ราชกุมารี
ราชกุมารี (อังกฤษ: The Princess Royal) เป็นพระอิสริยยศตามราชประเพณี (แต่ไม่เป็นแบบอัตโนมัติ) ซึ่งพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรพระราชทานแก่พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ที่สุด โดยเจ้าหญิงพระองค์นั้นจะดำรงพระอิสริยยศนี้อยู่ตลอดพระชนม์ชีพ ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะสถาปนาเจ้าหญิงพระองค์อื่นให้เป็นราชกุมารีอีกพระองค์ได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ไม่เคยทรงดำรงตำแหน่งราชกุมารีเลย) จวบจนถึงปัจจุบันนี้ได้มีราชกุมารีมาแล้วทั้งสิ้น 7 พระองค์ โดยพระองค์ล่าสุดคือ เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี
พระราชกุมารี | |
---|---|
การเรียกขาน | Her Royal Highness Ma'am |
ที่พำนัก | พระราชวังเซนต์เจมส์ |
ผู้แต่งตั้ง | พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร |
วาระ | ตลอดพระชนม์ |
ผู้ประเดิมตำแหน่ง | เจ้าหญิงแมรี พระราชกุมารีและเจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ |
พระอิสริยยศนี้เกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระราชินีเฮนเรียตตา มาเรีย (พ.ศ. 2252 - 2312) พระราชธิดาในพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส และพระมเหสีในพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ มีพระประสงค์จะเลียนแบบการสถาปนาพระอิสริยยศ "Madame Royale" ให้กับพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ของกษัตริย์ฝรั่งเศส พระอิสริยยศนี้จะต้องได้รับพระบรมราชานุญาต (Royal Warrant) ไม่ใช่สถาปนาจากพระราชสัญญาบัตร (Letters Patent) และไม่ได้พระราชทานแก่พระราชธิดาพระองค์ใหญ่โดยอัติโนมัติ หากแต่จะเป็นการแต่งตั้งจากพระราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์
เจ้าหญิงแมรี (หรือสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2) (พ.ศ. 2208 - 2237) พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าเจมส์ที่ 2 และพระมเหสีในพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ (พ.ศ. 2193 - 2245) และเจ้าหญิงโซฟี โดโรเทอา พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในพระเจ้าจอร์จที่ 1 และต่อมาเป็นพระมเหสีในพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ทั้งสองทรงเหมาะสมกับพระอิสริยยศนี้ หากแต่ไม่ทรงได้รับพระราชทาน
รายพระนามราชกุมารี
เจ้าหญิงที่ทรงเคยดำรงพระอิสริยยศเป็น "ราชกุมารี" อย่างเป็นทางการมีจำนวน 7 พระองค์ ดังนี้
ลำดับ | พระรูป | พระนาม ชาตะ | ดำรงตำแหน่ง จาก (ปี) ถึง (ปี) | พระราชธิดาใน | ปีที่เสกสมรส | พระสวามี ชาตะ | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | เจ้าหญิงแมรี พระราชกุมารี 1631–1660 | 1642–1660 | พระเจ้าชาลส์ที่ 1 1600–1649 | 1641 | เจ้าชายวิลเลียมที่ 2 แห่งออเรนจ์ 1626–1650 | ||
— | เจ้าหญิงลุยซา มาเรีย สจวร์ต 1692–1712 | 1692–1712 | พระเจ้าเจมส์ที่ 2 1633–1701 | — | — | ||
2 | เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี 1709–1759 | 1727–1759 | พระเจ้าจอร์จที่ 2 1683–1760 | 1734 | เจ้าชายวิลเลียมที่ 4 แห่งออเรนจ์ 1711–1751 | ||
3 | เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ พระราชกุมารี 1766–1828 | 1789–1828 | พระเจ้าจอร์จที่ 3 1738–1820 | 1797 | พระเจ้าฟรีดริชที่ 1 แห่งเวือร์ทเทิมแบร์ค 1754–1816 | ||
4 | เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี 1840–1901 | 1841–1901 | สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย 1819–1901 | 1858 | จักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 แห่งเยอรมนี 1831–1888 | ทายาทโดยสันนิษฐาน 1840–1841 | |
5 | เจ้าหญิงลูอีส พระราชกุมารี 1867–1931 | 1905–1931 | สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 1841–1910 | 1889 | อเล็กซานเดอร์ ดัฟฟ์ ดยุกที่ 1 แห่งไฟฟ์ 1849–1912 | ||
6 | เจ้าหญิงแมรี พระราชกุมารี 1897–1965 | 1932–1965 | สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 1865–1936 | 1922 | เฮนรี ลัสเซลส์ เอิร์ลที่ 6 แห่งแฮร์วูด 1882–1947 | ||
7 | เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี 1950– | 1987–ปัจจุบัน | สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 1926– | 1973–1992 | มาร์ก ฟิลลิปส์ 1948- | ||
1992 | เซอร์ ทิโมธี ลอเรนซ์ 1955– |
ราชกุมารีในประเทศไทย
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ได้ทรงพระนิพนธ์แปลพระอิสริยยศ Princess Royal ไว้ในหนังสือเกิดวังปารุสก์ และพระนิพนธ์อีกหลายเล่มว่า เจ้าฟ้าพระวรกุมารี บ้างทรงทับศัพท์ตรงตัวว่า เจ้าฟ้าหญิงรอยัล
ส่วนสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น "สยามบรมราชกุมารี" ซึ่งเป็นพระอิสริยยศที่เทียบเท่า "ราชกุมารี"
อ้างอิง
- ราชบัณฑิตยสถาน, สารานุกรมประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่ : ยุโรป เล่ม ๓ อักษร E-G, กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2543, หน้า 30.
- The Royal Family: Royal Titles. "." - Royal.gov.uk Retrieved 16 June 2008.
- ""The Princess Royal, The British Monarchy". Royal.gov.uk. (Retrieved 2010-01-12.)
- 35. Who were the princesses who bore the style "Princess Royal"?
- ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนา (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา), เล่ม ๙๔, ตอน ๑๓๑ก ฉบับพิเศษ, ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐, หน้า ๑
- McCargo, Duncan (2010), "Thailand", Regional Oulook: Southeast Asia 2010-2011, Institute of Southeast Asian Studies, p. 55