เกาะอีสเตอร์
เกาะอีสเตอร์ (อังกฤษ: Easter Island); เกาะราปานูอี (ราปานูอี: Rapa Nui) หรือ เกาะปัสกัว (สเปน: Isla de Pascua) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ในการปกครองของประเทศชิลี ตัวเกาะห่างจากฝั่งประเทศชิลีไปทางทิศตะวันตกกว่า 3,600 กิโลเมตร เกาะที่ใกล้เกาะอีสเตอร์มากที่สุดอยู่ห่างฝั่งจากถึง 2,000 กิโลเมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก ลักษณะของเกาะมีขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 25 กิโลเมตร
เกาะอีสเตอร์ Rapa Nui Isla de Pascua | |
---|---|
Special Territory, จังหวัด และ เทศบาล | |
แผนที่เกาะอีสเตอร์แสดง Terevaka, Poike, Rano Kau, Motu Nui, Orongo, และ Mataveri; "อาฮู" หลักระบุด้วยรูป โมอาย | |
พิกัดภูมิศาสตร์: 27°7′S 109°22′W / 27.117°S 109.367°Wพิกัดภูมิศาสตร์: 27°7′S 109°22′W / 27.117°S 109.367°W | |
ประเทศ | ชิลี |
แคว้น | Valparaíso |
จังหวัด | Isla de Pascua |
เทศบาล | Isla de Pascua |
ที่ตั้ง | Hanga Roa |
การปกครอง | |
• ประเภท | เทศบาล |
• หน่วยงาน | สภาเทศบาล |
• ผู้ว่าราชการจังหวัด | Laura Alarcón Rapu (IND) |
• นายกเทศมนตรี | Pedro Edmunds Paoa (PRO) |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 163.6 ตร.กม. (63.2 ตร.ไมล์) |
ความสูงจุดสูงสุด | 507 เมตร (1,663 ฟุต) |
ความสูงจุดต่ำสุด | 0 เมตร (0 ฟุต) |
ประชากร (2017 census) | |
• ทั้งหมด | 7,750 คน |
เขตเวลา | UTC−6 (CLT) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC−5 (CLST) |
รหัสพื้นที่ | +56 |
สกุลเงิน | เปโซ (CLP) |
ภาษา | สเปน, Rapa Nui |
เว็บไซต์ | http://www.rapanui.net |
NGA UFI=-905269 |
ประวัติศาสตร์
ปี ค.ศ. 1680 เป็นช่วงที่ชาวเผ่าสองเผ่าที่อยู่บนเกาะ ซึ่งมีชนเผ่าหูสั้น (คาดว่าเป็นพวกที่มาจากเกาะแถบโปลีนีเซีย) กับเผ่าหูยาว (คาดว่ามาจากอเมริกาใต้) ซึ่งอยู่อย่างสงบมาช้านานได้ทะเลาะกันและทำสงครามกัน ทำให้ป่าเริ่มหมด สภาพดินเริ่มเสื่อมลง เผ่าหูสั้นซึ่งมีประชากรน้อยกว่ากลับชนะเผ่าหูยาว และช่วงที่ทำการรบอยู่นั้น พวกชาวเผ่าหูสั้นก็ได้ทำลายรูปปั้นหินและโคนรูปเกาะสลักเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นได้มีสงครามและความอดอยากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ในปี ค.ศ. 1722 นักเดินเรือชาวดัตช์นำโดย ยาโกบ โรคเคเฟน (Jacob Roggeveen) เป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามาถึงได้เดินทางมาพบเกาะนี้ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ และได้ค้นพบว่าบนเกาะมีชนเผ่าอาศัยอยู่สองเผ่า และได้ตั้งชื่อเกาะให้ตรงกับวันที่ได้พบคือวันอีสเตอร์ ในปี ค.ศ. 1770 นักเดินเรือชาวสเปนที่เดินทางมาจากเปรูได้ค้นพบเกาะนี้อีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นบนเกาะมีซึ่งมีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ มีประชากรราว 3,000 คน แต่สี่ปีให้หลังจากนั้น กับต้นเจมส์ คุกที่เดินทางสำรวจแถบแปซิฟิกครั้งที่สอง ก็ได้พบเกาะอีสเตอร์ ซึ่งขณะนั้นประชากรบนเกาะเหลืออยู่เพียง 600-700 คน และมีผู้หญิงอยู่เพียง 30 คนเท่านั้น (มีการเล่าต่อกันมาว่าอาจเกิดจากการที่ผู้หญิงและเด็กถูกจับกิน จึงทำให้เด็กกับผู้หญิงลดน้อยลง) ตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 จำนวนประชากรได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
ในปี ค.ศ. 1862 รัฐบาลเปรูได้กวาดต้อนชาวพื้นเมืองชายประมาณ 1,000 คนไปเป็นทาสบนแผ่นดินใหญ่ แต่ไม่กี่เดือนให้หลัง หลังจากทาส 15 คนที่ได้รับการปล่อยตัวเพื่อกลับมาที่เกาะ ก็ได้นำเชื้อไข้ทรพิษกลับเข้ามาด้วย ทำให้ชาวเกาะซึ่งไม่มีภูมิคุ้มกันได้ติดโรคร้ายไปด้วย ทำให้ประชากรลดลงไปมาก จากการที่ชาวพื้นเมืองไม่ได้บันทึกอะไรไว้เลย สิ่งที่ถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นหลังคือเล่าจากปากต่อปาก ต้นตอของสิ่งต่าง ๆ จึงได้ตายหายไปพร้อมกับชาวพื้นเมืองที่ลดจำนวนลงไปด้วย แม้จะมีข้อความสัญลักษณ์ แต่ก็ไม่สามารถถอดความได้ และยังหาคำอธิบายไม่ได้ว่าชาวเกาะอีสเตอร์ได้อพยพมาจากที่ใด
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศชิลีก็ได้ผนวกเกาะอีสเตอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในปี ค.ศ. 1888 หลังจากนั้นประชากรบนเกาะก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
อุทยานแห่งชาติราปานูอี * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
โมอายที่ราโนรารากู เกาะอีสเตอร์ | |
ประเทศ | ชิลี |
ประเภท | มรดกทางวัฒนธรรม |
เกณฑ์พิจารณา | (i), (iii), (v) |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 2538 (คณะกรรมการสมัยที่ 19) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
รูปสลักหินขนาดยักษ์
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ที่มาของชาวพื้นเมืองบนเกาะ แต่ชาวพื้นเมืองก็ได้สร้างรูปสลักยักษ์ขึ้น ซึ่งสร้างจากหินและกากแร่ภูเขาไฟหรือหินบะซอลต์ ซึ่งรูปสลักในยุกแรกจะเป็นรูปสลักคนนั่งคุกเข่าในช่วงประมาณ ค.ศ. 380 ในยุคถัดมาเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 จะสลักเป็นรูปที่เรียกว่า โมไอ ซึ่งเป็นที่โดดเด่นทั่วไปบนเกาะ
อ้างอิง
- . National Statistics Institute (ภาษาสเปน). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2018-05-11. สืบค้นเมื่อ 11 May 2018.
- ↑ "Censo de Población y Vivienda 2002". National Statistics Institute. จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 กรกฎาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2010.
- Salmond, Anne (2010). Aphrodite's Island. Berkeley: University of California Press. pp. 238. ISBN 9780520261143.
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: เกาะอีสเตอร์ |