในตลาดหลักทรัพย์ของเฟซบุ๊กในเดือนพฤษภาคม แม้จะมีการลดราคา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กอนุญาตให้ผู้ที่ถือหุ้นต่างกันมีสิทธิ์การออกเสียงไม่เท่ากัน โดยหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชน ("ระดับเอ") มีสิทธิ์ในการลงคะแนนน้อยกว่าหุ้นที่เกลเซอร์ถือ ("ระดับบี") ถึง 10 เท่า ในช่วงแรก (ค.ศ. 2012) มีการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเพียงร้อยละ 10 และใน ค.ศ. 2019 ตระกูลเกลเซอร์ยังคงมีสิทธิ์ในการควบคุมสโมสรมากที่สุด เนื่องจากถือหุ้นร้อยละ 70 ขณะที่อำนาจการลงคะแนนเสียงสูงขึ้น
ใน ค.ศ. 2012 เดอะการ์เดียน รายงานว่าสโมสรมีรายจ่ายเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้และค่าใช้จ่ายอื่นของตระกูลเกลเซอร์ 500 ล้านปอนด์ ต่อมาใน ค.ศ. 2019 มีรายงานว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของสโมสรด้านดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านปอนด์ และในช่วงสิ้นปี สโมสรมีหนี้สุทธิเกือบ 400 ล้านปอนด์
ผู้เล่น
ผู้เล่นทีมชุดแรก
- ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2021
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นที่ถูกปล่อยยืมตัว
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
ผู้เล่นชุดสำรองและชุดเยาวชน
- ณ วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2021
รายชื่อผู้เล่นชุดอายุไม่เกิน 23 ปีและชุดเยาวชนที่มีหมายเลขเสื้อในทีมชุดใหญ่
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
ผู้เล่นที่ถูกปล่อยยืมตัว
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นแห่งปีเซอร์แมตต์ บัสบี
ทีมงานผู้ฝึกสอน
ตำแหน่ง | ทีมงาน |
---|---|
ผู้จัดการ | อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ |
ผู้ช่วยผู้จัดการ | ไมค์ ฟีแลน |
ผู้ฝึกสอนทีมชุดแรก | ไมเคิล แคร์ริก คีแรน แม็กเคนนา มาร์ก เดมป์เซย์ มาร์ตีน เพิร์ต |
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู | ริชาร์ด ฮาร์ติส |
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู | เครก มอว์สัน |
หัวหน้าฝ่ายสมรรถภาพ | ริชาร์ด ฮอว์กินส์ |
ผู้ฝึกสอนด้านสมรรถภาพ | เปาโล กัวดิโน ชาร์ลี โอเวน |
ผู้ฝึกสอนเชิงพละกำลังของทีมชุดแรก | ไมเคิล เคลกก์ |
นักวิทยาศาสตร์การกีฬาของทีมชุดแรก | เอ็ดเวิร์ด เลง |
หัวหน้าฝ่ายพัฒนาทีมชุดแรก | นิกกี บัตต์ |
หัวหน้าฝ่ายเยาวชน | นิก ค็อกซ์ |
ผู้จัดการทีมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี | นิล วูด |
ผู้จัดการทีมรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี | นิล ไรอัน |
ทำเนียบผู้จัดการทีม
ช่วงปี | ชื่อ | หมายเหตุ |
---|---|---|
1878–1892 | ไม่ทราบ | |
1892–1900 | เอ. เอช. ออลบัต | |
1900–1903 | เจมส์ เวสต์ | |
1903–1912 | เออร์เนสต์ แมงนอลล์ | |
1912–1914 | จอห์น เบนต์ลีย์ | |
1914–1921 | แจ็ก ร็อบสัน | |
1921–1926 | จอห์น แชปแมน | |
1926–1927 | ลาล ฮิลดิตช์ | ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม |
1927–1931 | เฮอร์เบิร์ต แบมเล็ตต์ | |
1931–1932 | วอลเทอร์ คริกเมอร์ | |
1932–1937 | สกอตต์ ดังแคน | |
1937–1945 | วอลเทอร์ คริกเมอร์ | |
1945–1969 | แมตต์ บัสบี | |
1958 | จิมมี เมอร์ฟี | ผู้จัดการทีมรักษาการ |
1969–1970 | วิลฟ์ แมกกินเนสส์ | |
1970–1971 | แมตต์ บัสบี | |
1971–1972 | แฟรงก์ โอฟาร์เรลล์ | |
1972–1977 | ทอมมี ดอเคอร์ที | |
1977–1981 | เดฟ เซ็กส์ตัน | |
1981–1986 | รอน แอตคินสัน | |
1986–2013 | อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน | |
2013–2014 | เดวิด มอยส์ | |
2014 | ไรอัน กิกส์ | ผู้เล่น-ผู้จัดการทีมชั่วคราว |
2014–2016 | ลูวี ฟัน คาล | |
2016–2018 | โชเซ มูรีนโย | |
2018– | อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ | รักษาการถึงวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2019 |
การจัดการ
- เจ้าของ: ตระกูลเกลเซอร์ผ่านเรดฟุตบอลแชร์โฮลเดอร์ลิมิเต็ด
บริษัท แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จำกัด
ตำแหน่ง | ชื่อ |
---|---|
ประธานร่วม | อัฟราม เกลเซอร์ โจเอล เกลเซอร์ |
รองประธานบริหาร | เอ็ด วูดเวิร์ด |
กรรมการผู้จัดการกลุ่ม | ริชาร์ด อาร์โนลด์ |
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน | คลิฟฟ์ เบตี |
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ | โคเลต รอช |
กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร | ไบรอัน เกลเซอร์ เควิน เกลเซอร์ เอ็ดเวิร์ด เกลเซอร์ ดาร์วี เกลเซอร์ แคสวิตซ์ โรเบิร์ต เลย์โต จอห์น ฮุกส์ แมนู ซอนีย์ |
สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ตำแหน่ง | ชื่อ |
---|---|
ประธานกิตติมศักดิ์ | มาร์ติน เอ็ดเวิดส์ |
ผู้อำนวยการ | เดวิด กิลล์ ไมเคิล เอเดลสัน เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน |
เลขานุการสโมสร | เรเบกกา บริเตน |
ผู้อำนวยการฝ่ายดำเนินงานฟุตบอล | อลัน ดอว์สัน เอ็มบีอี |
ผู้อำนวยการฟุตบอล | จอห์น เมอร์ทัฟ |
ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค | แดร์เรน เฟลตเชอร์ |
เกียรติประวัติ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทวีปยุโรปในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัล ถ้วยรางวัลแรกของสโมสรคือแมนเชสเตอร์คัพ ซึ่งพวกเขาชนะเลิศในสมัยที่ใช้ชื่อว่านิวตันฮีตแอลวายอาร์เมื่อ ค.ศ. 1886 ต่อมาใน ค.ศ. 1908 สโมสรชนะเลิศลีกเป็นสมัยแรก และชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยแรกในปีถัดมา หลังจากนั้น พวกเขาชนะเลิศลีกสูงสุด 20 สมัย นับเป็นสถิติสูงสุด การชนะเลิศลีกสูงสุดนี้รวมถึงการชนะเลิศพรีเมียร์ลีก 13 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน นอกจากนี้พวกเขาชนะเลิศเอฟเอคัพ 12 สมัย มากที่สุดเป็นอันดับที่สองรองจากอาร์เซนอล (14 สมัย) การชนะเลิศในรายการเหล่านี้ทำให้สโมสรได้เข้าร่วมแข่งขันเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ (ชื่อเดิมคือเอฟเอแชริตีชีลด์) มากที่สุดที่ 30 ครั้ง การแข่งขันนี้จัดขึ้นในช่วงต้นฤดูกาลโดยเป็นการพบกันระหว่างผู้ชนะเลิศลีกกับผู้ชนะเลิศเอฟเอคัพจากฤดูกาลก่อนหน้า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศรายการนี้มากที่สุดที่ 21 สมัยจากการเข้าร่วม 30 สมัย โดยรวมถึงการเสมอสี่ครั้งที่ถ้วยรางวัลจะถูกแบ่งให้กับสองสโมสรร่วมกัน
สโมสรมีช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จภายใต้การคุมทีมของแมตต์ บัสบี โดยเริ่มจากชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1948 และขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการเป็นสโมสรแรกจากอังกฤษที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพใน ค.ศ. 1968 และในช่วงปีก่อนหน้านี้ สโมสรชนะเลิศลีก 5 สมัย ช่วงที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุดคือทศวรรษ 1990 ภายใต้การคุมทีมของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยชนะเลิศลีก 5 สมัย, เอฟเอคัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 1 สมัย, แชริตีชีลด์ 5 สมัย (ชนะเลิศร่วม 1 สมัย), ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย และอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย พวกเขายังคว้าดับเบิลแชมป์ (ชนะเลิศพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาลเดียวกัน) อีกสามครั้งในช่วงทศวรรษนี้ ก่อนที่พวกเขาจะคว้าดับเบิลแชมป์เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1993–94 เคยมีการคว้าดับเบิลแชมป์ในฟุตบอลอังกฤษเพียงห้าครั้ง ดังนั้นเมื่อพวกเขาคว้าดับเบิลแชมป์ครั้งที่สองในฤดูกาล 1995–96 พวกเขาจึงกลายเป็นสโมสรแรกที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้สองครั้งซึ่งเรียกกันว่า "ดับเบิลดับเบิล" ต่อมาเมื่อพวกเขาชนะเลิศยูโรเปียนคัพ (ปัจจุบันคือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) เป็นครั้งที่สองใน ค.ศ. 1999 พร้อมกับชนะเลิศพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ พวกเขาได้กลายเป็นสโมสรแรกจากอังกฤษที่คว้าทริปเปิลแชมป์ การชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งนั้นทำให้พวกเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ ซึ่งพวกเขาชนะเลิศ จนกลายเป็นสโมสรเดียวจากบริติชที่ชนะเลิศรายการนี้ได้ การชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกสมัยใน ค.ศ. 2008 ทำให้พวกเขาได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2008 ซึ่งพวกเขาก็ชนะเลิศจนกลายเป็นทีมเดียวจากบริติชที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้จนถึง ค.ศ. 2019
ถ้วยรางวัลล่าสุดของสโมสรคือยูฟ่ายูโรปาลีกที่พวกเขาชนะเลิศใน ฤดูกาล 2016–17 การคว้าแชมป์รายการนั้นทำให้ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรที่ห้าที่ชนะทริปเปิลแชมป์ยุโรป อันประกอบไปด้วยยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, คัพวินเนอร์สคัพ และยูฟ่าคัพ/ยูโรปาลีก ต่อจากยูเวนตุส, อายักซ์, ไบเอิร์นมิวนิก และเชลซี
ระดับประเทศ
ลีก
- ดิวิชันหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก
- ดิวิชันสอง
- ชนะเลิศ (2): 1935–36, 1974–75
ถ้วย
- เอฟเอคัพ
- ชนะเลิศ (12): 1908–09, 1947–48, 1962–63, 1976–77, 1982–83, 1984–85, 1989–90, 1993–94, 1995–96, 1998–99, 2003–04, 2015–16
- อีเอฟแอลคัพ
- ชนะเลิศ (5): 1991–92, 2005–06, 2008–09, 2009–10, 2016–17
- เอฟเอแชริตีชีลด์/เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
ระดับทวีปยุโรป
- ยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- ยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1990–91
- ยูฟ่ายูโรปาลีก
- ชนะเลิศ (1): 2016–17
- ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ
- ชนะเลิศ (1): 1991
ระดับโลก
- อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ
- ชนะเลิศ (1; สูงสุดของบริติช): 1999
- ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก
- ชนะเลิศ (1; สูงสุดร่วมของบริติช): 2008
ดับเบิลและทริปเปิลแชมป์
- ดับเบิลแชมป์
- ลีกและเอฟเอคัพ (3): 1993–94, 1995–96, 1998–99
- ลีกและยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (2): 1998–99, 2007–08
- ลีกและอีเอฟแอลคัพ (1): 2008–09
- อีเอฟแอลคัพและยูฟ่ายูโรปาลีก (1): 2016–17
- ทริปเปิลแชมป์
- ลีก, เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (1): 1998–99
การแข่งขันในช่วงเวลาสั้น ๆ อย่างเอฟเอแชริตีชีลด์/เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์, อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ (ปัจจุบันถูกยกเลิก), ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก หรือยูฟ่าซูเปอร์คัพ จะไม่ถูกนับรวมในดับเบิลหรือทริปเปิลแชมป์
สโมสรฟุตบอลหญิงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซัพพอร์ตเตอส์คลับเลดีส์เริ่มดำเนินการในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และมีการรับรองให้เป็นทีมฟุตบอลหญิงชุดใหญ่ของสโมสรอย่างไม่เป็นทางการ พวกเขาเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งลีกฟุตบอลหญิงภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือใน ค.ศ. 1989 ทีมกลายเป็นหุ้นส่วนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 2001 และกลายเป็นทีมฟุตบอลหญิงอย่างเป็นทางการของสโมสร อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 2005 หลังจากที่มัลคอล์ม เกลเซอร์ซื้อกิจการสโมสร สโมสรยุบทีมฟุตบอลหญิงเพราะเห็นว่า "ไม่เกิดประโยชน์" ใน ค.ศ. 2018 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก่อตั้งทีมฟุตบอลหญิงใหม่ ซึ่งได้เข้าร่วมแข่งขันในลีกฟุตบอลหญิงระดับสองของอังกฤษนับตั้งแต่ฤดูกาลแรกของสโมสร
เชิงอรรถ
- ค่าเงินเฟ้อของดัชนีราคาขายปลีกในสหราชอาณาจักรมาจากฐานข้อมูลของ Clark, Gregory (2017). "The Annual RPI and Average Earnings for Britain, 1209 to Present (New Series)". MeasuringWorth. สืบค้นเมื่อ February 2, 2020.
- แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับวันประชุมและการเปลี่ยนชื่อสโมสรแตกต่างกัน โดยแหล่งข้อมูลทางการของสโมสรอ้างว่าเกิดขึ้นในวันที่ 26 เมษายน แต่จากรายงานของแมนเชสเตอร์อีฟนิงโครนิเคิล ฉบับวันที่ 25 เมษายน ระบุว่า การประชุมเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน
- ↑ นับตั้งแต่ ค.ศ. 1992 พรีเมียร์ลีกกลายเป็นลีกระดับสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ส่วนฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชันและเซคันด์ดิวิชันกลายเป็นลีกระดับสองและสามแทน นับตั้งแต่ ค.ศ. 2004 เฟิสต์ดิวิชันกลายเป็นแชมเปียนชิปและเซคันด์ดิวิชันกลายเป็นลีกวัน
อ้างอิง
- (PDF). Premier League. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 6 September 2015. สืบค้นเมื่อ 23 May 2016.
- "Man United must aim for top four, not title challenge – Mourinho". Reuters. 2 November 2018.
- "Marcus Rashford's 92nd minute winner enough for Man United to scrape a win at Bournemouth".
- "Manchester United – Stadium" (PDF). premierleague.com. Premier League. สืบค้นเมื่อ 9 November 2017.
- ↑ Smith, Adam (30 November 2016). "Leeds United England's 12th biggest club, according to Sky Sports study". Sky Sports.
- McNulty, Phil (21 September 2012). "Liverpool v Manchester United: The bitter rivalry". BBC Sports.
- "BBC ON THIS DAY – 14 – 1969: Matt Busby retires from Man United". BBC News.
- "The 49 trophies of Sir Alex Ferguson – the most successful managerial career Britain has ever known". The Independent. London: Independent Print. 8 May 2013. สืบค้นเมื่อ 30 October 2015.
- Stewart, Rob (1 October 2009). "Sir Alex Ferguson successful because he was given time, says Steve Bruce". The Daily Telegraph. London: Telegraph Media Group. สืบค้นเมื่อ 11 May 2011.
- Northcroft, Jonathan (5 November 2006). "20 glorious years, 20 key decisions". The Sunday Times. London: Times Newspapers. สืบค้นเมื่อ 24 June 2010.
- ↑ Hamil (2008), p. 126.
- ↑ "Barça, the most loved club in the world". Marca. Retrieved 15 December 2014
- Wilson, Bill (23 January 2018). "Manchester United remain football's top revenue-generator". BBC News (British Broadcasting Corporation). สืบค้นเมื่อ 14 April 2018.
- "The Business Of Soccer". Forbes. สืบค้นเมื่อ 16 August 2019.
- "Manchester United is 'most valuable football brand'". BBC News (British Broadcasting Corporation). 8 June 2015. สืบค้นเมื่อ 8 June 2015.
- Schwartz, Peter J. (18 April 2012). "Manchester United Again The World's Most Valuable Soccer Team". Forbes Magazine. สืบค้นเมื่อ 5 May 2012.
- ↑ Maidment, Neil (15 June 2015). "Could the Glazers lose their public enemy No.1 tag at Manchester United?". Reuters. สืบค้นเมื่อ 30 August 2020.
- ↑ Barnes et al. (2001), p. 8.
- James (2008), p. 66.
- Tyrrell & Meek (1996), p. 99.
- ↑ Barnes et al. (2001), p. 9.
- James (2008), p. 92.
- Barnes et al. (2001), p. 118.
- Barnes et al. (2001), p. 11.
- ↑ Barnes et al. (2001), p. 12.
- Barnes et al. (2001), p. 13.
- Barnes et al. (2001), p. 10.
- Murphy (2006), p. 71.
- Glanville, Brian (27 April 2005). "The great Chelsea surrender". The Times. London: Times Newspapers. สืบค้นเมื่อ 24 June 2010.
- Barnes et al. (2001), pp. 14–15.
- "1958: United players killed in air disaster". BBC News. British Broadcasting Corporation. 6 February 1958. สืบค้นเมื่อ 24 June 2010.
- Barnes et al. (2001), pp. 16–17.
- White, Jim (2008), p. 136.
- Barnes et al. (2001), p. 17.
- ↑ Barnes et al. (2001), pp. 18–19.
- Moore, Rob; Stokkermans, Karel (11 December 2009). "European Footballer of the Year ("Ballon d'Or")". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. สืบค้นเมื่อ 24 June 2010.
- ↑ Barnes et al. (2001), p. 19.
- Barnes et al. (2001), p. 110.
- Murphy (2006), p. 134.
- "1977: Manchester United sack manager". BBC News. British Broadcasting Corporation. 4 July 1977. สืบค้นเมื่อ 2 April 2010.
- Barnes et al. (2001), p. 20.
- ↑ Barnes et al. (2001), pp. 20–21.
- Barnes et al. (2001), p. 21.
- Barnes et al. (2001), p. 148.
- Barnes et al. (2001), pp. 148–149.
- "Arise Sir Alex?". BBC News. British Broadcasting Corporation. 27 May 1999. สืบค้นเมื่อ 2 April 2010.
- Bevan, Chris (4 November 2006). "How Robins saved Ferguson's job". BBC Sport. British Broadcasting Corporation. สืบค้นเมื่อ 2 April 2010.
- 161385360554578 (4 May 2017). "Clubs ranked by the number of times they have claimed trophy doubles".CS1 maint: numeric names: authors list (link)
- "Golden years: The tale of Manchester United's 20 titles". 22 April 2013 – โดยทาง www.bbc.co.uk.
- "United crowned kings of Europe". BBC Sport. British Broadcasting Corporation. 26 May 1999. สืบค้นเมื่อ 22 June 2010.
- Hoult, Nick (28 August 2007). "Ole Gunnar Solskjaer leaves golden memories". The Daily Telegraph. London: Telegraph Media Group. สืบค้นเมื่อ 23 July 2011.
- Magnani, Loris; Stokkermans, Karel (30 April 2005). "Intercontinental Club Cup". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. สืบค้นเมื่อ 24 June 2010.
- Hughes, Rob (8 March 2004). "Ferguson and Magnier: a truce in the internal warfare at United". The New York Times. The New York Times Company. สืบค้นเมื่อ 24 June 2010.